|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทแดง,ผ้าทอ,การเปลี่ยนแปลง,กระแสบริโภคนิยม,ซำเหนือ,ลาว |
Author |
พรทิพย์ ฆ้องทองชัย |
Title |
ผ้าทอพื้นเมืองกลุ่มไทยซำเหนือในกระแสบริโภคนิยม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
123 |
Year |
2548 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภูมิภาคศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผู้เขียนพบว่าผ้าทอซำเหนือมีการเปลี่ยนแปลง 2 ด้าน คือ 1) ด้านสีสัน โดยมีการใช้สีเคมีที่นำเข้ามาจากประเทศไทยและเวียงจันทน์ ส่วนผ้าทอที่ย้อมสีจากธรรมชาติจะมีราคาที่แพงกว่าและมีการทำเป็นบางกลุ่มเท่านั้น 2) ด้านฝีมือ การทอผ้าในปัจจุบันนั้นไม่ค่อยมีความแน่นของการเรียงเส้นใยเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากมีความต้องการที่จะให้ได้ผ้าในปริมาณมากๆ เพื่อนำมาขายให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ในส่วนของการปรับตัวของช่างทอนั้นมีการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในส่วนของผู้ที่เป็นพ่อค้าคนกลางและลูกค้าที่มาซื้อสินค้าโดยตรง โดยนำมาปรับประยุกต์เป็น 1) การทอผ้าในรูปแบบผลิตภัณฑ์เดิม ได้แด่ ผ้าซิ่น ผ้าเบี่ยง เป็นต้น และ 2) การทอผ้าในรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ผ้าพันคอ ปลอกหมอน เป็นต้น |
|
Focus |
การเปลี่ยนแปลงของกระบวนการทอผ้าเมื่อสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่ของลวดลาย สีสัน ความหมาย ความประณีตในการ ทอ ตลอดจนการปรับตัวและการเรียนรู้ของช่างทอ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนได้อธิบายถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของเมืองซำเหนือ ประกอบไปด้วยชนกลุ่มไทแดง ไทดำ และไทขาว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลุ่มลาวลุ่ม ซึ่งมีความเชื่อและพิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเป็นการทำความเข้าใจในภาพกว้างของประชากรในเมืองซำเหนือมากยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากกลุ่มไทแดงมีจำนวนประชากรที่อาศัยมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทำให้ผ้าทอในเมืองซำเหนือโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผ้าทอของกลุ่มชาติพันธุ์ไทแดง (น.24) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทในเมืองซำเหนือนั้นเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาในตระกูลไท-กะได (น.24) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เมืองซำเหนือเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเป็นเมืองหลวงของแขวงหัวพัน ในอดีตพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นพื้นที่อาศัยของขบวนการปฏิวัติลาวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการเข้ามารุกรานของต่างชาติ ในอดีตนั้นประเทศที่ได้ทำการยึดครองลาวก็คือ ประเทศฝรั่งเศส แต่มิได้ให้การพัฒนาใดๆ ต่อประเทศ หากแต่ใช้ประเทศลาวเป็นเพียงรัฐกันชนระหว่างดินแดนอันนัมและตังเกี๋ยในเวียดนามเท่านั้น ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสได้ให้รัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามายึดครองดินแดนดังกล่าว โดยการเข้ามาปกครองของญี่ปุ่นในครั้งนี้ทำให้ลาวสามารถปกครองตนเองได้ดียิ่งกว่าการปกครองของฝรั่งเศส ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ลาวได้ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสและได้มีการจัดตั้ง ขบวนการลาวอิสระ ขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าตนจะได้รับเอกราชหลังจากที่ญี่ปุ่นออกไปอย่างแน่นอน โดยเจ้าเพ็ชราช ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (น.45) หลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสได้กลับมาอีกครั้งเพื่อให้ลาวกลับไปสู่การเป็นรัฐอารักขาของตนเองเหมือนเดิม ในปี พ.ศ. 2489 ขบวนลาวอิสระได้แตกออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1) กลุ่มเจ้าเพ็ชราช ไม่ยอมเจรจา ต้องการเอกราช 2) กลุ่มเจ้าสุวรรณภูมา ต้องการเจรจา 3) กลุ่มเจ้าสุภานุวงศ์ ต้องการปฏิวัติร่วมกับเวียดมินห์ และฝรั่งเศสประกาศให้ลาวได้เอกราชแต่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของฝรั่งเศส จนกระทั่งพ.ศ.2496 จึงได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ (น.45) ในช่วงปี พ.ศ.2496-2497 ฝ่ายกลุ่มต่อต้านลาวยังเคลื่อนไหวอยู่ตามชนบท รัฐบาลอเมริกันกลัวว่าลาวจะเป็นคอมมิวนิสต์ จึงได้ให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ แต่ขบวนการประเทศลาวก็เข้ายึดพื้นที่แขวงหัวพันและแขวงพงสาลี ตลอดจนบุกยึดพื้นที่เมืองซำเหนือในปี 2498-2499 หลังจากนั้นเป็นต้นมา แม้ว่าลาวจะได้มีการแต่งตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการปกครองประเทศ เนื่องจากผู้ปกครองประเทศลาวเองได้มีการแบ่งขั้วอำนาจออกเป็นฝ่ายต่างๆ จึงมีการแย่งชิงอำนาจ สู้รบตลอดมา จนกระทั่งถึงสงครามอินโดจีน สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดบริเวณเวียดนามเหนือและเส้นทางโฮจิมินห์ รวมถึงลาวตะวันออกและลาวตะวันออกเฉียงเหนือด้วย ทำให้ขบวนการประเทศลาวต้องหลบหนีไปอยู่ในถ้ำที่ซำเหนือ ถึงแม้ว่าคนซำเหนือต้องเผชิญกับสงครามและการทิ้งระเบิดตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี แต่การทอผ้าก็ยังคงเป็นวิถีชีวิตที่ผู้หญิงซำเหนือจะละทิ้งมิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาสงครามที่เสื้อผ้าหายากและเป็นสิ่งจำเป็นด้วยแล้ว ผู้หญิงซำเหนือจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยผลิตสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตให้กับคนในครอบครัว (น.45-47) |
|
Settlement Pattern |
กลุ่มไทแดง มีลักษณะการตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาโดยมีลำน้ำซำไหลผ่าน ลักษณะของเรือนนั้นเป็นเรือนไม้เสาสูง ในปัจจุบันหลังคาได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นหลังคาสังกะสีและหลังคากระเบื้อง เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ความแข็งแรงและคงทนมากกว่า ใต้ถุนเป็นพื้นที่โล่ง เพื่อไว้สำหรับใช้สอยในการทอผ้า ตำข้าว หรือวางฟืน บันไดทางขึ้นจะอยู่ด้านหน้า เมื่อขึ้นบนเรือนจะพบห้องโล่งกลางเรือน ทางฝั่งขวามือของห้องกลางเรือนถูกกั้นเป็นห้องนอนทางเข้าห้องจะกั้นด้วย ผากั้ง (ผ้าที่มีลักษณะลวดลายสวยงาม) ห้องครัวจะอยู่บริเวณท้ายสุดของตัวเรือน (น.25) กลุ่มไทดำ ได้อพยพเข้าสู่หลวงน้ำทา บ้านปุ่ง ในปี พ.ศ. 2438 โดยมาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกที่บ้านปุ่งบ้านทุ่งดี บ้านทุ่งอ้ม บ้านน้ำแง้น และบ้านทุ่งใจใต้ เมื่อเกิดความไม่สงบในสิบสองจุไท ชาวไทดำจึงต้องอพยพจากบ้านสะกบและเมืองวาเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปุ่ง บ้านนาเกลือ และบ้านใหม่ จากนั้นก็กระจายไปตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณเขตราบหลวงน้ำทาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (น. 31) กลุ่มไทขาว ถิ่นกำเนิดของคนไทขาวนั้นไม่มีแหล่งกำเนิดที่แน่ชัด แต่ในปัจจุบันกลุ่มไทขาวตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณตอนเหนือของเวียดนาม กลุ่มชาติพันธุ์ไทขาวสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเมืองเหนือ ซึ่งอพยพมาจากประเทศจีนโดยผ่านเวียดนาม และ กลุ่มเมืองใต้ ซึ่งจะอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำแดงและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดำ โดยนิยมตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ราบลุ่มเชิงเขาและริมน้ำ ชุมชนมีขนาดใหญ่ประมาณ 50 ครัวเรือน (น. 32) ลักษณะของบ้านเรือนนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับชาวไทดำ คือ บ้านจะทำจากวัสดุที่เป็นไม้ไผ่ หลังคามุงจาก ใต้ถุนสูง โดยบริเวณใต้ถุนนั้นจะเลี้ยงสัตว์ แต่เดิมนั้นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยแดง ไทดำ และไทขาว มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในบริเวณเดียวกัน คือ สิบสองจุไท ในปัจจุบันคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนาม (น. 25) |
|
Demography |
แขวงหัวพันซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซำเหนือนั้นมีเนื้อที่ทั้งหมด 16,500 ตารางกิโลเมตร มีอัตราความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่เท่ากับ 18.4 ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร มีประชากรหญิง 152.7 หรือ 152,700 คนโดยประมาณ ประชากรชาย151.0 หรือ 151,000 คนโดยประมาณ (น.93) ส่วนกลุ่มลาวลุ่มนั้นมีจำนวนประชากรประมาณ 65% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ โดยหมู่บ้านมีขนาดตั้งแต่ 20-200 ครอบครัว |
|
Economy |
ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในอดีตนั้นระบบเศรษฐกิจจะเป็นแบบพึ่งตนเอง แต่เมื่อเริ่มมีการเปิดประเทศ โดยการรับเอาความเจริญจากโลกภายนอกมาปรับปรุงพัฒนาประเทศของตน ทำให้ในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจของประเทศลาวนั้นต้องประสบปัญหาด้านการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลได้ออกมาตรการกีดกันสินค้าฟุ่มเฟือย (น.40) นอกจากการที่ผู้เขียนได้อธิบายถึงระบบเศรษฐกิจในภาพกว้างคือ ระบบเศรษฐกิจระดับประเทศแล้ว จากนั้นก็ได้อธิบายถึงระบบเศรษฐกิจของเมืองซำเหนือโดยกล่าวว่า เมืองซำเหนือเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่สลับซับซ้อน ทำให้เมืองซำเหนือหลุดพ้นจากความวุ่นวายของโลกภายนอก (น.47) รวมทั้งประเทศลาวเองก็ยังคงเป็นประเทศใหม่ในการเปิดประเทศ และเมืองซำเหนือ ก็มิใช่เมืองที่สำคัญของประเทศ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้เมืองซำเหนือเป็นเมืองซึ่งยากต่อการพัฒนาความเจริญด้านต่างๆ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาล้อมรอบมีลักษณะธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำนา หาของป่า (น.47) และค้าขายซึ่งเป็นสินค้าที่นำมาจากประเทศไทย, เวียดนาม และจีน เช่น ขนม กาแฟ และนาฬิกาข้อมือ เป็นต้น ตลอดจนสินค้าของป่า สัตว์ป่า นอกจากนั้นยังมีอาชีพทอผ้า (น.48) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นได้รับความยอมรับในเรื่องของสีสันและฝีมือของช่างทอทั้งในประเทศลาวและต่างประเทศ อันถือเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริมที่ทำรายได้ให้แก่ชาวซำเหนือได้เป็นอย่างดี (น.53) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมของเมืองซำเหนือนั้นพบว่าผู้หญิงซำเหนือจะมีบทบาทในการทำงานหรือมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าผู้ชาย โดยหน้าที่รับผิดชอบของผู้หญิงซำเหนือนั้นจะมีหน้าที่ทั้งในส่วนของการดูแลครอบครัวตลอดจนการทำหน้าที่ในการทำมาหากินเพื่อหารายได้ให้แก่ครอบครัว ซึ่งตรงข้ามกับผู้ชายที่ไม่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบเท่ากับผู้หญิง หากแต่ยังคงสามารถเดินทางไปทำงานต่างถิ่นใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระ (น. 56) ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในสังคมของเมืองซำเหนือ นอกจากนั้น เมืองซำเหนือยังเกิดกลุ่มกึ่งทางการ ซึ่งเป็นกลุ่มหัตถกรรมของแขวงหัวพันที่เป็นที่อยู่ของเมืองซำเหนือ เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (จำนวนสมาชิก 10-99 คน) เพียง 6 กลุ่มเท่านั้น และมีการรวมกลุ่มขนาดเล็ก (จำนวนสมาชิกน้อยกว่า 10 คน) 437 กลุ่ม |
|
Political Organization |
การปกครองของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่แบ่งออกเป็น 3 สภา ได้แก่ 1) สภาประชาชนสูงสุด มีหน้าที่ค้นคว้าร่างกฎหมายและรัฐธรรมนูญตรวจสอบการเมืองทั้งภายในและต่างประเทศ 2) สภารัฐมติ มีหน้าที่บริหารงานการป้องกันชาติ วางโครงสร้างทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นอกจากนั้นยังจัดตั้งแผนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ 3) ศาลประชาชนสูงสุด มีหน้าที่ในการดูแลกฎหมายสังคมนิยม ตลอดจนการอบรมพลเมืองตามบทบาทหน้าที่ว่าด้วยระบอบชีวิตของสังคมนิยมและการตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิด นอกจากนั้นผู้เขียนยังได้อธิบายถึงลักษณะการจัดระเบียบการปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทขาวว่าเป็นชุมชนที่ปกครองโดยระบอบศักดินา (น. 32) และมีการจัดระเบียบการปกครองจากหน่วยล่างสุดขึ้นมา กล่าวคือ ครัวเรือนรวมตัวกันเป็นบ้าน หลายบ้านรวมตัวกันเป็นเมือง และหลายเมืองรวมตัวกันเป็นเมืองหลวงอันเป็นการปกครองสูงสุด จากนั้นก็เป็นการปกครองไทหลายๆ ชาติพันธุ์ (น. 33) โดยผู้ปกครองจะถือว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากแถนหลวงจึงทำให้ผู้ปกครองถือว่าเป็นผู้นำทั้งในทางการเมืองและผู้นำทางศาสนาควบคู่กันไป (น. 32-33) |
|
Belief System |
ประชากรโดยส่วนใหญ่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประมาณร้อยละ 90 นับถือศาสนาพุทธ ส่วนที่เหลือจะนับถือศาสนาคริสต์และอิสลาม ในส่วนของกลุ่มคนไทนั้นส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธและนับถือผี โดยมีความเชื่อกลุ่มคนไทเหล่านี้มีความเชื่อเรื่องแถนและผีฟ้าเหมือนกัน นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้อธิบายถึงพิธีกรรมต่างๆของชาวไทแดง และชาวไทขาว ดังนี้ ชาวไทแดงมีความเชื่อเรื่องของผีเสื้อและแมลงปอ โดยเชื่อว่าสัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ (ตามตำนานการเกิดโลก) เป็นสัตว์ที่ทำนายสภาพดิน ฟ้า อากาศอีกด้วย (น.26) และมีความเชื่อเกี่ยวกับนาค (พญานาค) โดยเชื่อว่านาคคือบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์สมควรแก่การเคารพกราบไหว้ (น.68) นอกจากนั้นชาวไทแดงยังมีพิธีกรรมต่างๆ ได้แก่ 1) พิธีเสนเมือง เป็นพิธีเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองที่เรียกว่า ผีเมือง โดยการทำพิธีดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยคุ้มครองดูแลรักษาความสงบสุขในกลุ่มของตนเองอันประกอบด้วยคนจากหลายหมู่บ้าน 2)พิธีแสนบ้าน เป็นพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านที่เรียกว่า ผีบ้าน โดยการทำพิธีดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยคุ้มครองดูแลรักษาความสงบสุขในหมู่บ้าน ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกันกับพิธีเสนเมือง หากแต่พิธีเสนบ้านนั้นจะใช้คนในหมู่บ้านของตนเองเท่านั้น 3)พิธีการเกิด ซึ่งอธิบายถึงความเชื่อที่สะท้อนออกมาทางพิธีกรรม โดยในการทำคลอดนั้นผู้หญิงไทแดงจะเชิญหมอตำแยมาทำคลอดที่เรือน นอกจากนั้นยังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการตัดสายรกและพิธีกรรมความเชื่อหลังจากการคลอดแล้ว 4)พิธีเปลี่ยนสถานภาพเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งชาวไทแดงเรียกว่า พิธีค่าวหาญ เป็นการทำพิธีสำหรับเด็กผู้ชายเพื่อให้มีความห้าวหาญและให้พ้นจากความคุ้มครองขององหาญ ซึ่งเป็นผีที่ทำหน้าที่คอยคุ้มครองเด็กชายอายุไม่เกิน 16 ปี 5)พิธีแต่งงาน ชาวไทแดงมักให้ความสำคัญกับเครือญาติฝ่ายชาย ดังนั้นเมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะต้องเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายชายและจะต้องนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชายด้วย (น. 28-29) และ 6) พิธีศพ ชาวไทขาวโดยส่วนใหญ่จะนับถือผี แต่ในบางชุมชนก็มีการรับเอาอิทธิพลความเชื่อจากเวียดนามและจีน โดยการพบสถูปเจดีย์และเจ้าแม่กวนอิม ที่เมืองฟองโท |
|
Education and Socialization |
เมืองซำเหนือมีโรงเรียนในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อพัฒนาความรู้ของคนในท้องถิ่น 2 แห่ง โดยตั้งอยู่บริเวณใจกลางของเมืองซำเหนือ (น. 51) นอกจากนั้นจากนั้นยังพบว่าเด็กของเมืองซำเหนือนั้นมีโอกาสในการเข้ารับการศึกษาในระดับต่ำ เด็กบางคนถึงขั้นไม่มีโอกาสในการศึกษาเลย ด้วยเหตุปัจจัยด้านฐานะทางครอบครัวที่ทำให้เด็กอายุ 14-15 ปีมีความจำเป็นที่จะต้องช่วยครอบครัวเพื่อหารายได้ (น.56) นอกจากนั้นผู้เขียนยังได้อธิบายถึงการสืบทอดความรู้ของหมอว่าความรู้ของหมอที่มีการสืบทอดกันภายในตระกูลโดยจะเป็นบุตรชายลำดับที่เท่าไหร่ก็ได้ แต่มีข้อห้ามว่าจะต้องไม่รับประทานเนื้อสุนัขและเนื้อกิ้งก่า ในส่วนของการสืบทอดองค์ความรู้ในเรื่องของการทอผ้านั้นถูกกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิง โดยการสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษจากยายถึงแม่ถึงลูกสาว ซึ่งมีแบบแผนมีระบบระเบียบที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ตลอดจนระบบความคิดของบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงทำให้การทอผ้าของคนซำเหนือเป็นวัฒนธรรมที่เก่าแก่และเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตในสังคม (น. 58) |
|
Health and Medicine |
กลุ่มไทแดง มีความเชื่อเรื่องของการเจ็บป่วยว่ามีสาเหตุมาจากการกระทำของผี ดังนั้นการรักษาอาการเจ็บป่วยก็จะเชื่อมโยงอยู่กับความเชื่อดังกล่าว โดยผู้เขียนได้สะท้อนออกมาทางการประกอบพิธีกรรมทั้งในระดับชุมชนและในระดับครัวเรือน ซึ่งมีผู้ประกอบพิธีกรรมคือ หมอ และ มด หมอ ทำหน้าที่ในการประกอบพิธีเซ่นผี ได้แก่ ผีบ้าน ผีเรือน ทำพิธีเสี่ยงทายหาผีที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย และส่งขวัญคนตายในพิธีศพ โดยผู้ที่ทำหน้าที่เป็นหมอนั้นจะต้องเป็นผู้ชาย มด ตรงข้ามกับหมอตรงที่ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นมดนั้นจะเป็นผู้หญิงและตอนคลอดจะต้องมีรกพันคอเท่านั้น โดยมดมีหน้าที่ในการรักษาอาการหลังจากที่ทราบสาเหตุของความเจ็บป่วยมาจากหมอ (น.27) กลุ่มไทดำ นิยมดื่มเหล้าที่ทำจากกล้วยหอมและมันกอ เนื่องจากชาวไทดำมีความเชื่อว่า เหล้ามีสรรพคุณที่ช่วยในการเจริญอาหารและป้องกันโรคภัย เป็นยาชูกำลัง โดยจะดื่มพร้อมๆกับการรับประทานอาหาร (น.32) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กลุ่มไทแดง ชาวไทแดงเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสีแดง ดังนั้นเครื่องแต่งกายของชาวไทแดงจึงเป็นเครื่องแต่งกายที่มีสีแดง เช่น ผู้ประกอบพิธีกรรมต้องสวมเสื้อยาวสีแดง ผู้หญิงจะขลิบริมซิ่นในด้วยผ้าสีแดง เป็นต้น (น. 30) กลุ่มไทดำ เครื่องแต่งกายของชาวไทดำนั้นจะมีความแตกต่างกันไปตามเพศและวัย เช่น ผู้ชายสูงอายุมักนิยมใส่เสื้อผ้าฝ้ายดิบ ลักษณะเสื้อเป็นแบบผ่าอกถึงคอ ลำตัวยาวถึงสะโพก แขนกระบอก ย้อมสีตามธรรมชาติที่มีสีเทาหม่น สีครามน้ำตาลแก่ ผู้หญิงนิยมสวมซิ่นสีดำมันมัดเอวด้วยผ้าพื้นเขียวและใช้สีแดง ขาว เหลือง สลับไว้ตลอดริมผ้าทั้งสี่ด้าน หรือที่เรียกว่า ผ้าสี่เอี่ยว ส่วนเสื้อนั้นมีลักษณะเป็นเสื้อรัดรูปผ่าอกแบบสั้น แขนเสื้อเป็นทรงกระบอกโดยจะมีทั้งแขนยาวและแขนสั้นโดยจะเอาเสื้อใส่ในซิ่นและรัดด้วยผ้ามัดเอว สีของเสื้อจะขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ส่วนวัยรุ่นและเด็กมักแต่งกายตามนิยม (น. 31) กลุ่มไทขาว การแต่งกายผู้ชายนิยมใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่คอเสื้อมีลักษณะเป็นคอกลมกางเกงทรงแคบสีคราม หากเป็นคนที่มีฐานะดีมักจะนิยมใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีกากี นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างกันระหว่างคนไทขาวกลุ่มเหนือแถบเมืองฟองโทที่มีการสวมหมวกทรงแหลมแบบจีนหรือที่เรียกว่า หมวกกุ้ยเล้ย ซึ่งต่างไปจากคนไทขาวกลุ่มใต้ที่ไม่ได้ใส่ ส่วนผู้หญิงจะนิยมนุ่งผ้าซิ่นสวมเสื้อขาวตัวสั้น คอเสื้อมีลักษณะเป็นคอแหลม โดยการนำเอากระดุมเงินเม็ดใหญ่รูปผีเสื้อมาตกแต่งไว้ผมยาวใกล้บริเวณอกและคอ สวมเสื้อคลุมยาวที่ทำมาจากด้ายผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายสีดำตกแต่งด้วยริบบิ้นที่มีสีสันยาวตั้งแต่คอจรดปลายเท้า และมวยต่ำไว้ที่ท้ายทอยโพกผ้าด้วยที่มีลวดลายซึ่งเป็นลวดลายสิ่งแวดล้อมรอบตัว (น. 33) ลวดลายของผ้าทอของคนกลุ่มไทขาวนั้นมักเป็นลวดลายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว (น.66) |
|
Folklore |
ผู้เขียนได้อธิบายตำนานของกลุ่มไทแดงเกี่ยวกับเรื่องของการเกิดโลก ซึ่งเป็นโลกทัศน์เกี่ยวกับจักรวาลของคนไทแดง โดยตามตำนานได้กล่าวว่า ในครั้งอดีตกาลโลกเกิดวิกฤติน้ำท่วม อันส่งผลให้คน สัตว์ และต้นไม้ต่างๆ ได้รับความเสียหายจนไม่เหลือ เมื่อน้ำแห้งลงก็ได้เกิดดวงตะวันขึ้นมาทั้งหมด 9 ดวงส่งผลให้โลกเกิดความร้อนและแห้งแล้ง แถนผู้มีความสามารถด้านการยิงธนู เมื่อได้ทราบเรื่องก็ได้ยิงดวงตะวันตกไปทั้งหมด 2 ดวง เหลืออีก 2 ดวงที่หายไป สองดวงนี้ดวงหนึ่งก็ได้ถูกหาจนพบจนกลายเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนอีกดวงที่หลบๆซ่อนๆ นั้นก็ได้กลายมาเป็นดวงเดือน นอกจากนั้นยังกล่าวว่าฟ้ากับดินเป็นเพื่อนกัน แต่ดินเดินได้เร็วกว่าฟ้าทำให้ฟ้าต้องร้องเรียกเพื่อให้ดินคอย จนเกิดเป็นภูเขาและที่ราบ อันเกิดจากการที่เดินในจังหวะไม่เท่ากันของดิน ต่อมาแถน 4 องค์ ได้ลงมาเกิดเป็นพี่น้อง 4 คนในโลกมนุษย์ แต่หลังจากที่พี่น้องทั้ง 4 คนได้กินแมวป่าเป็นอาหาร โดยมีผีเสื้อและแมลงปอเป็นผู้ขอไฟจากเมืองฟ้ามาให้ จากนั้นก็ได้ทำให้ร่างกายของทั้ง 4 นั้นเติบโตไม่เท่ากัน จนเป็นผลทำให้เกิดการตั้งชื่อและแยกย้ายกันไปในแต่ละที่ (น. 25-27) นอกจากนั้นผู้เขียนยังได้กล่าวถึงตำนานต่างๆที่มีความเชื่อมโยงกับผ้าทอของกลุ่มไทซำเหนือ ได้แก่ 1) ลายนาค ที่มีการกล่าวถึงนิทานปรัมปราเกี่ยวกับนาค โดยเชื่อว่านาคเปรียบเสมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขา โดยนิทานมีเนื้อหาที่พยายามสื่อถึงการอพยพของคนกลุ่มหนึ่งจากหนองแส (ทางตอนใต้ของจีนยูนาน) ลงมาตามลำน้ำอู จากนั้นก็ได้กระจายตัวกันอยู่ตามลำน้ำปิง (ทางเหนือของประเทศไทย) บริเวณแม่น้ำมูลและแม่น้ำชี ตลอดจนบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง (น.68) 2) ลายนกหรือลายหงส์ ที่เป็นการสื่อความหมายถึงการความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และมีความเชื่อเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาโดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่เล่าเกี่ยวกับหงส์ที่องค์สมเด็จพระสัมพุทธเจ้านำมาเป็นคำเทศนาสั่งสอน |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มไทขาวและกลุ่มไทดำนั้นเป็นกลุ่มที่มีการรวมตัวกันอย่างเป็นปึกแผ่น และมีอำนาจสูงสุดเหนือดินแดนสิบสองจุไทโดยครอบครองเมืองถึง 16 เมือง การรวมตัวของกลุ่มทั้ง 2 นั้นได้ส่งผลให้กลุ่มไทแดงมักจะบอกกับผู้อื่นมาตนเองเป็นคน ไทขาวหรือไทดำ เนื่องจากการเป็นกลุ่มไทแดงนั้นมักมีนัยของการถูกทำให้เป็นคนชายขอบ หรือมีสถานภาพทางสังคมที่ต่ำกว่า ในทางกลับกันกลุ่มไทแดงที่แสดงว่าตนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทแดงนั้นมักมีวัตถุประสงค์ของการแสดงตัวตนเพื่อผลกำไรทางด้านเศรษฐกิจที่จะได้จากผ้าทอที่เป็นผ้าทอของวัฒนธรรมดั้งเดิมมากกว่า (น.67) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กลุ่มไทแดง ในอดีตเป็นกลุ่มวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญต่อสีแดง แต่ในปัจจุบันจะนั้นเกิดการปรับเปลี่ยนทำให้สีแดงถูกใช้น้อยลงโดยจะใช้เฉพาะในพิธีกรรมเท่านั้น อันเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มไทดำและไทยขาว ด้วยเหตุผลจากกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีอำนาจมากกว่ากลุ่มไทแดง แต่ในส่วนของลวดลายของผ้านั้นนิยมทอ 3 ลายหลักๆ คือ ลายนาค ลายหงส์และนก ลายดอกไม้ ในปัจจุบันก็ยังคงนิยมไม่แตกต่างไปจากอดีตแม้จะเป็นลวดลายใหม่แต่ก็มีโครงสร้างมาจากลายเดิมทั้งสิ้น (น. 59) นอกจากนั้นผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้เกิดความขากแคลนผู้ทำพิธีกรรม จนเกิดการยืมผู้ทำพิธีข้ามกลุ่ม ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมขึ้น (น.31) ผู้เขียนยังศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยการนำเอาเรื่องนาคและหงส์มาเชื่อมโยงกับลวดลายบนผ้าทอ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของเมืองซำเหนือที่เมื่อแต่งงานแล้วมักจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธมากขึ้น โดยกลุ่มไทแดงนั้นได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่มลาวพุทธซึ่งเป็นกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนา เรื่องดังกล่าวได้สะท้อนออกมาจากลวดลายของผ้าทอที่มีความเชื่อของเรื่องนาคและหงส์นั้น น่าจะมีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาที่กลุ่มไทแดงรับมาจากกลุ่มลาวพุทธ ทั้งที่กลุ่มไทแดงนั้นนับถือผี |
|
Critic Issues |
นอกจากที่ผู้เขียนจะศึกษาเกี่ยวกับประเด็น 1) การเปลี่ยนแปลงของผ้าทอเมื่อสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ของ ลวดลาย สีสัน ความหมาย ตลอดจนความประณีตในการทอ 2) การปรับตัวและการเรียนรู้ของช่างทอแล้ว ผู้เขียนยังมีประเด็นศึกษาอื่นๆ ที่เน้นในงานศึกษาครั้งนี้ คือ ความเชื่อและบทบาทของผ้าทอในพิธีกรรมอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น พิธีกรรมแต่งงาน พิธีกรรมการตายเป็นต้น |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้รูปภาพในการประกอบการอธิบายข้อมูลพื้นฐานของเมืองซำเหนือ ดังนี้ เมืองซำเหนือ, ถนนสายหลักในเมืองซำเหนือ, ลำน้ำสายหลักที่ไหลผ่านกลางชุมชน, สะพานข้ามลำน้ำสายหลักในเมืองซำเหนือ, แม่ค้าขายสาหร่ายน้ำจืด ส้ม แอปเปิ้ล, ชาวบ้านแบกผักกาดไปขายที่ตลาด, แม่ค้าขายผักสด, นกและตัวอีเห็นที่ถูกจับมาขาย, จุดตรวจสัมภาระและตั๋วเครื่องบินภายในอาคาร, ทหารสะพายอาวุธปืนเดินตรวจดูความเรียบร้อยทั้งก่อนเครื่องบินขึ้น-ลง, การทอผ้าของเด็กสาวซำเหนือ, ขั้นตอนการเก็บลายลงบนอุปกรณ์ทอผ้า และเด็กผู้หญิงซำเหนือไปจ่ายตลาดตอนเย็น (น.48-56) การอธิบายถึงอัตลักษณ์ผ้าซำเหนือนั้นผู้เขียนได้ใช้ภาพประกอบการอธิบาย ดังนี้ ผ้าเบี่ยงเมืองซำเหนือ, รูปภาพลายหลักลายนาค ลายหงส์และนก ลายดอกไม้, รูปภาพลายประกอบ, เทคนิคการมัดหมี่, เทคนิคการจก, เทคนิคการขิด และเด็กหญิงสาวซำเหนือช่วยแม่ปั่นเส้นใยเพื่อเตรียมไว้ใช้ทอผ้า (น.58-83) ผู้เขียนได้ใช้ภาพประกอบการอธิบายในประเด็นผ้าทอในบริบทสินค้า ดังนี้ ผ้าซิ่นซำเหนือขายในตลาดสด เมืองซำเหนือ อายุประมาณ 3-4 ปี, ผ้าซิ่นซำเหนือ เมืองซำเหนือ อายุประมาณ 2 ปีของนางทองหล้าน อายุ 42 ปี, ผ้าซิ่นซำเหนือ เมืองซำเหนือ อายุประมาณ 3-4 ปี, ผ้าซิ่นซำเหนือลายกวางคู่ เมืองซำเหนือ อายุประมาณ 20 ปีของนางไม ชนเผ่าไทแดง อายุ 50 ปี, ผ้าซิ่นซำเหนือ เมืองซำเหนือ ขายอยู่ที่เวียงจันทน์ อายุประมาณ 15 ปี ที่มาเวียงคอน อายุ 18 ปี เวียงจันทน์, ผ้าเบี่ยง เมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน อายุประมาณ 4-5 ปี ที่มาศูนย์หัตถกรรมผ้าเผ่าไท เชียงใหม่ไนท์บาซาร์, ผ้าเบี่ยง เมืองซำเหนือ อายุประมาณ 20 ปี ที่มาเวียงคอน อายุ 18 ปี เวียงจันทน์, ผ้าเบี่ยง เมืองซำเหนือ อายุประมาณ 15-20 ปี ที่มาร้านอาหารในตลาดสด เมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน, ผ้าเบี่ยง เมืองซำเหนือ อายุประมาณ 100 กว่าปี ที่มาศูนย์หัตถกรรมผ้าเผ่าไท เชียงใหม่ไนท์บาซาร์, หญิงสาวซำเหนือกับบทบาทการเข้ามาเป็นแรงงานทอผ้าในโรงงานทอผ้าซำเหนือที่เวียงจันทน์ ส.ป.ป. ลาว, การจัดวางลายนาคและลายนกในรูปแบบใหม่บนผืนผ้าเบี่ยง และผ้าพันคอลายกาบที่เน้นการจัดวางลวดลาย (น.95-114) |
|
|