|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มานุย,เคอตู,การปรับตัว,ชุมชน,ท้องถิ่น,การเกษตรแบบถาวร,เวียดนาม |
Author |
Ngo Thi Phuong Anh |
Title |
Local Adaptive Responses to Sedentarization Program : A Case Study of Houng Nguyen Commune, a Luoi District, Thua Thien Hue Province, Vietnam |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
143 |
Year |
2548 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาพื้นที่แถบภูเขา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 50 กลุ่ม มีวัตถุประสงค์ขจัดความยากจน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชนกลุ่มน้อยเหล่านั้น รวมทั้ง การดูแลปกป้องสิ่งแวดล้อม แผนการเกษตรแบบถาวร ตามนโยบายรัฐ ที่38/cp ลงวันที่ 12 มีนาคม 2511 (หน้า vii, 68) เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รู้จัก และ ฝึก การทำการเกษตรแบบ หมุนเวียน ไม่จำต้องย้ายถิ่นเพื่อทำการเพาะปลูก สามารถตั้งรกรากทำการเกษตรได้อย่างมั่นคงถาวร โดยจะมีผลให้เกิดการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่อย่างสร้างสรรค์ และ สิ่งแวดล้อมที่ดี ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่แถบภูเขาของประเทศเวียดนาม ถึงแม้ว่า การพัฒนาดังกล่าวทำให้ ชุมชนเคอตู ได้เข้าถึง การเกษตรแผนใหม่ และ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การบริการสังคม และ วิถีชีวิตใหม่ๆ ในอีกด้านหนึ่งเคอตู ก็ต้องสูญเสียสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ในวิถี แบบดั้งเดิม ความเชื่อ, ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม และภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ ดั้งเดิม ถูกจำกัดจากเงื่อนไข และสิ่งแวดล้อมใหม่ การปฏิบัติตาม ความเชื่อ และ พิธีกรรมนั้นๆ ไม่สามารถทำได้อย่างเสรีเช่นแต่ก่อน ต่อสภาวะการณ์เหล่านี้ เคอตูได้ปรับตัว กระบวนการของการสร้าง บ้านใหม่ ได้แสดงถึงการธำรงอัตลักษณ์เคอตู ที่พยายามเชื่อมเอาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้าน วิถีการดำเนินชีวิต กิจกรรมสังคม และวัฒนธรรมของวิถีชีวิตใหม่ ประสานเข้ากับประสบการณ์จริงหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น และขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ทั้งนี้ เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร และสร้างวิถีชีวิต แต่ยังคงไว้ซึ่งการรักษาอัตลักษณ์ ที่แสดงศักยภาพในการควบคุมของลักษณะกายภาพทางสังคม ผ่านทางการเจรจาต่อรองกับอำนาจรัฐ (หน้า 140-141) |
|
Focus |
การศึกษานี้ นำเสนอนโยบายแผนการเกษตรแบบถาวร ที่รัฐบาลเวียดนามนำมาเป็นแผนพัฒนาเพื่อความยั่งยืนสำหรับชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นเหตุให้ชุมชนเคอตู ต้องย้ายถิ่น สู่พื้นที่แห่งใหม่ โดยนำเสนอการตรวจสอบผลกระทบ และวิเคราะห์การตอบสนองของชาวเคอตู ในการปรับตัวต่อนโยบายดังกล่าวโดยเลือกหมู่บ้านเจวียง ชุมชนเฮืองเวียง อำเภออาเหลย จังหวัดเทียนเว้ ประเทศเวียดนาม เป็นกรณีศึกษา เพื่อแสดงกระบวนการ สร้างบ้านใหม่ เพื่อธำรงอัตลักษณ์เคอตู ให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมใหม่ในยุคสมัยปัจจุบัน (หน้า , Vii, Viii, 10) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ตุลาคม 2004 กุมภาพันธ์ 2005 (หน้า 14) |
|
History of the Group and Community |
ชาติพันธุ์เคอตู นั้นแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก 3 กลุ่ม ได้แก่ Zal (High Cotu), Ep (Low Cotu), และ Am (Middle Cotu) ซึ่งแต่ละกลุ่มมีภาษา วัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม คำว่าเคอตู นั้น มาจากคำเรียกของคนกลุ่มอื่น ซึ่งนักวิชาการแปลว่า คนป่า แต่เคอตูเรียกตนเองว่า Ma nui (หน้า 36) ทั้งนี้ข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นเพียงการสันนิษฐาน และถกเถียงกันในวงวิชาการ แต่มีการชี้ว่าชาติพันธุ์เคอตูมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์จาม และ Kinh (หน้า 35) เคอตูได้ชื่อว่า คนต้นน้ำ (water dweller) ตามสภาพภูมิประเทศที่พวกเขาอาศัย (หน้า 34,37) ตามหลักฐานประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า เคอตูเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีภูมิลำเนากระจายตัวในแนวตะวันออก-ตะวันตกของเวียดนามตอนกลาง จาก Boloven plateau ในลาว จนถึงพื้นที่ชายฝั่งเวียดนาม บ้างก็กล่าวว่าเคอตูอพยพมาจากชายฝั่งในประเทศจีน จนมาอาศัยลุ่มน้ำแม่โขงในประเทศลาว ก่อนจะโยกย้ายอีกครั้งกลับเข้ามาในพื้นที่แถบภูเขา (หน้า 35) พื้นที่ที่อยู่อาศัยเคอตูกระจายตัวตามลาดเขาตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขา Ngoc Ang ที่อยู่ทางตะวันออก และภูเขา Pouak ในทางเหนือ และตะวันตก และพื้นที่บริเวณหุบเขา Giang, Kai และในพื้นที่ลุ่มน้ำ Bung ประวัติศาสตร์ชาวเคอตู หมู่บ้านเจวียงแบ่งออก เป็น 3 ช่วงเวลา คือ ก่อนการปฏิวัติ (ก่อน 1975), หลังการปฏิวัติ (1975-1995) และ หลังจากการย้ายถิ่น (1996-ปัจจุบัน) ในช่วงก่อนการปฏิวัติเคอตู หมู่บ้านเจวียงบางส่วนอพยพมาจากหมู่บ้าน Xal ในชุมชน Huong Lam มารวมกับเคอตูดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว ในหมู่บ้านเจวียง บางกระแสกล่าวว่าเคอตูในหมู่บ้านเจวียงล้วนอพยพมาจากหมู่บ้าน Xal ในชุมชน Huong Lam เนื่องจากการขาดแคลนที่ดินทำการเกษตร มีประชากรหนาแน่นขึ้น (หน้า 37) ในช่วงสงครามเวียดนาม (มกราคม 1960-กรกฎาคม 1968) หมู่บ้านถูกเผาทำลาย เนื่องจากภัยสงคราม กลุ่มผู้ปกครองหมู่บ้านจำต้องแบ่ง สมาชิกกลุ่มละ 25-30 คน ออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อย้ายออกไปอยู่ตามลำห้วยสายต่างๆเช่น ลำห้วย Arai เป็นต้น มีการบาดเจ็บล้มตาย ทั้งจากภัยสงคราม และการขาดแคลนอาหาร (หน้า 38) หลังจากนั้น ทั้ง 3 กลุ่มได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่ลำห้วย Ma Hoang ชาวบ้านดำรงชีพอย่างยากลำบาก อาศัย พืชผัก ผลไม้ และของป่ายังชีพ ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ ชาวบ้านเจวียงได้เข้าร่วมกับกองทัพ และผลิตอาวุธที่ได้จากผลผลิตตามธรรมชาติให้กองทัพท้องถิ่น (หน้า 39) ช่วงปี 1970-1972 มีเคอตู หมู่บ้านเจวียง ที่รอดชีวิตจากภัยสงคราม เพียง 40 คน หรือ ประมาณ 15 ครัวเรือน มีการแบ่งชาวเคอตูเหล่านี้ออกเป็น 2 กลุ่ม มีเหตุผลว่าเพื่อความอยู่รอด หลังจากการปฏิวัติ 1975 (พฤษภาคม 1975 ถึง มิถุนายน 1979) เคอตูทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ได้ตั้งชุมชนตามลำน้ำ เจวียง (Giong stream) โดยยังชีพแบบพึ่งพาธรรมชาติ เก็บของป่า ล่าสัตว์ และทำการเพาะปลูกเล็กน้อย ในปี 1980 ได้อพยพจากลำน้ำเจวียง ไปยัง Xa Lon ในช่วง1981-1985 เป็นระยะที่รัฐบาลวางแผนการย้ายหมู่บ้านเจวียง ไปตั้งบนที่ราบลุ่มบริเวณลำน้ำ Arim ตามเส้นทาง T-junction หมายเลข73 และ 74 ใกล้กับศูนย์กลางชุมชนเฮืองเวียง หลังจาก 1985-1995 ก็ได้มีการย้ายหมู่บ้านอีกครั้ง ไปยังทางแยกของลำน้ำ Arai ในเดือนธันวาคม 1995 รัฐร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่น ได้กำหนดแผนการเกษตรถาวร และชุมชนที่ยั่งยืน Fix Cultivation and Fix Settlement project สำหรับประชากรในเขตชุมชนเฮืองเวียง ช่วงเวลาดังกล่าว หมู่บ้านเจวียง ตั้งอยู่ใกล้กับลำน้ำ Ta Luong เขตถนนหลวงสาย 49 บริเวณดังกล่าวได้รับการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นอย่างดี (หน้า 40) ได้เริ่มต้นดำเนินการตามแผน เมื่อ 30 เมษายน 1996 ในช่วง 3 ปีแรกเคอตูต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการปรับตัวกับแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ ความไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ ข้อจำกัด การดำเนินชีวิตในวิถีดั้งเดิมเช่น การล่าสัตว์ การเกษตรแบบเผาถางพื้นที่ หรือ การตัดไม้ |
|
Settlement Pattern |
เคอตูเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยในประเทศเวียดนาม โดยอาศัยตามแนวตะวันออก ตะวันตก ของตอนกลางประเทศ แหล่งที่อาศัยส่วนใหญ่ ได้แก่ อำเภอ Tay Giang, Don Giang, Nam Giang ในจังหวัด Quang Nam และกระจายตัวออกไปในเขตภูเขาทางทิศตะวันตก ในพื้นที่อำเภอ Nam Dong และพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ อำเภออาเหลย จังหวัดเถือเทียนเว้ (หน้า 66) |
|
Demography |
หมู่บ้านเจวียง ชุมชนเฮืองเวียง มีประชากร 286 คน ใน 49 ครัวเรือน (หน้า 10) แบ่งเป็นประชากรชาย 151 คน ประชากรหญิง 135 คน โดยเฉลี่ยมีประชากรประมาณ 5.84 คน ต่อครัวเรือน สำหรับประชากรจัดกลุ่มแต่ละช่วงอายุ พบว่า อายุต่ำกว่า 5 ปี 24 คน ( 8.39%) อายุระหว่าง 5-17 ปี 93 คน (32.52%) อายุระหว่าง 18-60 ปี 145 คน (50.69%) อายุ 55 ปี ขึ้นไป 24 คน ( 8.39%) ภาวะแรงงานในแต่ละครัวเรือน โดยเฉลี่ยประมาณ 2.96 คน แบ่งเป็นแรงงานชาย (ช่วงอายุ 18-55 ปี) 75 คน และ แรงงานหญิง (ช่วงอายุ 18-60 ปี) 70 คน (หน้า 88-99) |
|
Economy |
เคอตู เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีพ โดยการเก็บของป่า และ ล่าสัตว์ สำหรับการเกษตร แบบ swidden มักทำการหักล้างถางพง เพื่อเพาะปลูก กว่าร้อยละ 55 ของประชากรเคอตู เป็นครอบครัวยากจน มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 50 เหรียญเวียดนาม และ ขาดแคลนอาหาร สำหรับครอบครัวที่ยากจนมาก มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 30 เหรียญเวียดนาม ทั้งยังขาดแคลนอาหาร และ มักเจ็บป่วยเรื้อรัง พบกว่าร้อยละ 20 (หน้า 101) ในพื้นที่แห่งใหม่ที่รัฐจัดให้ เคอตูประสบกับความยากลำบากในการเข้าถึงทรัพยากร และ การเกษตรในสภาพแวดล้อมใหม่ให้ผลผลิตไม่เพียงพอกับจำนวนประชากรในชุมชน พืชเศรษฐกิจ ได้แก่ พริกไทยป่า, หวาย, dot, la non (หน้า 47-48) สำหรับผลิตผลจากป่าที่ใช้เป็นอาหาร ได้แก่ หน่อไม้, เห็ด ผักป่า, น้ำผึ้ง, tavak, tadin (ปาล์ม ชนิดหนึ่ง) การพึ่งพาการเกษตร แบบ swidden มีการวางแผนบนพื้นฐานสอดคล้องสภาพภูมิประเทศ และ ฤดูกาล (หน้า 46) มีการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในรอบปี ปฏิทิน ดังนี้ (หน้า 51) มกราคม ( co xee mui) มีอากาศหนาว และมีฝนเล็กน้อย เป็นช่วงที่เลือกพื้นที่เพาะปลูก, ปลูกข้าวโพดในแปลงเก่า, ล่าสัตว์ และ การ หว่านพืช กุมภาพันธ์ (co xee bor) มีอากาศเย็น เตรียมแผ้วถางต้นไม้ ในแปลงเพาะปลูก เริ่มปลูกข้าวโพด, ล่าสัตว์ และ การ หว่านพืช มีนาคม (co xee pee) อากาศเริ่มอุ่น มีแดด ผึ้งบินออกจากรัง เป็นเวลาของการเผาถางต้นไม้, วางแปลงปลูกข้าวไร่, หว่านข้าวโพด, ปลูกมันสำปะหลังในแปลงเก่า เมษายน (co xee puon) อากาศอุ่น และมีแดด นก vat vo prico ร้อง ทำการไถ่หว่านข้าวไร่, ปลูกข้าวฝ่าง ข้าวโพด, เก็บข้าวโพดที่ปลูกเมื่อ 3 เดือนก่อน (มกราคม), เก็บฟืน หวาย และดอก dot พฤษภาคม (co xee xong) อากาศร้อน มีแดด มีพายุฝน เริ่มปลูกข้าวนาปรัง และ ปลูกข้าวนาปี เก็บเกี่ยวข้าวโพดที่ปลูกไว้ต่อ และ เก็บน้ำผึ้ง มิถุนายน (co xee chopat) อากาศร้อน มีแดด และพายุฝน ทำการหว่านข้าวนาปี, สร้างบ้าน, ล่าสัตว์, หาปลา, เก็บฟืน เก็บน้ำผึ้ง และ หวาย กรกฎาคม(co xee to pai) ดูแลบำรุงแปลงนา ข้าวไร่ และ ล่าสัตว์ สิงหาคม(co xee to cool) ฝนตก และ มีแดด เก็บเกี่ยวข้าวไร่ นาปรัง และ ทำจักสาน กันยายน (co xee to ciah ) ฝนตกชุก มักเก็บผัก นำสัตว์ที่ล่ามาเตรียมเสบียง ตุลาคม(co xee mui zet ) ฝนตก เริ่มเข้าฤดูหนาว เก็บเกี่ยวข้าวไร่ นาปี และ นาปรัง เก็บเห็ด หน่อไม้ จัดเก็บสัตว์ที่ล่า พฤศจิกายน (co xee muizet mui ) อากาศหนาว เก็บข้าวขึ้นยุ้ง คัดแยกชนิดข้าว หาเห็ด หน่อไม้ และ ออกล่าสัตว์ ธันวาคม(co xee mui zet bor) อากาศหนาว จัดเตรียมแปลงปลูกเก่า เตียวแผ้วถาง และเผาแปลงเพาะปลูก ปลูกข้าวโพด มันสัมปะหลัง เทศกาลปีใหม่ เด็ก และผู้หญิง เป็นแรงงานสำคัญกลุ่มหนึ่งในเก็บหาผลผลิตจากป่า เว้นแต่การหาน้ำผึ้ง tavak, tadin เท่านั้น ที่ใช้แรงงานผู้ชาย (หน้า 48) |
|
Social Organization |
สังคมเคอตู เป็นสังคมที่ปกครองกันตามลำดับอาวุโส ยอมรับนับถือกันตามวัยวุฒิ ดังนั้น เพศ และ อายุ จึงมีส่วนสำคัญในการกำหนดอำนาจ และ บทบาทที่แตกต่างกัน แนวคิดนี้ เป็นพื้นฐานการกำหนดบทบาททางสังคม และ การแบ่งงาน (หน้า 45) เคอตู ได้วางบทบาทของผู้นำชุมชนโดยมีหน้าที่ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน จัดได้ 4 บทบาท หลัก ได้แก่ Abho Yang เปรียบเหมือนผู้นำทางจิตวิญญาณ หรือ คนทรง มีบทบาทสำคัญในชุมชนโดยมีหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้าต่างๆ ผ่านพิธีกรรม ซึ่งมีแนวคิดว่า โชคเคราะห์ทั้งหลายในธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับอำนาจดลบันดาล และ การลงโทษ ของ Yang (เทพเจ้า) และ Abhumom (วิญญาณ) Takoh Takop เป็นผู้นำทางการทหาร ที่มีประสบการณ์ชำนาญในการต่อสู้ และล่าสัตว์ มีหน้าที่ปกป้อง และคุ้มครองชุมชน Manuih Paraq Bhama เป็นตัวแทนผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่ดูแลเรื่องกฎหมายจารีตประเพณี ทำการตัดสินข้อขัดแย้งต่างๆ เช่นความขัดแย้ง ของครอบครัว (Dhungs)หรือ เครือญาติ (Kabhuhs) เป็นผู้ที่รักษาความสัมพันธ์ของสมาชิกชุมชน ในด้านเศรษฐกิจ, สังคม และ วัฒนธรรม Takoh Kabhuh เป็นผู้เฒ่า เปรียบได้กับที่ปรึกษาอาวุโสที่นับถือกันในชุมชน ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสภาผู้อาวุโส ในการจัดกิจกรรมในวิถีชีวิต เช่น การผลิตพืชผลการเกษตร, การล่าสัตว์, การแต่งงาน และ งานศพ รวมทั้ง การแก้ไขข้อขัดแย้งในชุมชน ทั้งระดับ ส่วนบุคคล, ครอบครัว และกลุ่มเครือญาติ ตำแหน่งนี้สืบทอดกันตามสายตระกูล (หน้า 44) โดยทั่วไปบทบาทของผู้หญิงในสังคมเคอตูไม่โดดเด่นนัก พ่อแม่ มีอิทธิพลในการจัดการ ดูแลชีวิตลูกสาวตั้งแต่เด็ก จนวัยผู้ใหญ่ เมื่อแต่งงาน ผู้หญิงเคอตู จะอยู่ในการปกครองของสามี เมื่อสามีตาย หญิงนั้นจะอยู่ในการดูแลของลูกชายแทน (หน้า 45) ผู้หญิงมักมีส่วนร่วมในด้านแรงงาน และกระบวนการผลิต ตลอดจนการดูแลกิจกรรมในระดับครัวเรือน ผู้หญิงยังคงมีส่วนในความมั่นคงของชุมชน ตั้งแต่การมีลูก ตราบจนกระทั่งตาย |
|
Political Organization |
ในวัฒนธรรมเคอตู ชุมชนที่เรียกว่า Chrval เป็นหน่วยทางสังคมสูงสุด ซึ่งปกครองพื้นที่อยู่อาศัย ระดับ หมู่บ้าน หรือ Veel จากการเปรียบเทียบ ขอบเขตของ Chrval อาจใหญ่กว่า หรือ เล็กกว่า รูปแบบชุมชน ปัจจุบัน(Commune) (หน้า 41) มีตำแหน่งหัวหน้าเรียกว่า Takoh Chrval ซึ่งมีบทบาทที่ไม่ชัดเจนนัก มีหัวหน้าหมู่บ้าน เรียกว่า Takoh Veel (หน้า 38) โครงสร้างการปกครอง ถัดจากหัวหน้าหมู่บ้าน (Takoh Veel) มีสภาผู้อาวุโสของหมู่บ้าน เรียกว่า Ptaha ซึ่งจะประกอบด้วย Takoh Kabhuh Abho Yang Takoh takop (ผู้นำทหาร) Manuih Papraqbhma โดยมีกลุ่มสายตระกูล หรือ เครือญาติ อยู่ใต้การปกครองของ สภาหมู่บ้าน และกลุ่มสายตระกูลจะดูแล แต่ละครอบครัวในสายของตน มีการสร้างศาลาประชาคม เรียกว่า Guol เป็นที่ออกกฎหมายจารีต , ตัดสินความ และประกอบพิธีกรรม (หน้า 43) |
|
Belief System |
เคอตูมีความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่เรียกว่า Yang หรือ พระเจ้า (God)ที่ปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง (หน้า 64, 114) วิญญาณนี้ จะปรากฏอยู่ในสรรพสิ่งทั้งปวง มีพลังดูแลรักษาความอยู่รอดของชุมชน และ ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ รวมทั้ง วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนด้วย ความเชื่อนี้ถูกถ่ายทอดออกมาทางพิธีกรรม และ ข้อห้ามต่างๆ นอกจากนี้ยังนับถือ เทพเจ้าต่างๆ ได้แก่ เทวดาที่คุ้มครองข้าว (yang haroo) เจ้าป่า (yang krang), รุกขเทวดา (yang loong), เจ้าที่ (yang katice) ก่อนที่จะมีกิจกรรมใดๆที่เกี่ยวข้องทั้งกับชุมชน และ ครอบครัว มักต้องมีการเทพเจ้า ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมนั้นๆก่อน (หน้า 52) นอกจากนี้ ยังนับถือ Abhumom (วิญญาณ) ว่ามีอำนาจให้คุณให้โทษด้วย (หน้า 44) การเกี่ยวข้าวมักเริ่มต้นเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ก่อนเก็บเกี่ยวมีพิธี นำเฉลวรูปกากบาท ทำจากไม้ หรือไม้ไผ่ ไปปักตามถนนในหมู่บ้าน ห้ามคนแปลกถิ่นเข้ามาในหมู่บ้าน และแปลงนา หัวหน้าครัวเรือนจะทำพิธีที่แปลงนา มีการเซ่นหมูเป็นๆ เพื่อขออนุญาต Yang Haroo ในการเก็บเกี่ยว ส่วนภรรยาจะทำพิธีกับ Doong Adech โดยถอนต้นข้าวช้าๆ 4 ต้น อธิษฐานให้ข้าวมีเมล็ดเต็มรวง (หน้า 61) เคอตู แบ่ง แปลงนา เป็น 4 ประเภท โดยผลผลิตในแต่ละประเภท มีคุณภาพต่างกัน และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างกันด้วย แปลงแรก เป็นแปลงนาที่ราบเชิงเขา ซึ่งมีคุณภาพดีที่สุด ข้าวในแปลงนี้ ปลูกไว้เพื่อทำพิธีกรรมบูชาเทวดา แปลงที่ 2 อยู่สูงถัดขึ้นไป มีคุณภาพดี ส่วนนี้เก็บไว้ทำพันธุ์ปลูกต่อไป แปลงที่ 3 อยู่ในที่ค่อนข้างลาดชัน มีคุณภาพดีพอใช้ ปลูกไว้เพื่อบริโภค ส่วนแปลงสุดท้าย อยู่บริเวณที่ลาดชันสุด คุณภาพพอใช้ได้ ใช้รับรองแขก (หน้า 61-62) สำหรับพื้นที่บริเวณยอดเขา เป็นพื้นที่ป่าสงวน สำหรับการประกอบพิธีกรรม เพราะเคอตูเชื่อว่าเป็นที่สถิตย์ ของ Yang (หน้า64-65) พิธีฉลองข้าวใหม่ ซึ่งพิธีนี้จะทำภายในครัวเรือน เกี่ยวข้องกับการบูชาบรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญู มีการบูชาผลแรกแก่วิญญาณบรรพบุรุษ มีการนำอาหารมาเซ่นไหว้ ซึ่งต้อง มีปลา หัวปลี หน่อไม้ พร้อมหมู ไก่ และข้าว พร้อมเหล้าที่หมักจากข้าวด้วย (หน้า 53) ธรรมเนียมความเชื่อเกี่ยวกับการเกิด หากหญิงที่คลอดลูกเสียชีวิตลงใน 2 สัปดาห์ ทารกแรกเกิดนั้นต้องถูกฝังไปพร้อมกับหญิงผู้เป็นแม่ที่ตายลงด้วย ทั้งนี้เป็นการป้องกันวิญญาณมารบกวน หรือส่งผลร้ายต่อชุมชน โดยมีเหตุผลที่ว่า ทารกต้องอาศัยน้ำนมแม่เพื่อความอยู่รอด ขณะเดียวกันแม่ก็มีความผูกพันกับลูก (หน้า 115) เคอตูสามารถพยากรณ์การเปลี่ยนแปลง หรือการคาดคะเนได้จากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ดิน ฟ้า อากาศ สภาพของหมอก การเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ การผลิดอก หรือเสียงนกร้อง ตัวอย่างเช่น หน่อไม้ในกอไผ่ขนาดกลาง แสดงว่าจะมีพายุ หากเห็นดอกไผ่ออกมาก มีผลต่อการเก็บเกี่ยว เพราะเป็นเหตุให้มีหนูชุกชุมมาทำลายผลผลิต หรือถ้านกเหยี่ยว Keng ca lac ร้อง อากาศจะอุ่นขึ้น สามารถลงมือปลูกข้าวโพดได้เร็วกว่าเดิม ภูมิปัญญาเหล่านี้ นำไปสู่การกำหนดกิจกรรมในรอบปี ปฏิทิน (หน้า 50-51) เคอตูมีปฏิทินเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมีชื่อเรียกเดือนโดยเฉพาะ ทั้งกำหนดกิจกรรมแต่ละเดือน อย่างละเอียด เรียกว่า Nuong Lich โดยมีพื้นฐานการเปลี่ยนของวงจรทางธรรมชาติ มีเหตุผลสัมพันธ์กับดินฟ้าอากาศ มีแนวคิดพื้นฐานความเชื่อจากการดู พระจันทร์ Coxee และมีการกำหนด วันดีวันร้าย ในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงกำหนดวันที่ห้าม ทำกิจกรรมชนิดใดด้วย (หน้า 50-52) การล่าสัตว์ นอกจากจะเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานตามวิถีดั้งเดิม แล้ว การล่าสัตว์ยังแสดงออกถึงแนวคิดในการฝึกความกล้าหาญของผู้ชายที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่วัยผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นการฝึกฝนความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ และแสดงออกให้คู่รักเห็นความสามารถของผู้นั้นด้วย ทั้งยังมีความเชื่อในการบวงสรวงวิญญาณ ในพิธีกรรมต่าง เช่น งานแต่งงาน, งานศพ, เทศกาลล้มควาย ( dam trau), เทศกาลเก็บเกี่ยว เป็นต้น ทั้งยังเป็นการแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชุมชนด้วย (หน้า 47) เคอตูมีความเชื่อเกี่ยวกับป่า ในอดีตมีการแบ่งป่า ออกเป็น 3 ประเภท 1. ผืนป่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นป่าในพื้นที่ของสันปันน้ำ ที่เชื่อว่าเป็นที่สถิตย์ของวิญญาณ ไม่มีการตัดไม้, ถาง หรือ เผา และล่าสัตว์ ในป่าผืนนี้เด็ดขาด 2 ผืนป่าสำคัญ ใช้เป็นสุสานฝังศพ มีการจัดการพื้นที่โดยกลุ่มเครือญาติ มีสภาพป่าเหมือนป่าประเภทแรก และมีข้อห้ามเช่นเดียวกัน ใครฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ 3. ผืนป่าทำกิน ซึ่งทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน มีสิทธิเท่ากัน ทั้งการตัดไม้ แผ้วถาง เผาทำแปลงเพาะปลูก รวมทั้ง การล่าสัตว์ แต่การทำกิจกรรมต่าง ต้องทำพิธีขออนุญาตจาก Yang ก่อน สำหรับสัตว์ที่ล่าได้ผู้ล่าต้องทำการแบ่งปันกับสมาชิกในหมู่บ้านด้วย (หน้า 65-66) |
|
Education and Socialization |
เนื่องจากสังคมเคอตู ไม่มี ระบบการศึกษาที่เป็นทางการ ภูมิปัญญาพื้นบ้านของเคอตู มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นต่อเนื่องกันเรื่อยมา ภูมิปัญญาเหล่านี้สั่งสมมาจากประสบการณ์จริง การเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับ สภาวการณ์ของ ข้อปฏิบัติของชุมชน, พิธีกรรม, สัญชาตญาณ และ ความสัมพันธ์ ทั้งระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง หรือ ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ (หน้า 85) เคอตูสามารถพยากรณ์การเปลี่ยนแปลง หรือการคาดคะเนได้จากธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม ดิน ฟ้า อากาศ สภาพของหมอก การเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ เสียงนกร้อง เช่นถ้า หน่อไม้ในกอไผ่ขนาดกลาง แสดงว่าจะมีพายุ หากเห็นดอกไผ่ออกมาก มีผลต่อการเก็บเกี่ยว เพราะเป็นเหตุให้มีหนูชุกชุม เป็นต้น ภูมิปัญญาเหล่านี้ นำไปสู่การกำหนดกิจกรรมในรอบปี ปฏิทิน (หน้า 50-51) |
|
Health and Medicine |
เคอตู หาน้ำผึ้ง เพื่อใช้เป็นอาหาร และ ใช้ปรุงยาพื้นฐานด้วย ทั้งยังรักษาโรคด้วยสมุนไพรต่างๆ พร้อมกับการใช้มนต์คาถา แต่การรักษายังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จึงมีอัตราการตายสูง โรคที่พบบ่อย ได้แก่ มาลาเรีย, อหิวาตกโรค, ไข้อักเสบฝีหนอง และ โปลิโอ แต่เมื่อชุมชนเคอตูได้ ย้ายมาตั้งในพื้นที่ใหม่ หมู่บ้านเจวียง คนในชุมชนก็ได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลแผนใหม่ได้ดีขึ้น (หน้า 99) จากการศึกษาพบว่า ในชุมชนเคอตูแห่งใหม่นี้ เกิดปัญหาภาวะทุโภชนาการในเด็ก ซึ่งมักขาดโปรตีน จากสภาวะความยากจน ที่พบได้ก่อและพบว่าคนในชุมชนส่วนใหญ่ เป็นโรคเกี่ยวกับท้อง ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมลพิษในแหล่งน้ำด้วย (หน้า 84-85) แต่ปัญหาทุโภชนาการก็มีแนวโน้มลดลง (หน้า 99) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บ้านที่อยู่อาศัยของเคอตู มีเอกลักษณ์พิเศษ เรียกว่า Dung มีโครงสร้างเป็นไม้ หรือ ไม้ไผ่ ผังเรือนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวรีปลายสองข้างโค้งมน ลักษณะคล้ายแคปซูล เรียกว่า Long House (หน้า 103) มีบันไดทางเข้า ด้านหน้าตรงกลางบ้าน และ อีก 2 ทาง ด้านสกัดใต้หลังคาตรงกับจั่ว พื้นยกสูงจากระดับพื้นดิน มุงหลังคาจั่วด้วยใบหวาย หรือแฝก ขนาดความกว้างยาวโดยทั่วไปประมาณ 20-30 เมตร x 50-60 เมตร ภายในเรือนแบ่งเป็นห้องทั้งสองข้าง สำหรับสมาชิกที่แยกครอบครัว เป็นการอาศัยรวมกันของครอบครัวย่อยๆ ในครอบครัวใหญ่ กลางบ้านเป็นห้องสำหรับหัวหน้าของบ้าน มักใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม และ รับแขกด้วย (หน้า 103-104) เมื่อมีการอพยพมาอยู่พื้นที่ ที่รัฐจัดให้ บ้านของเคอตูได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม โดยยังคงแบบแผนเดิม แต่อาจมีขนาดเล็กลง และ ปลูกแบบไม่ยกพื้น ทั้งยังการใช้วัสดุอื่นที่รัฐกำหนด มาใช้แทนวัสดุธรรมชาติแบบเดิม (ดู ภาพ 5.5) (หน้า 106) แต่ยังคงรักษาวัฒนธรรมเคอตูไว้ในการสร้าง ศาลากลางบ้าน (Guol) เป็นแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เพื่อเป็นศูนย์กลางชุมชน (หน้า 106-107) หัตถกรรมในวิถีชีวิตเคอตู มักเป็น เครื่องมือ และ เครื่องใช้สำหรับการเกษตร Poom (พ้อม) เป็นตะกร้าไม้ไผ่สานขนาดใหญ่สำหรับเก็บข้าว (หน้า 62)หากเป็น เมล็ดพืชอื่นๆเช่น ถั่ว หรือ ข้าวโพด จะ เก็บไว้ในไหที่ เรียกว่า che หรือ xduc สำหรับ del เป็นตะกร้าก้นลึก ซึ่งมี 2 ชนิด หากสานอย่างหนา เรียก del ใช้ขนข้าว หากสานอย่างบาง เรียก dong ใช้ขนมันสำปะหลัง และ ข้าวโพด เครื่องสีฝัดข้าว เรียก tapoal ใช้ pire ตำข้าว กระด้งสานใช้ฝัดข้าว เรียก radieng และใช้กระด้งที่มีก้นแคบ เรียก horing ทำความสะอาดข้าว(หน้า 64) เครื่องมือที่ใช้ในการเกษตร ขวาน (chun) มีดถาก (achitme) สำหรับถากต้นไม้เล็กๆ ไม้เลื้อย และพุ่มไม้ จอบ (crouoch) (หน้า 63-64) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เคอตู มักถูกมองว่าเป็นผู้ทำลายป่า ล้าหลัง และ ไม่พัฒนา (หน้า 46) การพิจารณาความเป็นกลุ่มชนชายขอบ นั้นมาจากอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่าง ตัวแทนอำนาจรัฐ กับกลุ่มชาติพันธ์ ในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ และ การครอบงำในเรื่องวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ ขนบธรรมเนียม ประเพณี (หน้า 32) สถานที่ สำหรับคนในท้องถิ่น มีความหมายมากกว่า พื้นที่รองรับสถานะภาพของผู้ที่อาศัย กับ ธรรมชาติแวดล้อมเท่านั้น หากเป็นทั้งบ้าน ที่ทำกิน และเป็นวิถีชีวิต รวมทั้งมีนัยถึง ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนหนึ่ง กับ อีกชุมชนหนึ่งด้วย (หน้า 95) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การพัฒนาโครงการเกษตรกรรมถาวร ของรัฐบาลเวียดนาม มีผลผลักดันให้ เคอตู ที่ต้องอพยพจากที่อยู่อาศัยเดิม ลงมาตั้งรกรากใหม่ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ สิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติลดลง ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐ ความยากจนมีมากขึ้น ขาดความสนใจในภูมิปัญญาท้องถิ่น และสูญเสียอัตลักษณ์ ผ่านการแทรกแซงการจัดการชุมชนจาก ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก (หน้า 86) ซึ่งในขนบวิถีเดิม ชุมชนเคอตูนั้นใช้ขนบธรรมเนียมจารีต ในการปกครองตนเอง บทบาทของ Takon Veel ลดลง จากการที่เคยมีอำนาจมากในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ยังรวมถึง ตำแหน่งผู้ช่วยด้านต่างๆ ของ Takon Veel เช่น Abho Yang, Xram, Takoh Kabhuh เป็นต้น ระบบองค์กรของรัฐเข้ามาเป็นโครงสร้างใหม่ในการปกครอง เช่น สภาประชาชน และ คณะกรรมการชุมชน, สมาคมชาวนา ฯลฯ (หน้า 87) โครงการบริหารเหล่านี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งมีอิทธิพลต่อการดำรงชีพ และกิจกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันของเคอตูที่ต้องขึ้นอยู่กับหน่วยงานของรัฐ และนโยบายรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจกรรมในแต่ละเดือน ที่เชื่อมโยงกับสิทธิในการเข้าหาของป่า ทำไร่ ปลูกพืช ตามฤดูกาล ก็จะเป็นไปตามแต่นโยบายที่รัฐกำหนด |
|
Map/Illustration |
สารบัญตาราง 3.1 ตารางแสดงผลผลิตหลักบางประเภท ที่ เคอตู เก็บเกี่ยว (หน้า 48) 3.2 ตารางแสดงกิจกรรมรายเดือนในรอบปีของเคอตู (หน้า 51) 3.3 ตารางแสดงปฏิทินการเก็บเกี่ยวของพืชเศรษฐกิจ (หน้า 52) 3.4 ตารางจำแนกองค์ประกอบพื้นฐานของดิน ตามลักษณะกายภาพหน้าดิน (หน้า 55) 3.5 ตารางจำแนกประเภทดินตามคุณสมบัติการใช้ประโยชน์ (หน้า 56) 3.6 ตารางจำแนกประเภทของพื้นที่ ที่ใช้ทำแปลงเพาะปลูกบนเขา (หน้า 62) 5.1 ตารางแสดงสัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินของเกษตรกร หมู่บ้านเจวียง (หน้า 97) 5.2 ตารางแสดงจำนวนประชากร และ จำนวนแรงงาน ในหมู่บ้านเจวียง (หน้า 98) 5.3 ตารางแสดงโครงสร้างอายุประชากร ในหมู่บ้านเจวียง ( ธันวาคม, 2004) (หน้า 99) 5.4 ตารางการจำแนกลักษณะครัวเรือน ในหมู่บ้านเจวียง (หน้า 101) 5.5 ตารางแสดงสัดส่วนอาหารสัตว์แต่ประเภทที่ใช้เลี้ยงสัตว์แต่ละชนิด (หน้า 111) 5.6 ตารางรายการสัตว์เลี้ยง ในหมู่บ้านเจวียง ทั้งอดีต และปัจจุบัน (หน้า 111) สารบัญภาพ 1.1ภาพพื้นที่กรณีศึกษา ชุมชน Huong Nguyen อำเภออาเหลย จังหวัดเถือเทียนเว้ ประเทศเวียดนาม (หน้า 11) 1.2ภาพแสดงการตั้งรกรากใหม่ของชุมชน Huong Nguyen ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ (หน้า 12) 1.3ภาพแผนดินการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ตามการให้สัมภาษณ์ของหัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า 13) 2.1 ภาพแผนภูมิแสดงกรอบความคิด (หน้า 31) 3.1ภาพโครงสร้างทางสังคมตามจารีตของชุมชนเคอตู (หน้า 42) 3.2ภาพแผนภูมิแสดงองค์กรการปกครองตนเองตามจารีตของเคอตู กรณี ของ Veel (หน้า 43) 3.3ภาพแสดงที่ดินเพาะปลูกที่กำหนดแบบ Swidden Plots ของประชากรเคอตู (หน้า 58) 3.4ภาพแสดงธรรมเนียมการเก็บเกี่ยว ของประชากรเคอตู (หน้า 62) 5.1ภาพแสดงผังบ้าน (Longhouse) แบบดั้งเดิม ของเคอตู (หน้า 103) 5.2ภาพบ้านแนวยาว (Longhouse) แบบดั้งเดิมของเคอตู (หน้า 104) 5.3ภาพผังบ้านยกพื้นเของ เคอตูแบบดั้งเดิม (หน้า 105) 5.4ภาพบ้านยกพื้นเของ เคอตูแบบดั้งเดิม (หน้า 105) 5.5ภาพบ้านเคอตูที่ปลูกเสมอหน้าดิน (ground House) (หน้า 106) |
|
|