สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การย้ายถิ่น,การปรับตัว,สถานภาพทางสังคม,สหรัฐอเมริกา
Author ชุติมา จันทรรัตน์
Title สถานภาพทางสังคมของม้งอพยพในเมืองโอแคลร์ มลรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 126 Year 2547
Source บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

งานเขียนกล่าวถึงสภาพทางสังคมของม้งที่อพยพไปอยู่ที่เมืองโอแคลร์ มลรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจัยในการย้ายถิ่นที่อยู่ของม้งและการปรับตัวและสภาพสังคมของม้งในอเมริกา ซึ่งผลของการศึกษาระบุว่าสาเหตุการอพยพของม้งไปอยู่สหรัฐเป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองเนื่องจากม้งได้ช่วยทหารอเมริกันต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในลาวในสงครามเวียดนาม เมื่อสหรัฐแพ้สงครามม้งต้องอพยพออกจากลาวมาอยู่ในศูนย์อพยพในประเทศไทย ในเวลาต่อมาจึงถูกส่งตัวไปตั้งรกรากในประเทศที่สามอาทิ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ฯลฯแต่ส่วนมากจะย้ายไปอยู่สหรัฐโดยกระจายกันอยู่ใน 30 มลรัฐโดยอยู่เป็นจำนวนมากที่รัฐแคลิฟอร์เนีย มินนิโซต้า และมลรัฐวิสคอนซิน สำหรับการอพยพมาอยู่มลรัฐวิสคอนซินเริ่มจากปี ค.ศ.1975 สาเหตุที่ม้งมาอยู่รัฐนี้เป็นจำนวนมากก็เพราะว่าวิสคอนซินเป็นแหล่งผลิตสินค้าทางการเกษตรที่สำคัญและมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งม้งมีพื้นฐานด้านการเกษตรจึงปลูกผักขาย นอกจากนี้ภูมิประเทศของรัฐยังมีสภาพเป็นป่าเขาม้งจึงรู้สึกเหมือนกับอยู่บ้านที่เคยอยู่ในประเทศลาว และสวัสดิการทางสังคมของรัฐที่เอื้อให้ม้งมีโอกาสด้านการศึกษา และการตั้งถิ่นฐาน (บทคัดย่อ หน้า ง-จ)

Focus

ศึกษาการปรับตัวและสถานภาพทางสังคมของม้งอพยพในเมืองโอแคลร์ มลรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา (หน้า 6)

Theoretical Issues

ผู้ศึกษาใช้แนวคิดประชากรศาสตร์เป็นกรอบการศึกษาการปรับตัวของม้งอพยพ โดยมองว่าการอพยพของม้งเป็นการย้ายถิ่นข้ามชาติเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่ในฐานะผู้ลี้ภัยสงคราม (หน้า 6,7)

Ethnic Group in the Focus

ม้งอพยพในเมืองโอแคลร์ มลรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา (หน้า 21)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ได้กล่าวถึงภาษาม้ง แต่กล่าวถึงการใช้ภาษาอังกฤษของม้งอพยพ ม้งที่อพยพเข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐในกลุ่มหลังจะได้รับการช่วยเหลือด้านภาษาอังกฤษจากม้งที่อพยพไปอยู่เป็นกลุ่มแรกเช่นเป็นล่ามและติดต่อประสานงานกับชุมชนที่อยู่อาศัย โดยในปี ค.ศ.1979คณะบริหารที่ปรึกษาชุมชนม้ง ได้จัดตั้งโครงการภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (ESL- English as a Second Language programs) ที่เมืองโอแคลร์ สำหรับม้งที่พูดภาษาอังกฤษได้จะถูกจ้างให้เป็นล่ามเพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่บังคับการใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ทางด้านสุขภาพอนามัย และผู้จัดเตรียมบริการทางสังคม (หน้า 70,71) การสอน ESL จะสอนทุกกลุ่มวัย หากเป็นเด็กจะเรียนที่โรงเรียน สำหรับผู้ใหญ่จะเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคชิปปีวา วัลเลย์ กับมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน - โอแคลร์ เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรการเรียนภาษาอังกฤษของม้งก็ยังคงเป็นปัญหาแม้ว่าเด็กม้งจะเกิดในสหรัฐแต่ยังใช้ภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่องเพราะว่าจะพูดภาษาม้งที่บ้านเนื่องจากพ่อแม่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งจึงไม่พูดภาษาอังกฤษกับลูก สำหรับปัญหาอีกอย่างในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษเช่นการเรียนESL ในระดับมัธยมเด็กม้งจะเขินอายหากจะแยกตัวมาเรียนที่ห้องเรียน ESL ส่วนที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-โอแคลร์ เมื่อ ค.ศ.1993 ได้จัดโครงการ Commanding English Program เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่มีปัญหาเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ โดยจะมีอาจารย์ที่สอน ESL คอยให้คำแนะนำกับนักศึกษา (หน้า 71) ในโครงการจะมีเด็กม้ง 160 คน (หน้า 72)

Study Period (Data Collection)

สัมภาษณ์ม้งในเมืองโฮแคลร์ รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม พ.ศ.2545 (ภาคผนวก ก หน้า 102)

History of the Group and Community

จากการศึกษาระบุว่าสาเหตุที่ม้งจากประเทศลาวอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาเนื่องมาจากปัญหาทางการเมือง เพราะว่าในเวลานั้นม้งให้ความช่วยเหลืออเมริกาเพื่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่อยู่ในประเทศลาวและในประเทศเวียดนาม เมื่อสหรัฐอเมริกาแพ้สงคราม ม้งจึงต้องอพยพออกจากลาวมาอยู่ศูนย์อพยพในประเทศไทย ต่อมาจึงถูกส่งไปประเทศที่สามได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลียและอื่นๆ (บทคัดย่อ หน้า ง,20) การอพยพเป็นการไปอยู่อย่างถาวร โดยมากม้งจะอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกา ในพื้นที่ต่างๆ กว่า 30 มลรัฐ กลุ่มม้งที่ใหญ่ที่สุดจะอาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐมินนิโซต้า และรัฐวิสคอนซิน ม้งได้อพยพมาอยู่ที่รัฐวิสคอนซิน (บทคัดย่อ หน้า ง) เริ่มจากปี ค.ศ.1975 และตั้งรกรากอยู่ที่เมืองโอแคลร์เป็นจำนวนมาก (บทคัดย่อ หน้า จ) ประวัติการตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา 1. การอพยพเข้าสู่สหรัฐอเมริกา หลังจากที่เกิดการสู้รบในลาวทำให้มีม้งอพยพเข้าไทยเป็นจำนวนมากซึ่งจากที่ UNHCR ได้สำรวจเมื่อ ค.ศ.1975 ระบุว่ามีม้งอพยพเข้าประเทศไทยจำนวน 44,659 คน โดยอยู่ตามศูนย์อพยพที่อยู่ชายแดนฝั่งไทยเช่นที่บ้านน้ำเย้า เชียงคำ จังหวัดพะเยา บ้านวินัย จังหวัดเลย ศูนย์อพยพที่หนองคาย บ้านนาโปจังหวัดนครพนม ค่ายทหารในจังหวัดอุดรธานี และที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นศูนย์เพื่อเตรียมอพยพไปยังประเทศที่สาม และคนที่อพยพทางอากาศบางส่วนได้ลงที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โดยจำนวนม้งอพยพได้อยู่ที่บ้านวินัยและที่เชียงคำมากที่สุด (หน้า 33 ) การอพยพของม้งเข้าสหรัฐอเมริกาได้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐสภาสหรัฐได้ผ่านรัฐบัญญัติการอพยพคนอินโดจีนและการช่วยเหลือทหารม้งเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1975 และได้ขยายการช่วยเหลือไปถึงผู้อพยพที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเวียดนามได้แก่ผู้อพยพจากเวียดนาม กัมพูชา ลาว (หน้า 35) ในปี ค.ศ.1975-1978 สหรัฐได้รับม้งอพยพ จำนวน 9,000 คน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกม้งอพยพเป็นเจ้าหน้าที่ทหารและคนหนุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกจับกุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในลาว กลุ่มที่สองอยู่ระหว่างปี 1979-1982 กลุ่มนี้เป็นม้งที่อยู่ในศูนย์อพยพ มีจำนวน 80,000 คน จากจำนวนผู้อพยพจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด 150,000 คน ในระหว่างปี 1983-1986 มีผู้อพยพจำนวน 7,500 คน ในระหว่างปี 1987-1990 มีจำนวน 31,000 คน และกลุ่มม้งอพยพกลุ่มสุดท้ายอยู่ระหว่างปี 1991-1996 มีจำนวน 29,000 คน ซึ่งจากสถิติเมื่อ ค.ศ.2000 ระบุว่ามีม้งอพยพในสหรัฐจำนวน 215,537 คน โดยอยู่ที่รัฐวิสคอนซิน 46,600 คนมากเป็นอันดับสามรองจากรัฐแคลิฟอร์เนีย และมินนิโซตา ทั้งนี้ชุมชนม้งในสหรัฐมีจำนวน 72 ชุมชนกระจายกันอยู่ใน 30 รัฐ (หน้า 36,41-42) 2. การอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนในรัฐวิสคอนซิน สาเหตุที่ม้งเลือกอพยพมาตั้งรกรากที่รัฐวิสคอนซินมีสาเหตุหลายอย่างอาทิเช่น รัฐวิสคอนซินมีโปรแกรมการศึกษาที่ดีและมีโครงการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2( ESL-English as Second Language Program ) สำหรับเด็กและพ่อแม่ นอกจากนี้ก่อน ค.ศ.1997 โครงการสวัสดิการสังคมของรัฐวิสคอนซินมีหลายอย่างที่เป็นประโยชน์กับผู้อพยพ เช่นการช่วยเหลือด้านการเงิน โครงการบริการทางสังคมเพื่อช่วยเหลือม้งในการปรับตัว ได้แก่สมาคมม้ง บริการจัดหางานและอื่นๆ ส่วนสภาพภูมิประเทศของรัฐก็ประกอบด้วยป่าไม้ ทุ่งหญ้า ทะเลสาปม้งจึงสามารถตกปลาและเพาะปลูกเหมือนที่อยู่ในประเทศลาว สำหรับเขคที่มีม้งอยู่เป็นจำนวนมากในรัฐวิสคอนซินมีดังนี้ มิววอคกี้ วอซอว์ ชีบอยแกน แอปเปิลตัน กรีนเบย์ ลาครอส โอแคลร์ ฟอนดูแลค เมดิสัน แมนนิโทวอค มีโนโมนี สตีเว่นพ้อยท์ วิสคอนซินแรปพิดส์ และออสคอช ในจำนวนเขตต่างๆเขตมิววอคกี้มีม้งมากที่สุดซึ่งจากการสำรวจเมื่อ ค.ศ.2000 มีม้งในรัฐวิสคอนซินจำนวน 33,791 คน (หน้า 44-48)

Settlement Pattern

ไม่มี

Demography

จำนวนประชากร สถิติประชากรม้ง ในสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ.2000 ระบุว่ามีม้งทั้งหมดประมาณ 215,537 คน ในจำนวนประชากรทั้งหมดนี้อยู่ในรัฐวิสคอนซิน 46,600 คนซึ่งมากเป็นอันดับสามรองจากรัฐแคลิฟอร์เนีย และมินนิโซตา (หน้า 36) ทั้งนี้จำนวนประชากรในรัฐวิสคอนซินนั้นคิดเป็น 32.9% ของจำนวนคนเอเชียทั้งหมด 102,823 คน ซึ่งมากเป็นสองเท่าของคนอินเดียและคนจีน (หน้า 48) คนม้งในรัฐวิสคอนซินมีอายุน้อยกว่าประชากรทั่วไป 57.1 % ของม้งในรัฐวิทคอนซินอายุต่ำกว่า 18 ปี ขนาดครอบครัวของม้งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6.4คนต่อครอบครัว (หน้า 56) ประชากรในรัฐวิสคอนซินส่วนใหญ่เกิดนอกสหรัฐอเมริกาโดยเข้ามาอยู่ในอเมริกา 10 ปีหรือมากกว่านั้น (หน้า 63) สำหรับประชากรม้งในเมืองโอแคลร์ซึ่งอยู่ในรัฐวิสคอนซินค่อนมาทางตะวันตกนั้นมีจำนวน 3,200 คน(หน้า 36)

Economy

การประกอบอาชีพ ค.ศ.1980 ม้งในเมืองโอแคลร์จะมีอัตราการว่างงานจำนวนมากถึง 95 % เพราะว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้และขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน กระทั่งในปี ค.ศ.1990 อัตราการว่างงานของม้งลดลงเหลือ 54.8 % และใน ค.ศ.2000 คาดว่าจะเหลืองม้งว่างงานในเมืองโอแคลร์ จำนวน 5 % ทั้งนี้ยังมีม้งจำนวน 60-70 %ที่มีความยากจนกว่ามาตรฐานความยากจนของรัฐ เพราะว่าที่ทำได้ค่าจ้างต่ำ ซึ่งใน ค.ศ.1990 ครอบครัวม้งมีรายได้ 7,911 ดอลล่าห์ต่อปีซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยกลางของเมือง 3 เท่าซึ่งคนโดยทั่วไปจะมีรายได้เฉลี่ยต่อครอบครัว 25,886 ดอลล่าห์ต่อปี ทั้งนี้จากสถิติเมื่อ ค.ศ.1988 มีม้ง 14 %จาก 365 ครอบครัวที่สามารถทำงานพึ่งพาตนเองและใน 70 ครอบครัวมีสมาชิกอย่างน้อย 1 คน ที่ถูกจ้างงานโดยทำงานพาร์ทไทม์ 43 % และมีคนม้งที่ต้องพึ่งการช่วยเหลือสาธารณะของรัฐในเมืองโอแคลร์ ลดจำนวนลงตามลำดับและนับจากปี ค.ศ.1992 ม้งในเมืองโอแคลร์ได้รับการสนับสนุนโครงการฝึกหัดอาชีพ (หน้า 72) ทั้งนี้ม้งในเมืองโอแคลร์ประกอบอาชีพหลายอย่างอาทิเช่น เปิดร้านอาหารม้ง ขายของชำ ขายประกันรับราชการ ทำงานในหน่วยงานบริการสังคมเพื่อช่วยเหลือม้ง และเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เป็นต้น (หน้า 74)

Social Organization

ความสัมพันธ์ม้งกับคนผิวขาวในเมืองโอแคลร์ จากการศึกษาพบว่า แม้สภาพสังคมของม้งอพยพของม้งจะมีความเป็นอยู่ที่ได้รับการยอมรับที่ดีกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วมา แต่คนอเมริกันก็ยังแยกไม่ออกเนื่องจากม้งไม่แสดงเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ของตนที่แจ่มชัด ระหว่างม้งกับคนเอเชียกลุ่มอื่นๆนอกจากในรัฐที่คนม้งอยู่เป็นจำนวนมาก (หน้า 66) ในเมืองโอแคลร์ ยังมีคนบางกลุ่มไม่พอใจเรื่องสวัสดิภาพสังคมเพราะม้งอยู่แบบครอบครัวใหญ่แต่ไม่ยอมคุมกำเนิดสร้างภาระให้ คนในเมืองต้องจ่ายภาษีเพิ่มมากขึ้น สำหรับกองทุนสวัสดิการสังคม จนบางครั้งความไม่พอใจก็รุนแรงหรือกระทำการเลือกปฏิบัติและมีอคติกับคนม้ง ในสังคมม้งเองก็จะอยู่กันเองโดยไม่ค่อยสนใจกับคนที่อยู่นอกชุมชนของตนเองแม้ว่าจะอยู่สหรัฐมากว่า 30 ปีแล้วก็ยังรู้สึกว่ายังไม่เป็นสมาชิกของสังคมเท่าที่ควร นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่าคนผิวขาวในเมืองโอแคลร์ยังไม่ค่อยที่จะยอมรับชนกลุ่มน้อย และยังมีการแบ่งแยกเชื้อชาติแต่ทุกวันนี้การยึดถือเรื่องเชื้อชาติเริ่มลดน้อยลงอาทิเช่นมีม้งแต่งงานกับคนผิวขาว ซึ่งทุกวันนี้มีจำนวน 25 คู่ (หน้า 73) ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว 1) ความไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อแม่กับลูก ในเมืองโอแคลร์ได้เกิดช่องว่างระหว่างพ่อแม่และลูกเพราะว่าม้งพ่อมามีปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษและม้งรุ่นลูกก็พูดภาษาม้งไม่เก่ง ดังนั้นจึงทำให้การพูดคุยระหว่างพ่อแม่และลูกน้อยลง เพราะว่าพ่อกับแม่ต้องไปทำงานนอกบ้านและลูกก็ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเมื่อกลับบ้านก็ดูโทรทัศน์ ในด้านทัศนคตินั้นพ่อกับแม่อยากให้ลูกรักษาวัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อต่างๆของม้งเอาไว้ขณะที่ลูกไม่มีความผูกพันกับวัฒนธรรมม้ง โดยต้องการที่จะหลีกหนีให้พ้นจากการดูแลของพ่อแม่ ดังนั้นจากความขัดแย้งในครอบครัวจึงขยายไปสู่สังคม ทำให้เกิดแก็งค์กวนเมืองของเด็กม้งและการฆ่าตัวตาย (หน้า 75) ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหา สมาคมเมืองโอแคลร์จึงมีโครงการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมม้ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดกิจกรรมเยาวชน การฝึกหัดวานฝีมือ กิจกรรมการศึกษาและเสริมสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรมม้งให้กับเยาวชน เป็นต้น (หน้า 76) 2) ปัญหาระหว่างชุมชนนิคมม้ง คนม้งที่อพยพมาอยู่ในสหรัฐเมื่อแรกต้องพบกับปัญหาในการปรับตัวในการดำรงชีวิตเพราะว่าไม่มีความรู้เรื่อภาษาอังกฤษ เว้นแต่เจ้าหน้าที่ทางทหารหรือคนที่เคยทำงานให้กองทัพสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่มีญาติเสียชีวิตในสงครามเวียดนาม คนกลุ่มนี้คิดว่าม้งคือเวียดนามและก็ไม่รู้ว่าทำไมม้งต้องย้ายมาอยู่สหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงเกิดปัญหาการเหยียดสีผิวและเกิดอคติกับม้งจากคนที่อยู่ในเมืองโอแคลร์ถึงแม้ว่าม้งจะอพยพเข้ามาอยู่สหรัฐกว่า 30 ปี ปัญหาที่พบในระยะแรกจะมีการต่อว่าหรือทำร้ายร่างกายแต่ทุกวันนี้ม้งได้รับการยอมรับจากคนในสังคมเมืองโอแคลร์กว่าเมื่อก่อน (หน้า 86)และปัญหาหนึ่งที่พบคือ ม้งส่วนมากจะมีครอบครัวขนาดใหญ่เนื่องจากว่าไม่ชอบคุมกำเนิดจึงทำให้มีลูกหลายคน ดังนั้นจึงทำให้คนอเมริกันที่อยู่ในเมืองโอแคลร์เกิดความไม่พอใจม้ง เพราะมีครอบครัวขนาดใหญ่ทำให้ม้งจำนวนมากมีฐานะยากจน ต้องพึ่งสวัสดิการและให้รัฐช่วยเหลือ (หน้า 87)

Political Organization

สงครามอินโดจีน หลังจากที่ลาวได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1949 ฝรั่งเศสได้สนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลาวอิสระและกองทัพแห่งชาติเพื่อป้องกันตนเอง ในเวลานั้นขบวนการปเทดลาวหรือพรรคคอมมิวนิสต์ลาว ซึ่งมีขบวนการเวียดมินห์สนับสนุนซึ่งต่อต้านรัฐบาลในสมัยนั้น ดังนั้นในระหว่างปี 1950-1954 จึงมีการสู้รบกันหลายครั้ง ในชาวงเวลานั้นสหรัฐอเมริกาได้ช่วยเหลือด้านการทหารกับนัฐบาลลาวเพราะกลัวว่าถ้ารัฐบาลล้าวแพ้ก็จะทำให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นคอมมิวนิสต์ทุกประเทศ (หน้า3) ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงจัดตั้งกองกำลังพิเศษม้ง โดยมีนายพลวังเปาเป็นผู้นำในการทำสงครามซึ่งมีชื่อว่า “สงครามความลับ” ซึ่งมีข้อตกลงด้วยคำพูดไม่มีลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นหลักฐาน โดยฝ่ายสหรัฐให้ความช่วยเหลือม้งเรื่องอาหารและกำลังอาวุธ สำหรับข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับม้งประกอบด้วย 1) ทหารของนายพลวังเปาจะต้องป้องกันเส้นทางของโฮจิมินท์ สกัดไม่ให้เวียดนามเหนือส่งเสบียงและกองกำลังทหารลงมายังเวียดนามใต้ 2) ทหารม้งต้องช่วยเหลือนักบินอเมริกันที่ถูกทหารเวียดมินห์ยิงตก 3) หากฝ่ายคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ อเมริกาจะช่วยเหลือด้านการเงินกับม้งเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าที่ผ่านมา 4) ถ้าอเมริกาแพ้พ่าย อเมริกาก็จะหาผืนดินแห่งใหม่ให้ม้งอั้งที่อยู่ (หน้า 28) กระทั่งเมื่อเดือนมีนาคม 1975 เวียดนามเหนือได้ยึดครองเวียดนามใต้ได้สำเร็จ จึงทำให้กองกำลังปเทดลาวชนะการสู้รบ เมื่อพ่ายแพ้นายพลวังเปาและทหารม้งกว่า 2500 นายได้อพยพเข้าประเทศไทยโดยมีหน่วยซีไอเอของสหรัฐให้ความช่วยเหลือ เมื่อเข้ามาอยู่ในไทยม้งได้เข้ามาอยู่ในค่ายอพยพสำหรับการอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาเริ่มนับจากปี ค.ศ.1975 (หน้า 4,5,24-33) การอพยพ จากเหตุการณ์ดังกล่าว UNHCR ระบุว่า ค.ศ. 1975 มีม้งอพยพเข้าในประเทศไทยจำนวน 44,659 คน โดยย้ายเข้ามาอยู่ที่ศูนย์อพยพต่างๆที่บริเวณชายแดนของไทยเช่น ที่บ้านน้ำเย้า อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา บ้านวินัย จังหวัดเลย ศูนย์อพยพที่หนองคาย บ้านนาโป จังหวัดนครพนม ค่ายทหารจังหวัดอุดรธานี และค่ายอพยพที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นศูนย์เพื่อเตรียมตัวไปอยู่ในประเทศที่สาม ส่วนปี 1980 UNHCR ระบุว่า มีม้งอพยพในไทย 48,937 คน โดยอยู่ที่บ้านวินัย จังหวัดเลย และอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา มากที่สุด (หน้า 33)

Belief System

ความเชื่อทางศาสนา ม้งอพยพในเมืองโอแคลร์นับถือศาสนาอันหลากหลายแต่ยังมีคนที่นับถือผีซึ่งสวนใหญ่จะเป็นผู้อาวุโส ในภายหลังมีม้งอพยพเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาคริสต์ เพราะว่าข้อปฏิบัติตามความเชื่อเดิมนั้นมีความยุ่งยากด้านกฏหมาย (หน้า 89)

Education and Socialization

โอกาสทางการศึกษา ม้งในเมืองโอแคลร์คิดว่าพวกเขามีการศึกษาดีขึ้นกว่าแต่ก่อนทั้งยังให้ความสำคัญกับการศึกษาเพราะจะทำให้มีอาชีพที่ดีขึ้น ม้งมีอัตราการจบการศึกษาในระดับปริญญาสูงกว่าชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มในโอแคลร์ (หน้า 88)จากสถิติเมื่อปี ค.ศ.1990 ม้งอายุตั้งแต่ 25 ปี จำนวน 41 %ไม่สำเร็จการศึกษาและจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 16 % (หน้า 73) สำหรับอัตราการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นก็เพิ่มขึ้นตามอันดับ นักศึกษาม้งกลุ่มแรกได้เรียนในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-โอแคลร์ ค.ศ.1980 มีม้งเรียนในมหาวิทยาลัยนี้จำนวน 402 คนและใน ค.ศ.2001-2002มีม้งสมัครเข้าเรียน 150 คน หากนับจาก ค.ศ.1989-2002 มีม้ง 75 คน สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนี้ (หน้า 74) ผู้ชายม้งเรียนหนังสือมากกว่าผู้หญิงซึ่งระหว่างปี 1990-200 ทั้งชายหญิงเข้าเรียนมากขึ้นเช่นระดับมัธยมปลาย เป็นต้น ส่วนข้อมูลปี 2000ระบุว่าม้งในรัฐวิสคอนซิน 60 % เรียบไม่จบ ส่วนม้งผู้ชายมีที่เรียนไม่จบ 31 % (หน้า 62)

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีรายละเอียด กล่าวแต่เพียงการเล่นเต้ง(qeej)ในพิธีกรรม(หน้า 35)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นการธำรงชาติพันธุ์ แต่กล่าวถึงการได้สัญชาติอเมริกันของม้งในโอแคลร์ โดยการเก็บแบบสอบถามแบบฟอร์ม INS( Immigration and Naturalization Service) และการได้สัญชาติโดยกำเนิดของเด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกา (หน้า 8,46,96)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม 1) ม้งที่อพยพมีบทบาท สถานภาพที่เปลี่ยนแปลงไป คือม้งที่มีอายุมากมีปัญหาเรื่องการปรับตัวในการดำรงชีวิตในสังคมสหรัฐเนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องภาษาอังกฤษนอกจากนี้จารีตประเพณีเดิมที่เคยทำกันมาคนอเมริกันและม้งรุ่นใหม่ก็มองว่าไม่เข้ากับยุคสมัย นอกจากนี้ผู้สูงอายุก็ไม่อาจสั่งสอนลูกหลานและลูกหลานก็ไม่ความนับถือ เป็นต้น (หน้า 47) 2) บทบาทของผู้ชายผู้หญิงม้ง เมื่อม้งอพยพเข้ามาอยู่สหรัฐทำให้บทบาทของม้งชาย หญิง เปลี่ยนแปลง คือเมื่ออยู่ในลาวในช่วงที่มีสงคราม ผู้ชายจะออกไปรบผู้หญิงจะทำหน้าที่ดูแลครอบครัว แต่เมื่อมาอยู่ในสหรัฐที่ยึดหลักความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง ทำให้ผู้หญิงต้องทำงานในบ้านและไปทำงานนอกบ้าน ขณะที่ผู้ชายยังเป็นผู้นำครอบครัวเหมือนในอดีตแต่ก็มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ 3) ม้งยุคใหม่ที่เกิดหรือเติบโตในอเมริกา ไม่มีความผูกพันกับวัฒนธรรมม้งขณะเดียวกันก็ไม่อาจรวมเข้ากับฝ่ายใด เนื่องจากพ่อแม่ไม่เข้าใจระบบการเรียนของสหรัฐจึงไม่อาจให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนกับลูก จากการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมในสหรัฐไม่ได้ จึงทำให้มีการฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมากทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ (หน้า 47,48)

Other Issues

ทัศนคติของคนอเมริกันต่อม้ง ในเมืองโอแคลร์มีคนจำนวนหนึ่งไม่ค่อยพอใจม้งเพราะม้งไม่คุมกำเนิดทำให้มีลูกมากมีครอบครัวขนาดใหญ่ทำให้คนในเมืองต้องจ่ายภาษีมากเพื่อให้พอสำหรับกองทุนสวัสดิการสังคมและม้งก็อยู่เฉพาะชุมชนม้งของตนเอง นอกจากนี้ม้งยังมีปัญหาในการเลือกปฏิบัติเพราะคนผิวขาวยังไม่ยอมรับชนกลุ่มน้อยจึงทำให้เกิดการเหยียดสีผิวและแบ่งแยกเชื้อชาติ (หน้า 73) คนอเมริกันบางกลุ่มที่เสียญาติพี่น้องในสงครามเวียดนามได้เกิดการเข้าใจผิดเนื่องจากไม่รู้จักม้งจึงคิดว่าม้งกับเวียดนามเป็นกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นจึงมีคนส่วนหนึ่งแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อม้งเช่นแสดงอาการเกลีดชังหรือโทรศัพท์ไปต่อว่า นอกจากนี้ประเพณีของม้งยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมอเมริกันเช่นการฉุดผู้หญิงมาแต่งงานสังคมอเมริกันมองว่าป่าเถื่อนและผิดกฎหมาย ดังนั้นผู้ชายม้งมักถูกจับ ส่วนการจัดงานศพนั้นม้งจะจัดงานที่บ้านและเชิญญาติมาจำนวนมากโดยใช้เวลาทำพิธีหลายวัน ซึ่งในสหรัฐมีข้อกำหนดเรื่องสุขภาพอนามัยจึงทำให้ม้งต้องจัดพิธีศพในสถานที่จัดงานศพและไม่อนุญาติให้ม้งเข้ามาเฝ้าศพ ดื่มหรือรับประทานอาหารในสถานที่จัดงานศพ (หน้า 45,86) สถานการณ์การสู้รบในประเทศลาว ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1949 เมื่อประเทศลาวได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส จึงได้จัดตั้งรัฐบาลลาวอิสระและกองกำลังลาวแห่งชาติ ในเวลานั้นขบวนการปเทดลาวหรือพรรคคอมมิวนิสต์ลาว ซึ่งมีขบวนการเวียดมินห์ให้การสนับสนุนเพื่อต่อต้านรัฐบาลลาวในเวลานั้น ซึ่งระหว่างปีปี ค.ศ.1950-1954 ได้เกิดการต่อสู้กันหลายครั้ง ดังนั้นอเมริกาจึงให้ความช่วยเหลือรัฐบาลลาว เนื่องจากหวั่นเกรงว่าถ้ารัฐบาลลาวแพ้ ประเทศต่างๆที่อยู่ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ กระทั่งในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1954 ฝรั่งเศสได้แพ้ขบวนการเวียดมินห์ที่สมรภูมิรบเดียนเบียนฟู จึงถอนตัวออกจากอินโดจีน (หน้า 3,23) ในปี ค.ศ.1954 ได้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการประชุมนานาชาติที่นครเจนีวาและในปีนั้นขบวนการปเทดลาวได้ยึดที่มั่นที่จังหวัดพงสาลีและซำเหนือเพื่อต่อสู้กับนัฐบาลลาวและในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ.1956 ฝ่ายปเทดลาว ยอมให้รวม 2 จังหวัดกับรัฐบาลลาวในสมัยนั้นโดยยื่นข้อเสนอเพื่อตั้งรัฐบาลผสมทั้งสองฝ่าย (หน้า 3,23) แต่การตั้งรัฐบาลยังไม่มีความราบรื่น รัฐบาลลาวยังมีนโยบายปราบปรามกองกำลังปเทดลาว แต่ฝ่ายปเทดลาวยังมีความเข้มแข็งเพราะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายเวียดมินห์ที่อยู่ในเวียดนามเหนือ ที่สนับสนุนด้านอาวุธ กำลังทหารและงบประมาณ ส่วนอเมริกาที่ให้ความสนับสนุนรัฐบาลลาวจึงขยายกำลังทหารรัฐบาล โดยจัดตั้งกองกำลังพิเศษม้งซึ่งมีนายพลวังเปาเป็นผู้นำและการที่ม้งเข้าร่วมในครั้งนี้เรียกว่า ”สงครามความลับ” อันมีหน่วยซีไอเอของอเมริกามาดำเนินการซึ่งไม่มีการตกลงด้วยข้อสัญญาทางหนังสือที่เป็นหลักฐานแต่ตกลงกันเพียงคำพูดเท่านั้น (หน้า 4,26) โดยฝ่ายอเมริกาได้สนับสนุนด้านอาหาร อาวุธและงบประมาณ โดยมีข้อตกลงว่าถ้าม้งรบชนะฝ่ายคอมมิวนิสต์ อเมริกาจะส่งเสริมทางเศรษฐกิจให้ม้งมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่ถ้าหากฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะอเมริกา ฝ่ายอเมริกาก็จะช่วยเหลือเมื่อยามหลบหนีรวมทั้งหาที่อยู่ที่ปลอดภัยให้ เป็นต้น กระทั่งเดือนมีนาคม ค.ศ.1975 ฝ่ายเวียดนามเหนือ ได้ยึดเวียดนามใต้ได้สำเร็จ ครั้นฝ่ายปเทดลาวได้รับชัยชนะนายพลวังเปาและกองกำลังม้งจำนวน 2500 คน จึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทย (หน้า 4,28) โดยมาอยู่ในค่ายอพยพเพื่อรอเดินทางไปประเทศที่ 3 บางส่วนก็หนีเข้าป่าโดยไม่ยอมแพ้ต่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ ในเวลาต่อมากลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า “เจ้าฟ้า” ส่วนกลุ่มที่ยอมแพ้ต่อฝ่ายปเทดลาว ส่วนหนึ่งก็ถูกส่งไปค่ายสัมนา(ค่ายกักกัน) (หน้า 5) การปะทะกันทางวัฒนธรรม ม้งจะจัดงานศพที่บ้านโดยจะเชิญญาติพี่น้อง โดยจัดเป็นเวลาหลายวัน แต่สหรัฐได้มีการกำหนดเรื่องสุขภาพ ดังนั้นจึงอนุญาตให้จัดพิธีศพในสถานที่กำหนด และห้ามม้งมานอนเฝ้าศพ แต่ในบางแห่งก็มีการผ่อนปรนให้เฝ้าศพได้ บางที่ก็ห้ามม้งที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ไปใช้สถานที่เหล่านั้น (หน้า 45) เนื่องจากการประกอบพิธีจะมีการเล่นดนตรี ดื่มสุรา เผากระดาษเงิน กระดาษทอง จุดธูป ฯลฯ นอกจากนี้การบูชาบรรพบุรุษของม้งก็มีการฆ่าสัตว์ จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงไม่พอใจ ดังนั้นม้งจึงฆ่าสัตว์ที่นอกเมืองจากนั้นก็จะเอาแต่หัวเข้ามาประกอบพิธี ฉะนั้นขั้นตอนการประกอบพิธีที่เต็มไปด้วยอุสรรคม้งหลายครอบครัวจึงหันมานับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 46)

Map/Illustration

ตาราง ประชากรม้งในสหรัฐอเมริกาแยกตามรัฐ (หน้า 43) Hmong Population of Wisconsin Counties, 1990 and 2000 (หน้า 49) ) Hmong Population ,1990 and 2000 : Top 20 Wisconsin Counties (หน้า 54) Percent of Total Population Hmong 2000 : Top 20 Wisconsin Counties (หน้า 55) การศึกษาของม้ง (หน้า 88) อาชีพของม้ง ,ศาสนา (หน้า 89)ม้งมีส่วนร่วมทางการเมืองในเมืองโอแคลร์,งานสังคมและกิจกรรมต่างๆ,องค์กรทางอาชีพ (หน้า 90,91) ม้งในเมืองโอแคลร์ ,ความสามารถเข้ากับวิถีชีวิตอเมริกัน (หน้า 92) สิทธิทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม (หน้า 93) เชื้อชาติมีผลต่อการยอมรับทางสังคม ,ความสามารถสำคัญกว่าลักษณะทางกายภาพ (หน้า 94) ม้งโดยทั่วไปได้รับการยอมรับในสังคมอเมริกัน (หน้า 95) แผนภูมิภาพ Population Growth , Wisconsin : 1990 - 2000 (หน้า 51) Asian Population Composition , Wisconsin : 2000 (หน้า 52) Distribution of Wisconsin’s Hmong Population ,Wisconsin Counties:2000 (หน้า 53 ) Hmong and Total Population by Age and Sex, Wisconsin :2000 (หน้า 56 ) Average Family & Household Wisconsin :2000 (หน้า 57 ) Persons Living in Owner Occupied Housing Units, Wisconsin : 1990 & 2000 (หน้า 58 ) Median Household Income, Wisconsin : 1989 & 1999 (หน้า 60 ) Median Earnings by Sex Among Year-Round , Full-Time Workers, Wisconsin :1999 (หน้า 60 ) Percent of Hmong Below Poverty Level by Age, Wisconsin :1989 & 1999 (หน้า 61)Educational Attainment for the Hmong Population 25 years and Over, Wisconsin : 1990 & 2000 (หน้า 62 )Birthplace of the Hmong Population , Wisconsin : 2000 (หน้า 62) Language Spoken at Home for Hmong Persons 5 years and Over, Wisconsin : 2000 (หน้า 64 ) Limited – English Proficient Hmong Student by Grade Level in 16 Wisconsin Counties,2001 (หน้า 62 ) แผนที่ ประเทศลาว (หน้า 25) ทุ่งไหหิน (หน้า 27) รัฐวิสคอนซิน (หน้า 38) เมืองโอแคลร์ (หน้า 40) ภาพ ทหารเกณฑ์ชาวม้ง (หน้า 29) คนลาวอพยพ พฤษภาคม 1975 (หน้า 32) ศูนย์อพยพม้งในไทย (หน้า 34) เครื่องดนตรีพื้นบ้านทำด้วยไม้ไผ่เรียกว่า “เต้ง” (qeej) (หน้า 35) Wisconsin Counties Hmong Population ,2000 (หน้า 50 ) การตั้งถิ่นฐานของม้งในเมืองโอแคลร์ (หน้า 67) ร้านขายของชำม้ง (หน้า 77) สินค้าส่วนใหญ่สั่งจากไทย,บัตรโทรศัพท์ (หน้า 78) ตลาดผักผลไม้(หน้า 79) สมาคมม้งในโอแคลร์ (หน้า 80) สถานที่ประกอบพิธีศพในโอแคลร์ (หน้า 81) โบสถ์ม้งในโอแคลร์ ,กิจกรรมเยาวชนม้ง (หน้า 82)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ม้ง, การย้ายถิ่น, การปรับตัว, สถานภาพทางสังคม, สหรัฐอเมริกา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง