สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ทรัพยากรธรรมชาติ,เศรษฐกิจ,สังคม,เชียงใหม่
Author วิชัย จ้าวเจริญ
Title ศักยภาพในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของบ้านม้งป่าเกี๊ยะ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
Document Type ร่างรายงานผลการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 226 Year 2547
Source วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

เนื้อหางานกล่าวถึงการศึกษาศักยภาพและการจัดการ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเช่น ป่าไม้ แหล่งน้ำที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชุมชนม้งบ้านป่าเกี๊ยะใน หมู่ 8 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชุมชนนี้แต่เดิมได้ทำการเกษตรแบบดั้งเดิมคือปลูกพืชเพื่อบริโภคในครัวเรือน กระทั่งทางการได้มีนโยบายห้ามการปลูกฝิ่นเมื่อ พ.ศ.2528 ม้งจึงหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อทดแทนฝิ่นที่เคยปลูกแต่เดิม การเปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม แม้จะทำให้ม้งมีรายได้มากขึ้นแต่ก็ทำให้มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจากคนภายนอกชุมชนรวมทั้งปัญหากับเจ้าหน้าที่ของรัฐในเรื่องประกาศพื้นที่อนุรักษ์เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ที่ทับซ้อนกับที่ทำกินของคนในชุมชน อุปสรรคเหล่านี้ทำให้ม้งต้องร่วมมือกันเพื่อจัดสรรการใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และแหล่งน้ำในชุมชนเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าทรัพยากรในชุมชนจะยังคงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์และเพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ของคนในชุมชน

Focus

ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อศักยภาพในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของม้งบ้านป่าเกี๊ยะในตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ และการปรับตัวหรือโต้ตอบต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม (หน้า 5)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มที่ศึกษาคือม้ง บ้านป่าเกี๊ยะ หมู่ 8 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 5) ซึ่งตามประวัติศาสตร์ประมาณ ค.ศ.1190 สันนิษฐานว่าม้งเป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองดั้งเดิม 5 จำพวกในจีน (หน้า 35) ชื่อชนพื้นเมืองแห่งน้ำ 5 สาย ซึ่งประกอบด้วย แม้ว (ม้ง) เย้า (เมี่ยน) ลาวแข่และจวง ซึ่งในเวลานั้นม้งถูกเรียกว่า “หมาน” หมายถึง ”พวกป่าเถื่อน” หรือ ”หนาน หนาน” หมายถึง “พวกป่าเถื่อนทางใต้” ชื่อเหล่านี้คือชนชาติต่างๆที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีน ในเวลานั้นม้งได้ถูกจีนรุกรานหลายครั้งจึงอพยพลงทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้กระทั่งอพยพเข้าสู่ประเทศเวียตนาม ลาว และไทย (หน้า 35,36)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาม้งอยู่ในตระกูลภาษาธิเบต – พม่าโดยอยู่ในสาขาจีน – ธิเบต (หน้า 35) ในงานเขียนระบุว่าทุกวันนี้เด็กม้งในหมู่บ้านพูดภาษาม้งได้น้อยลงเพราะไปเรียนในเมือง เด็กส่วนใหญ่จะพูดภาษาคำเมืองและภาษาไทย สำหรับภาษาม้ง เด็กยังฟังผู้ปกครองเข้าใจแต่ในศัพท์ม้งยากๆ นั้นบางคำก็ไม่อาจรู้ความหมายได้อย่างถ่องแท้ (หน้า 85,196)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน

History of the Group and Community

ประวัติหมู่บ้านป่าเกี๊ยะ ม้งบ้านป่าเกี๊ยะเมื่อก่อนนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านห้วยต้นผึ้งซึ่งอยู่ไกลจากที่ตั้งของหมู่บ้านในทุกวันนี้ 3 กิโลเมตร ม้งส่วนหนึ่งได้ย้ายมาอยู่ที่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบันนี้เมื่อ พ.ศ.2505 โดยย้ายมาอยู่ใกล้กับเขตตำบลบ่อแก้ว เพื่อให้เกิดความสะดวกในการซื้อสินค้ามาใช้ในครัวเรือนและการติดต่อกับทางราชการได้ง่ายขึ้น ในเวลาต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเสร็จเยี่ยมราษฎรตำบลบ่อแก้ว จึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างโรงเรียนประจำหมู่บ้านและพระราชทานชื่อว่า “โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนรัปปาปอร์ต” ครั้นมีการตัดถนนเข้ามาถึงตัวหมู่บ้านประชาชนที่อยู่หมู่บ้านห้วยต้นผึ้งจึงย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านป่าเกี๊ยะทั้งหมด ในปี พ.ศ.2515 ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่าหมู่บ้านป่าเกี๊ยะ (หน้า 2,60) เนื่องจากว่าบริเวณนี้มีต้นสนหรือ”ต้นเกี๊ยะ”เติบโตอยู่โดยทั่วไป (หน้า 3) เมื่อชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงแบ่งเป็นหมู่บ้านป่าเกี๊ยะใน(ม้ง)หมู่ 8 กับบ้านป่าเกี๊ยะนอก(ปากาญอ) หมู่ 1 เมื่อ พ.ศ.2534 (หน้า 60-61) ประวัติศาสตร์ม้ง สันนิษฐานว่าม้งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6,000 ปี ม้งอพยพที่อยู่หลายครั้งเนื่องจากเกิดสงครามกระทั่งโยกย้ายมาอยู่ที่มณฑลยูนานบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองและแม่น้ำแยงซีเกียงกับพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับกรุงปักกิ่งเมืองหลวงของจีนในทุกวันนี้ โดยม้งตั้งเมืองชื่อ “ป้างเต่อหลาง” ต่อมาภายหลังจีนรุกราน ม้งจึงอพยพไปอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ในหลายประเทศ เช่น พม่า ไทย ลาวและเวียดนาม เป็นต้น (หน้า 77)

Settlement Pattern

บ้านม้งแต่เดิมจะสร้างแบบเรียบง่าย ตัวบ้านประกอบด้วยห้องนอน ห้องเอนกประสงค์เพื่อใช้ต้อนรับแขก หลังคามุงหญ้าคา แต่ทุกวันนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงคือนิยมสร้างบ้านตามสมัยนิยมบ้านสร้างด้วยคอนกรีต มุงกระเบื้องหรือสังกะสี (หน้า 84) บ้านเรือนของม้งในแต่ละหลังมีการได้สร้างรั้วสูงขนาดเอวและปลูกดอกไม้ ไม้ประดับไว้ที่หน้าบ้าน แต่ยังมีบ้านอีกหลายหลังที่สร้างคอกหมู เล้าไก่ไว้ใกล้บ้านจนเกินไป ทำให้มีกลิ่นรบกวน (หน้า 89 ภาพหมู่บ้านหน้า 87)

Demography

ประชากรหมู่บ้านป่าเกี๊ยะมี 939 คน เป็นผู้ชาย 479 คน และผู้หญิง 460 คนมีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 150 ครัวเรือน (หน้า 61) กลุ่มม้งที่เข้ามาตั้งหมู่บ้านตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2505 จนถึง พ.ศ.2547 ประกอบด้วย 4 ช่วงวัยได้แก่ กลุ่มแรกอายุ 75 ปีขึ้นไป,กลุ่มที่สองวันกลางคนอายุ 60 - 70 ปี ,กลุ่มที่สามประกอบด้วยอายุ 40 – 50 ปี และ25-35 ปี และรุ่นที่4ประกอบด้วยเด็กแรกเกิดถึงวัยรุ่น หรือแรกเกิด–22 ปี (หน้า 62-63)

Economy

การผลิต เมื่อก่อนม้งจะเพาะปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนไม่ได้มุ่งหวังเพื่อจำหน่าย กระทั่งในภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ทดแทนการปลูกฝิ่นตามนโยบายของรัฐบาล (หน้า 3) ในงานเขียนได้แบ่งการผลิตออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ การผลิตในอดีต ประกอบด้วย (หน้า 91,182) ระบบไร่ข้าวโพด พื้นที่ปลูกเป็นบริเวณภูเขาสูง มีสภาพอากาศหนาวเย็น เตรียมดินระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน แล้วปลูกในเดือนพฤษภาคมจากนั้นก็จะปล่อยให้ข้าวโพดเติบโตกระทั่งปลายเดือนพฤศจิกายนก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิต (หน้า 91) ระบบไร่ข้าว บริเวณที่ปลูกลักษณะดินเป็นดินดำร่วนซุย อากาศอบอุ่นไม่หนาวมาก การเตรียมดินจะอยู่ระหว่างเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม หว่านเมล็ดข้าวในเดือนมิถุนายน กระทั่งถึงเดือนธันวาคมก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิต (หน้า 92) ระบบไร่ฝิ่น ในหมู่บ้านป่าเกี๊ยะยังมีการปลูกฝิ่นก่อน พ.ศ.2528 ฝิ่นเติบโตได้ดีในบริเวณภูเขาสูง สภาพอากาศหนาว การปลูกจะทำหลังเก็บเกี่ยวข้าวโพดเรียบร้อยแล้ว การเตรียมดินจะอยู่ในระหว่างเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม แล้วปล่อยให้เจริญเติบโต การกรีดและเก็บเกี่ยวผลผลิตจะอยู่ระหว่างเดือนมกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ (หน้า 93,182) การผลิตในปัจจุบัน เริ่มจาก พ.ศ.2528 เมื่อเลิกปลูกฝิ่น พืชที่ปลูกจะเป็นไม้ยืนต้น เช่น ลิ้นจี่ สาลี่ ท้อ และอื่นๆ กับพืชเศรษฐกิจ เช่น กระหล่ำปลี แครอทแดง ผักสลัด ฯลฯ (หน้า 94,95) เศรษฐกิจ หลังจากที่ทางการห้ามปลูกฝิ่น คนในชุมชนก็เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจดังนั้นจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชน เช่น ใช้รถไถแทนการใช้แรงงานสัตว์ เมื่อมีไฟฟ้าใช้ในชุมชนก็ซื้อเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น รถจักรยานยนต์ รถกะบะ หม้อหุงข้าว โทรทัศน์ พัดลม ฯลฯ (หน้า 90) ดังนั้น เมื่อมีรายได้มากขึ้นรายจ่ายเรื่องเครื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ตามมา ทำให้คนในชุมชนมีหนี้สิน (หน้า 212) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ในหมู่บ้านป่าเกี๊ยะมีที่ดินทั้งหมด 2,456.51 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ต่างๆ คือ พื้นที่ป่าไม้ 1,462.5 ไร่ พื้นที่ชุมชน เช่น ที่พักอาศัย โรงเรียน ฯลฯ มีเนื้อที่ 115.63 ไร่ พื้นที่ทำกินมีทั้งหมด 878.38 ไร่ และพื้นที่สุสานซึ่งรวมอยู่ในส่วนของพื้นที่อยู่อาศัย (หน้า 108) การใช้สอยพื้นที่ป่า ในหมู่บ้านได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อควบคุมดูแลการใช้ทรัพยากรต่างๆติดต่อกับทางการจัดการประชุมรวมทั้งตั้งคณะกรรมการเฝ้าระวังไฟป่าและการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และอื่นๆ (หน้า 109) สำหรับพื้นที่ป่าได้แบ่งออกเป็นป่าประเภทต่างๆ ดังนี้ ป่าไม้ใช้สอย เป็นป่าที่คนในชุมชนสามารถเข้าไปเก็บของป่า ตัดไม้มาปลูกบ้าน เก็บไม้มาทำฟืน อนุญาตให้ปล่อยสัตว์เข้าไปเลี้ยงในพื้นที่ป่า แต่ห้ามเข้าไปยึดครอง ตัดไม้มาขาย ฯลฯ (หน้า 95,96,110,111) ป่าไม้ชุมชน เป็นป่าที่คนในชุมชนไปเก็บของป่า ตัดไม้มาปลูกบ้าน หาฟืน แต่ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เข้าไปเลี้ยง แต่ห้ามเข้าไปยึดครอง หรือตัดไม้ไปขาย (หน้า 111) การที่จะมีสิทธิ์เข้าไปตัดต้นไม้ต้องเป็นคนในชุมชน ไม่อนุญาตคนนอกชุมชน (หน้า 96,112) ป่าไม้อนุรักษ์ เป็นป่าที่ไม่อนุญาตให้คนในชุมชนและภายนอกเข้าไปใช้ประโยชน์ เพราะต้องการรักษาป่าเอาไว้ให้มีสภาพที่สมบูรณ์ หากใครฝ่าฝืนจะต้องถูกปรับและถูกดำเนินคดีตามกฎ (หน้า 96,112)

Social Organization

สังคม ม้งให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ โดยจะให้ความช่วยเหลือและไว้วางใจคนในตระกูลเดียวกันมากกว่าคนที่อยู่ตระกูลอื่น (หน้า 79) ให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส (หน้า 80) มีความเชื่อฟังและเคารพต่อจารีตประเพณีของตนเอง (หน้า 81)

Political Organization

ผู้นำชุมชน ในหมู่บ้านป่าเกี๊ยะประกอบด้วยผู้นำอย่างเป็นทางการ เช่น ผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน และผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ผู้นำตามความเชื่อหรือผู้ประกอบพิธีกรรมและผู้อาวุโสในหมู่บ้าน (หน้า 5,125) การปกครองของหมู่บ้าน แบ่งเป็น 2 ยุค ได้แก่การปกครองดั้งเดิม คือตั้งแต่ยุคก่อตั้งหมู่บ้าน - พ.ศ.2526 มีคณะผู้อาวุโสเป็นผู้นำ โดยมีหน้าที่ตัดสินคดีความหากเกิดปัญหาของคนในชุมชน ดูแลความสงบและติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการ ในช่วงนั้นมีคณะผู้อาวุโสปกครอง 2 ชุดด้วยกัน คือ ชุดแรกตั้งแต่ช่วงบุกเบิกตั้งหมู่บ้าน - 2518 และชุดที่ 2 พ.ศ.2518-2525 (หน้า 70) พ.ศ.2526 ได้เปลี่ยนแปลงเป็นการปกครองสมัยใหม่ มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำเพราะตอนนั้นหมู่บ้านป่าเกี๊ยะยังอยู่หมู่ 1 ซึ่งมีกะเหรี่ยงอยู่เป็นส่วนใหญ่ ส่วนม้งย้ายเข้ามาอยู่หมู่บ้านป่าเกี๊ยะในภายหลังจึงปกครองกันเองโดยมีคณะผู้อาวุโสเป็นผู้นำในช่วงแรก (หน้า 70) หมู่บ้านมีผู้ช่วยเป็นผู้นำหมู่บ้านช่วงปี 2526-2533 (หน้า 71) เมื่อมีการแยกหมู่บ้านโดยหมู่บ้านม้งเป็นบ้านป่าเกี๊ยะใน หมู่ 8 และหมู่บ้านกะเหรี่ยงเป็นบ้านป่าเกี๊ยะนอก หมู่ 1 นับจาก พ.ศ.2534ถึงปัจจุบันหมู่บ้านป่าเกี๊ยะในจึงมีการปกครองหมู่บ้านที่แตกต่างจากในอดีต (หน้า 71) คือในหมู่บ้านจะประกอบด้วยผู้นำแบบต่างๆ ดังนี้ ผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการที่มาจากการเลือกตั้ง (หน้า 72-74) คณะผู้อาวุโส ที่คนในชุมชนให้ความเคารพนับถือ ในหมู่บ้านมีจำนวน 4 คน มีหน้าที่ตัดสินปัญหาด้านจริยธรรม ได้แก่ การทำผิดประเวณี การละเมิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ การล่วงเกินผู้หลักผู้ใหญ่และอื่นๆ (หน้า 74,127,130) ระบบการปกครองในแต่ละตระกูล คือตระกูลต่างๆ จะมีผู้นำเพื่อแก้ปัญหาหากคนในตระกูลทะเลาะกันในหมู่บ้าน ในหมู่บ้านประกอบด้วย 5 ตระกูล ซึ่งในแต่ละตระกูลจะมีผู้นำ 2 คน คือ ผู้นำอาวุโสทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านพิธีกรรมและผู้นำสมัยใหม่ส่วนมากจะอยู่ในวัยกลางคนที่อ่านออกเขียนได้ทำหน้าที่รักษากฎกติกาของชุมชน เพื่อให้คนในตระกูลรับรู้และช่วยผู้นำอาวุโส หากมีคดีความกับคนต่างตระกูลหรือหากมีเรื่องต้องขึ้นโรงพักและอื่นๆ (หน้า 75 ตารางหน้า 76)

Belief System

ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ ประกอบด้วยพิธีต่างๆ ดังนี้ 1)พิธีกรรมการเซ่นเจ้าที่ หรือ “การดงเซ้ง” จะจัดเป็นประจำทุกปีในเทศกาลวันปีใหม่ม้ง ครั้นจัดงานวันปีใหม่ได้ 4 ถึง 5 วัน ครอบครัวม้งก็จะเอาเครื่องเซ่นต่างๆ ไปทำพิธี การเลือกต้นไม้เพื่อทำพิธีจะเลือกต้นที่เหมาะสมลำต้นตรง ที่เกิดบริเวณป่าต้นน้ำเหนือหมู่บ้าน จุดมุ่งหมายของการทำพิธีก็เพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งพื้นดินเพื่อขอบคุณที่รักษาป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์และปกปักรักษาคนในหมู่บ้านให้อยู่อย่างมีความสุข (หน้า 102,103,123) ผู้นำทางพิธีกรรมจะอัญเชิญเทพเจ้าได้แก่ เทพเจ้าถือติ หรือเทพเจ้าแห่งโลก ทำหน้าที่ดูแลป่าไม้ พืชพรรณต่างๆ และพื้นดิน, เทพเจ้าซะแซ่งติจือ หรือเทพเจ้าปกป้องดูแลสัตว์นานาชนิด,เทพเจ้าฝือแซ่ง/เหยาแซง หรือ เทพเจ้าคุ้มครองดูแลสัตว์ดุร้ายสัตว์กินเนื้อ ,เทพเจ้าจื้อเซ้งโล่งเม่ด หรือเทพเจ้าที่ปกป้องดูแลใต้ดิน ให้มาอยู่ที่ต้นไม้ที่ทำพิธีเพื่อดูแลรักษาป่าไม้และชุมชน (หน้า 103) เมื่อประกอบพิธีเรียบร้อยแล้วบริเวณนี้จะเป็นเขตหวงห้าม คนในชุมชนจะไม่เข้าไปตัดไม้ทำลายป่าหรือล่าสัตว์เพราะเชื่อว่าถ้าฝ่าฝืนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าจะลงโทษทำให้เจ็บไข้หรือตาย (หน้า 102) 2)พิธีกรรมการเซ่นเทพเจ้าต้นน้ำหรือ “การเต่งเฮ้าเด้ จะจัดพิธีเซ่นไหว้ทุกปีแต่ไม่กำหนดระยะเวลาแน่นอน โดยจะจัดที่บริเวณป่าต้นน้ำ คนที่ทำพิธีจะนำเครื่องเซ่นซึ่งประกอบด้วย ไก่ตัวผู้ 1 ตัว ธูป เหล้า ข้าวสุก กระดาษเงิน กระดาษทอง และกระดาษสา เพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งสายน้ำ หรือ ”เทพเสท่าตั่วว่า“ และเทพถือติหรือเทพเจ้าแห่งผืนดินและป่า เพื่อขอบคุณที่ปกป้องป่าและต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์และมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี (หน้า 103,123) 3)พิธีกรรมการบนและเซ่นเทพเจ้าแห่งไฟหรือ “การฝีเหย่งและเป้าเหย่งซั่วเต่อ จะจัดพิธีเป็นประจำทุกปีในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ในฤดูแล้งประมาณเดือนกุมภาพันธ์จะทำการบนและจะทำพิธีในหน้าฝนระหว่างเดือนพฤษภาคม การทำพิธีจะฆ่าวัวตัวผู้เป็นเครื่องเซ่นไหว้พร้อมด้วย ธูป กระดาษสา กระดาษเงิน กระดาษทอง เซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งไฟเพื่อให้ความปกป้องคุ้มครองไม่ให้เกิดไฟป่าและไม่ให้ได้รับอันตรายจากไฟป่า (หน้า 104,123) 4)พิธีกรรมการเซ่นเทพเจ้าแห่งการเกษตรหรือ “การฝี่เหย่งด๊า” ในแต่ละครอบครัวในหนึ่งปีอาจจะจัดหลายครั้งขึ้นอยู่กับการเพาะปลูกคือจะทำพิธีการบนก่อนการเพาะปลูกและเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตก็จะจัดพิธีเซ่นไหว้ที่ไร่หรือสวน การประกอบพิธีจะฆ่าไก่หรือหมูพร้อมด้วยธูป กระดาษเงิน กระดาษทอง เพื่อขอให้เทพเจ้าแห่งการเกษตรปกป้องดูแลพืชที่ปลูกให้เติบโตงดงามไร้แมลงรบกวน (หน้า 104,124) พื้นที่ต้องห้าม ในการศึกษาได้กล่าวถึงพื้นที่ต้องห้ามซึ่งเป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของคนในชุมชนบ้านป่าเกี๊ยะดังต่อไปนี้ ป่าดงเซ้ง บริเวณนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ม้งจะทำพิธีเชิญเทพเจ้ามาปกป้องคนในชุมชนและที่อยู่อาศัย (หน้า 105) ป่าต้นน้ำหรือ ”ป่าเฮ้อเด้” เป็นพื้นที่ที่คนในชุมชนเชิญเทพเจ้ามาคุ้มครองต้นน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปีจึงห้ามไม่ให้เข้าไปรบกวนบริเวณพื้นที่ป่าต้นน้ำ ป่าช้าหรือ ”ต้อจาง” บริเวณนี้เป็นพื้นที่ฝังศพของบรรพบุรุษจึงห้ามเข้ามา รบกวนเด็ดขาดไม่เช่นนั้นอาจโชคร้าย (หน้า105) ป่าดอยสามม่อนหรือ ”จ๊งซะจู่” คือบริเวณที่มีพื้นที่ป่าปกคลุมภูเขาสามลูกมีขนาดกับความสูงไล่เลี่ยกัน เชื่อว่าเจ้าที่แรงจึงไม่ให้เข้ามาปลูกพืชหรือสร้างบ้าน(หน้า 106) ป่าบริเวณกิ่วดอยหรือ ”เดอะ” คือบริเวณกึ่งกลางของเขาสองลูกเชื่อว่าเป็นทางผีผ่านไม่ให้เพาะปลูกหรือสร้างบ้านเรือน ป่าบริเวณห้วยส่งผีหรือ ”หางซาด๊า” คือห้วยหรือที่ฝังศพเด็กที่ตายขณะคลอด บริเวณนี้เป็นที่ส่งผีกลับนรกจึงผ่านหรือเข้าใกล้ (หน้า 106) ป่าบริเวณน้ำออกรูหรือ “ขอเต้เตอ” เป็นที่อยู่ของผีดุร้ายจึงห้ามไม่ให้มาเล่นบริเวณนี้เพราะผีอาจไม่พอใจอาจทำให้เป็นไข้ไม่สบาย ป่าที่มีเถาวัลย์ขึ้นแล้วพันไปทางซ้าย และพื้นที่หนองแฉะตลอดปีหรือ “หางอ๋า” เชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ผีดุร้ายอยู่ที่นี่ดังนั้นจึงไม่ควรสร้างบ้านหรือปลูกพืชบริเวณนี้ หนองน้ำหรือ “ป่างซ่าง” เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคที่เชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำหรือเทพเส่ท่าตั่วว่าง บริเวณนี้ห้ามปลูกพืชหรือสร้างบ้านเนื่องจากเทพแห่งสายน้ำอาจลงโทษทำให้เดือดร้อน บริเวณน้ำลอดหรือ ”ขอเด้เส่า” คือพื้นที่แม่น้ำไหลผ่านรูหรือโพรงแต่ไม่ทราบบริเวณที่น้ำไหลว่าจะลอดมาทางตำแหน่งใดเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคกับสิ่งไม่ดีต่างๆจึงไม่ให้ขว้างก้อนหินหรือใช้ไม้แหย่ และไม่ให้ปลูกบ้านหรือเพาะปลูกพืชเพราะจะทำให้เป็นไข้ไม่สบาย (หน้า 106) หน้าผาหรือถ้ำหรือ “ขอจั่ว/ป๊อจั่ว” เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของเจ้าที่ จึงห้ามไม่ให้ขับถ่ายบริเวณนี้ไม่เช่นนั้นจะมีเคราะห์ (หน้า 107) บริเวณหน้าดินพังทลายหรือ ”จัวต้อป๊อ” เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของผีร้ายคนขวัญอ่อนหรือหญิงมีครรภ์ไม่ควรเข้าใกล้บริเวณนี้เพราะผีอาจทำให้แท้งลูก บริเวณเขาแทงกันหรือ “จ๊งซีหย่อ” คือมีเขาอีกลูกทอดขวางส่วนอีกลูกทอดยาวมาแทงเชื่อว่าเจ้าที่ที่อยู่บริเวณนี้มีเรื่องบาดหมางกันหากมาอยู่ก็จะทำให้ชีวิตมีแต่ปัญหาดังนั้นจึงไม่ควรสร้างบ้านหรือปลูกพืช เป็นต้น (หน้า 107)

Education and Socialization

การศึกษาของม้งรุ่นที่หนึ่งที่เป็นรุ่นบุกเบิกก่อตั้งหมู่บ้านว่า กลุ่มนี้ไม่ได้เรียนหนังสือในระบบโรงเรียน แม้ว่าในเวลาต่อมาในหมู่บ้านจะมีโรงเรียน (หน้า 64) คนรุ่นที่สองยังไม่ได้เรียนหนังสือเช่นกัน แต่เริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษาโดยได้สนับสนุนลูกหลานส่งให้ศึกษาในโรงเรียน อย่างไรก็ดี ในกลุ่มนี้มีคนที่หัดอ่านเขียนเองสามารถอ่านเขียนหนังสือได้หนึ่งคน (หน้า 65,66) ในกลุ่มรุ่นที่สาม คนที่อายุระหว่าง40-25 ปีจะได้เรียนหนังสือภาคบังคับถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 7 ส่วนคนที่มีอายุ 25-35 จะจบการศึกษา ภาคบังคับในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (หน้า 66) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกในหมู่บ้านที่เดินทางไปเรียนต่อภายนอกหมู่บ้านและมีคนที่เรียนในระดับสูงจนถึงชั้นอุดมศึกษาจบจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงรวมทั้งมีโอกาสได้ศึกษาในสถาบันการศึกษาของศาสนาคริสต์ ในกรุงเทพฯ (หน้า 67) กลุ่มชนรุ่นที่4 ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาภาคบังคับและยังมีบางส่วนที่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา (หน้า 67) ภายในหมู่บ้านมีคนที่อ่านออกเขียนได้จำนวน 539 คนส่วนคนที่อ่านเขียนไม่ได้มี 400 คน (หน้า 68) ในหมู่บ้านมีสถานศึกษา 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนรัปปาปอร์ต เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประกอบด้วยนักเรียน 194 คนและครูตำรวจตระเวนชายแดน 13 นาย ส่วนสถานศึกษาอีกแห่งหนึ่งคือศูนย์เลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ประกอบด้วยเด็กเล็กทั้งหมด 50 คนและครูพี่เลี้ยง 2 คน นอกจากนี้ยังมีเด็กส่วนหนึ่งไปเรียนตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ภายนอกชุมชนจำนวน 122 คน (หน้า 68,69)

Health and Medicine

ในอดีตค่อนข้างเป็นปัญหาต่อชุมชนเพราะหลังจากที่มีการเลิกปลูกฝิ่น ผงขาวก็แพร่ระบาดในหมู่บ้าน ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมภายในชุมชน หลังจากนั้นเมื่อผงขาวลดน้อยลงในระหว่าง พ.ศ.2544-2545 หมู่บ้านก็พบปัญหาเรื่องยาบ้า กระทั่งทางการได้มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดพร้อมกับความร่วมมือของคนในชุมชนทำให้ปัญหาเรื่องยาเสพติดหมดไปจากหมู่บ้านในที่สุด (หน้า 212)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ม้งทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทุกวันนี้นิยมแต่งกายด้วยชุดสมัยนิยมเช่นสวมเสื้อยืด กางเกงวอร์มหรือกางเกงยีนส์ สำหรับการแต่งกายด้วยชุดม้งจะแต่งในช่วงมีงานเทศกาลสำคัญเช่นวันปีใหม่ สาเหตุที่ไม่ค่อยแต่งกายประจำเผ่าเนื่องจากเสื้อม้งค่อนข้างหนาและดูแลยาก (หน้า 196)

Folklore

เมื่อก่อนนี้ม้งมักจะเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง ส่วนมากนิยมเล่านิทานขณะนั่งล้อมวงผิงไฟหลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว เนื้อหาของนิทานส่วนมากจะมีสุภาษิตสอนใจ เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต การทำมาหากินต่างๆ แต่ทุกวันนี้การเล่านิทานไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักเพราะพ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาเพราะไปทำงานนอกบ้านประกอบกับเด็กๆได้หันมานิยมดูโทรทัศน์มากกว่าการฟังนิทานพื้นบ้าน (หน้า 122)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

หลังจากที่ทางการห้ามปลูกฝิ่นแล้วได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนบ้านป่าเกี๊ยะในหลายๆ ด้านดังต่อไปนี้ (หน้า 211-213) การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมคนในชุมชนทำการเกษตรแบบดั้งเดิมบริโภคภายในครัวเรือนแต่เมื่อเปลี่ยนเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายแม้ว่าจะมีรายได้มากกว่าแต่ก่อนแต่ก็ทำให้มีหนี้สินพอกพูนมากขึ้น (หน้า 211) การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม หลังจากที่มีการตัดถนน สร้างโรงเรียนในหมู่บ้านและมีโครงการปลูกพืชเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือชุมชนต้องติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้นกว่าในอดีต เมื่อเปลี่ยนมาเป็นการทำการเกษตรเพื่อค้าขายก็ทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำในช่วงหน้าแล้งกับชุมชนใกล้เคียง(หน้า 211) เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เนื่องจากประกาศเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ประเกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติซึ่งทับซ้อนกับที่ดินทำกินและที่อยู่ของคนในชุมชน ฯลฯ (หน้า 212)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง ทำเนียบผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน (หน้า 72) ตำแหน่งและรายชื่อผู้นำในแต่ละตระกูลในชุมชนฯ (หน้า 76) ระบบการผลิตในอดีต (หน้า 93) ระบบการผลิตพืชทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของชุมชน (หน้า 94) ภาพ หมู่บ้านป่าเกี๊ยะ (หน้า 58) รูปผู้นำม้ง (หน้า 62) กลุ่มชนรุ่นที่ 1- 4 (หน้า 64) อดีตผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 66) โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนรัปปาปอร์ต (หน้า 68) ผู้ใหญ่บ้านป่าเกี๊ยะ (หน้า 74) น้ำใจในชุมชนม้ง (หน้า 79) การแสดงความเคารพผู้อาวุโส (หน้า 81) สะพานเรียกขวัญ (หน้า 82) ความขยันของหญิงม้ง (หน้า 83) เด็กม้งรุ่นใหม่ (หน้า 85) ถนน (หน้า 87) ถังพักเก็บน้ำ,ตู้โทรศัพท์ (หน้า 88) ถังเก็บขยะ (หน้า 89) สิ่งอำนวยความสะดวก (หน้า 90) ไร่ข้าวโพด (หน้า 92) ไร่ข้าว (หน้า 93) ฝิ่น (หน้า 94) พืชเศรษฐกิจ (หน้า 95) ป่าชุมชน (หน้า 96) พื้นที่ทำกิน (หน้า 97) ต้นไม้ในเขตภูเขาเปียก (หน้า 99) การเป่าแคน (หน้า 121) การเรียนรู้ขณะทำงานจากแม่สู่ลูกสาว (หน้า 123) การโยนลูกช่วงวันปีใหม่ม้ง (หน้า 124) ป้อมยาม (หน้า 134) ดับไฟป่า(หน้า 135) เด็กหยอดวัคซีน (หน้า 142) พ่อค้ามาขายของในหมู่บ้าน (หน้า 144) การตีมีดในบ้านป่าเกี๊ยะใน (หน้า 186) แผนภูมิรูปภาพ โครงสร้างวัฒนธรรม (หน้า 20) กรอบแนวคิดในการวิจัย (หน้า 39) หมู่บ้านป่าเกี๊ยะ (หน้า 59) คณะกรรมการหมู่บ้าน (หน้า 72) เขตภูเขาและป่า (หน้า 101) ครอบครัว (หน้า 126) ผู้นำชุมชนม้ง (หน้า 128,129) การมีส่วนร่วมตามตระกูลในการเป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน ,คณะผู้อาวุโส (หน้า 131,132) องค์กรในหมู่บ้าน (หน้า 136) สายน้ำที่ไหลผ่านบ้านป่าเกี๊ยะในและบ้านใกล้เคียง (หน้า 157)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ม้ง, ทรัพยากรธรรมชาติ, เศรษฐกิจ, สังคม, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง