|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย กวย,ความเชื่อ,ประเพณีบวชนาคช้าง,สุรินทร์ |
Author |
นฤมล จิตต์หาญ |
Title |
ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบวชนาคช้างของชาวกูย : กรณีศึกษาหมู่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
90 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
การบวชนาคช้างของกูย หมู่บ้านตากลาง เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความเชื่อด้านพุทธศาสนาและความเชื่อในบรรพบุรุษ ความเชื่อด้านพุทธศาสนาเป็นเพราะกูยบ้านตากลางนับถือศาสนาพุทธ มีความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด การทำดีจะทำให้ไปเกิดในที่ที่ดี การที่บุตรหลานผู้ชายได้บวชเรียนหลักธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะผลดีต่อผู้ปฏิบัติ ตลอดจนจะเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาด้วย และโดยตามความเชื่อของพุทธศาสนิกาชนทั่วไปแล้วบิดามารดาก็จะได้รับผลบุญจากการบวชของลูก เมื่อเสียชีวิตวิญญาณของบิดามารดาจะได้จับชายผ้าเหลืองของบุตรขึ้นสวรรค์ ดั้งนั้นในครอบครัวที่มีบุตรชายจึงมีความต้องการให้ได้รับการบวชเรียน (หน้า 87)
กูยมีความเชื่อว่าบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วจะยังคงเฝ้าดูแลบุตรหลาน และจะช่วยให้บุตรหลานดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่น โดยกูยจะเรียกสิ่งเคารพสูงสุดว่า “ผีปะกำ” เพราะเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะสถิตย์อยู่ที่เชือกปะกำ (เชือกสำหรับคล้องช้างในสมัยโบราณ) ดังนั้นจึงมีการสร้าง “สาลปะกำ” ไว้ในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีการเลี้ยงช้างจะไม่มีไม่ได้ และในบริเวณวังทะลุจะมีการสร้าง “ศาลปูตาวังทะลุ” สำหรับไว้เชือกปะกำและทำพิธีเซ่นในพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ และหากในครอบครัวหรือชุมชนจะประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตามจะต้องมีพิธีกรรมบอกกล่าวบรรพบุรุษ หรือที่เรียกว่า “การเซ่นผีปะกำ” ก่อนเสมอ การที่กูยมีความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษช่วยให้กูย หมู่บ้านตากลาง ซึ่งมีจำนวนน้อยในสังคมใหญ่ยังคงมีความผูกพัน มีการรักษาวัฒนธรรมการเลี้ยงช้าง ภาษาพูด และวิถีชีวิตตามแบบอย่างดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น (หน้า 87, 88)
ความเชื่อด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบวชนาคช้างนั้น มีความสัมพันธ์และผสามกลมกลืนระหว่าง 2 ความเชื่อ คือ ความเชื่อในหลักพระพุทธศาสนา และความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษ โดยกูย หมู่บ้านตากลางไม่ได้ละเลยองค์ประกอบสำคัญตามความเชื่อในพิธีกรรมสำคัญต่างๆ แต่เป็นการนำมาผสมผสานให้เข้ากับวิถีชีวิต โดยจะเห็นได้จากพิธีกรรมอุปสมบท ที่ได้มีการจัดเตรียมเครื่องใช้ต่างๆ และขั้นตอนการบวชที่ถูกต้องตามแบบอย่างชาวพุทธทั่วไป แต่มีการเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นความเชื่อของกลุ่มตนไว้ด้วย เช่น การเซ่นศาลปู่ตาวังทะลุ เป็นต้น ดังนั้นการที่มีพิธีการบวชนาคช้างของกูย หมู่บ้านตากลางนั้น จึงเป็นการแสดงออกถึงการผสมกลมกลืนของสองความเชื่ออย่างลงตัว และเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวกูยอย่างแท้จริง |
|
Focus |
ประวัติความเป็นมา องค์ประกอบ ขั้นตอนเกี่ยวกับประเพณีบวชนาคช้างของกูย และความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบวชนาคช้างของกูย หมู่บ้านตากลาง จ.สุรินทร์ (หน้า 6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กูย หมู่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้ศึกษากำหนดระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าเป็น 3 ช่วง ต่อไปนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากเอกสารและศึกษาข้อมูลภาคสนาม เพื่อประกอบการเขียนโครงการศึกษา 1 สิงหาคม 2544 - 30 กันยายน 2544 ระยะที่ 2 สร้างเครื่องมือ ศึกษาประสิทธิภาพ และดำเนินการเก็บข้อมูลภาคสนาม 1 พฤศจิกายน 2544 - 31 มีนาคม 2545 ระยะที่ 3 วิเคราะห์ข้อมูล สรุปอภิปรายผล และเขียนการศึกษาค้นคว้าอิสระ 1 เมษายน 2545 - 30 กันยายน 2545 (หน้า 8) |
|
History of the Group and Community |
มีข้อสันนิษฐานว่า กูยเป็นชนเผ่าเขมรเดิมพวกหนึ่ง เรียกว่าเชื้อชาติมุณฑ์ ซึ่งอพยพมาจากอินเดียเมื่อครั้งถูกอารยันรุกราน โดยอพยพมาทางตะวันออกจากลุ่มแม่น้ำคง (สาละวิน) และแม่น้ำของ (โขง) ตอนบน พวกที่อพยพไปทางลุ่มแม่น้ำคง กลายเป็นบรรพบุรุษพวกมอญหรือรามัญ ส่วนพวกที่อพยพไปตามลุ่มแม่น้ำของ(โขง) บางพวกไปอาศัยอยู่ตามที่ราบสูงแถบเทือกเขาพนมดงรัก บางพวกไปถึงที่ราบต่ำบริเวณทะเลสาบใหญ่และชายทะเล ต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษของพวกเขมรหรือแขมร์ และพวกที่อยู่ตามป่าเขาต่างๆ เรียกว่า ลั๊ว ข่า ขมุ ส่วย กวย หรือ กูย แตกต่างกันไป ในช่วงศตวรรษที่ 18-20 ได้มีอาณาจักรชนเผ่ากูยตั้งอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ ทางตอนใต้ของลาว และตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา โดยมีความสัมพันธ์กับกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่มีใครพูดถึงเพราะกลุ่มกูยถูกทำลายโดยกลุ่มคนไทยในประเทศลาวและกลุ่มเขมรในประเทศกัมพูชา หรือถูกผสมกลมกลืนกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มลาวและเขมร กูยจึงสลายไป กูยที่เหลืออยู่บางส่วนได้ผนวกเข้าเป็นทาสรับใช้ของฝ่ายชนะ และบางส่วนได้อพยพเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัย ที่เป็นอิสระจากการปกครองของเผ่าอื่น โดยบางส่วนได้อพยพเข้ามาตั้งหลักฐานในเขตที่ว่างเปล่าทางอีสานตอนใต้ของประเทศไทยปัจจุบัน ต่อมาดินแดนส่วนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรไทย และกูยที่อาศัยอยู่ในถิ่นนี้กลายสภาพเป็นคนไทยและถูกคนไทยในสมัยอยุธยาเรียกว่า “เขมรป่าดง” และในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกว่า “ส่วย” มาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 24) กูยบ้านตากลาง เป็นกลุ่มกูยที่มีหลักฐานเดิมอยู่ที่บ้านเมืองลีง (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอจอมพระ) ได้แก่ กลุ่มของเชียงสง ได้เดินทางเข้ามาคล้องช้างป่าในเขตบ้านตากลางปัจจุบัน เพราะพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่ช้างป่าเข้ามาหากินเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารและยารักษาโรคของช้าง โดยกูยกลุ่มเชียงสงได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ตั้งหลักฐานอยู่เดิม คือ ตากัง ได้เข้ามาคล้องช้างเป็นประจำ จึงเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งหลักฐานจนกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ และได้ตั้งชื่อตามผู้อยู่อาศัยเดิมคือ “บ้านตากัง” ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนกันมาเป็น “บ้านตากลาง” จนมาถึงปัจจุบัน (หน้า 27) |
|
Settlement Pattern |
กูยสร้างหมู่บ้านอยู่กันเป็นกลุ่ม บ้านเรือนของกูยไม่ค่อยจะประณีต ในทัศนะของผู้วิจัย กูยมีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างล้าหลังเมื่อเปรียบเทียบกับเขมร ลาว และไทย (หน้า 25) |
|
Demography |
หมู่บ้านตากลางแยกการปกครองออกเป็น 2 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 9 และหมู่ที่ 13 มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 203 ครัวเรือน จำนวนประชากรทั้งสิ้น 983 คน โดยแบ่งออกเป็น หมู่ที่ 9 จำนวนประชากรชาย 296 คน ประชากรหญิง 336 คน รวมทั้งสิ้น 632 คน จำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 133 ครัวเรือน หมู่ที่ 13 จำนวนประชากรชาย 177 คน ประชากรหญิง 174 คน รวมทั้งสิ้น 351 คน จำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 70 ครัวเรือน (หน้า 30) |
|
Economy |
หมู่บ้านตากลาง อาชีพส่วนใหญ่ได้จากการประกอบอาชีพการทำนา การทำสวน การทำไร่ การค้าขาย การทอผ้า รับจ้าง และเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย และช้าง ซึ่งถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ทำรายได้และสร้างชื่อเสียงให้กับหมู่บ้าน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เป็นเจ้าของช้าง ซึ่งกิจกรรมที่สร้างรายได้ให้แก่หมู่บ้านตากลาง ได้แก่ การนำช้างออกเดินเที่ยว ประมาณวันละ 1,000-3,000 บาท การนำช้างร่วมงานประเพณี เช่น งานกฐิน ผ้าป่า งานบวช ประมาณเชือกละ 3,000-5,000 บาท งานแสดงช้างประจำปี ประมาณเชือกละ 3,000-5,000 บาท การขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากช้าง มีกำไรประมาณชิ้นละ 50-100 บาท การนำช้างไปแสดงในสวนสนุกและต่างประเทศ ประมาณเดือนละ 10,000-15,000 บาท (หน้า 32) |
|
Social Organization |
ลักษณะการดำรงชีวิตเป็นแบบสังคมชนบท อาศัยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ มีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นและมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในการประกอบอาชีพเลี้ยงช้าง (หน้า 30) จากการที่กูยมีความเชื่อเกี่ยวและพิธีกรรมกับบรรพบุรุษร่วมกัน ทำให้กูยในหมู่บ้านตากลางซึ่งเป็นชน กลุ่มน้อยในสังคมส่วนใหญ่ มีความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น (หน้า 88) |
|
Political Organization |
ชุมชนกูยปกครองกันด้วยระบบอาวุโส กล่าวคือ ผู้อาวุโสจะได้รับความเคารพนับถือ (หน้า 30) |
|
Belief System |
กูย ส่วนใหญ่จะเป็นความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมที่ผูกพันกับการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ และความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น เรื่องปะกำ ผีปู่ตา ผีเจ้าเข้าทรง เสน่ห์ยาแฝด และเครื่องลางของขลัง ซึ่งในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามสภาพแวดล้อมและสังคมในปัจจุบัน แต่ผีปะกำยังคงมีความสำคัญและเป็นที่นับถืออยู่ (หน้า 36) กูยบ้านตากลางนับถือศาสนาพุทธ และมีวัดเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ 1 แห่ง ได้แก่ วัดแจ้งสว่าง นอกจากนี้ยังมีสำนักสงฆ์ 1 แห่ง ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านในการประกอบพิธีทางศาสนาต่างๆ (หน้า 36) นอกจากนั้น กูยที่นับถือพระพุทธศาสนายังมีความเชื่อว่า ผู้ใดที่มีบุตรหลานได้บวชเรียน จะส่งผลบุญต่อผู้เป็นบิดามารดา เมื่อเสียชีวิตไป วิญญาณจะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ (หน้า 85) โดยกูยมีความเชื่อว่า การบวชบุตรหลานจะกระทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา เพราะเชื่อว่า การบวชในวันดังกล่าว เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ผู้ใดได้บูชาด้วยการปฏิบัติตามผู้นั้นจะเห็นพระพุทธเจ้า (หน้า 38) และเชื่อว่าผู้ใดได้บวชและแห่นาคโดยใช้ช้าง จะได้บุญและได้ขึ้นสวรรค์ อีกทั้งกูยยังถือว่าช้างมีบุญคุณต่อตนเองและครอบครัว เพราะเป็นสิ่งที่ใช้ในการประกอบอาชีพและมีการเกี่ยวพันกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ (หน้า 39) ประเพณีพิธีกรรมบวชนาคช้างของกูย เป็นประเพณีเก่าแก่ มีองค์ประกอบ 4 อย่างดังต่อไปนี้ ด้านบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้นำในการประกอบพิธี ได้แก่ พระสงฆ์ หมอพราหมณ์ ครูบาใหญ่ และกลุ่มผู้เข้าร่วมพิธี ได้แก่ บิดามารดา นาค ญาติผู้ใหญ่ วันและเวลาในการประกอบพิธีกรรม จัดขึ้นในวันขึ้น 13 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี โดยมีกำหนดวันทำพิธี 3 วัน ได้แก่ วันโฮม วันแห่นาค และวันอุปสมบท สถานที่ในการประกอบพิธีกรรม แบ่งเป็น 3 แห่ง ได้แก่ - วัดแจ้งสว่าง เป็นที่ประกอบพิธีโกนผม พิธีบายศรีสู่ขวัญใหญ่ - บ้าน เป็นที่ประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญเล็ก - วังทะลุ เป็นที่ประกอบพิธีเซ่นขอขมาเจ้าพ่อวังทะลุ - เครื่องใช้ในการประกอบพิธีกรรม แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ - เครื่องใช้ในพิธีโกนผม - เครื่องใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญนาค - เครื่องใช้ในพิธีแห่นาค - เครื่องใช้ในพิธีเซ่นขอขมา - เครื่องใช้ในพิธีอุปสมบท (หน้า 85,86) ขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรมบวชนาคแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมการและขั้นดำเนินการ ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้ ขั้นเตรียมการ เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการก่อนวันบวช โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือนก่อนวันบวช เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดผิดพลาด โดยมีคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย กลุ่มชาวบ้านที่เป็นแกนนำ และครอบครัวที่จะนำบุตรชายเข้าร่วมพิธีบวชมาร่วมกันวางแผนประชุมปรึกษาหารือเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อย (หน้า 53) ขั้นดำเนินการ ประเพณีบวชนาคช้าง ใช้เวลาดำเนินการทั้งหมด 4 วัน วันแรกเป็นวันเตรียมความพร้อมของสถานที่ เครื่องเซ่น เครื่องอุปสมบท วันที่สองเป็นวันโฮม หรือวันประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญเล็ก บายศรีสู่ขวัญใหญ่ วันที่สามเป็นวันแห่นาคและขอขมาต่อเจ้าพ่อวังทะลุ วันที่สี่เป็นวันอุปสมบท (หน้า 55) ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบวชนาคช้าง แบ่งเป็น 5 หัวข้อ คือ 1. ความเชื่อเกี่ยวกับบุคคลในการประกอบพิธีกรรม กลุ่มผู้นำในการประกอบพิธีกรรม เช่น พระสงฆ์ มอ(หมอพราหมณ์) ครูบาใหญ่ และกลุ่มผู้เข้าร่วมในพิธี เช่น บิดามารดาของนาค ญาติพี่น้อง และคนในชุมชน จากกลุ่มบุคคลทั้งสอง ทำให้จำแนกความเชื่อออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.1 ความเชื่อในการนับถือศาสนา กูยบ้านตากลางยึดหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ในเรื่องเกี่ยวกับการอุปสมบท ซึ่งคล้ายคลึงกับชุมชนอื่น (หน้า 75) 1.2.ความเชื่อในการนับถือบรรพบุรุษ ชุมชนกูยมีความผูกพันกับช้างแนบแน่นตามฐานะอายุของช้าง ถ้าช้างมีอายุมากจะเปรียบเสมือนเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือญาติผู้ใหญ่ ถ้าช้างมีอายุน้อยจะเปรียบช้างเสมือนลูกหลาน กูยได้ปลูกฝังลูกหลานให้เคารพยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยให้ยึดถือ “ศาลปะกำช้าง” โดย “ศาลปะกำ” เป็นที่สิงสถิตย์ของบรรพบุรุษ ซึ่งช้างเป็นส่วนหนึ่งของบรรพบุรุษ การเคารพช้างจึงเท่ากับเคารพศาลปะกำ การเคารพศาลปะกำจึงเท่ากับเคารพบรรพบุรุษ (หน้า 76) 2.ความเชื่อที่เกี่ยวกับวันและเวลาในการประกอบพิธีกรรม วันและเวลาที่จัดงานประเพณีบวชนาคช้าง คือ วันขึ้น 13 ค่ำ ถึง 15 ค่ำเดือนหกของทุกปี มีความเชื่อว่าการบวชในวันนี้จะได้เห็นพระพุทธเจ้าและเป็นการเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หน้า 86) นอกจากนี้กูย บ้านตากลาง ได้มีการนำความเชื่อทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการนับถือผีบรรพบุรุษ มาเป็นกลไกในการขัดเกลาทางสังคม กล่าวคือ เมื่อถือผีปะกำแล้วจะต้องเคารพอย่างเคร่งครัดในศีลธรรมสูง ไม่ลักทรัพย์ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ประพฤติผิดทางเพศ ไม่พูดเท็จ ไม่มีความลับในหมู่กูยด้วยกัน มีความเคารพนอบน้อมเชื่อฟังผู้นำ และไม่ทะเลาะวิวาทกัน (หน้า 36) 3.ความเชื่อที่เกี่ยวกับสถานที่ในการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ บ้าน วัด และวังทะลุ ถือว่าเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน 4.ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเครื่องใช้ในการประกอบพิธีกรรม เป็นเครื่องใช้ที่ใช้ในพิธีกรรมจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมิได้ เพราะจะไม่เป็นมงคลแก่ตัวเองและชุมชน ประกอบด้วย เครื่องใช้ในพิธีโกนผม เครื่องใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญใหญ่ เครื่องใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญเล็ก เครื่องใช้ในการแห่นาค เครื่องอุปสมบท และเครื่องเซ่นขอขมา 5. ความเชื่อเกี่ยวกับขั้นตอนของพิธีกรรม ซึ่งแบ่งเป็น ขั้นเตรียมการ และขั้นดำเนินการ โดยเชื่อว่า ผู้ใดได้เข้าร่วมในขั้นตอนหรือได้มีส่วนเกี่ยวข้องในพิธี จะถือว่าได้ผลบุญมหาศาล (หน้า 86) 6. ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ช้างในการประกอบพิธีกรรม เชื่อว่าการได้นั่งช้างแห่นาคจะได้รับอานิสงส์เพราะเป็นการเดินตามรอยองค์พระสัมมาพระพุทธเจ้าที่ทรงม้ากัณฑกะไปผนวชที่แม่น้ำอโนมา จึงมีการใช้ช้างเป็นพาหนะในการแห่นาค (หน้า 82) และเป็นการแสดงถึงบารมีของผู้บวชว่าเป็นผู้มีบุญ (หน้า 89) นอกจากนี้กูยรักและดูแลช้างเปรียบเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว ดังนั้นหากจะอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ต้องมีขบวนการแห่นาคด้วยการขี่ช้าง บางทีเรียก “ขี่ช้างแห่นาค” ชาวบ้านเรียกว่า “งานบวชนาคช้าง” (หน้า 4) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านตากลาง ได้จัดการศึกษาทั้งในระดับก่อนประถมศึกษาโรงเรียนแจ้งสว่าง ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา โรงเรียนช้างบุญวิทยา |
|
Health and Medicine |
หมู่บ้านตากลาง มีสถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน จำนวน 1 แห่ง มีเจ้าหน้าที่ในการให้บริการ จำนวน 2 คน (หน้า 35) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในอดีตกูยแต่งกายแบบพื้นบ้าน คือผู้ชายไม่สวมเสื้อ มีผ้าขาวม้าพาดไหล่ นุ่งโจงกระเบน มีผ้าคาดเอว ส่วนผู้หญิงนิยมสวมเสื้อแขนกระบอกสี่ส่วนสีดำ นุ่งซิ่นสีดำ ด้านหัวซิ่นและตีนซิ่น มีการนำผ้าไหมลายสีแดงมาติดทำเป็นเชิง แต่ในปัจจุบันการแต่งกายไม่ได้มีลักษณะเฉพาะตามวัฒนธรรมดั้งเดิม (หน้า 25) |
|
Folklore |
คติชน ชางกูยมีตำนานเกี่ยวกับการบวชนาค อันเนื่องมาจากประวัติทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการบวชพระว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น ครั้งหนึ่งขณะที่พระองค์แสดงธรรมเทศนาแก่ภิกษุ พญานาคตนหนึ่งได้ขึ้นมายังโลกมนุษย์ และได้ฟังธรรมเทศนาครั้งนั้น จึงเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง จึงแปลงร่างมาเป็นชายหนุ่มและมาขออุปสมบทเป็นพระภิกษุกับพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ทรงทราบว่าเป็นพญานาคแปลงร่างมาจึงบวชให้ เพราะในบัญญัติของพระธรรม ห้ามมิให้สัตว์เดรัจฉานบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อพญานาคบวชเป็นพระภิกษุแล้ว วันหนึ่งขณะนั่งทำสมาธิร่างกายได้กลับกลายเป็นนาคดังเดิม จนพระภิกษุอื่นมาเห็นจึงแตกตื่น จากนั้นได้นำความไปบอกพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงให้พญานาคสึกจากการเป็นพระภิกษุ พญานาคมีความเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก จึงได้กล่าวขอพระพุทธเจ้าว่า ขอให้ตนมีส่วนร่วมในการบวชเป็นพระภิกษุด้วย โดยก่อนที่จะมีการบวชเป็นพระภิกษุ ขอให้ผู้ที่จะบวชเข้าพิธีบวชนาคโดยใส่ชุดขาวและทำพิธีสู่ขวัญนาคก่อนที่จะบวชและห่มผ้าเหลือง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอนุญาต นับแต่นั้นการบวชเป็นภิกษุ จึงมีการบวชเป็นนาคก่อน หรือเรียกว่าพิธี “บวชนาค” ในปัจจุบัน (หน้า 4) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ผู้ศึกษาได้มีการใช้แผนที่เป็นภาพประกอบในการแสดงข้อมูลทางกายภาพของพื้นที่ที่ศึกษา และใช้ภาพประกอบแสดงถึงสภาพความเป็นอยู่ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ดังนี้ - ภาพประกอบ 1 แผนที่จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 23) - ภาพประกอบ 2 แผนที่อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 26) - ภาพประกอบ 3 ทางเข้าสู่บ้านตากลาง (หน้า 28) - ภาพประกอบ 4 วังทะลุ (หน้า 28) - ภาพประกอบ 5 สภาพป่าบ้านตากลาง (หน้า 29) - ภาพประกอบ 6 สภาพถนนภายในหมู่บ้าน (หน้า 31) - ภาพประกอบ 7 สภาพความเป็นอยู่ภายในหมู่บ้าน (หน้า 31) - ภาพประกอบ 8 ช้างออกเดินเที่ยว (ช้างเดินหารายได้) (หน้า 32) - ภาพประกอบ 9 ช้างร่วมงานแสดงช้างประจำปี จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 33) - ภาพประกอบ 10 ช้างดาราชื่อ “ทองใบ” ช้างที่สร้างรายได้ให้แก่หมู่บ้าน (หน้า 34) - ภาพประกอบ 11 ถังประปาหมู่บ้าน (หน้า 35) - ภาพประกอบ 12 วัดแจ้งสว่าง (หน้า 37) - ภาพประกอบ 13 พระครูมงคลรัตนากร (สุข วิสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านตระมูง (หน้า 41) - ภาพประกอบ 14 มอ(พราหมณ์) พิธีบายศรีสู่ขวัญใหญ่ นายบุญมี สุขศรี (หน้า 42) - ภาพประกอบ 15 มอ(พราหมณ์) พิธีบายศรีสู่ขวัญเล็ก นายพลอย แสนดี (ขวา) (หน้า 42) - ภาพประกอบ 16 ครูบาใหญ่ นายหมิว ศาลางาม (ซ้าย) และนายบุญมา แสนดี (ขวา) (หน้า 43) - ภาพประกอบ 17 เครื่องใช้ในพิธีโกนผม (หน้า 45) - ภาพประกอบ 18 พานบายศรีสู่ขวัญและเครื่องเซ่น (หน้า 46) - ภาพประกอบ 19 จอมขรู (หน้า 48) - ภาพประกอบ 20 ถังข้าว (หน้า 48) - ภาพประกอบ 21 กระจอม (หน้า 49) - ภาพประกอบ 22 ลักษณะการแต่งกายของนาคกูย (หน้า 50) - ภาพประกอบ 23 เครื่องเซ่นขอขมาศาลปู่ตาวังทะลุ (หน้า 52) - ภาพประกอบ 24 ผู้ที่จะบวชนาครวมกันที่วัดแจ้งสว่าง (หน้า 56) - ภาพประกอบ 25 ผู้ที่จะบวชนาคทำพิธีขอขมาบิดามารดา (หน้า 58) - ภาพประกอบ 26 บิดาโกนผมนาค (หน้า 57) - ภาพประกอบ 27 นาครวมตัวกันที่ศาลากลางเปรียญวัดแจ้งสว่าง (หน้า 60) - ภาพประกอบ 28 มอ ผูกด้ายมงคล (หน้า 60) - ภาพประกอบ 29 มอ เสี่ยงทายกระดูกคางไก่ (หน้า 61) - ภาพประกอบ 30 พิธีบายศรีสู่ขวัญเล็ก นาคจำเริญ ศาลางาม (หน้า 62) - ภาพประกอบ 31 มอ ทำพิธีเรียกขวัญนาค (หน้า 63) - ภาพประกอบ 32 ควาญช้างแต่งตัวให้ช้างเพื่อเข้าร่วมพิธีแห่นาค (หน้า 64) - ภาพประกอบ 33 บิดาแต่งตัวให้นาค (หน้า 65) - ภาพประกอบ 34 พิธีเกิดงานพิธีบวชนาคช้างบ้านตากลาง (หน้า 66) - ภาพประกอบ 35 ผู้ศึกษากับขบวนบวชนาคช้างบ้านตากลาง (หน้า 67) - ภาพประกอบ 36 ขบวนบวชนาคช้าง (หน้า 67) - ภาพประกอบ 37 พิธีอาบน้ำให้ช้าง (หน้า 68) - ภาพประกอบ 38 พิธีเซ่นขอขมาศาลปู่ตาวังทะลุ (หน้า 69) - ภาพประกอบ 39 พิธีเข้ารับศีลจากพระกรรมวาจาจารย์ (หน้า 72) |
|
|