สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject จ้วง(ไทดำ,ผู้ไต่),ผู้หญิง,การจัดการครัวเรือน,มณฑลกวางสี,จีน
Author ชุลีพร วิมุกตานนท์
Title บทบาทผู้หญิงในสังคมชาวนาต่อการจัดการครัวเรือน : กรณีศึกษาผู้หญิงจ้วง:ไทดำ (ผู้ไต่) ในมณฑลกวางสี ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), มหาวิทยาลัยพายัพ Total Pages 69 Year 2544
Source มหาวิทยาลัยพายัพ
Abstract

เนื้อหางานกล่าวถึงการศึกษาเงื่อนไขทางวัฒนธรรมและประเพณีที่กำหนดบทบาทของผู้หญิงในการจัดการครัวเรือนของผู้หญิงจ้วง(ผู้ไต่)หรือไทดำ ที่อยู่ตำบลจินหลง อำเภอหลงโจว มณฑลกวางสี ประเทศจีน และการอยู่ร่วมกันของชายและหญิงซึ่งดูจากบทบาทของผู้หญิงในครอบครัวในฐานะต่างๆเช่นการเป็นลูกสาว ภรรยา แม่ และได้ศึกษาการปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้ชายและผู้หญิงผู้ไต่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม

Focus

ศึกษาการดำรงอยู่ร่วมกันของหญิง ชายในสังคมชาวนาจ้วง(ผู้ไต่) ซึ่งพึ่งพาผลผลิตด้านการเกษตรส่งผลให้เกิดการแบ่งบทบาทและหน้าที่กันระหว่างหญิง ชายและคุณค่าหรืออุดมการณ์เบื้องหลังปรากฏการณ์เฉพาะเกี่ยวกับบทบาทหญิง ชายที่มีต่อการจัดการครัวเรือนชาวไร่-นา และการปรับบทบาทหญิงชาย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม (หน้า 8)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

จ้วง(ผู้ไต่) ในประเทศจีนส่วนมาก”จ้วง”ตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้ในมณฑลกวางสี “จ้วง” คือชื่อที่จีนเรียกชนกลุ่มน้อยที่ตั้งรกรากอยู่ด้านตะวันตกของมณฑลกวางสีและตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของจีน “จ้วง” เรียกตัวเองอยู่หลายชื่อตามแต่พื้นที่ที่อยู่อาศัย อาทิเช่น กลุ่มที่เรียกตนเองว่า ผู้ใหญ่ ผู้โต ผู้เหล่า ผู้ จูงจะตั้งรกรากอยู่พื้นที่ทางตอนเหนือของมณฑลกวางสี กลุ่มที่เรียกตนเองว่า ผู้โท้ นุง ผู้บ้าน ผู้ไต่ จะอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลกวางสีกับในมณฑลยูนนาน ภาคตะวันออกเฉียงใต้ติดกับพรมแดนลาวและเวียตนาม สำหรับจ้วงที่อยู่ทางตอนเหนือคำที่เรียกตนเองจะหมายถึง “ใหญ่,โต” ส่วน”ผู้เหล่า” ก็หมายถึง “ผู้สูงอายุ,ผู้ใหญ่” สำหรับจ้วงที่อยู่ทิศใต้ก็เรียกตัวเองโดยใช้คำที่มีความหมายต่างกันได้แก่ “ผู้โท้” หมายถึง “ผู้ที่เป็นคนพื้นถิ่นซึ่งอาศัยอยู่ตั้งแต่เดิม ”ผู้บ้าน “คือ”ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้าน ไม่ได้อยู่ป่าหรือถ้ำ” ส่วน”ผู้ไต่”ที่ตำบลจินหลงอันเป็นพื้นที่ศึกษาบางส่วนได้ย้ายมาจากเวียตนามในพื้นที่อำเภอหลงเจา โดยมาบุกเบิกที่ดินทำกินเป็นกลุ่มแรกต่อมามีอีกกลุ่มอพยพมาสมทบเรียกว่า “ผู้หนง” คือ”ผู้มาทีหลัง” กลุ่มนี้จะมีฐานะไม่ดีเท่ากับ”ผู้ไต่” ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินทำกินจะทำงานรับจ้างให้กับทหารและข้าราชการ เป็นต้น ส่วนคำว่า “ไทดำ” เป็นชื่อของชาติพันธุ์ที่ตั้งรกรากอยู่บริเวณชายแดนจีนของมณฑลกวางสีและยูนนาน กับชายแดนของประเทศเวียตนามที่เมืองซ่างเหลียงกับเมืองอื่นๆ ส่วนประชากรศึกษาที่อยู่ที่ตำบลจินหลง อำเภอหลงโจว มณฑล กวางสีของจีน ซึ่งอยู่ติดกับเมืองซ่างเหลียงของเวียตนาม คาดว่าผู้ไต่กับไทดำมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันจนเหมือนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ทั้งนี้ “จ้วง” ในตำบลจินหลงเรียกตนเองจะเรียกว่า ”ผู้ไต่”(หน้า 1,5,17,18) สำหรับ”โซ่ง”หรือ”ไททรงดำ“ คือกลุ่มไทดำที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งรู้จักในชื่อ “โซ่ง” หรือ”ไททรงดำ“ เชื่อกันว่า ไทดำที่อยู่ในเวียตนามและจีนคือบรรพบุรุษของ”โซ่ง”ในประเทศไทย ที่โยกย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (หน้า 2) จากงานศึกษา ปราณี กุลละวณิชย์ ระบุว่า “จ้วง” เริ่มปรากฏในเอกสานจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง(Sung Period ) ระหว่าง ค.ศ.960-1279 จากความหมายในตัวหนังสือจีนได้เขียนด้วยตัวหนังสือ 2 ตัว สำหรับคำแรกแปลว่า “ชน” หรือ” ปะทะ” คำที่สองออกเสียงว่า “จ้วง” ซึ่งสันนิษฐานว่า “จ้วง”หมายถึง”ต่อสู้,ปะทะ” ในภายหลังตัวหนังสือของจีนได้ใช้ตัวหนังสือที่ให้ความหมายที่แตกต่างกันได้แก่ ใช้ตัวหนังสือที่ให้หมายถึง “สัตว์” กระทั่ง ค.ศ.1968 ทางการจีนได้เปลี่ยนมาใช้ตัวหนังสือที่หมายถึง “ แข็งแรง,เติบโต ” (หน้า 16)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาจ้วง(ผู้ไต่) พูดภาษาตระกูลไท-ลาว จ้วงที่อยู่ในแต่ละพื้นที่จะมีภาษาท้องถิ่นที่ต่างกัน จ้วงไม่มีตัวหนังสือเป็นของตนเอง (หน้า 1,5,16)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนาม (9-23 ตุลาคม 2537)(หน้า 8)

History of the Group and Community

ประวัติความเป็นมาของจ้วง(ผู้ไต่)ในจีน ชนชาติจ้วงเป็นชนชาติส่วนน้อยที่มีจำนวนมากที่สุดในจีน มีประชากรไม่น้อยกว่า 14 ล้านคนตั้งรกรากอยู่ที่ยูนนาน กุ้ยโจว หูหนาน กว้างตุ้ง เสฉวน “จ้วง”สืบเชื้อสายมาจากชาวเหย่โบราณสาขาหนึ่ง ซึ่งในสมัย ราชวงศ์โจวกับราชวงศ์ฉินเรียกว่า พวกซีโอวกับลั่วเยว่ ภายหลังในสมัยราชวงศ์ฮั่นกับราชวงศ์ถาง มีชื่อเรียกว่า เหล่า,หลี่,อูหู กระทั่งสมัยราชวงศ์ซ่งจีนเรียกกลุ่มนี้ จ้วงเหญิน,เหลียงเหญิน,ถูเหยิน เมื่อปี 221 ก่อน ค.ศ.จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงส่งกองทัพ 5 แสนนายไปโจมตีเขตหลิงหนาน (กวางสีกับกวางตุ้ง) ที่อยู่ของชาวซีโอวกับลั่วเยว่ โดยมีชัยชนะเหนือกลุ่มซีโอวเมื่อปี 214 ก่อน ค.ศ.จึงตั้งเขตการปกครองระดับจวิ้น 3 แห่งคือ กุ้ยหลิน หนานไห่ และเสี้ยง (หน้า 14) เมื่อปี 207ก่อน ค.ศ.เมื่อราชวงศ์ฉินล่มสลาย ขุนศึกของจิ๋นซีได้โจมตีกุ้ยหลินกับอาณาจักรเสี้ยงและก่อตั้งรัฐอิสระหนานเยวา(เยว่ใต้) ซึ่งประชาชนสวนใหญ่เป็นชาวเยว่ กระทั่งปี 111 ก่อน ค.ศ.จักรพรรดิฮั่นหวู่ตี้ได้ยึดครองอาณาจักรหนานเยว่ สำเร็จจนถึงสมัยราชวงศ์ถางถึงราชวงศ์เป่ยซ่ง(ซ่งเหนือ) จึงมีการแบ่งการปกครองออกเป็นระดับโจว(จังหวัด) เสี้ยน(อำเภอ) ในช่วงนั้นได้เกิดการสู้รับกับอาณาจักรแกวหรือเวียตนาม ไทนุงที่อยู่ในเขตชาวจ้วง ในกวางสีนำโดยหนุงจื้อเกา จึงนำผู้คนเข้าต่อสู้การรุกรานของเวียตนาม ต่อมาหนงจื้อเกาได้ตั้งอาณาจักรหนานเทียนกั๋ว ในพื้นที่กวางสี ต้าเทียนกั๋วที่หนานหนิง ภายหลังราชวงศ์ซ่งได้ส่งกองกำลังเข้าปราบปราม หนงจื้อเกาจึงหลบหนีไปเสียชีวิตในอาณาจักรต้าหลี่ (หนานเจาเดิม) ปี ค.ศ.1075 อาณาจักรแกวได้โจมตีพิ้นที่กวางสีอีกครั้ง จึงทำให้มีชาวจ้วงเป็นจำนวนมากโยกย้ายไปอยู่ในเขตเหวินซาน มณฑลยูนนาน (หน้า 15) ค.ศ.1492-1571 สมัยราชวงศ์หมิง ชาวจ้วงได้ลุกฮือขึ้นจึงถูกกองทัพของรัฐบาลในสมัยนั้นปราบปรามแล้วยึดอำนาจจากประมุขชนพื้นเมืองเยว่(จ้วง) มาอยู่ในการปกครองของรัฐบาลจีน ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1911 พรรคปฏิวัติที่นำโดยซุนยัดเซ็นได้ปฏิบัติการที่อู่ซาง ราชวงศ์ชิงล่มสลาย หลังจากที่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้ระบบการปกครองตนเองในเขตของชนชาติส่วนน้อย กวางสีจึงได้รับการตั้งขึ้นเป็น”แคว้นปกครองตนเองของชนชาติจ้วงกวางสี”ในระดับมณฑล (หน้า 15)

Settlement Pattern

บ้านผู้ไต่ สร้างบ้านแบบใต้ถุนสูง โดยจะวางเสาทุกต้นเอาไว้บนหินหน้าตัด มุงด้วยกระเบื้องหลังคาบางส่วนจะมุงหญ้า บ้านปูด้วยไม้กระดานโดยเว้นช่วงเป็นช่องว่างเพื่อระบายอากาศ ผนังบ้านกั้นด้วยไม้กระดานพื้นที่ใช้สอยในบ้านจะแบ่งเป็นห้องต่างๆคือห้องโถงเป็นที่รับแขกและมีที่บูชาบรรพบุรุษ ห้องนอน ส่วนห้องครัวจะอยู่ทางด้านหลังบ้านตั้งเตาไฟไว้บริเวณกลางห้อง นอกชานทางด้านหน้าบ้านจะเป็นที่ตากข้าวหรือสิ่งของต่างๆ และเป็นที่นั่งพักผ่อน สำหรับพื้นที่ใต้ถุนบ้านจะใช้เป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์เช่น หมู วัวและควายเป็นต้น บางครั้งหากไม่เลี้ยงสัตว์ก็จะใช้เป็นที่นั่งทำงานทอผ้าหรือทำงานตกสาน และอื่นๆ (หน้า 5,ดูภาพหน้า 6)

Demography

ประชากรจ้วง(ผู้ไต่) ในประเทศจีนมี 15.5 ล้านคน ส่วนมากอยู่ในมณฑลกวางสีทางตอนใต้ของจีน (หน้า 1)

Economy

แต่เดิมผู้ไต่จะปลูกข้าวเป็นหลักเว้นแต่ในพื้นที่ภูเขาหินและที่ราบสูงซึ่งมีความแห้งแล้งและขาดน้ำ กระทั่งต้นทศวรรษ 1980 ผู้ไต่ที่อยู่ในตำบลจินหลงและพื้นที่ต่างๆของชนบทในประเทศจีนมีการเริ่มปฏิรูประบบคอมมูนของประชาชนโดยเอาที่ดินทำกินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมของหมู่บ้านเพื่อมาแบ่งให้กับครอบครัวที่ทำนาเพื่อรับเหมาในการปลูกพืชในระยะยาวตามจำนวนสมาชิกและแรงงานของแต่ละครัวเรือน หลังจากที่ได้ผลผลิตก็จะขายให้กับรัฐตามที่ทำสัญญาและเสียค่ารับเหมาที่ดินแก่กองการผลิต (หน้า 7) ทั้งนี้การใช้ระบบรับผิดชอบรับเหมาเพื่อทำการผลิตของครอบครัวทำให้ชาวนาผู้ไต่เกิดความกระตือรือร้นและเกิดการขยายการผลิตไปสู่การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรรวมทั้งสินค้าหัตถกรรมชนิดอื่นจึงทำให้ชาวนาผู้ไต่มีรายได้มากกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นจึงทำให้เศรษฐกิจแบบเลี้ยงดูตนเองเปลี่ยนมาเป็นเศรษฐกิจแบบการค้า(หน้า 61-63)

Social Organization

สังคมผู้ไต่ เป็นสังคมชาวนามีระบบการผลิตแบบเลี้ยงตัวเอง สำหรับการทำงานในไร่นา หน้าที่ชาย หญิงจะไม่แบ่งแยกออกจากกันการทำงานจะช่วยเหลือกันเช่น เมื่อผู้ชายทำไร่นา ผู้หญิงก็จะหว่านไถปักดำ เก็บเกี่ยวนอกจากนี้ก็ทำงานบ้านเช่นตักน้ำ ผ่าฟืน ปลูกผักสวนครัว ซึ่งลักษณะดังกล่าวทำให้คนภายนอกมองว่าผู้หญิงผู้ไต่ทำงานหนักกว่าผู้ชายเพราะเป็นงานที่ไม่มีรายได้ ซึ่งช่องว่างของความแตกต่างหญิงชายนี้สังคมผู้ไต่มีกลไลทางวัฒนธรรมและประเพณีจึงทำให้ไม่มีความขัดแย้งรวมทั้งช่วยลดช่องว่าของความแตกต่างระหว่างเพศ (หน้า 7) ครอบครัว หมู่บ้านของผู้ไต่โดยมากจะอยู่แบบแซ่เดียวบางครั้งก็จะมี 2 แซ่อยู่ด้วยกัน ในแต่ละครัวเรือนจะถือเอาครัวไฟเป็นการนับครัวเรือน ซึ่งอาจมีบางครอบครัวที่มี 2-3 ครอบครัวอยู่รวมในครอบครัวเดียวกัน สังคมผู้ไต่การแต่งงงานจะเป็นลักษณะแบบผัวเดียวเมียเดียว เมื่อแต่งงานแล้วคู่สมรสจะอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ของฝ่ายหญิงหรือบ้านฝ่ายชาย โดยจะอยู่สักระยะก็จะย้ายออกไปสร้างบ้านเรือนของครอบครัวตนเอง แต่การปรนนิบัติพ่อแม่นั้นจะมีลูกคนใดคนหนึ่งจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้และคู่ครองอยู่กับพ่อแม่เพื่อดูแลตอนชราโดยจะเป็นผู้ได้รับมรดกเป็นบ้านและที่ดินของพ่อแม่ (หน้า 37) ในครอบครัวผู้ที่เป็นสามีจะเป็นผู้นำปกครองดูแลสมาชิกครอบครัวส่วนลูกๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะทำงานในไร่นาช่วยเหลือพ่อแม่และลูกสาวต้องช่วยทำงานบ้านเช่นหุงข้าว ทำความสะอาดบ้านเรือน ทอผ้าและอื่นๆ ส่วนคนสูงอายุถ้าหากยังแข็งแรงอยู่ก็จะช่วยทำงานในไร่นาและดูแลบ้านเลี้ยงดูลูกหลานเลี้ยงสัตว์เป็นต้น (หน้า 39-41) บทบาทผู้หญิงในสังคมผู้ไต่ สังคมผู้ไต่แบ่งผู้หญิงออกเป็น 3 ช่วงวัยได้แก่วัยเด็กถึงวัยสาว วัยแต่งงานมีครอบครัวและวัยกลางคนถึงวัยชรา ซึ่งแต่ละช่วงวัยมีบทบาทหน้าที่ดังนี้เด็กหญิงและผู้หญิงจะมีบทบาทในการช่วยทำนา ทำสวน ไร่ ค้าขายและอื่นๆ ในวัยมีครอบครัวจะทำหน้าที่เลี้ยงลูกและทำงานในไร่ สวนวัยกลางคนและวัยชราจะช่วยทำงานบ้านและทำงานในไร่ เช่นเลี้ยงหลาน ทำกับข้าว เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ทำนา ฯลฯ ในสังคมของผู้ไต่จะให้ความสำคัญกับผู้หญิงเนื่องจากว่าผู้หญิงทำงานหนัก แม้ว่าในตำบลจินหลง อำเภอหลงโจวจะมีเนื้อที่เพาะปลูกน้อยเนื่องจากเป็นภูเขาหิน ขาดน้ำเพาะปลูก เป็นต้น (หน้า 45-50) การควบคุมสังคมโดยใช้จริยธรรมทางเพศ 1) การหย่าร้างและการแต่งงานใหม่ การหย่าจะเกิดขึ้นในสังคมผู้ไต่หลายกรณีเช่น สามีทำร้ายภรรยา สามีเกียจคร้านไม่ขยันทำงาน ส่วนสามีจะหย่าเมื่อภรรยาไม่สามารถให้กำเนิดลูกเมื่อหย่าผู้หญิงจะคืนค่าสินสอดให้กับฝ่ายชาย ส่วนผู้ชายก็จะคืนเครื่องแต่งงานให้กับฝ่ายหญิง แต่ถ้ากรณีผู้หญิงขอหย่าเนื่องจากมีชู้จะถูกปรับเป็น 2 เท่าขอมูลค่าสินสอด เป็นต้น (หน้า 41) 2) การมีชู้ เมื่อก่อนนี้ถ้าผู้หญิงมีชู้แล้วตั้งท้อง ต้องสารภาพว่าเป็นชู้กับผู้ใด หากไม่บอกและถูกจับได้ก็จะให้ม้า 5 ตัวแยกร่าง แต่ถ้าหากยอมรับสารภาพก็จะไม่ถูกลงโทษและหากสามีเก่าไม่ยอมให้แต่งงานใหม่ก็ต้องอยู่เป็นแม่หม้ายที่บ้านของพ่อแม่ตนเองเรื่อยไป เป็นต้น (หน้า 42) 3) การข่มขืน ตามจารีตเดิมของผู้ไต่ระบุว่าถ้าจับผู้ข่มขืนได้ให้ลงโทษโดยให้ไปใช้แรงงานช่วยเหลือส่วนรวมหากไม่ยินยอมก็จะถูกลงโทษอย่างสาหัส ถูกไล่ออกจากสมาชิกของตระกูล บางครั้งอาจถูกไบ่ออกจากหมู่บ้านฯลฯ (หน้า 42) 4) การลักพา จารีตเดิมของผู้ไต่ถือว่าการรุมทำร้ายผู้ที่ฉุดคร่าผู้หญิงไม่เป็นไร หากสามีไปเจอภรรยาที่ถูกลักพาตัวหากจะพากลับก็ทำได้หรือหากมีลูกกับคนอื่นก็สามารถพากลับได้ แต่ถ้าผู้ชายหาภรรยาไม่พบก็ต้องเสียเงินให้แก่ญาติฝ่ายภรรยา ฯลฯ (หน้า 42)

Political Organization

เมื่อมีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลกลางได้ประกาศหลักสำคัญที่ใช้บังคับในเขตการปกครองตนเองของชนชนติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1952 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เสนอให้แคว้นปกครองตนเองชนชาติจ้วงกวางสีให้อยู่ระดับมณฑล (หน้า 15) ภายหลังในเดือนมีนาคม ค.ศ.1958 จึงได้มีการจัดตั้งแคว้นปกครองตนเองชนชาติจ้าง กวางสี โดยมีมีพลเอกเหวยก๋อชิง ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ประธานแคว้นปกครองตนเอง นับจากนั้นแคว้นปกครองตนเองกวางสีได้ปรับปรุงเขตการปกครองตนเองหลายครั้งด้วยกัน กระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1993กวางสีได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 เขต สำหรับพื้นที่กรณีศึกษาตำบลจินหลง อำเภอโหลงโจว อยู่ในเขตปกครองหนานหนิง อันเป็น 1 ใน 8 เขตประกอบด้วย 11 อำเภอ (หน้า 16) “พ่อบ้าน”หรือ “ตู่หล่าว” ในหมู่บ้านจะมีผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้อาวุโสที่เป็นชายสูงอายุ เรียกว่า “ พ่อบ้าน”หรือ “ตู่หล่าว”ซึ่งเป็นผู้ที่คนในหมู่บ้านให้ความเคารพมีความประพฤติดีมีความยุติธรรมและรู้ขนบธรรมเนียบประเพณีเป็นอย่างดี หน้าที่ของบ้านคือจะเป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ดูแลการใช้สอยทรัพยากรสิ่งแวดล้อมร่วมกันของคนในหมู่บ้านเช่นจัดระเยบข้อบังคับต่างๆ เป็นหัวหน้าในการสร้างสิ่งสาธารณูปโภค เป็นผู้ไกล่เกลี่ยหากเกิดการทะเลาะวิวาท จัดกิจกรรมเซ่นไหว้ตามประเพณี ฯลฯ คนที่มาทำหน้าที่นี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งหากทำตัวไม่เหมาะสมขาดความยุติธรรมชาวบ้านก็จะไม่เชิญมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือตัดสินคดีต่างๆหน้าที่พ่อบ้านก็ต้องสิ้นสุดลง (หน้า 46-47)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อ ผู้ไต่มีความเชื่อในเทพหลายองค์ผสมผสานกับความเชื่อใน ลิทธิเต๋า ไสยศาสตร์ และศาสนาซือกง ในการศึกษาได้กล่าวถึงความเชื่อที่ปรากฏในข้อห้ามต่างๆดังต่อไปนี้ (หน้า 27) 1) วันเทศกาลและพิธีกรรม เช่นข้อห้ามในวันตรุษจีนซึ่งตรงกับวันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย ไม่ให้กล่าวคำอัปมงคล ห้ามพูดหยาบ ห้ามร้องไห้เพราะจะเป็นการละเมิดผีบรรพบุรุษ ห้ามทำลายสิ่งที่เป็นสิริมงคล ห้ามกวาดบ้านเพราะจะทำให้เงินทางไหลออกนอกบ้าน ฯลฯ (หน้า 27,28) 2) บ้านเรือน ห้ามสร้างประตูหน้าด้านข้างเพราะว่าการสร้างประตูด้านข้างทำให้เทพประตูไม่ดีครอบครัวไม่เจิญก้าวหน้า ประตูหลังไม่ให้สร้างอยู่ตรงกลางเพราะถ้าสร้างตรงกลางทะลุกับประตูหน้าจะทำให้เงินทางในบ้านรั่วไหล ห้ามผู้หญิงปูที่นอนอยู่บนห้องนอนของผู้ชายเพราะจะทำให้ชะตาตก ถ้าแขกผัวเมียมาค้างคืนห้ามนอนด้วยกันเพราะจะทำให้เกิดสิ่งไม่ดี ฯลฯ (หน้า 28) 3) ห้องครัว ห้ามเหยียบบนเตาไฟและไม่ให้นำสิ่งของมาตีเตาไฟ ห้ามถ่มน้ำลายข้างเตาไฟเพราะจะเป็นการล่วงเกินเทพเจ้าเตาไฟจะทำให้เทพเจ้าเตาไฟไม่คุ้มครองหรือเทพเจ้าเตาไฟอาจย้ายไปอยู่ที่ใหม่ เมื่อจะใส่ฟืนเข้าเตาไฟ ไม่ให้ใส่ปลายฟืนเข้าเตาก่อนเพราะหากฝ่าฝืนหากเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์เด็กในครรภ์จะกลับหัวทำให้คลอดยาก ห้ามคนสองคนเป่าไฟพร้อมกันเพราะจะทำให้เกิดการวิวาทกัน ฯลฯ (หน้า 28) 4) ข้อห้ามที่ป้ายเทวดา เช่น ห้ามฉีกหรือทำให้กระดาษที่นั่งแท่นเทวดาสกปรกเพราะจะเป็นการล่วงเกินเทวดาของบรรพบุรุษ ผีบรรพบุรุษจะไม่คุ้มครอง ห้ามแตะต้องกระถางธูปบนแท่นของบรรพบุรุษ เพราะถือว่าไม่ให้ความเคารพ ผีบรรพบุรุษจะไม่ปกปักรักษา ฯลฯ (หน้า 29) 5) ห้องนอน ห้ามผู้หญิงมีครรภ์หรือกำลังอยู่ไฟเข้าห้องนอนผู้ชายเพราะจะทำให้ผู้ชายคนดังกล่าวอัปโชค ห้ามพ่อเข้าห้องนอนของลูกสะใภ้เพราะจะทำให้คลอดลูกยากฯลฯ (หน้า 29) 6) อาหารการกิน เช่น ในเดือนข้าวการกินข้าวไม่ให้เคาะชามข้าวเพราะจะทำให้การเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ห้ามเด็กกินตีนไก่หรือตีนเป็ดเพราะจะทำให้เขียนหนังสือไม่สวยงาม ห้ามเด็กกินเนื้อวัวควายเพราะจะทำให้ตาบอด คนตั้งแต่วันกลางคนลงมาไม่ให้กินไก่ที่ตายในเล้าเพราะเชื่อว่าวันข้างหน้าอาจทำให้ต้องตายอยู่ในคุก เป็นต้น (หน้า 29) 7) การออกนอกบ้าน หากออกไปค้าขายในตอนเช้าถ้ามีคนยืนขวางประตูเป็นเวลานานเชื่อว่าจะทำให้ค้าขายไม่ดี เมื่ออกประตูเห็นต้นไม้หรือกิ่งไม้หักที่หน้าบ้านหรือระหว่างทางถือว่าเป็นลางร้าย ฯลฯ (หน้า 30) 8) การแต่งงาน ห้ามเครือญาติภายในห้าชั่วอายุคนแต่งงานกันเพราะจะทำให้หมดผู้สืบตระกูล วันแต่งงานห้ามสวนทางหรือเดินคู่ขบวนหามศพระหว่างทางหากเห็นในระยะไกลให้หลีกทางเพราะจะทำให้มีเคราะห์ ฯลฯ (หน้า 30) 9) ชีวิตความเป็นอยู่ ขณะกินข้าวห้ามสั่งน้ำมูก ถ่มน้ำลาย เคาะชามเพราะถือว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดี ห้ามผู้หญิงเปลี่ยนตะเกียบขณะกินข้าว หากตะเกียบตกพื้นให้นำไปล้างแล้วกลับมาใช้อีกครั้ง ห้ามเปลี่ยนตะเกียบคู่ใหม่เพราะหากทำก็เหมือนเปลี่ยนสามีใหม่และอื่นๆ (หน้า 31) 10) การเซ่นไหว้ ห้ามหยิบสิ่งของ เงินทองที่คนอื่นวางไว้บนแท่นบูชาในเวลาเซ่นไหว้ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดต่อพระเจ้าพระเจ้าจะลงโทษในวันหน้าจะโชคร้าย ขณะเซ่นไหว้ห้ามส่งเสียงดังเพราะเทวดาจะลงโทษ ฯลฯ (หน้า 31) 11) งานศพ เมื่อพ่อแม่เสียชีวิตก่อนจะนำศพไปฝังลูกและคนในครอบครัวไม่ให้กินของคาวให้กินเจ ระยะเวลาตั้งศพไม่ให้คนในบ้านนอนเตียงที่มีขาแต่ให้นอนบนพื้นที่ข้างโลงศพเพราะเฝ้าศพ เมื่อพ่อแม่เสียชีวิตในช่วง 90-120 วัน ห้ามลูกๆที่แต่งงานแล้วนอนกับคู่ครอง ห้ามขี่ม้า ห้ามร้องเพลงพื้นเมืองนอกบ้าน ห้ามดื่มเหล้า หากพ่อแม่เสียชีวิตคนที่เป็นลูกจะต้องแต่งกายไว้ทุกข์ 3 ปี หากยังไม่เชิญหมอผีมาประกอบพิธีไม่ให้ถอดชุดไว้ทุกข์ ฯลฯ (หน้า 31) 12) การผลิต ในวันขึ้น 6 ค่ำเดือน 6ห้ามทำงานในนาเพราะจะทำให้พระเจ้าไม่ได้พักผ่อนในวันเทศกาลและการเก็บเกี่ยวจะไม่ได้ผลดี “วันเฟินหลง”เดือน 5 ห้ามหาบหรือถือถังใส่ปุ๋ย ไม่ให้นำน้ำปัสสาวะไปเทเพราะจะ (32) (ตารางประเพณีในรอบปี หน้า 26)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของผู้ไต่ หญิงผู้ไต่ไว้ผมเปียพันรอบศีรษะ ใช้ผ้าย้อมโพกหัว ใส่เสื้อแบบไม่มีปก ผ่าบริเวณด้านหน้าแล้วป้ายมาทางด้านข้าง แขนเสื้อจะมีลักษณะแคบ ชายเสื้อยาวเลยหัวเข่าลงมา สวมผ้าถุงหรือกางเกงขายาว ที่เอวจะผูกผ้ายาวขนาด 3 ถึง 4 เมตรแล้วก็ปล่อยชายผ้าไว้ทางด้านหลัง (ภาพหน้า 24)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ เขตติดต่อมณฑลกวางสีของจีนกับประเทศเวียดนาม (หน้า 3) เขตติดต่อมณฑลกวางสีและมลฑลอื่นๆ (หน้า 4) ภาพ บ้านเรือนชาวนาผู้ไต่ (หน้า 6) ภูมิประเทศตำบลจินหลง อำเภอโหลงโจว(หน้า 13) ตลาดจินหลง , สะพานข้ามชายแดนจีน-เวียตนาม (หน้า 20) การค้าชายแดน(หน้า 21)อาหารของชาวผู้ไต่ (หน้า 23) การแต่งกายแบบดั้งเดิม,เครื่องมือทำมาหากิน (หน้า 24)พ่อมด แม่มด (หน้า 33) แม่มดหนง ซิว เจ๋ (หน้า 34) พ่อมด หลี่ เซ่า เหว่ย (หน้า 35) พื้นที่ทำกินของชาวผู้ไต่ (หน้า 44) การตั้งชื่อหมู่บ้านของชาวผู้ไต่ (หน้า 51) แรงงานหลักของครอบครัวคือผู้หญิง(หน้า 52) การแบ่งงานชายหญิงในไร่นา (หน้า 53) ภาระงานเกษตร (หน้า 54) งานของผู้หญิงผู้ไต่ (หน้า 55) งานในไร่นาและครัวเรือน (หน้า 56) ผู้หญิงผู้ไต่กับการค้าขายในตลาด (หน้า 57) เครือข่ายสังคมของหญิงผู้ไต่ (หน้า 58) ความสนใจที่แยกตามเพศ (หน้า 59) บทบาทที่ดำรงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง (หน้า 60)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 18 พ.ค. 2559
TAG จ้วง(ไทดำ, ผู้ไต่), ผู้หญิง, การจัดการครัวเรือน, มณฑลกวางสี, จีน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง