|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อูรักลาโว้ย,ชาวเล,ระบบการแพทย์ท้องถิ่น,ระบบการแพทย์สากล,ระบบการแพทย์พหุลักษณ์, ภูมิปัญญาชาวบ้าน,อาชีพดำน้ำ,โรคเกิดจากความดันที่ลดลง,โรคน้ำบีบ |
Author |
สมบูรณ์ อัยรักษ์ |
Title |
ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการแก้ปัญหาสาธารณสุข : กรณีศึกษาอาชีพการดำน้ำของชาวเลภูเก็ต |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อูรักลาโว้ย อูรักลาโวยจ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
100 |
Year |
2538 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
ผู้เขียนได้ทำการศึกษาถึงภูมิปัญญาชาวบ้านกับการแก้ปัญหาสาธารณสุข กรณีศึกษาการดำน้ำของชาวเลภูเก็ต เป็นการศึกษาวิจัยทั้งในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ โดย เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลในทุกบริบทของการดำรงชีวิตของชาวเลภูเก็ต และได้ศึกษาเฉพาะเจาะลึกในส่วนของโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพดำน้ำคือ โรค Decompression Sickness (DCS) โดยปัจจัยที่มีผลกว่า โรคน้ำบีบ่เกิดจากการประกอบอาชีพดำน้ำเลภูเก็ตในทุกบริบทของชีวิต หรือที่ชาวเลเรียกว่า โรคน้ำบีบ ปัจจัยที่มีผลต่อ การเกิดโรค DCS โดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชาวเลที่เคยเกิดโรค กับกลุ่มชาวเลที่ไม่เคยเกิดโรค พบว่าปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อการเกิดโรค DCS อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ได้แก่ ระยะเวลาในการประกอบอาชีพ จำนวนพี่เลี้ยงที่คอยช่วยเหลือผู้ดำน้ำ ความลึกในการดำน้ำ มีเหตุการณ์ผิดปกติที่ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ ด้วยความรวดเร็ว ระยะเวลาในการดำน้ำแต่ละครั้ง และระยะห่างระหว่างท่อไอเสีย เครื่องอัดอากาศ และท่อดูดอากาศ ชาวเลมีการใช้ภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหา ชาวเลตั้งแต่การใช้พิธีกรรมต่างๆ จนถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นผู้ที่ประสบเหตุจากโรคน้ำบีบ ชาวเลจะใช้วิธีการที่เรียกว่า “การปรับตัว” โดยเป็นการปรับความดันภายในร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติ และใช้วิธีการบีบนวดจนกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกตัว สำหรับการรักษาต่อเนื่อง จะใช้วิธีการให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ด้วยการประคบ บีบนวด การใช้เหล้าขาว น้ำอุ่น และน้ำขิง คอยถูนวดให้แก่ผู้ป่วย โดยเชื่อว่าเลือดลม จะไหลเวียนดีขึ้น แต่ถ้าอาการหนักมากก็จะส่งไปรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันต่อไป |
|
Focus |
ภูมิปัญญาในการรักษาโรคที่เกิดจากอาชีพดำน้ำ รวมถึงปัจจัยและพฤติกรรมต่างๆ ที่มี ผลทำให้เกิดโรค Decompression Sickness ของชาวเลภูเก็ต (หน้า 54-89) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้กรอบแนวคิดในการศึกษาภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวเลภูเก็ต ภูมิปัญญาชาวบ้านจะมีผลต่อการกำหนดพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกอบอาชีพดำน้ำของชาวเล ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงและภูมิปัญญานี้จะมีผลต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และในเรื่องของระบบการรักษาพยาบาลอันจะมีผลต่อภาวะการเจ็บป่วย ความพิการ และการเสียชีวิตของประชาชน (หน้า 5) ผู้เขียนยังใช้แนวคิดทางสถิติ มาวิเคราะห์ปัจจัยและพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ อันจะทำให้เกิดโรคจากการประกอบอาชีพดำน้ำ โดยเป็นการคำนวณหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า Odds Ratio และค่าไคว์สแคว (Chi-square) หรือ Fisher Exact แล้วแต่กรณี เพื่อวิเคราะห์หาความแตกต่างที่มีค่าของความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในระดับความเชื่อมั่น 95% ของพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ (หน้า 28) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ซึ่งในการศึกษานี้ผู้ศึกษาได้เลือกกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลใน 2 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มอูรัก ลาโว้ย และกลุ่มสิงห์ (มอแกนและมอแกลน) (หน้า 33) ซึ่งกลุ่มที่เป็นกรณีศึกษาของชาวเลคือ กลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มหนุ่มสาว และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพดำน้ำ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
สามารถแบ่งภาษาที่ใช้ในการติดต่อกันในชีวิตประจำวันออกได้เป็น 2 ลักษณะด้วยกันคือ ลักษณะแรกเป็นการติดต่อภายในกลุ่ม การติดต่อกันภายในกลุ่มของชาวเลทั้งสองกลุ่มที่เป็นกรณีศึกษามีความแตกต่างกันในภาษาพูดอย่างสิ้นเชิงกล่าวคือ กลุ่มอูรัก ลาโว้ย มีภาษาพูดคล้ายกับภาษามลายูและอินโดนีเซีย ส่วนกลุ่มสิงห์จะมีภาษาที่แตกต่างออกไปจนไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ (หน้า 38-39) ลักษณะที่สองเป็นการติดต่อกับภายนอก จะใช้ภาษาไทยในการติดต่อโดยเป็นภาษาไทยสำเนียงภูเก็ต (หน้า 27) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม พ.ศ. 2537 (หน้า 29-30) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล และหมู่เกาะต่างๆ ทางฝั่งตะวันตกของประเทศไทยตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศพม่า จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ไปจนถึงประเทศมาเลเซีย (หน้า 8) ความเป็นมาของชาวเลตามประวัติศาสตร์ได้มีการกล่าวถึงที่มาของชนกลุ่มนี้กันอย่างกว้างขวาง เช่น การอพยพมาจากลุ่มน้ำแยงซีเกียงมาทางตอนใต้มาจนถึงแหลมอินโดจีนแล้วกระจายตัวอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ บ้างกล่าวว่า เดิมเป็นชนเผ่าอินโดนีเซียนกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาสู่เกาะบอร์เนียว เริ่มใช้ชีวิตแบบชาวเกาะ จนเกิดเป็นเผ่าดยัคขึ้นมา (หน้า 9) กลุ่มชาวเลที่เป็นกรณีศึกษาซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านราไวย์และบ้านแหลมตุ๊กแก มีประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงการอพยพโยกย้ายของกลุ่มตนเองกล่าวคือ กลุ่มชาวเลที่บ้านราไวย์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มอูรัก ลาโว้ย เชื่อว่าบรรพบุรุษของตนอพยพมาจากหมู่เกาะในน่านน้ำประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย และเข้ามาอยู่ในบริเวณหาดราไวย์ประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มสิงห์ เป็นพวกที่เล่ากันว่าบรรพบุรุษดั้งเดิมอาศัยอยู่ในประเทศพม่า บริเวณเกาะสองและเกาะพรัต และได้อพยพมาอยู่ที่หาดราไวย์ประมาณ 40 ปีมาแล้ว โดยอพยพผ่านมาจากการศึกษาปากจก บ้านบางสัก ในเขตจังหวัดพังงา (หน้า 32) ส่วนชาวเลอีกพื้นที่หนึ่งที่เป็นกรณีศึกษาคือ บ้านแหลมตุ๊กแก ซึ่งกลุ่มนี้เชื่อว่าบรรพบุรุษอพยพมาจากประเทศมาเลเซีย เช่นเดียวกับชาวเลชุมชนราไวย์ และอพยพเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายมาแล้ว (หน้า 33) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวเลในกรณีศึกษาทั้งที่ชุมชนราไวย์และชุมชนแหลมตุ๊กแกนั้น กลุ่มชาวเลไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของตนเองเนื่องจากกลุ่มชนเหล่านี้เป็นกลุ่มชนอพยพ ไม่มีการตั้งหลักแหล่งที่ถาวรจึงทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (หน้า 2, 34) |
|
Demography |
จำนวนประชากรของชาวเลในชุมชนราไวย์และชุมชนแหลมตุ๊กแก อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต มีจำนวนทั้งสิ้น 1,177 คน โดยมีเพศชายร้อยละ 52.17 และเพศหญิงร้อยละ 47.83 ซึ่งในชุมชนราไวย์มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 620 คน แบ่งเป็นเพศชาย 323 คน เพศหญิง 297 คน ส่วนชุมชนแหลมตุ๊กแกมีประชากรรวมทั้งสิ้น 557 คน แบ่งเป็นเพศชาย 291 คน และเพศหญิง 266 คน (หน้า 40) |
|
Economy |
ชาวเลส่วนใหญ่มีฐานะที่ค่อนข้างยากจนอาจด้วยรูปแบบของการดำรงวิถีชีวิตสมัยก่อนที่มีการเร่ร่อนในท้องทะเลเกือบตลอดทั้งปีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บหอมรอมริบทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาแต่อย่างใด และอีกเหตุผลหนึ่งคือ การไม่กล้าไปฝากเงินที่ธนาคาร ด้วยความอายและกลัว เนื่องจากอ่านหนังสือไม่ได้ (หน้า 2, 62) แต่ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป มีการตั้งถิ่นฐานที่ถาวรมากขึ้น แต่ค่านิยมความเชื่อเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในชุมชนชาวเลทำให้ชาวเลมีฐานะยากจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนไทยอื่นๆ การประกอบอาชีพของชาวเลทุกครัวเรือนจะอาศัยการหาทรัพยากรสัตว์น้ำในการเลี้ยงชีพ เช่น การวางลอบ ดักไซ วางเบ็ด หรือดำน้ำลงไปหาสัตว์น้ำ (หน้า 2) ทำให้จำนวนรายได้ไม่มากพอ เพียงแต่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวของตนได้ รายได้ของชาวเลในชุมชนที่เป็นกรณีศึกษาประมาณครึ่งหนึ่งมีรายได้ระหว่างเดือนละ 1,000-2,000 บาท มีบางส่วนที่มีรายได้ตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป แต่โดยภาพรวมแล้วส่วนใหญ่จะมีรายได้เฉลี่ยแต่ละครอบครัวประมาณเดือนละ 2,308 บาทต่อเดือน ด้านหนี้สิน โดยส่วนใหญ่ชาวเลจะเป็นหนี้สินซึ่งเกิดจากการกู้ยืมไปประกอบอาชีพ เช่น ซื้อเครื่องมือในการประกอบอาชีพ เป็นทุนในการออกทะเล เป็นต้น (หน้า 46) หนี้สินที่ชาวเลกู้ยืมกับนายทุนคนไทยทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ในด้านการแลกเปลี่ยนเชิงเศรษฐกิจ เมื่อชาวเลหาสัตว์น้ำมาได้ต้องนำมาส่งให้กับนายทุนที่ให้เงินทุนในการออกทะเลเพียงรายเดียวเท่านั้น เมื่อปลดหนี้ด้วยสัตว์ทะเลที่หามาได้จนหมด ส่วนที่เหลือก็ต้องขายให้กับนายทุนรายนั้นเพียงรายเดียวเช่นกัน ทำให้นายทุนกดขี่ราคา แต่ชาวเลก็ต้องยอมจำนนเนื่องจากการหวังพึ่งพิงในด้านต่างๆ ของการดำรงชีวิตในอนาคตเช่นกัน |
|
Social Organization |
ลักษณะของสังคมชาวเลโดยทั่วไปเป็นสังคมที่รักสงบ และสนุกสนาน ชาวเลกลุ่มต่างๆ มีการติดต่อสัมพันธ์กันและมีการแต่งงานระหว่างกลุ่มด้วย ชาวเลมีลักษณะเด่นที่เหมือนกันประการหนึ่งก็คือ “ไม่มีการรังเกียจและกีดกันซึ่งกันและกัน” ในช่วงเวลาที่มีพิธีกรรมหรือการเล่นสนุกสนานก็จะมาร่วมทำพิธีด้วยกัน โดยทั่วไปชาวเลไม่ค่อยมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความสามัคคีกัน และมีความเคารพนับถือผู้อาวุโสอย่างเคร่งครัด (หน้า 33, 36) ที่อยู่อาศัยของชาวเล มักจะอาศัยอยู่บ้านขนาดเล็ก ยกพื้นสูง และบางคนอาศัยอยู่บนเรือที่ถูกยกขึ้นมาไว้บนบกตามความเคยชินดั้งเดิม ลักษณะครอบครัวจะเป็น “ครอบครัวเดี่ยว” โดยลูกที่แต่งงานแล้วจะแยกออกไปสร้างครอบครัวของตนเอง ยกเว้นในกรณีที่ไม่มีใครอยู่ดูแลพ่อแม่ จึงจะอาศัยอยู่รวมกับพ่อแม่ การแยกครอบครัว จะสร้างบ้านเรือนใกล้ๆ กับบ้านของพ่อแม่ (หน้า 34) การแบ่งหน้าที่การทำงานภายในครอบครัว โดยที่ผู้ชายจะออกไปทำงานนอกบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ทำประมง ส่วนผู้หญิงจะทำหน้าที่แม่บ้าน ดูแลบ้าน และเลี้ยงลูก ผู้หญิงจะมีบทบาทที่สำคัญในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ภายในครอบครัว เช่น (หน้า 34, 54) |
|
Political Organization |
ในชุมชนชาวเลจะมีผู้นำใน 2 ลักษณะด้วยกันคือ ผู้นำที่เกิดจากการแต่งตั้งของทางภาครัฐ กับผู้นำตามธรรมชาติ ผู้นำที่เกิดจากการแต่งตั้งของทางภาครัฐ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน และสมาชิกอาสาสมัครต่างๆ เป็นต้น ผู้นำทางความเชื่อ ได้แก่ “โต๊ะ หรือโต๊ะหมอ” เป็นหมอน้ำมนต์ประจำชุมชน ซึ่งมีหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ มีบทบาทในด้านการรักษาพยาบาลด้วยการปัดเป่าด้วยคาถาและใช้น้ำมนต์เพื่อไล่ผี ซึ่งส่งผลในทางด้านจิตวิทยาของชาวเลเป็นอย่างมาก จึงทำให้ “โต๊ะหมอ” มีบทบาทมากและเด่นกว่ากลุ่มอื่นๆ ในชุมชน (หน้า 34) กลุ่มที่มีอิทธิพลอีกกลุ่มหนึ่งในชุมชนคือ กลุ่มนายทุน เจ้าของที่ดิน และพ่อค้า ในบริเวณชุมชนที่ชาวเลอาศัยอยู่ เนื่องจากชาวเลส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดินที่ตนอาศัยอยู่ ชาวเลจะอาศัยทุนในการประกอบอาชีพ การทำมาค้าขายของที่หาได้ และซื้อสินค้าทั้งหมดจากพ่อค้า นายทุน และเจ้าของที่ดิน ดังนั้น ในหลายๆ กรณีชาวเลจึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขของเจ้าของที่ดิน (หน้า 34-35) |
|
Belief System |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงระบบความเชื่อของชุมชนชาวเล ซึ่งโดยส่วนใหญ่ชุมชนชาวเลจังหวัดภูเก็ตนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังคงมีความเชื่อเรื่องผีสาง ชาวเลเชื่อว่าการเจ็บป่วย หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ “เกิดจากการกระทำของผีและวิญญาณ” ผีของชาวเลมี 2 ประเภทคือ ผีบรรพบุรุษ หรือ “ดะโต๊ะ” และผีจากธรรมชาติ หรือ “ผีชิน” ทุกชุมชนของชาวเลจะมี “ศาลประจำชุมชน” เป็นที่ประทับของเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเลเคารพนับถือ (หน้า 33) ระบบความเชื่อของชุมชนชาวเลจะปรากฏออกมาในลักษณะของพิธีกรรมต่างๆ เช่น ประเพณีการทำศพ ก่อนใส่โลงจะมีการอาบน้ำศพ ซึ่งคนที่อาบน้ำศพต้องเป็นเพศเดียวกันกับผู้ตาย โดยเชื่อว่าหากเป็นคนละเพศแล้ววิญญาณผู้ตายจะไม่ไปเกิด ประเพณีลอยเรือ เพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งปวงให้พ้นไปจากชุมชน เป็นการเสี่ยงทายว่าการทำมาหากินในปีนั้นจะดีหรือไม่อย่างไร ถ้าลอยเรือแล้ว เรือลอยหายไป หมายความว่าในปีนั้นการจับปลา การทำมาหากินจะสะดวก แต่ถ้าลอยเรือแล้ว เรือไปไม่ไกล หรือคลื่นซัดกลับมาสู่ฝั่ง การทำมาหากินจะฝืดเคือง และลำบาก ประเพณีอาบน้ำมนต์ เป็นประเพณีอาบน้ำล้างมลทิน และสิ่งอัปมงคลทั้งปวงออก จากร่างกาย ผู้ทำพิธีคือ โต๊ะหมอ มีการสวดบริกรรมคาถา การเล่นดนตรีพื้นเมือง และการร่ายรำของผู้หญิง เพื่อบูชาเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประเพณีกินข้าวล่าง เป็นพิธีกรรมที่ความเชื่อว่าสามารถป้องกันโรคและสิ่งอัปมงคลได้ พิธีกรรมนี้จะกระทำก็ต่อเมื่อมีเหตุร้าย หรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาในชุมชน เช่น ดาโต๊ะ หรือหมอแผนโบราณประจำชุมชน ฝันว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงภายในชุมชน ซึ่งโดยทั่วไปมักจะฝันสอดคล้องกับการมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นมาก หรือล้มตายมากในชุมชน โดยเชื่อว่าการเกิดเหตุร้ายเกิดจากมีใครไปทำผิดผี จึงต้องทำพิธีขอโทษต่อผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อทำพิธีเสร็จจะมีการนำข้าวที่แต่ละบ้านเตรียมมาในพิธี มานั่งกินข้างล่างของตัวบ้านในพิธี และห้ามไม่ให้มีการเรียกให้ใครมาร่วมกินด้วย มิฉะนั้นอาจจะทำให้ผีร้ายหรือสิ่งชั่วร้ายเข้าบ้านได้ (หน้า 36-38) ความเชื่อในการประกอบอาชีพดำน้ำของชาวเล ก่อนที่จะลง ดำน้ำชาวเลจะมีการยกมือขึ้นไหว้ทะเลก่อนที่จะมีการลงทะเลเสมอ เพื่อเป็นการขอโทษ และขอให้ผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขานับถือในทะเลให้คุ้มครองให้ปลอดภัย (หน้า 56, 59) ทางด้านอุบัติเหตุที่เกิดจากการดำน้ำ หรือที่เรียกว่า “โรคน้ำบีบ” นั้น ชาวเลบางรายยังมีความเชื่อว่า เกิดขึ้นมาจากการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระทำเอา (หน้า 57) ความเชื่อเหล่านี้ยังสื่อให้เห็นถึงนัยสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันในการดำรงวิถีชีวิต |
|
Education and Socialization |
ระดับการศึกษาของกลุ่มชาวเลที่เป็นกรณีศึกษา ปรากฏว่า โดยส่วนใหญ่ชาวเลจะได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีเพียงส่วนน้อยที่ศึกษาต่อในระดับที่สูงกว่า และมีชาวเลอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เข้ารับการศึกษา (หน้า 35) ชาวเลมีการเคารพนับถือผู้อาวุโสในชุมชนทำให้มีการสืบทอดประเพณีปฏิบัติต่างๆ จากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง เช่น การประกอบอาชีพดำน้ำ สำหรับชาวเลรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้จากชาวเลผู้ที่มีประสบการณ์ในการดำน้ำว่าควรมีการปฏิบัติตัวอย่างไรในการดำน้ำทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง รวมทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อประสบอุบัติเหตุจากการดำน้ำ เป็นต้น (หน้า 59-60) |
|
Health and Medicine |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงระบบการสุขาภิบาล และการสาธารณสุขของกลุ่มชาวเลในพื้นที่ศึกษาซึ่งมีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก เช่น การไม่มีส้วมใช้ที่ถูกสุขลักษณะ น้ำดื่มน้ำ ใช้ซึ่งนำมาจากบ่อที่ขุดขึ้นทั้งในส่วนที่เป็นสาธารณะ และส่วนตัว มีบางส่วนที่ซื้อจากรถขายน้ำ การปรับปรุงคุณภาพของน้ำจะใช้วิธีการต้มเป็นหลัก (หน้า 43-46) ด้านการสาธารณสุข โรคที่พบบ่อยคือ โรคทางเดินหายใจ และไข้หวัด และรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก ซึ่งผู้ที่มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจในการรับการรักษาพยาบาลคือ แม่บ้าน (หน้า 48-53) และผู้เขียนยังได้กล่าวถึงการประสบอุบัติเหตุจากการดำน้ำซึ่งเป็นงานศึกษาหลัก ของงานชิ้นนี้ โดยโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพดำน้ำคือ Decompression Sickness หรือที่ชาวเลเรียกว่า “โรคน้ำบีบ” ชาวเลมีการเตรียมสภาพร่างกาย เช่น การงดดื่มเหล้า และ สูบบุหรี่ การกำหนดระยะเวลาในการดำน้ำ ความลึกของการดำน้ำ ในการดำน้ำ การปฐมพยาบาล ชาวเลเรียกว่า “การปรับตัว” โดยให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากเหมือนกับจะลงดำน้ำ แล้วประคองคนที่เป็นโรคลงไปในน้ำในระดับความลึกประมาณ 4-5 วา หรือประมาณ 8-10 เมตร คนหนึ่งจะจับหน้ากากให้แนบสนิทกับใบหน้า อีกคนจะช่วยพยุงผู้ป่วยไว้ หลังจากนั้นจะช่วยบีบนวดผู้ป่วย จนผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว ฟื้นสติ หรือกระดิกตัวได้ ซึ่งอาจใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น วิธีนี้เป็นการปรับระดับความดันในร่างกายให้กลับสู่สภาพเดิมให้มากที่สุดซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ชาวญี่ปุ่นนำมาสอนให้กับกลุ่มชาวเล สำหรับการรักษาพยาบาลในระยะต่อเนื่อง ชาวเลผู้ที่ประสบเหตุจะได้รับการดูแลรักษาจากแม่บ้านที่ใช้ภูมิปัญญาของชาวเลในการให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ถ้ามีอาการไม่มากนัก คือ การใช้น้ำอุ่นๆ ผสมเหล้าขาว หรือน้ำขิง เช็ดตามตัวหรือใส่ขวดประคบตามร่างกายจนกว่าอาการจะดีขึ้น ถ้ามีอาการมากจะส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาในระบบของแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น การฉีดยา เป็นต้น (หน้า 54-65) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงศิลปะการละเล่นของกลุ่มชาวเล เช่น โนรากาบง และร็องเง็ง ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงมิติของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการแสดงดังกล่าวทั้งในเรื่องของภาษาที่ใช้ในการแสดง และลักษณะของการแสดงที่แสดงถึงการรับเอามิติทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มใหญ่เข้ามาผสมผสานกับการละเล่นของตนจนมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไป (หน้า 39) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเป็นชาติพันธุ์ของชาวเลนั้นยังคงได้รับการตอกย้ำอยู่ในการติดต่อสัมพันธ์กับชน กลุ่มอื่นอย่างต่อเนื่องทั้งในมิติของการเรียกชื่อ หรือการเปรียบเทียบในสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ให้เหมือนดั่งชาวเล เป็นต้น ในการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลนั้นมีหลายชื่อทั้ง “ชาวน้ำ” “ชาวไทยใหม่” และ “ชาวสิงห์” ซึ่งคำว่าเรียกชื่อว่า “ชาวน้ำ” เป็นคำเรียกที่ชนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นคำที่เรียกพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เป็นคำที่ชาวเลรังเกียจมาก ส่วนคำว่า “ชาวไทยใหม่” เป็นคำที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชได้ทรงพระกรุณาโปรดให้เรียกชาวเลเสียใหม่ว่า “ไทยใหม่” ซึ่งทำให้ชาวเลดีใจเป็นอย่างยิ่ง และก็พอใจที่จะให้บุคคลทั่วไปเรียกพวกเขาว่า “ไทยใหม่” ตามนามพระราชทานด้วย (หน้า 2) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เนื่องจากสังคมของชาวเลได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับกลุ่มคนไทยอย่างต่อเนื่องทำให้มีการแลกรับสังคมและวัฒนธรรมกันในหลายๆ ด้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้เข้ามาผสมผสานอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น การเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ที่มีการตั้งชื่อเรียกใหม่ตามนามพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ว่า “ไทยใหม่” ทำให้มิติความสัมพันธ์กับกลุ่มคนไทยมีการแปรเปลี่ยนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ที่เริ่มใช้ภาษาไทยสำเนียงภูเก็ตเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร การรับบริการทางการแพทย์แผนปัจจุบันมากกว่าการพึ่งยาแผนโบราณ หรือการใช้ไสยศาสตร์และระบบความเชื่อในเรื่องต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับโรคน้ำบีบ เมื่อก่อนเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของผี แต่ในปัจจุบันเริ่มเข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากสภาวะการปรับตัวของร่างกายเอง ไม่ได้เกิดจากการกระทำของอำนาจนอกเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด (หน้า 27, 51, 53, 58-59) การเปลี่ยนแปลงของชุมชนที่เกิดขึ้นทำให้อัตลักษณ์ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลมีการแปรสภาพไปสู่การเป็นคนไทยมากขึ้น มีการต่อรองกับกลุ่มภายนอกและอำนาจที่จะเข้ามาครอบงำชุมชนได้มากขึ้น |
|
Other Issues |
ข้อเสนอแนะ ชุมชนชาวเลเป็นชุมชนที่มีระบบทางสังคมวัฒนธรรมที่เรียบง่าย ระบบความเชื่อทางสังคมยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าชุมชนจะได้รับการปะทะสังสรรค์กับสังคมภายนอกมากขึ้นทุกวันก็ตาม การประกอบอาชีพของชาวเลยังคงทำการประมงเป็นหลัก แต่ด้วยทรัพยากรทางทะเลที่นับวันยิ่งลดน้อยถอยลงไปทุกขณะจึงอาจส่งผลต่ออาชีพของชาวเลอย่างเลี่ยงไม่ได้ และปัญหาทางด้านการสาธารณสุขที่ต้องได้รับการพัฒนาทั้งการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานทั่วไป และการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคที่เกิดจากการดำน้ำ โดยการให้ความรู้ ในเรื่องการดำน้ำอย่างถูกต้องตามหลักสากล รวมทั้งการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และการตรวจเช็คอุปกรณ์ในการดำน้ำให้ได้มาตรฐานเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาโรค DCS (หน้า 97-100) |
|
Map/Illustration |
ข้อมูลการอพยพและตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาวเล จำนวนประชากร ระดับการศึกษา รายได้-รายจ่าย ข้อมูลทางด้านสาธารณสุข เช่น โรคต่างๆ ในชุมชน การเข้ารับการรักษาพยาบาลของประชากรในชุมชน และตารางการวิเคราะห์ผลการศึกษาในเชิงปริมาณทั้งในด้านพฤติกรรมการประกอบอาชีพดำน้ำ พฤติกรรมต่างๆ ที่มีผลต่อการเกิดโรค DCS อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีผลต่อการเกิดโรค DCS เป็นต้น (หน้า 5, 10-11, 30, 35, 40-47, 49-52, 67, 69, 70, 73, 77, 81, 83, 86, 89) |
|
|