|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ผู้มีบุญ |
Author |
Christian Culas |
Title |
ขบถผู้มีบุญ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
550 |
Year |
2541 |
Source |
Thèse, Presentée en vue du grade de Docteur en ethnologie de l’université Provence |
Abstract |
งานวิจัยเรื่องขบถผู้มีบุญ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่องรูปแบบการแสดงออกทั้งทางการเมืองและศาสนาที่ปรากฏ ขึ้นในช่วงเกิดวิกฤตกาลอย่างรุนแรง เมื่อฐานรากขององค์กรทางสังคมถูกสั่นคลอน ผู้มีบุญจะแสดงความพิเศษทางศาสนาและพิธีกรรมที่เกี่ยวพันกับศาสนาดั้งเดิม และเป็นส่วนเติมเต็มของลัทธิคนทรงเจ้า (หน้า 469) เพื่อให้ตระหนักถึงลัทธิผู้มีบุญ ภายใต้มุมมองที่สอดคล้องเหมาะสมกับทัศนคติมุมมองที่ชาวม้งมีมากที่สุด สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนยืนยันเกี่ยวกับการพัวพันอยู่กับการเข้าไปเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่รวมเอาสาเหตุและผลของขบถผู้มีบุญกับการทำสงครามกองโจร ทั้ง ๆ ในประวัติของขบถผู้มีบุญเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการขบถ ไม่มีความจำเป็นด้านเหตุและผลซึ่งกันและกัน นักวิจัยส่วนใหญ่ที่เขียนเกี่ยวกับสงครามกองโจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ทั้งสองอย่างนี้ “มาจากตัวของตัวเอง” และพัฒนาไปอย่างอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ดังตัวอย่างทั้งสองต่อไปนี้ (หน้า 469) สงครามกองโจรสามารถดำเนินไปโดยไม่ต้องพึ่งผู้มีบุญ ในช่วงระหว่างปี พ. ศ. 2510 ถึงปี 2525 สงครามกองโจรในภาคเหนือของประเทศไทย นำโดยม้งที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีน ไม่มีอุดมคติเรื่องพระศาสดาแห่งเสรีภาพ ไม่มีพื้นฐานแนวคิดเรื่องผู้มีบุญเลย (หน้า 469) ลัทธิผู้มีบุญงาวา ไม่ได้เข้าร่วมกับสงครามกองโจร เป็นผู้นำทางวิญญาณ ลัทธิอันเงียบสงบขัดแย้งกับความรุนแรงของกองทัพตั้งแต่รากเหง้า (หน้า 470) ในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนได้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญ หลังการหายตัวไปของผู้มีบุญอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะกลุ่มของผู้มีบุญ ชองเลอ และงาวา อนึ่งลักษณะการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2503 นั้น บรรดาสานุศิษย์ไม่ได้ดำเนินกิจกรรมทางศาสนาและการเมืองหลังจากผู้มีบุญเสียชีวิตหรือถูกจับตัวคุมขัง การเคลื่อนไหวของผู้มีบุญชองเลอและผู้มีบุญงาวาเด่นชัดกว่าของผู้มีบุญสามคนแรก คือ ทั้งสองได้เขียนคัมภีร์ที่สามารถใช้งานได้จริง ๆ ไว้ ผู้มีบุญชองเลอมีเวลาพอที่จะพิมพ์ข้อความต่าง ๆ ที่ร้อยเรียงไว้ในคัมภีร์ลงระบบคอมพิวเตอร์ แล้วส่งไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนพระคัมภีร์ของผู้มีบุญงาวาส่วนใหญ่ยังคงเป็นความลับอยู่มาก เป็นไปได้ว่าม้งรู้จักวิธีอนุรักษ์ความรู้ในพระคัมภีร์ที่กลุ่มม้งจะเข้าถึงได้ ภายใต้รูปแบบที่ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้าถึงการเคลื่อนไหวนี้ได้ในทางปฏิบัติ พระคัมภีร์มีการถ่ายเสียงเพื่อประกันว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญจะอยู่รอดหลังจากที่เขาเสียชีวิตไป (หน้า 475) ปี พ.ศ. 2518 กลุ่มคอมมิวนิสต์เข้ายึดอำนาจในลาว ทำให้ม้งหลายหมื่นคนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ในจำนวนนี้มีสานุศิษย์ของผู้มีบุญชองเลออยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสานุศิษย์ของผู้มีบุญงาวา ปัจจุบันนี้สานุศิษย์ได้กระจัดกระจายไปอยู่สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รวมทั้งออสเตรเลีย และยังคงดำเนินกิจกรรมการเคลื่อนไหวภายใต้รูปแบบอื่นๆ ลูกศิษย์โดยตรงของผู้มีบุญชองเลอสามารถพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับผู้มีบุญผู้นี้เสร็จสองเล่มด้วยกัน (Smalley and al 1990a และ 1990b) ส่วนลูกศิษย์ของผู้มีบุญงาวายังเงียบสงบอยู่มากและรอคอยเวลาที่จะเข้าครอบครองโลกที่ดีกว่า (หน้า 476) ผู้เขียนยังมองไม่ค่อยเห็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวเรื่องผู้มีบุญในแถบเอเชียเท่ากับทางตะวันตก ม้ง 120,000 กว่าคนได้ตั้งรกรากในประเทศอุตสาหกรรมที่ซึ่งวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ของชุมชนม้งดั้งเดิมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป แนวทางพิธีกรรมทางศาสนาและนโยบายการเมืองตามพระคัมภีร์พระวจนะของผู้มีบุญที่บรรดาสานุศิษย์ปฏิบัติต้องเปลี่ยนแปลงไป มีความร่วมมือระหว่างสานุศิษย์และม้งซึ่งเป็น “ตัวแทนชนชาติ” ทำงานศึกษาประชากรม้งพื้นเมือง” ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ และได้รายงานผลในการประชุมที่กรุงเจนีวา ระหว่างวันที่ 18-31 กรกฎาคม พ. ศ. 2536 ทั้ง ๆ ที่กลุ่มผู้ร่วมมือส่วนใหญ่ (สานุศิษย์และตัวแทน) ไม่รู้จักรูปแบบการร่วมมือกัน แต่ก็พยายามหาทางขยายอิทธิพลแนวความเชื่อเรื่องผู้มีบุญนี้ออกไป ตัวแทนกลุ่มใช้แนวความเชื่อนี้ในการรวมเอาประเทศม้งและเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งเพื่อจัดตั้งสมาคมกลุ่มม้งตะวันตก มีการเชื่อมแนวคิดเรื่องผู้มีบุญซึ่งถูกดัดแปลงใหม่บางส่วนเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับการรอคอยความพยายามซึ่งยังเงียบสงบอยู่เพื่อ “ระลึกถึง” สิทธิ์ของม้งที่เตรียมตัวเข้าสู่ดินแดนของตัวเองในลาว ก่อให้เกิดรูปแบบการแสดงออกทางเมืองที่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแน่นอนเมื่อเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของผู้มีบุญก่อนหน้านี้ (หน้า 476) |
|
Focus |
เน้นการศึกษาขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า “ขบถผู้มีบุญ” ของชุมชนม้งทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน ในช่วงเวลาตั้งแต่ พ. ศ. 2510 (ค. ศ. 1967) จนถึง พ. ศ. 2526 (ค. ศ. 1983) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเน้นแนวคิดใหม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์เรื่องขบถผู้มีบุญที่สามารถเข้าใจได้สองประการ
ประการแรก ความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างอุดมการณ์เรื่องผู้มีบุญกับสังคมม้ง อุดมการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่สังคม มีวิกฤตรุนแรง
ประการที่สองการศึกษาครั้งนี้อาศัยหลักฐานบันทึกและเรื่องราวประวัติการเคลื่อนไหวของขบถผู้มีบุญจากบรรดาสานุศิษย์ซึ่งกระจัดกระจายไปอยู่ทั่วโลก นอกทวีปเอเชีย (หน้า 472)
ผู้เขียนเสนอว่าอุดมการณ์ลัทธิผู้มีบุญ ได้ก่อให้เกิดการอภิปรายเรื่องสังคมโบราณกับสังคมแห่งอุดมการณ์ซึ่งยัง ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ชัดเจน ลัทธิผู้มีบุญม้งได้แผ่ขยายไปทั่ว (หน้า 471) การเคลื่อนไหวของผู้มีบุญเป็นการแสดงการตอบโต้วิถีทางการเมืองและศาสนา หมายความว่า “ปฏิเสธปัจจุบัน” และรอคอยโลกใหม่ (โดซง 1991:466)
ผู้เขียนเห็นว่าลัทธิผู้มีบุญสัมพันธ์กับความร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปรารถนาที่จะกลับไปสู่ต้นแบบ โดยยึดกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง คือ อุดมการณ์การเปลี่ยนแปลง (หน้า 471) เกิดแนวความคิดละทิ้งระเบียบแบบแผนของโลกปัจจุบันเพื่อการสร้างโลกใหม่ที่ดีกว่า เป็น “จินตนาการถึงความ เป็นอื่น” ค้นหาระเบียบแบบแผนแบบเก่าย้อนนึกไปถึงยุคทองซึ่งเน้น ”การประกันระเบียบแบบแผน” ของสังคม ซึ่งตรงข้ามกับสังคม “ปัจจุบัน” แนวความคิดดังกล่าวเป็นหัวใจของลัทธิผู้มีบุญ ให้หลุดพ้นจากโลกปัจจุบันเพื่อ อนาคตที่ดีกว่านอกจากนี้มิได้มุ่งเน้นแต่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุของ “การเปลี่ยนแปลง โลก” ด้วย (หน้า 471) ผู้เขียนเห็นว่าผู้มีบุญม้งหลายคนเกิดขึ้น เพราะ มีม้งจำนวนหนึ่งเห็นว่า “สังคม” ของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย ในช่วงเกิดวิกฤต อุดมคติเรื่องผู้มีบุญก่อให้เกิดจินตนาการขึ้นในสังคม และสร้างความมั่นใจเรื่อง ความสัมพันธ์ของชุมชนกับมนุษย์ โดยการใช้พิธีกรรมนำชุมชนทั้งถาวรและชั่วคราว ทำให้สามารถก้าวข้ามพ้น กรอบ “โครงสร้างสังคมตามปกติที่จัดตั้งขึ้น” (เทอร์เนอร์ 1990) พูดสั้น ๆ คือ การนำแบบแผนโครงสร้างสังคมม้ง ดั้งเดิมกลับคืนมา แต่ผู้มีบุญได้ใส่ประสบการณ์ส่วนตัวเข้าไป ทำให้แบบแผนสังคมกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ กระบวนการนี้ทำให้เข้าใจรูปแบบและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมว่าเป็นเหมือนพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านที่ถูก นำมาใช้เป็นบรรทัดฐานของสังคม (หน้า 472) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งในหมู่บ้าน 3 แห่ง คือ บ้านชา บ้านนาง และบ้านหลวง จ.น่าน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
บ้านชา ผู้ชายม้งที่เป็นผู้ใหญ่สามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษาคำเมือง (ภาษาไทยเหนือ) และภาษาลาว คน ชราม้งบางคนเข้าใจภาษาไทยเพียงบางคำ ผู้หญิงม้งมีอัตราการเข้าใจภาษาไทยน้อยมาก แต่สามารถใช้ ภาษาไทยในการซื้อขายต่อรองราคาสินค้าในเมืองได้ ผู้ใหญ่ม้งที่บ้านชาเริ่มเรียนตัวหนังสือไทยในช่วงที่เกิด ปัญหาขึ้นระหว่างปี พ. ศ. 2503-2508 (หน้า 108) ม้งที่อาศัยอยู่ในค่ายและศูนย์ชาวเขาที่ตั้งขึ้นใหม่ในท้องถิ่น โดยกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน และรัฐบาลไทยได้ สอนม้งประมาณ 30 คน ชาย 25 คน หญิง 5 คน ให้สามารถอ่านออกและเขียนภาษไทยได้ ผู้เขียนสังเกตว่า ผู้หญิงม้งมีความรู้ทางภาษา สามารถอ่านออกเขียนภาษาไทยได้ดีกว่าผู้ชาย แต่มักจะพยายามจะแอบซ่อน ความรู้ทางภาษาไทยไว้ ม้งในหมู่บ้านชาวเขาทั้งสองแห่งไม่ได้เรียนภาษาไทยที่วัดในศาสนาพุทธหรือช่วงเกณฑ์ ทหาร เพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัยหลังจากสงครามกองโจร อย่างไรก็ตามผู้ชายม้ง 3 คน ได้เรียนเขียน ภาษาไทย ในโรงเรียนจีนที่เขาก็เริ่มเรียนภาษาจีนกลางเพื่อสามารถเรียนฝึกทหารในระดับสูงที่กองทัพจีน ครู ชาวจีนที่มีเชื้อสายม้งจากมณฑลยูนนาน ใช้ภาษาชาวเขาสอนความรู้พื้นฐานทางการทหารโดยตรง (หน้า 108) ที่บ้านชามีผู้ใหญ่ม้งที่แต่งงาน 2 คนเขียนภาษาม้งได้ โดยใช้อักษรโรมันที่บาร์นี-สมอลลี่ คิดประดิษฐ์ขึ้น (คาทอลิกและโปรแตสแตนท์) วิธีการเผยแพร่การถอดอักษรโรมันเริ่มจากพวกมิชชั่นนารี่ ได้เข้ามาให้การศึกษาแก่ม้งกลุ่มเล็กๆ จากนั้น ม้งกลุ่มนี้ได้สอนตัวหนังสือให้กับพ่อแม่หรือเพื่อน ให้เรียนรู้กฎการถอดเสียงภาษาที่สำคัญ ๆ ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างสูงในหมู่วัยรุ่น เพราะเป็นหนทางพิเศษให้เขาสามารถส่งจดหมายรักแก่สาวคนรักในหมู่บ้านใกล้เคียง วัยรุ่นจะเขียนภาษาม้งด้วยอักษรโรมันทำให้เขาส่งข้อความที่แสดงสนิทสนมคุ้นเคยซึ่งคนอื่นที่ไม่ใช่ม้งจะอ่านไม่ออกและสร้างหลักประกันสองชั้น คือ ภาษาม้งเผชิญกับภาษาไทย อักษรโรมันเหนืออักษรไทย ยิ่งไปกว่านั้นบทเพลงรักเป็นรูปแบบตามประเพณี และวาทกรรมแห่งความรักที่มีความหมายแฝง ซึ่งไม่สามารถสื่อความสดชื่นและเบ่งบานได้ด้วยสำนวนภาษาไทย (หน้า 109) คนในหมู่บ้านรู้วิธีเขียนภาษาปาโฮ (Pa Hawh) ชงเลอได้แสดงตัวอักษรนี้ไว้ที่ประเทศลาวในปี พ. ศ. 2502 อีก ประการหนึ่งไม่มี “ม้งเขียว” คนใดเลยที่จะสามารถบอกลักษณะของอักษรนี้ได้ เฉพาะม้งขาวสองสามคนที่มาจาก ลาวและแวะพักที่ค่ายผู้อพยพมีความรู้ แต่ปฏิเสธที่จะบอกว่าเขาเรียนรู้พื้นฐานของอักษรจาก “ผู้มีบุญ” (หน้า 109) อย่างน้อยที่บ้านชาก็มี 8 คน เป็นชายเจ็ด หญิงหนึ่ง พูดภาษาจีนเพราะติดต่อกับกองคาราวานจีนฮ่อ ชายสามคน และหญิงหนึ่งคน เรียนภาษาจีนตอนฝึกทหารในจีนช่วงต้นทศวรรษหลังปี พ. ศ. 2503 มีเพียงคนเดียวที่รู้จักอักษร นี้ (หน้า 110) ในหมู่บ้านมีม้งจำนวนมากที่เข้าใจและพูดภาษาชาวเขาเผ่าอื่น ๆ ได้ ม้งดั้งเดิมที่อยู่ในหมู่บ้านมานานแล้ว ประมาณ 30 คน สามารถพูดภาษาเย้าได้ ม้งคนหนึ่งได้ไปฝึกทหารที่เมืองจีน ต่อมาได้เข้าร่วมกับหน่วยต่อต้าน ความรุนแรงของรัฐบาลไทยในบริเวณจังหวัดตากที่มีชาวกะเหรี่ยงอยู่จำนวนมาก จึงทำให้เขาสามารถเรียนรู้ ภาษากะเหรี่ยงและพูดภาษาพม่าได้บางคำ (หน้า 110) บ้านนาง ม้งที่บ้านนางต้องเรียนรู้ภาษาจีนยูนนาน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับภาษาจีนกลาง ม้งชราสองคนพูดภาษา ถิ่นได้ค่อนข้างดี เพราะเรียนจากกองคาราวานจีนฮ่อที่มาเพื่อจะได้ขายฝิ่นของตนเองได้ มีคนหนึ่งพูดภาษาเวียดนามได้เล็กน้อย (หน้า 122) ในช่วงปี พ. ศ. 2535-2536 ชาวบ้านนางทุกคนแม้แต่ผู้สูงอายุและสตรีสามารถพูดภาษาไทยได้ เนื่องจากการ ติดต่อกับคนไทยในค่ายผู้อพยพเป็นเวลานาน หนุ่มม้ง 5 คนมีความรู้ภาษาอังกฤษและขยายเป็น 30 คน เป็นผล มาจากการร่ำเรียนอย่างอดทนในค่ายผู้อพยพเพื่อจะได้ตำแหน่งงานความรับผิดชอบค่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะการต้อนรับผู้อพยพที่มาใหม่ (หน้า 122) บ้านหลวง ม้งทุกคนที่บ้านหลวงยกเว้นหญิงชราสองสามคนสามารถพูดภาษาไทยได้ มีพ่อค้าม้งกลุ่มเล็ก ๆ ติดต่อการค้ากับชาวต่างชาติอยู่เป็นประจำและทุกคนที่ทำงานให้กับองค์กรเอกชน (เอ็นจีโอ) หรือองค์กรพัฒนาอื่น ๆ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย (หน้า 140) ม้งที่นับถือศาสนาคริสต์ทุกคนใช้การถ่ายภาษาม้งด้วยอักษรโรมัน (แบบของบาร์นี-สมอลลี่) เนื่องจากสามารถใช้อักษรโรมันอ่านพระคัมภีร์ได้ ตัวเขียนม้งของ “ผู้มีบุญ” มีลักษณะเป็นอักษรปาเฮา และตัวเขียนของแขวงไชยะบุรีมีลักษณะเป็นความลับที่บ้านหลวง โดยเฉพาะตัวเขียนแบบแรกมีต้นกำเนิดอยู่ในลาว เป็นที่รู้จักของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีต้นกำเนิดที่เกตุน้อย ปัจจุบันเป็นช่างทำเครื่องประดับเงิน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบเด็กหนุ่มสาวที่บ้านหลวงสวมสร้อยเงินเส้นโตที่ข้อมือ มีการสลักชื่อบนสร้อยด้วยอักษรภาษาปาเฮา เด็กหนุ่มสาวทั่วไปมีความรู้เกี่ยวกับตัวเขียนน้อยมาก แต่เรื่องตัวเขียนปาเฮานี้เป็นเครื่องแสดงให้รู้ต้นกำเนิดว่ามาจากลาว ทำให้เห็นสภาพด้านสัญลักษณ์และสุนทรียะที่สำคัญ สังเกตว่าช่างเงินมีความเชี่ยวชาญด้านตัวเขียนปาเฮามาก ชื่อที่ถูกถ่ายเสียงด้วยตัวเขียนดูกลับด้านเหมือนภาพสะท้อนในกระจกและมีข้อผิดพลาดมากมาย ดูเหนือนว่าการแสดงออกทางภาษานี้และโครงสร้างทางสังคมและการเมืองมีความผูกพันกับหมู่หนุ่มสาวที่ไม่ความรู้ในภาษานี้เป็นจำนวนมาก (หน้า 141) ในทางกลับกันตัวเขียนของแขวงไชยะบุรีไม่ใช่เรื่องของการถ่ายสุนทรียภาพทางภาษาใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่วิธีเขียน มีความพร้อมทางด้านนี้อย่างเต็มที่ ตัวเขียนของแขวงไชยะบุรีไม่เคยเหมือนกับภาษาม้งปาเฮาที่เผยแพร่อย่างมาก ในค่ายผู้อพยพ เพราะว่าเป็นการอนุรักษ์อัตลักษณ์ภาษาของแขวงไชยะบุรี ซึ่งต้องคงไว้ซึ่งความรู้ที่จะเข้าถึงภาษา ได้เฉพาะผู้ที่ได้รับการสอน จวบจนถึงการสถาปนาอำนาจของ “ผู้มีบุญ” ภาษานี้จะกลายเป็นภาษาประจำชาติ ของชนชาติม้งต่อไป (หน้า 141) |
|
Study Period (Data Collection) |
พ. ศ. 2535 – 2536 (ค. ศ. 1992-1993) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติชุมชนม้งบ้านชา ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2483 หมู่บ้านชาเป็นที่อยู่ของเย้าบนยอดเขาสูง มีหุบเขาลึกเกือบ 1,000 เมตร ต่อมาในปี พ. ศ. 2510 ตำรวจตระเวนชายแดนได้กดดันให้เย้าออกจากบ้านชาไปอยู่ที่หมู่บ้านพัก พิงชั่วคราวทางเข้าหมู่บ้านไทยในหุบเขา เย้าจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อยอพยพไปทางทิศตะวันตก โดยกองทัพ ไทยไม่ได้เข้าแทรกแซง แต่เย้าส่วนใหญ่ได้ไปรวมตัวกันอยู่ใกล้บ้านหลวง หลังจากเคยอยู่ตามศูนย์ผู้อพยพ ชั่วคราวขนาดเล็กมาแล้วหลายแห่ง (หน้า 87) ปัญหาระหว่างชาวเขาตอนเหนือของจังหวัดน่านกับพวกตำรวจตระเวนชายแดนเพิ่มขึ้น จนตำรวจตระเวนชายแดนขึ้นไปตั้งหน่วยเฝ้าระวังบนดอยสูงใกล้พรมแดนลาว เพื่อคอยปกป้องดูแลตอนเหนือของจังหวัดน่าน ในช่วงที่วิจัยมีหมู่บ้านสองแห่งในบริเวณนี้รวมตัวกับโครงการพัฒนาหมู่บ้านเป้าหมายระหว่างปี พ.ศ. 2508 - 2510 บ้านชาและบ้านนางเป็นโครงการกิจกรรมพิเศษของตำรวจชายแดน ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2510 ทันทีที่พวกเย้าที่บ้านชาย้ายออกจากพื้นที่ กองทัพไทยได้เข้าทำลายหมู่บ้านเพื่อกำจัดการก่อตัวของพวกขบถ (หน้า 88) ม้งได้อพยพเข้าไปอาศัยอยู่ที่บ้านชาระหว่างปี พ.ศ. 2526 -2528 ในช่วงที่กองทัพไทยพยายามรวบรวมม้งและลัวะ ที่ปฏิเสธการตั้งหลักแหล่งในพื้นที่ต่ำ ณ ค่ายหมู่บ้านชั่วคราวที่บ้านกร่าง ค่ายบ้านกร่างตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้านบนดอยกับหมู่บ้านไทยในหุบเขา ค่ายบ้านกร่างตั้งอยู่บนพื้นที่สูงปานกลางเหมือนกับที่ค่ายผู้อพยพบ้านหลวง คือใช้เป็นที่รวบรวมชาวเขาที่ต่อต้านการบีบบังคับของรัฐบาลไทยให้อยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของทหารไทย ม้งและลัวะส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนเขานี้เคยถูกบังคับให้อยู่ภายใต้การบริหารค่ายบ้านกร่างชั่วคราวเป็นเวลา 1-3 ปี หลังปี พ.ศ. 2528 ค่ายบ้านกร่างแตก ชาวบ้านพลัดหนีกระจัดกระจาย ม้งส่วนใหญ่ได้กลับไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านม้งเก่าหรือบริเวณอื่นที่อยู่โดดเดี่ยวห่างไกล พวก “ลัวะมัล” ส่วนหนึ่งยังคงอยู่ที่เดิมในค่ายบ้านกร่างโดยหวังว่าจะได้รับความสะดวกด้านค้าขายเพราะกองทัพได้สร้างถนนลาดยางใหม่ตลอดทั้งเส้น อีกส่วนหนึ่งได้ย้อนกลับไปอยู่แถวพรมแดนลาว ห่างไกลจากสายตาของรัฐบาลไทย (หน้า 88) ประวัติชุมชนม้งที่บ้านนาง พวกม้งเข้าจับจองพื้นที่ที่บ้านนางตั้งแต่ต้นทศวรรษหลังปี พ.ศ. 2483 สมัยที่ญี่ปุ่นบุกไทย การเลือกทำเลที่ตั้งที่พื้นดินมีคุณภาพพิเศษเช่นนี้ ก็เพราะ ต้องการอยู่ห่างไกลพอที่จะติดต่อทำการค้ากับอำเภอเล็ก ๆ ในที่ราบ นายลีแมน นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน ทำการศึกษาสภาพของหมู่บ้านนี้ในช่วงปี พ.ศ. 2488 2493 และ 2510 เขาได้ศึกษาต้นกำเนิดของครอบครัวที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี้ บางครอบครัวเคยอาศัยอยู่ในลาว จีน จังหวัดต่าง ๆ ทางตอนเหนือสุดของไทยและพม่า ประชากรปัจจุบันมาจากสถานที่ต่าง ๆ กันอย่างน้อยห้าแห่ง ในจำนวนนี้สองแห่งอยู่ในลาว (หน้า 113) ประมาณปี พ.ศ. 2499 บ้านนางเคยเป็นหนึ่งในหมู่บ้านเป้าหมายตามโครงการพัฒนาความมั่นคงของตำรวจตระเวนชายแดน พวกมิชชั่นนารีนิกายโปรแตสแตนท์ชาวอเมริกันเดินทางเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ส่งผลกระทบสำคัญประการหนึ่ง คือ การนำเด็กไปเข้าโรงเรียน หลังปี พ.ศ. 2503 มิชชั่นนารีผลักดันให้เด็กผู้ชายประมาณ 20 คน จากหมู่บ้านอันห่างไกลนี้เข้าสู่ระบบการศึกษาแวดล้อมด้วยโบสถ์โปรแตสแตนท์ บ้านนางเป็นหนึ่งในหมู่บ้านม้งยุคแรก ๆ ของไทยที่ร้างไร้ผู้คน มิชชั่นนารีสัญญาว่าจะอำนวยความสะดวกด้านที่อยู่อาศัยให้กับครอบครัวม้งที่ยอมออกจากบ้านนางที่กองกำลังของตำรวจตระเวนชายแดนจะเข้าควบคุม ม้งกลุ่มใหญ่จำนวน 500-600 คน ถูกบังคับให้โยกย้ายไปอยู่ค่ายผู้อพยพภายในประเทศไทยซึ่งกำลังจะกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ที่สุดที่บ้านหลวง ทันทีที่ประชากรให้ความร่วมมือย้ายออกไป บ้านนางก็ถูกถล่มด้วยจรวดนาปาล์มและระเบิดของกองทัพไทย (หน้า 114) อย่างไรก็ตาม ครอบครัวม้งหลายสิบครอบครัวไม่ได้เข้าร่วมกับพวกมิชชั่นนารี และไม่ต้องการเผชิญหน้ากับแรงกดดันของทหาร จึงได้อพยพหนีเข้าไปอยู่ตามป่าตามถ้ำที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อไม่ต้องการยอมแพ้ต่อปฏิบัติการอันแข็งกร้าวของกองทัพไทย ม้งบางส่วนเข้าร่วมกับขบถท้องถิ่นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์จีน อีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยม้งขาวและเย้า มุ่งหน้าสู่พรมแดนลาว เพราะไม่ต้องการอยู่ท่ามกลางไฟสงครามระหว่างกองทัพไทยกับขบถชาวม้ง ในขณะที่เสาะหาที่อยู่ใหม่ ม้งที่เดินทางผ่านลาวก็พร่ำแต่พูดว่า “เราต้องหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพันหรือติดร่างแหในสงครามกองโจรครั้งนี้” รูปแบบวาทกรรมนี้คงมีอยู่เสมอในจิตวิญญาณของคนม้ง ดูเหมือนว่ากำลังอธิบายอะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งมาก ต่อมาอีกนานผู้เขียนรู้มาว่าม้งมีแผนที่จะเดินทางไปรวมตัวกันในจีน โดยทั้งหมดพักอาศัยอยู่ในลาวเป็นเวลานานซึ่งสงบกว่าประเทศไทยในสมัยนั้น (หน้า 114) กองทัพไทยต้องการให้ประชาชนทุกคนย้ายออกจากบริเวณภูเขาเพื่อต้องการโดดเดี่ยวฝ่ายขบถ พร้อมกับประกาศว่าบริเวณนี้เป็น “เขตสงคราม” จะได้สามารถโจมตีทางอากาศได้ เนื่องจากทุกคนที่ไม่ยอมออกจากบริเวณภูเขาจะถูกเหมารวมว่าเป็น “พวกขบถคอมมิวนิสต์” การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยบริเวณที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่อยู่ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไทย ถือว่าเป็นการทำลายฐานบัญชาการของฝ่ายขบถในช่วงกลางปี พ.ศ. 2510 คำสั่งของกองทัพไทยให้ลดปริมาณครอบครัวของฝ่ายกองโจรอย่างรวดเร็วในบริเวณภูเขาก็ยืดเยื้อต่อไปอีกนาน (หน้า 114) ประวัติชุมชนบ้านหลวง บ้านหลวงถูกสร้างขึ้นใหม่ ให้เป็นศูนย์ที่อยู่ใหม่ของพวกชาวเขาในจังหวัดน่านในปี พ.ศ. 2510 ประชากรทั้งหมดมีเชื้อสายมาจากเทือกเขาสูงใกล้บ้านชาและบ้านนาง กองทัพอากาศเข้าทำลายหมู่บ้านทำให้ชาวเขาหนีจากที่สูง จากประสบการณ์ร่วมรบกับทหารอเมริกันในเวียดนามใต้ ได้มีการสร้างหมู่บ้านยุทธศาสตร์ และศูนย์รวบรวมชาวเขาขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามใต้ ทางการไทยได้ใช้ยุทธวิธีนี้ทำลายบริเวณที่อยู่อาศัยและแหล่งเพาะปลูก เพื่อจะได้จัดการประชากรในพื้นที่นั้น แต่ก็ไม่สามารถลดสงครามกองโจรได้ จวบจนเมื่อเร็ว ๆ นี้ประชากรที่บ้านหลวงยังคงพึ่งพิงอำนาจของทหารในเรื่องอาหารและเสรีภาพในการโยกย้ายที่อยู่ (หน้า 130) การตั้งที่อยู่ชั่วคราวที่บ้านหลวงเริ่มขึ้นในช่วงกลางปี พ.ศ. 2510 และร่วมสมัยกับการระเบิดบนดอยในช่วงแรก ๆ ที่บ้านชาและบ้านนางและหมู่บ้านอื่นๆ อีกหลายหมู่บ้าน ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2511 ค่ายต้อนรับชั่วคราวได้กลายเป็นศูนย์รวบรวมผู้อพยพชาวเขา หน่วยบัญชาการความร่วมมือเพื่อปราบปรามคอมมิวนิสต์ได้ตั้งศูนย์ใหญ่ให้พวกคอมมิวนิสต์ที่กลับตัวกลับใจอยู่ ตั้งแต่ถูกคุกคามในระยะแรกชาวเขาซึ่งไม่ยอมทิ้งหมู่บ้านบนดอยไปจะต้องถูกตั้งคำถามและจะต้องสาบานตัว ฝ่ายทหารจึงจะยอมให้อยู่ที่เดิมต่อไปได้ (หน้า 131) สภาพการบริหารค่ายและผู้อพยพชาวเขาเริ่มจะมั่นคงในช่วงหลังปี พ.ศ. 2523 ปัจจัยที่กำหนดไว้สองประการในรัฐธรรมนูญและความเปลี่ยนแปลงด้านประชากรของค่ายต้อนรับชาวเขาชั่วคราวในศูนย์รวมชาวเขา และเมื่อผ่านไปเป็นเวลานานจึงกลายเป็นหมู่บ้านธรรมดา ความรุนแรงของความขัดแย้งระหว่างกองทัพไทยกับพวกขบถยังคงอยู่ประกอบกับนโยบายการต้อนรับแบบเปิดและจำกัดที่ ออกโดยผู้รับผิดชอบทางทหารของศูนย์นี้ (หน้า 131) เมื่อเป็นเช่นนี้การต่อสู้และระเบิดก็ทวีความรุนแรงขึ้น ชาวเขาที่ละทิ้งถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว แนวทางการต้อนรับผู้อพยพถูกกำหนดโดยหัวหน้าผู้บริหารค่าย พวกผู้อพยพยังไม่สามารถเข้าพักในศูนย์ผู้ลี้ภัยที่บ้านหลวงได้ทันที ต้องรออยู่ในสถานที่ที่หล่อแหลม มาตรการต้อนรับไม่ดีพอ ประกอบกับการเปลี่ยนผู้รับผิดชอบค่าย เนื่องจากเหตุผลดังกล่าว ผู้อพยพลัวะจากหมู่บ้านบ่อเกลือใต้และบ่อเกลือเหนือกว่าจะได้เข้าพักที่บ้านหลวงต้องรอไปหลายปีจนถึงปี พ.ศ. 2515 มีปรากฏการณ์หนึ่งที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น คือ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2511 กองทัพไทยได้ชะลอการรุกเข้าไปในพื้นที่ไว้ระยะสั้น ๆ ม้งจำนวนหนึ่ง จึงถือโอกาสนี้กลับขึ้นไปอยู่บนดอยสูงตามเดิม ชาวม้งได้ใช้ช่วงเวลาสงบและนโยบายบริหารค่ายแบบปล่อยตามสบาย แต่เมื่อการรุกคืบหน้าครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งประมาณปี พ.ศ. 2514 ม้งส่วนใหญ่จึงกลับไปอยู่ที่บ้านหลวงตามเดิม (หน้า 132) ความหลากหลายทางชาติพันธุ์เป็นสิ่งที่แยกหมู่บ้านหลวงออกจากสองหมู่บ้านแรก แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ บ้านหลวงตั้งอยู่ที่ 200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในหุบเขาที่กว้างใหญ่แห้งแล้งมีกรวดทราย และบนที่ราบที่อยู่ติดกัน ในหน้าแล้งพื้นดินเพาะปลูกไม่ได้ มีวัชพืชปกคลุมพื้นที่ ความกดดันด้านจำนวนประชากรและคำสั่งห้ามของผู้รับผิดชอบศูนย์บางคนมิให้เพาะปลูกนอกเขตพื้นที่เฝ้าดูแล เพื่อหยุดยั้งการทำลายระบบนิเวศน์อันเปราะบาง ทำให้การเพาะปลูกมีปัญหา (หน้า 132) แม้ว่าบ้านหลวงจะตั้งอยู่ห่างจากถนนสำคัญทางทิศเหนือของจังหวัดน่านไปสองสามกิโลเมตรและอยู่ตรงปลายสุดของอำเภอปัว บ้านหลวงซึ่งเป็นศูนย์การค้าขายใหญ่ของท้องถิ่น ยังไม่มีใครจับจองก่อนการตั้งค่ายผู้อพยพ เนื่องจากพื้นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์และไม่มีระบบการชลประทานอย่างสม่ำเสมอ พื้นดินในหมู่บ้านที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในช่วงสงครามทางตอนเหนือของไทยทุกหมู่บ้านมีคุณภาพไม่ดี ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก นั้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ม้งจำนวนมากปฏิเสธที่จะละทิ้งท้องทุ่งบนดอย ตามที่นักวิชาการการเกษตร ผู้รับผิดชอบของทางการไทยที่บ้านหลวงกล่าวไว้ในปี พ.ศ. 2527 “ชั้นผิวดินบางและขาดปุ๋ย ไม่มีแหล่งน้ำ บริเวณนี้ไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่นั้นได้” (หน้า 132) บ้านหลวงเป็น ”นิคม” ของชาวเขาที่เข้ามาอยู่ใหม่อย่างเป็นทางการแบ่งออกเป็นบ้าน ๆ บางบ้านใช้ชื่อเรียกตามชื่อหมู่บ้านม้งบนดอยที่ชาวบ้านม้งสืบเชื้อสายมา ชื่อส่วนใหญ่อ้างอิงถึงแหล่งที่อยู่เดิมก่อนเกิดสงครามและการตั้งที่อยู่ใหม่ ปัจจุบันนี้หมู่บ้านดังกล่าวจำนวนมากได้สูญสลายไป เพราะถูกทำลายโดยกองทัพไทยหรือถูกละทิ้งไป เราพบว่ามีชื่อบางชื่อเป็นชื่อหมู่บ้านในอเมริกา โดยเฉพาะในแคลิฟอร์เนีย ม้งบางครอบครัวได้ไปตั้งรกรากอยู่ที่นั้น คูเปอร์กล่าวว่า “ม้งจะไม่ระบุชื่อสถานที่เฉพาะเป็นภาษาม้ง แต่โดยทั่วไปขอยืมคำมาจาก ภาษาคำเมือง (ภาษาเหนือ) และภาษาไทยกลาง คูเปอร์เห็นว่าในบริเวณพรมแดนม้งมีกำเนิดมาจากจีน อีกประการหนึ่งการตั้งชื่อเมืองในแคลิฟอร์เนียตามชื่อบ้านต่าง ๆ ในหมู่บ้านหลวง เพื่ออ้างถึงพ่อแม่ที่ตั้งรกรากอยู่ที่นั้น ได้บอกเราว่ามีครอบครัวบางครอบครัวตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านหลวงปัจจุบันมาจากลาว เนื่องจากขบวนการส่งผู้อพยพไปอยู่ประเทศที่สามในสหรัฐอเมริกา ใช้บอกว่าบุคคลผู้นั้นไม่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย (หน้า 133) |
|
Settlement Pattern |
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่บ้านชา ตั้งแต่รัฐบาลไทยเริ่มติดต่อกับชาวเขาอย่างเป็นทางการ (ประมาณปี พ. ศ. 2493) และมีโครงการเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ตรึงพวกชนกลุ่มน้อยให้อยู่กับที่ ประการแรกหมู่บ้านถูกกำหนดให้ เป็นที่อยู่อาศัย มีการสำรวจสำมะโนครัว เป็นที่ตั้งของสถานีอนามัย และโรงเรียน เพื่อที่จะปฏิบัติตาม ข้อบังคับของทางรัฐบาล ม้งตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านที่รัฐบาลกำหนดอย่างเป็นทางการ แต่เพื่อให้สามารถทำ การเพาะปลูกได้ ม้งจึงตั้งหมู่บ้านเล็ก ๆ ตรงปลายนาที่ห่างไกล ผู้เขียนเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “กระท่อมปลายนา” หรือ “บ้านชายทุ่ง” เมื่อพื้นดินหมดความอุดมสมบูรณ์ แต่ละหมู่บ้านจะสร้างกระท่อมปลายนาหนึ่งถึงห้าหลัง บ้าน ชายทุ่งเหล่านี้มีความมั่นคงถาวรน้อยกว่าหมู่บ้านที่อยู่ในสำมะโนครัว แต่ในทางตรงข้ามบ้านชายทุ่งทำให้เราเห็น รูปแบบองค์กรทางสังคมบางอย่างที่เป็นไปตามวัฒนธรรมม้งดั้งเดิม กระท่อมเหล่านี้ทำให้ผู้เขียนสามารถได้ข้อมูล เกี่ยวกับโคตรตระกูลม้งและสายตระกูลย่อยได้เป็นอย่างดี (หน้า 104) บ้านชายทุ่งสี่จุดเล็กๆ ขึ้นตรงกับบ้านชา คนในหมู่บ้านที่เชื้อสายเดียวกัน แนวคิดเรื่องหมู่บ้านตามเชื้อสายหรือหมู่บ้านที่มีความผูกพันกันในระดับมาตรฐานที่เกษตรกรที่รับผิดชอบบ้านชายทุ่งเป็นประชากรในหมู่บ้านอย่างเป็นทางการตามระบบการบริหารการปกครอง บางครั้งประชากรจำนวนน้อยนิดของบ้านชายทุ่งอาจมาจากหมู่บ้านห่างไกล 2-3 แห่ง เช่น กรณีกระท่อมปลายนาที่ปากเหนือ การสร้าง ”ที่ทางสังคม” ตามรูปแบบของจีคอนโดมินัส ซึ่งใช้มาตราส่วนที่ลดขนาดและชายขอบของข้อบังคับหลักของการบริหารการปกครองของไทย (เนื่องจากกระท่อมปลายนาเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงในสายตาของทางการ) ทำให้วงศ์ตระกูลบางวงศ์และสายตระกูลย่อยบางสายของชุมชนม้งท้องถิ่นสามารถมาสมาคมตามวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด กระท่อมปลายนาทั้งสี่มีความผูกผันและมีความพิเศษในเรื่ององค์กรทางสังคมและผลผลิตทางเกษตร (หน้า 104) กระท่อมปลายนาที่สำคัญที่สุดคือที่ ปากเหนือ กินพื้นที่หุบเขาลึกทั้งฟากฝั่งของทางเดินในป่าเชื่อมต่อกับบ้านบางเทา ใช้เวลาเดิน 3 ชั่วโมงจากบ้านชา ประกอบด้วยบ้าน 10 หลังในหมู่บ้านสองแห่ง คือ บ้านชาและบ้านหลวง กระท่อมนี้เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในช่วงทศวรรษหลังปี พ.ศ. 2529-2530 บนที่ตั้งหมู่บ้านม้งเก่าซึ่งถูกทำลายช่วงสงครามกองโจรในปีทศวรรษหลังปี พ.ศ. 2513 ชาวบ้านปลูกพืชเพียงชนิดเดียวคือกระหล่ำปลี สืบเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดิน หนทางเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกันสามารถทดน้ำเข้าที่เพาะปลูกได้ แต่สภาพที่ท้องไร่ล้อมรอบด้วยป่าอันดับรองค่อนข้างหนาทึบ จึงต้องใช้ยาฆ่าแมลงปราบวัชพืช ซึ่งมีราคาแพงและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ การชลประทานทดน้ำเข้าที่ปลูกกะหล่ำปลีต้องลงทุนสูงเพื่อซื้อเครื่องสูบน้ำและท่อส่งน้ำ เกษตรกรทุกคนทีปากเหนือมาจากวงศ์ตระกูลเดียวกันคือ “โล” (หน้า 105) กระท่อมปลายนาที่ ปากลิชี อยู่ห่างจากบ้านชาเพียงเดินทางชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญอันดับสองแห่งหนึ่งที่ชาวม้งได้ตั้งบ้านเรือน ช่วงเดือนแรก ๆ ของการตั้งหมู่บ้านที่บ้านชา บางครัวเรือนมีโครงการที่จะทำให้ปากลิชีเป็นสถานที่อยู่อาศัยถาวรแห่งที่สองเนื่องจากพื้นดินมีคุณภาพและสามารถทดน้ำเข้าที่ได้ แต่ทหารและทางการซึ่งดูแลการสร้างบ้านชา (ช่วงปี พ.ศ. 2526–2527) คัดค้าน การที่รัฐบาลตั้งข้อจำกัดการใช้พื้นดินของชาวบ้านเพราะเป็นเขตที่อยู่โครงการปลูกป่าทดแทน ปัจจุบันนี้เราสามารถเดินทางเชื่อมติดต่อกับปากชิลีได้โดยเดินข้ามเขตปลูกต้นสนและต้นยูคาลิปตัส แต่เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว มีการห้ามยวดยานพาหนะของชาวบ้านผ่านทางนี้เพื่อเข้าสู่กระท่อมปลายนา ม้งจำต้องเดินอ้อมเพื่อมิให้คนไทยพูดซุบซิบ ครอบครัวม้งที่ปลูกบ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ใกล้ปากลิชีปัจจุบันปลูกสวนลิ้นจี่และมะม่วง การปลูกป่าตรงปากทางเข้าหมู่บ้านมาสิ้นสุดห่างจากสวนประมาณสิบเมตรเท่านั้น กระท่อมปลายนาอื่น ๆ อีกสองแห่งตั้งอยู่บนยอดเนินเขาอันดับรองซ่อนตัวอยู่ในป่าและใช้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะ (หน้า 105) กระท่อมปลายนาที่ ปากมี มีบ้านสามหลังสร้างอยู่ใจกลางเป็นที่มีแสงสว่างส่องถึงล้อมรอบด้วยป่าเป็นรั้วกั้นและมีหนาม ใช้เวลาเดินจากบ้านชาชั่วโมงหนึ่ง มีเล้าเป็ดไก่และคอกหมูสองสามคอก มีปศุสัตว์ฝูงใหญ่ประกอบด้วยวัวควายกินหญ้าในหุบเขาแคบๆ มีวงศ์ตระกูลของชนกลุ่มน้อยสองวงศ์ตระกูลและคู่ผสมระหว่างหนุ่มผีตองเหลืองกับสาวม้งเป็นผู้เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ (หน้า 106) ปากมูใช้เวลาเดินทางจากบ้านชาสองชั่วโมง เป็นที่ใช้เลี้ยงหมู ที่ดินรอบๆ ปากมูเป็นที่แห้งแล้งไม่สามารถปลูกข้าวได้ จึงปลูกข้าวโพดแทน ปัจจุบันนี้ทุ่งข้าวโพดได้ปกคลุมไหล่เขาโดยรอบ เอาต้นกล้วยป่าหั่นเป็นท่อน ๆ นำไปต้มใช้เลี้ยงหมู ทางเดินในป่าสูงชันมาก ยาว 6–7 กิโลเมตร เชื่อมกับทางสำคัญให้รถบรรทุกเล็กซึ่งทนกับทุกสภาพผิวดินของคนไทยมาซื้อหมูได้ถึงที่ ที่ปากมูมีบ้านเล็ก ๆ 5 หลังเป็นม้งตระกูลยาง (หน้า 106) กระท่อมชายทุ่งสามในสี่ข้างต้นนี้เป็นหน่วยทางสังคมที่สืบมาจากวงศ์ ตระกูลเดียวกัน หรือบางครั้งเป็นสายตระกูลเดียวกัน ความสามัคคีของสมาชิกจากครัวเรือนและหมู่บ้านที่ห่างไกลที่มาสร้างกระท่อมชายทุ่งมาจากตระกูลย่อยเดียวกัน เช่นที่ปากเหนือและที่มีมาตรฐานน้อยที่สุดที่ลิชี ทำให้เข้าใจบทบาทการขับเคลื่อนของสายตระกูลย่อยที่มาร่วมสร้างที่ทำการเกษตรของครอบครัวที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เหล่าพี่ชายคนโตอำนวยความสะดวกให้ความรู้เชิงเทคนิคและปฏิบัติตามกฏการตลาดแก่บรรดาน้องชาย (หน้า 106) รูปแบบการตั้งถิ่นฐานกระท่อมชายทุ่งของบ้านนาง ปากเค เป็นกระท่อมที่อยู่ใกล้บ้านนางที่สุด กระท่อมที่ปากเคใช้รวบรวมวัวควายเกือบร้อยตัวของคนในชุมชนบ้านนาง โดยมีครอบครัวที่ยากจนเป็นผู้ดูแล กระท่อมแห่งที่สองที่ปากเม เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีบ้านสี่หลังตั้งอยู่เหนือบ้านนาง เจ้าของคือตระกูลเวอ การตั้งรกรากอยู่โดดเดี่ยวมาก ปลายสุดของป่าที่ถูกโค่นและต้นไม้ขนาดยักษ์ถูกส่งออกขายเพื่อความต้องการไม้ของหมู่บ้านและเพื่อขายเป็นไม้เถื่อนแปรรูปในลักษณะไม้กระดานที่ยังไม่ได้ขัดเกลา ใช้ม้าในการขนส่งจนถึงทางเดินที่อยู่ทางใต้ลงไป กิจกรรมการตัดและส่งไม้ออกขายต้องใช้แรงงานชาวเขาที่ไม่ใช่ม้ง พวกลัวะในหมู่บ้านข้างเคียงทำงานให้พวกม้งซึ่งตั้งโรงงานทำไม้เถื่อน ขนส่งไม้กระดานและขายไม้แผ่นให้คนไทยในหมู่บ้านบนที่ราบ การจ่ายค่าแรงช่างไม้จ่ายด้วยธนบัตรบ้าง จ่ายด้วยสัตว์บ้าง ข้าวเหนียวใส่กระสอบที่นายจ้างชาวม้งซื้อไว้เป็นพิเศษที่ตลาดในที่ราบข้างล่าง ใช้บริโภคตามจารีตประเพณีช่วงงานฉลองขึ้นปีใหม่ กิจกรรมไม้ก่อให้เกิดความตรึงเครียดระหว่างพวกคนงานลัวะกับนายจ้างม้ง มีการโต้เถียงเรื่องค่าแรงคนงานรายวันอยู่เป็นประจำ เพราะราคาไม้เถื่อนในธุรกิจผิดกฏหมายนั้นไม่มั่นคง (หน้า 120) |
|
Demography |
ประชากรม้งที่บ้านชา มีจำนวนประชากร 980 คน มีทั้งหมด 98 ครอบครัว แบ่งเป็นม้งเขียว 94 ครอบครัว ม้ง ขาว 4 ครอบครัว ร้อยละ 90 ของม้งเขียวเป็นคนในโคตรตระกูลโลและยาง ส่วนที่เหลือเป็นคนในโคตรตระกูล ตชาและเตา ม้งเขียวทั้งหมดที่บ้านชาสืบเชื้อสายมาจากม้งที่อาศัยอยู่ในบริเวณแนวพรมแดนที่ติดกับประเทศลาว อย่างน้อย ก็สามชั่วอายุคนแล้ว (หน้า 102) ประชากรม้งที่บ้านนาง หมู่บ้านม้งที่บ้านนางเป็นหมู่บ้านที่เล็กที่สุดในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีประชากรเพียง 214 คน กระจัดกระจายอยู่ใน 29 ครอบครัว ม้งเขียวมีจำนวนมากที่สุด 17 ครอบครัว ม้งขาว 12 ครอบครัว ก่อนที่จะมีการโยกย้ายประชากรเนื่องจากสงคราม หมู่บ้านนี้เคยมีคนอยู่มากกว่า 500 คน (หน้า 115) ประชากรที่บ้านหลวง ซึ่งเป็นหมู่บ้านม้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีประชากรทั้งหมด 6,500 คน ในจำนวนนี้เป็นม้ง 2,600 คน คิดเป็นร้อยละ 40 ของจำนวนทั้งหมด เป็นมัลและขมุร้อยละ 45 ที่เหลือร้อยละ 15 เป็นเย้าหรืออิวเมียน มลาบรีหรือผีตองเหลือง รวมทั้งไทยวนที่เข้ามาทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหมู่บ้าน (หน้า 134) |
|
Economy |
บ้านชา สินค้าหลักที่นำรายได้มาสู่บ้านชา 2 อย่าง คือ การทำผ้าบาติกสีน้ำเงิน มีพ่อค้าคนไทยเป็นคนกลางขายสินค้าให้นักท่องเที่ยว ได้แก่ ผ้าบาติกสีน้ำเงิน ใบมีดเหล็กสำหรับผลิตอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในท้องทุ่งนาหรือในป่า จำหน่ายในตลาดท้องถิ่นของไทย (หน้า 106) ผ้าบาติกมาตรฐานด้านหนึ่ง ๆ จะมีความยาว 30 เซ็นติเมตร x 4 เมตร ขายในหมู่บ้านตกผืนละ 200-300 บาท (40-50 ฟรังค์ฝรั่งเศส) ขึ้นอยู่กับความละเอียดของลวดลาย ครอบครัวหนึ่ง ๆ สามารถทำผ้าบาติกได้สัปดาห์ละ 1-2 ด้าน ยิ่งไปกว่านั้นโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปของคนไทยต้องการผ้าปักด้วยฝีมือของม้งและเย้า โดยมีม้งที่อยู่ในหมู่บ้านพื้นราบ เช่นที่บ้านหลวงเป็นคนกลางติดต่อ ส่วนการผลิตซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจคือการผลิตใบมีดเหล็กกล้าและผลิตขาหยั่งสามขาสำหรับตั้งกระทะ และมีการผลิตเครื่องเงิน เพื่อขาย (หน้า 107) บ้านนาง ม้งได้ปลูกต้นพีชเป็นเวลาแปดปีมาแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้เริ่มปลูกกระหล่ำปลีเป็นจำนวนมาก แต่สภาพการขนส่งไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขาขายผักผลไม้ได้หมดในช่วงผลผลิตออกโดยเฉพาะหน้าฝน บางปีผู้ซื้อมาบรรทุกได้แค่เที่ยวสองเที่ยวเท่านั้น ในขณะที่ผลผลิตที่ได้จำต้องบรรทุกสี่ห้าเที่ยว การขาดรายได้ทำให้ม้งไม่พอใจทางการมากขึ้น ที่มาเสนอให้ปลูกพืชเหล่านี้แทนการปลูกฝิ่น การไม่สามารถขายผลผลิตทางเกษตรได้เป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาใหม่ๆ ที่หยิบยกขึ้นมาเพื่อขอเจรจาต่อรองขอปลูกฝิ่นบนแผ่นดินไทย แต่ก่อนจะมีกองคาราวานจีนฮ่อผ่านมาหมู่บ้านผู้ผลิตฝิ่นอยู่เป็นประจำ เพื่อซื้อฝิ่นและบรรทุกบนหลังม้าตัวเล็กๆ ของพวกเขาสู่ที่ราบข้างล่างในไทยและลาวที่จะมีการผลิตและขายกลับมาในลักษณะรูปแบบต่าง ๆ (หน้า 117) นอกจากนี้ที่บ้านนางเราสังเกตว่ามีการปลูกต้นป่านด้วย สาวม้งจะนำมาทอเป็นผ้าท่อนล่างของกระโปรงม้งดั้งเดิมที่มีความละเอียดที่สุด ใยป่านที่ทำให้อ่อนนุ่มขึ้น พร้อมสำหรับทอส่งขายหมู่บ้านม้งที่บางเทา ที่นั่นมีหญิงม้งเขียวชรา 4 คนเชี่ยวชาญเรื่องการทอผ้าดั้งเดิม ทอผ้าตามความต้องการของท้องถิ่นและตลาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวที่ต้องการผ้าป่านดิบทอมือมากขึ้นทุกที และผ้าป่านที่บางเทานี้ก็เช่นกัน ผลิตผ้าบาติกที่มีลวดลายสีน้ำเงินหรือสีดำ ซึ่งเป็นที่ต้องการมากในตลาด (หน้า 121) บ้านหลวง ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510–2526 ประชากรที่บ้านหลวงยังเป็นอิสระพอที่ใช้แปลงที่ดินนอกบริเวณที่ฝ่ายปกครองกำหนดกองทัพไทยไม่ต้องการให้ชาวเขาเหล่านี้ถูกบีบคั้นและไปเข้ากับฝ่าย “ขบถคอมมิวนิสต์” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ม้งบางครอบครัวได้สร้างกองฟางเล็กๆ ขึ้นในที่โล่งกลางป่าละเมาะซึ่งอยู่โดดเดี่ยวระหว่างบ้านชาและบ้านนางเพื่อเลี้ยงสัตว์และปลูกผัก ม้งที่บ้านหลวงได้สถานภาพเป็นพลเมืองไทยอย่างเป็นทางการและมีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจและสังคมไทย จึงทำให้ชาวม้งสามารถขอรับสินเชื่อซื้อรถบรรทุกเล็กและรถบรรทุกใหญ่ เครื่องมือที่จำเป็นเพื่อจะได้ขนส่งควายและผลผลิตทางเกษตรไปขายในตลาดในตัวเมืองด้วยตัวเอง ม้งแข่งขันอย่างกล้าหาญกับผู้ประกอบการขนส่งไทยที่เรียกค่าขนส่งในอัตราที่สูงมาก ความสัมพันธ์และการช่วยเหลือกันภายในชุมชนและรูปแบบความสมานฉันท์ด้านเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ช่วยให้เผชิญหน้ากับการแสวงหาประโยชน์ของคนไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนระหว่างม้งบ้านหลวงและม้งในหมู่บ้านบนดอย (หน้า 138) ม้งบ้านหลวงปลูกกระหล่ำปลีดอย ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ทุกปีในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ๆ ที่บ้านชาจะได้ค่าจ้างแบกกระหล่ำปลีใส่หลังเป็นกิโลลงถึงลานโล่งที่มีรถบรรทุกผลผลิตที่เก็บได้ไปสู่ตลาดใหญ่ในตัวเมืองพิษณุโลก ผู้ผลิตม้งพื้นราบกลายเป็นนายจ้างของม้งในหมู่บ้านบนดอย แต่มีไม่มากนักเพราะม้งไม่ชอบที่จะจ้างกันเอง โดยไม่ได้เป็นการช่วยด้านแรงงานในหมู่เครือญาติโคตรตระกูลหรือในสายตระกูลย่อย (หน้า 139) ม้งบ้านหลวงซึ่งได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมจากที่ดินบนดอย เป็นตัวกลางระหว่างม้งดอยกับพ่อค้าขายส่งคนไทย เป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างม้งบ้านชากับม้งบ้านนาง นับจากความเป็นสมาชิกในสายตระกูลย่อยเดียวกันซึ่งปัจจุบันตั้งรกรากอยู่ทั้งสองหมู่บ้าน และเป็นโอกาสให้ม้งบนดอยสูงซึ่งอยู่ห่างกันเพียงเดินเท้าสองสามชั่วโมงได้มาติดต่อพบปะกันช่วงเก็บเกี่ยวกระหล่ำปลีหรือลูกท้อ (หน้า 139) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนได้แบ่งองค์การทางสังคมม้ง เป็น โคตรตระกูล สายสกุล ครัวเรือน 1. โคตรตระกูล ในวาทกรรมม้ง ได้แบ่งโคตรตระกูลออกตามสี เช่น ม้งเขียว ม้งขาว ม้งลาย คำนึงถึงเอกลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม สมาชิกของวงศ์ตระกูลอาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ในประเทศต่าง ๆ ม้งต่างโคตรตระกูลอาจอาศัยสร้างบ้านอยู่ร่วมกัน ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาเกือบครึ่งศตวรรษมาแล้วทั้งในลาวและไทย (หน้า 52) ม้งในจีนมี 21 โคตรตระกูล ส่วนม้งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี 18 โคตรตระกูล ในจำนวนนี้มี 12 โคตรตระกูล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของม้ง ส่วนที่เหลืออีก 6 โคตรตระกูลเป็นโคตรตระกูลใหม่เกิดจากลูกชายของชาวจีน มีการตั้งข้อสังเกตว่า ชาวจีนและม้งมีความสัมพันธ์กันโดยแบ่งวงศ์ตระกูลตามลักษณะของหลุมฝังศพ หลุมฝังศพของวงศ์ตระกูลที่เป็นต้นกำเนิดของม้งมีลักษณะเป็นเพียงกองดินธรรม ดาคลุมศพเท่านั้น ส่วนหลุมฝังศพของชาวจีนมีศิลาหินขนาดใหญ่หลายก้อนรองก้นหลุม สถาปัตยกรรมหลุมศพม้งปัจจุบันใน จ. น่านของไทยดูเหมือนว่าไม่มีแบบแผนแน่นอน บางทีเป็นกองดินปิดด้วยแผ่นหินยาวหนึ่งแผ่น หรือบ่อยครั้งเป็นก้อนหินขนาดกลางหลายก้นปิดหลุม ไม่มีแผ่นหินขนาดใหญ่มาก ๆ ปิดหน้าหลุม (หน้า 53) โครงสร้างโคตรตระกูลม้งสืบทอดวงศ์ตระกูลทางฝ่ายพ่อ แต่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นบ้างเล็กน้อย เมื่อฝ่ายหญิงแต่งงานแล้วเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามีและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย ในกรณีที่มีความขัดแย้งรุนแรงกับสามี ตามทฤษฎีภรรยาอาจช่วยสนับสนุนด้านวัสดุ เครื่องมือเครื่องใช้จากครัวเรือนของโคตรตระกูลของพ่อก็ได้ มีปรากฎการณ์ทางสังคมอื่น ๆ ที่ค่อนข้างซับซ้อนกว่าและตกขอบก็อาจมีการเปลี่ยนแซ่ก็ได้ กรณีตัวอย่างตามทฤษฎีผู้หญิงที่หย่าร้างและมีลูกกับสามีคนแรก บุตรคนนี้สามารถใช้แซ่นามสกุลของสามีคนแรกได้ ถ้าหญิงหม้ายแต่งงานใหม่ และมีบุตรกับสามีคนแรก อาจใช้แซ่นามสกุลของสามีคนใหม่ก็ได้ หรืออีกกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงสงครามกลางเมือง และการอพยพ ม้งจากลาว จะมีการชุบเลี้ยงบุตรบุญธรรม ถ้าเป็นเด็กกำพร้าก็ให้ใช้แซ่ของครอบครัวที่รับอุปถัมภ์เด็ก และพิจารณาว่าเป็นสมาชิกของตระกูลและของหัวหน้าหมู่บ้าน บางครั้งแต่ค่อนข้างน้อยมีการรับเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ม้ง ตัวอย่างเช่นเด็กในหมู่บ้านชา เด็กกำพร้าเหล่านี้มีกำเนิดจากละว้า หรือพวกขมุ ซึ่งไม่สามารถเลี้ยงดูลูกๆ ให้หรือขายลูกให้กับครอบครัวม้ง เด็กเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับม้ง แต่จะถูกกลืนด้วยการอบรมสั่งสอนด้วยภาษา ให้เคารพผีบรรพบุรุษของตระกูลที่ชุบเลี้ยง และอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคีในหมู่สมาชิกของหมู่บ้านและวงศ์ตระกูล (หน้า 54) ภายในโคตรตระกูลเดียวกัน ผู้ชายในรุ่นเดียวกันเรียกกันว่า “น้องชาย-พี่ชาย” ซึ่งเป็นพี่น้องสืบตระกูลจากฝ่ายพ่อ ส่วนพี่น้องผู้หญิงรุ่นเดียวกันใช้นามสกุลเดียวกัน 1.2 หัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้ใหญ่บ้าน สายตระกูลย่อยเดียวกันมีผีบรรพบุรุษร่วมกันตามประวัติศาสตร์ บางครั้งตามนิยายปรัมปรา สายตระกูลย่อยหนึ่ง ๆ มีลูกหลานสี่ถึงห้ารุ่น ครัวเรือนของสายตระกูลย่อยหนึ่ง ๆ จะกระจัดกระจายไปยังดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่าและเข้าไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่มีสายตระกูลย่อยอื่นตั้งอยู่แล้ว สายตระกูลย่อยหนึ่ง ๆ มีทั้งแยกจากกันและรวมตัวกันใหม่ เมื่อสายตระกูลย่อยนั้น ๆ ได้เข้าไปอยู่ในหมู่บ้านแล้ว จะได้รับการยอมรับจากบ้านเรือนข้างเคียงและพัฒนาการแลกเปลี่ยนกันอย่างสม่ำเสมอ มีความสัมพันธ์ช่วยเหลือกันอย่างแนบแน่น (หน้า 59) ม้งที่มาจากแดนไกลพบกัน คนที่มีแซ่วงศ์ตระกูลเดียวกันแต่ละสายตระกูลย่อย พวกเขาจะทักทายและคุยกันว่า “เรามีแซ่มาจากวงศ์ตระกูลเดียวกัน แต่มีผีบรรพบุรุษไม่เหมือนกัน” สายตระกูลย่อยม้งเป็นหน่วยทางสังคมที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นจุดเริ่มต้นของหน่วยการปกครอง สายตระกูลย่อยเดียวกันมักตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านเดียวกันเพื่อง่ายต่อการวางนโยบายการปกครองร่วมกัน และในบางกรณีก็อาจแบ่งย่อยลงไปอีก ในขณะที่โคตรตระกูลใหญ่แผ่ขยายไปอยู่ในตามหมู่บ้าน จังหวัด และประเทศต่าง ๆ แต่ไม่สามารถมีหน่วยการปกครองที่แท้จริงได้ (หน้า 60) 1.3 ครอบครัว ครัวเรือนเป็นหน่วยย่อยทางสังคม เศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด ครัวเรือนเป็นองค์ประกอบของทุกตระกูลย่อย ผู้คนในครัวเรือนเดียวกันเรียกตามตัวอักษรว่า “บ้านคน” บ่อยครั้งจะถูกแปลว่า “ผู้คนของบ้าน” ภายในบ้านมีความสัมพันธ์เชิงสมานฉันท์กันอย่างแนบแน่น ซึ่งสังเกตได้ชัดในสังคมม้ง หนึ่งครัวเรือนอาจประกอบด้วย ผู้คนภายใต้หลังคาเดียวกัน หรือบ้านสองหลังที่อยู่ใกล้เคียงกัน จนถึงสามหลัง ในครอบครัวขยายอาจมีผู้คนอยู่รวมกันถึงสี่รุ่น หน้าที่หลักของครอบครัวม้งเน้นด้านเศรษฐกิจและการผลิต ได้แก่ การแบ่งงานด้านเกษตรและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สำหรับรวบรวมเส้นเงินเส้นเล็ก ๆ และจ่ายเป็น “ค่าสินสอดให้เจ้าสาว” เมื่อหนุ่มน้อยคนหนึ่งในครอบครัวจะแต่งงานเป็นครั้งแรก (หน้า 64) โดยทั่วไปเจ้าบ้านต้องเป็นผู้ชายที่มีอาวุโสและเป็นผู้ก่อตั้งรกราก แต่บางครั้งอาจเป็นลูกชายคนใดคนหนึ่งในครอบครัวที่ได้รับเกียรตินี้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ มีความสามารถพูดกับชุมชนในที่สาธารณะ มีความรับผิดชอบด้านการบริหารการปกครอง ความสามารถในการทำสงครามกองโจร เป็นต้น ให้รับผิดชอบดูแลบ้าน การถ่ายโอนตำแหน่งที่เกิดจากความขัดแย้งหรือ ความเกี่ยวข้องกันด้านอำนาจระหว่างคนรุ่นต่างๆ เกิดขึ้นน้อย อีกประการหนึ่ง แต่ค่อนข้างเป็นภาพที่ชุมชนในตระกูลย่อย และในหมู่บ้านส่งกลับให้ครอบครัว เป็นผู้กำหนดคำว่า “หัวหน้า” ตามความสัมพันธ์ด้านอำนาจระหว่างพ่อกับลูกชาย การคงความเป็นหัวหน้าครอบครัวอยู่ต่อไปนับเป็นเรื่องยากถ้าบทบาททางสังคมไม่เป็นที่ยอมรับนับถือของชุมชนใกล้เคียง ในกรณีของเจ้าบ้านหรือผู้ดูแลบ้านนั้น คำนี้เหมาะสมกับความจริงของชาวม้งว่าเจ้าบ้าน เจ้านายผู้เป็นเจ้าของบ้าน จะต้องเป็น “พ่อ” เป็น “เพศชาย” ตัวอย่างเช่น หากผู้อาวุโสและผู้ก่อตั้งครัวเรือนเป็นผู้ชายที่สงบเรียบร้อยมีความระมัดระวังไม่อยากพูดกับชุมชนในที่สาธารณะ และไม่สามารถเจรจา ในเรื่องที่ยากแก่การตัดสินใจให้เด็ดขาด เช่น เรื่องการแต่งงาน และเรื่องเศรษฐกิจ ในขณะที่ลูกชายคนใดคนหนึ่งของเขามีกระฉับกระเฉงในเรื่องการเจรจาโต้ตอบกับพวกชาวบ้านและคนในตระกูลย่อยกว่า เมื่อมีคนคนหนึ่งในหมู่บ้านจะพูดเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ เขาจะไม่พูดเหมือนกับที่คนอื่นคาดเอาไว้ว่า “บ้านนี้เป็นบ้านของผู้เฒ่า ก. (ผู้อาวุโส-ผู้ก่อตั้ง)” แต่ “บ้านนี้เป็นบ้านของลูกชายคนที่มีความโดดเด่นเป็นอันดับแรกและถูกแต่งตั้งเรียกขานตามชื่อของเขา” (หน้า 64) ถ้าหากลูกชายคนใดคนหนึ่งในครอบครัว (โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นลูกชายคนโต) ไม่ต้องการอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของพ่อไม่ว่าเหตูผลใด ๆ ก็ตาม เขาก็เพียงแต่สร้างบ้านใหม่ของตนเองเพียงจะได้มีครอบครัวใหม่เป็นอิสระ การปฏิบัติแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมกัน และไม่ทำให้ความสัมพันธ์กับผู้นำครอบครัวเดิมคลอนแคลน (หน้า 65) สำหรับการจดสำมะโนครัวลงทะเบียนบ้านในพื้นที่ เราเคยเห็นแล้วว่าตระกูลย่อยประกอบด้วยบ้านใกล้เรือนเคียงและผู้คนในครอบครัวอาศัยอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันหรือในบ้านสองหลังที่อยู่ใกล้ชิดกันมาก แต่ถ้าสถานการณ์นี้เป็นจริงโดยรวมแล้ว ก็ต้องประจักษ์ชัดว่าสถานการณ์ในเชิงรูปธรรมคงมีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ ความจำเป็นจะต้องหาที่ดินใหม่ ๆ แล้วหักร้างถางพงสำหรับเพาะปลูกข้าว บังคับให้บางครอบครัว (ที่มีภรรยาคนเดียวหรือหลายคน) สร้างกระท่อมเล็ก ๆ ที่ถูกเรียกว่า “บ้านชายทุ่งหรือกระท่อมปลายนา” อยู่ปลายสุดของพื้นที่ที่หักร้างถางพงใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเดินจากหมู่บ้านหลักไปเจ็ดถึงแปดชั่วโมง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วครอบครัวหนึ่งอาจต้องใช้เวลาครึ่งปีกว่าอยู่ในบ้านชายทุ่ง ทุกคนยังคงเป็นสมาชิกในครอบครัวเดิมอย่างเป็นทางการและตามจารีต อีกประการหนึ่งสมาชิกทุกคนในครอบครัวย่อย ๆ ซึ่งประกอบกันเป็นครอบครัวใหญ่จะต้องกลับมาร่วมฉลองงานขึ้นปีใหม่ในบ้านเดิม (หน้า 65) 2. การแต่งงาน ความสัมพันธ์ และการแก้แค้น มีข้อห้ามแต่งงานกับสมาชิกของครอบครัวที่มีนามสกุลเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน การแต่งงานกับผู้หญิงที่มาจากวงศ์ตระกูลต่างกันที่เป็นที่ถูกต้องตามประเพณี คือ การแต่งงานกับลูกสาวของพี่สาวหรือน้องสาวของแม่ ลูกสาวของพี่สาวหรือน้องสาวของพ่อ และลูกสาวของพี่ชายหรือน้องชายของแม่ เป็นสิ่งที่นิยมกันมากเพราะความสัมพันธ์นี้จะก่อให้เกิดการตอบแทนกลับให้กับสมาชิกในญาติตระกูลฝ่ายแม่ อนึ่งสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างโคตรตระกูลทั้งสอง คือ สามีปฏิบัติตัวไม่ดีต่อภรรยา (หน้า 67) ในปี ค. ศ. 1922 ในเมืองเชียงขวาง ประเทศลาว หญิงสาว ชื่อ ไหม ลูกสาวของโล เบลีย เยา (Lo Mblia Yao) กลืนฝิ่นฆ่าตัวตาย เพื่อตอบโต้สามี ชื่อ ลี ฟง (Ly Foung) ที่ทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเป็นประจำ การแต่งงานของสองตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในลาว คือ ตระกูลโลและตระกูลลีได้สร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในยุคนั้น ตระกูลโล มีหัวหน้าใหญ่ คือ โล เบลีย เย้า เป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในลาว จากการรวบรวมฝิ่นที่ชาวนาม้งปลูกนำไปขายให้เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส ส่วนลีฟงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเจ้าหน้าที่อาณานิคม ซ้ำยังมีตำแหน่งเป็นเลขานุการใกล้ชิดกับ โล เบลีย เยา ตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้สืบทอดถึงลูกชายหลายคนของเขาโดยเฉพาะ ทูบี ลี ฟง (Touby Ly Foung) หลังจากที่ไหมฆ่าตัวตาย พ่อของไหม โล เบลีย เยอ ได้ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลลีทั้งหมด สถานการณ์ความโกรธแค้นขยายวงกว้างออกไปถึงขั้นไม่มาเคารพหลุมฝังศพไหม ทำให้ตระกูลโลประกาศว่าจะต้องมีการฆ่าวัวจำนวนมากเพื่อเซ่นผีบรรพบุรุษ ออกเป็นกฏข้อบังคับด้านพิธีกรรมระหว่างลูกเขยกับพ่อตา แต่ตระกูลลีปฏิเสธที่จะรับผิดชอบฆ่าสัตว์มาเซ่นผี เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างฝ่ายต่างก็ไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูและเผชิญหน้าสู้รบกันในสงครามกลางเมือง ทูบี ลี ฟง ลูกชายของไหมได้กลายเป็นหัวหน้าม้งฝ่ายรัฐบาลและจงรักภักดีกับกษัตริย์ลาว ส่วนโล เฟ แดง (Lo Fay Dang) พี่น้องชายของไหมขึ้นเป็นหัวหน้าม้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ มีความสัมพันธ์กับปะเทดลาว (Pathat Lao) (หน้า 68) ประมาณสิบปีต่อมาในช่วงทศวรรษหลังปี ค. ศ. 1960 ถึง 1970 ตระกูลม้งต่าง ๆ ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลลาวได้ออกกฏให้มีการแต่งงานแลกเปลี่ยนผู้หญิงระหว่างสองตระกูล เพื่อลดความตึงเครียดในการแข่งขันกันขึ้นเป็นหัวหน้าม้งในลาว (หน้า 68) โดยทั่วไปในสังคมม้งเราจะสังเกตเห็นรูปแบบความสัมพันธ์ 2 รูปแบบ แบบแรก คือ ความสัมพันธ์กับคนในโคตรตระกูลเดียวกันรวมทั้งลูกๆ ของลุงและป้า แบบที่สองคือ ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการแต่งงานของสองครอบครัว คือ ครอบครัวของฝ่ายสามีและฝ่ายภรรยา (หน้า 72) มีบุคคล 3 แบบ ที่สามีต้องติดต่อด้วยตลอดชีวิต คือ พี่ชายของแม่ พี่สาวน้องสาวของพ่อ และลูกๆ ของเขา ลูกพี่ลูกน้องแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรก ลูกของพี่ชายหรือน้องชายของพ่อ จะนับเป็นพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ส่วนประเภทที่สอง ลูกๆ ของพี่สาวน้องสาวของแม่ ลูกๆ ของพี่ชายน้องชายของแม่ ลูกของพี่สาวน้องสาวของพ่อ ลูกพี่ลูกน้องประเภทจะนับญาติเป็นพี่ชาย น้องชายโดยเรียงลำดับอายุ ส่วนลูกพี่ลูกน้องแบบที่สองนับเป็นเพื่อน ๆ ไม่ต้องลำดับอายุ (หน้า 72) ส่วนความสัมพันธ์ต่อพี่ชายน้องชายของแม่ต้องให้ความเคารพและการต้อนรับอย่างแท้จริง เพราะเป็นพ่อของเจ้าสาวที่นิยมแต่งด้วย ส่วนความสัมพันธ์ต่อพี่สาว น้องสาวของพ่อยิ่งสนิทแนบแน่น บ่อยครั้งทีเดียวที่ท่านจะย้ายเข้ามาอยู่บ้านของหลานไปจนตลอดชีวิต ถ้าหากว่าสามีและลูกของป้าหรืออาผู้หญิงตายลง เป็นหน้าที่ของหลาน ๆ ที่จะต้องต้อนรับพี่สาวน้องสาวของพ่อเมื่อท่านต้องการ (หน้า 72) มีข้อห้ามแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องที่แซ่วงศ์ตระกูลเดียวกัน เพราะนับญาติเป็นพี่น้องกัน เป็นกฏสำคัญในโครงสร้างเครือญาติ ส่วนลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ โดยเฉพาะลูกของพี่ชายหรือน้องชายของแม่ จะนิยมแต่งงานกัน ในทางปฏิบัติปัจจุบันนี้ การกดดันภายในครอบครัวที่บังคับให้แต่งงานกับลูกของพี่สาวน้องสาวของแม่ลูกน้อยลง (หน้า 73) ตั้งแต่เริ่มที่ตกลงจะแต่งงาน ผู้ชายต้องสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับพ่อแม่ของว่าที่ภรรยาในอนาคต ความสัมพันธ์นี้มีลักษณะเป็นเอกเทศทันทีที่แต่งงานกัน สามีจะต้องแสดงความเคารพต่อพ่อตาแม่ยายอย่างเปิดเผย และสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกชายทั้งหมดในครอบครัวของภรรยา รวมทั้งสามีของพี่สาวและน้องสาวของภรรยา พี่เขยน้องเขยที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันต่างช่วยกันสร้างบ้านหลังหนึ่ง ผู้ชายอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่มีพี่ชายน้องชายใช้แซ่เดียวกัน จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับพี่ชายน้องชายของภรรยาหรือสามีของพี่สาว น้องสาวของภรรยา (หน้า 73) 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตาและลูกเขย ความสัมพันธ์ระหว่างลูกเขยพ่อตา พี่ชายน้องชายของภรรยาอาจทวีขึ้นจนสามีหนุ่มอาจเข้ามาอยู่กับครอบครัวของภรรยา ซึ่งจะตรงข้ามกับการอยู่ในครอบครัวฝ่ายชายตามแบบดั่งเดิม (หน้า 73) การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกเขยและพ่อตามีไปจนตลอดชีวิตหรือจวบจนพ่อตาเสียชีวิต ตัวอย่างเช่น ถ้าหากภรรยาเสียชีวิตก่อนสามี สามีจะต้องล้มวัวตัวผู้หนึ่งตัวเพื่อเซ่นวิญญาณภรรยา เราจะสังเกตเห็นว่านอกเหนือจากของสินสอดแล้ว ภรรยาจะเตรียมเงินซื้อวัวเซ่น เงินจำนวนนี้จะฝากไว้ที่สามี ซึ่งสามีอาจนำเงินไปใช้ตามอำเภอใจ ตามเงื่อนไขที่ว่าสามีต้องไม่ลืมเคารพศพภรรยาด้วยการเซ่นวัวหน้างานศพ พิธีกรรมเซ่นวิญญาณของภรรยา อาจถูกมองว่าเป็นการปฏิบัติตามพิธีกรรมอันดับรอง แต่บางครั้งการไม่ปฏิบัติตามพิธีกรรมอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความร้าวฉานอย่างรุนแรงระหว่างสองวงศ์ตระกูล การไม่เคารพพิธีกรรมตามมรรยาทของผู้ดีถือว่าเป็นการดูหมิ่นและการทำร้าย ดังเช่นกรณีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างตระกูลโลและตระกูลลีในลาว การไม่เคารพกฏระเบียบ พิธีกรรมการเซ่นสังเวยวัวที่หลุมศพของสะใภ้ไหม เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอย่างสิ้นเชิง (หน้า 74) มีอีกลักษณะหนึ่งที่ไม่เป็นทางการมากนัก คือ ลูกเขยอาจแสดงความเคารพสำนึกบุญคุณพ่อตาแม่ยาย หลังจากแต่งงานมาได้สิบปี ลูกเขยอาจให้หมอนที่มีการประดับตกแต่งเต็มที่แด่พ่อตาแม่ยายสำหรับใช้ในพิธีศพ ดังนั้นลูกเขยได้ให้เกียรติแสดงความเคารพด้วยการช่วยเตรียมข้าวของที่ใช้ในพิธีศพของพ่อตาและแม่ยาย (หน้า 74) |
|
Political Organization |
ตั้งแต่รัฐบาลไทยเริ่มติดต่อกับชาวเขาอย่างเป็นทางการ (ประมาณปี พ.ศ. 2493) และมีโครงการ ตรึงชนกลุ่ม น้อยให้อยู่กับที่เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ จำกัดการเคลื่อนที่ของชาวบ้านบนภูเขา เพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณ พรมแดนตามนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ รัฐบาลไทยได้จัดให้พวกชาวเขามาอยู่รวมกันในที่ที่เหมาะสม (หน้า 103)
ในด้านโครงสร้างทางการเมือง ผู้เขียนได้ศึกษาขบวนการเกิดเหตุการณ์ขบถ “ผู้มีบุญ” และการเคลื่อนไหวทางสังคม ซึ่งเป็นหนทางแห่งเสรีภาพ 2 ประการ คือ เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางการทหาร ขบวนการขบถผู้มีบุญต้องเผชิญกับสงคราม การถูกคุมขัง ผู้ปกครองอาณานิคม การเคลื่อนย้ายผู้คน เป็นต้น “ผู้มีบุญ” มี 5 คน คือ ซิยง (Siong) มิชาง (Mi Chang) ปาเช (Pachay) ชงเลอ (Chong Leu) และงาวา (Nga Va) 1. ซิยง (Siong) 1.1 กำเนิด ผู้เขียนได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีบุญซิยง ผู้นำม้งทางเหนือของแคว้นตังเกี๋ยจากนายพันตรีลูเนต์ เดอลาชงกีแยร์ ชาวฝรั่งเศส (หน้า 218) เมื่อปี พ.ศ. 2405 ซิยงเชื้อสายแม้วตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงค์เชินเทียน (Choen Tien) ผู้มีบุญเกิดจากเจตจำนงค์ของสวรรค์ อาศัยอยู่บนภูเขาตางชาง (Tang Chang) ปลายสุดทางตะวันตกของเย็นมินฮ์ ซิยงเริ่มขบถเมื่อ พ.ศ. 2405 แถบเมืองฮาเกียง (Ha Giang) เมืองตูเยนกวาง (Tuyen-quang) และเมืองฮุงเฮา (Hung-hao) ในเวียตนามเหนือใกล้พรมแดนจีน (หน้า 219) 1.2 องค์กรรวม เมื่อบรรดาข้าราชการได้ยินเรื่องว่ามีผู้วิเศษมาเกิดในภูมิภาคนี้ จึงรีบเดินทางไปที่เมืองตางชาง (Tang Chang) เพื่อเอาของขวัญไปเยี่ยม ซิยงได้อบรมประชาชนม้งกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งให้เดินตามรอย “ชาวบ้านทุกคนกลัวและหมอบกราบแทบเท้าและรู้จักพระองค์ในฐานะกษัตริย์” รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น พวกไท (นุง) และเย้าท้องถิ่น (หน้า 221) หลังจากสร้างวังเสร็จ ซิยงได้ตั้งกองทัพ ผลิตอาวุธ กระสุนปืนและประดิษฐ์ธงหนึ่งร้อยอัน ข้าราชบริพารและพวกทหารสวมผ้าโพกศีรษะแบบแขกสีขาว พระองค์ทรงเริ่มแผ่อำนาจไปสู่พวกแม้ว (Méo) พวกนุง (Nung) เป็นพวกตระกูลไททางเวียตนามเหนือ พวกหมาน (Man) เป็นเย้ากลุ่มหนึ่งอยู่ในจีน เข้าตีกลุ่มอื่น ๆ เดินทางไปลางดาน (Lang Dan) แถบกวันบา (Quan Ba) ต่อมาเข้าต่อต้านและสังหารพวกโถ (Tho) ซึ่งเป็นคนไทกลุ่มหนึ่งที่กลมกลืนไปกับพวกไทขาวและเป็นเจ้าของที่ดินท้องถิ่นปกครองบริเวณแถบนี้ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจและได้รับการยอมรับจากผู้ปกครองราชสำนักเว้ในเวียตนาม รวมทั้งยกกองทัพเข้าปล้นสดมภ์บ้านเรือนทุกหลัง จากนั้นไปที่กวันบาจุดไฟเผาและฆ่าอย่างนองเลือด ในขณะที่ทหารกลุ่มหนึ่งไปขวางกั้นพวกโถตามเส้นทางฮาเกียงและฆ่าพวกโถไปพันกว่าคน การต่อสู้กับพวกโถกินเวลาเกือบ 12 ปี ได้ทำลายหุบเขาแม่น้ำแคลร์ (Claire) และ พวกโถถูกสังหารหลายพันคน นอกจากนี้ยังมีพวกม้ง นุง เย้า โลโล (Lolo) ลากวา (La Qua) โถ (Tho) อัมนัม ชัยชนะนี้ได้เพิ่มเกียรติยศชื่อเสียงให้กับซิยง และดึงดูดชาวจีนและกองกำลังทหารติดอาวุธมารวมกับกองทัพของซิยงทำให้ได้ชัยชนะง่ายขึ้นและเพิ่มชื่อเสียงให้แก่เขามากขึ้น ซิยงได้แสดงความสามารถพลังอำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาติ (หน้า 222) ท้ายที่สุดพระองค์ทรงอภิเษกกับตาวยาว (Tao-Yao) ลูกสาวคนที่สองของพระบิดาของมเหสี หลังอภิเษกทรงสังหารมเหสี พระองค์ทรงต้องการแต่งงานใหม่กับพี่สาวคนโตของมเหสี แต่บิดาปฏิเสธแล้วเดินทางหนีไปจีน เพื่อต่อต้านลูกเขย บิดาวางแผนส่งชายหนุ่มฉกรรจ์ มีพลกำลงและเจ้าเล่ห์ชาญฉลาด 10 คน เข้าไปทำงานเป็นคนงานด้านศิลปะในวัง เมื่อสบโอกาส พระองค์ทรงอยู่ตามลำพังกับคนสนิท 2 คน คนงานเหล่านี้จึงเข้าสังหารพระองค์ ณ ที่พักส่วนพระองค์ (หน้า 219) ซิยงต้องรับผิดชอบการตายของภรรยา อันเป็นสาเหตุหนึ่งของความเป็นศัตรูคู่อริ ความโกรธแค้นในหมู่เครือญาติระหว่างสายตระกูลกับโคตรตระกูล จนถูกลอบสังหารกลางพระราชวังของพระองค์เองในที่สุด เมื่อปี พ. ศ. 2439 รวมเวลาก่อขบถ 34 ปี (หน้า 220) 1.3 ความเชื่อ ผู้เขียนได้กล่าวถึงผู้มีบุญซิยงว่าเป็น “ผู้วิเศษในภูมิภาคนี้” “ผู้คนบูชาเขาเป็นผู้มีอัจฉริยะ” ได้รับความเคารพนับถือจากคนจีนทุกคนที่ได้ผูกพันกับเขา ก่อนที่จะได้รับการยอมรับในสังคม ซิยงพยายามหากลอุบายที่จะแสดงอภินิหารว่าเกี่ยวข้องกับสวรรค์ เป็น “ฑูตสวรรค์” และมีปฏิสัมพันธ์ทางกายผ่านพิธีกรรมศาสนา เช่น “การเผากำยาน” “การบูชาผี” ซิยงสามารถเอาชนะกองทัพที่ยิ่งใหญ่และจำนวนมากได้ การตีเอาชนะมาได้โดยพึ่งพา “อำนาจเหนือธรรมชาติ” ที่คอยช่วยเหลือให้ซิยงและบรรดาเหล่าสาวกอยู่ยงคงกระพัน พระองค์ทรงประสพความสำเร็จหลายครั้งและมีชื่อเสียง ผู้คนต่างสรรเสริญอัจฉริยภาพของพระองค์และเคารพบูชาพระองค์วันละ 3 ครั้ง ตอนเช้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ตอนเที่ยงและตอนค่ำหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน พระองค์จะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรหลงเหวย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเช่นเดียวกับจักรพรรดิจีน พระองค์ทรงได้รับความนับถือสักการะบูชา กราบไหว้จากพวกชาวจีนทุกคนที่ผูกพันกับพระองค์ (หน้า 219) อย่างไรก็ตามการที่ถูกมองว่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ก็ไม่เพียงพอให้เขากลายเป็นผู้มีบุญ จะต้องทำให้กลุ่มแนวร่วมเชื่อถือและยอมรับ หรือดีกว่านั้นคือต้องผูกพันกับชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมท้องถิ่นหลายชนเผ่า ต้องใช้กลยุทธ์หลายอย่าง ก่อให้เกิดจิตสำนึกโดยใช้องค์ประกอบด้านชนชั้นเพื่อครอบครองท้องถิ่น 1.4 สัญลักษณ์เชิงคัมภีร์ อำนาจในเชิงการทำสงครามรบพุ่งได้มาจากความสามารถของ “อัจฉริยภาพสี่ประการ” ที่ซิยงอุทิศให้ อัจฉริยะที่เขาสามารถเสกถั่วฝักยาวให้กลายเป็นทหาร ซิยงใช้อำนาจผ่านทางอัจฉริยภาพ ซึ่งมีอำนาจเหนือโลกธรรมชาติ ถั่วฝักยาวและเหนือผู้คน ซิยงปฏิบัติตนได้ดีทั้งในด้านธรรมชาติและด้านสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และยังคงเชื่อสวรรค์เสมอมา (หน้า 222) 2. มิชาง (Mi Chang) 2.1 กำเนิด เริ่มก่อขบถเมื่อวันที่ 17 กันยายน ปี พ. ศ. 2453-2455 (1910-1912) เป็นเวลา 2 ปี บริเวณเมืองฮาเกียง (Ha Giang) หุบเขาสูงแม่น้ำแคลร์ (Claire) ในเวียตนามเหนือใกล้ชายแดนจีน ถูกจับคุมขังเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ. ศ. 2455 ไว้ที่สีไพ หมู่บ้านเกิดของเขาเอง เป็นเวลา 15 ปี 2.2 องค์กรรวม มิชางได้ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งภูเขา มีสานุศิษย์เข้าร่วม 600-700 คน ทั้งม้งและชนกลุ่มน้อยเผ่าอื่น ๆ มิชางได้ให้ทหาร 500-600 คนคอยเฝ้าเส้นทาง กวันดาว (Quan Dao) ผู้รับผิดชอบชนพื้นเมืองแถบบาวลัค (Bao Lac) ได้กล่าวถึงการสังหารหมู่พวกเย้าด้วยปืน 300 กระบอก เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ. ศ. 2454 (1911) วันที่ 26 เดือนเดียวกันพวกแม้วเผาและปล้นสดมภ์หมู่บ้านโถแถบวินฮ์ ตง (Vinh Thon) ทำให้ต้องยอมจำนน ที่เมืองเย็นมินฮ์ ในวันเดียวกันนั้นพวกแม้วเผาและปล้นตลาดโม รู (Mau Rue) จนชาวบ้านต้องทิ้งบ้านเรือนและหนีไป มิชางมีโครงการรุนแรงที่ต้องการ “ตีเอาชนะจีน” อยู่ในเส้นทางการปฏิวัติของขบถครั้งใหญ่ ๆ ซึ่งล้างผลาญทำลายจีนตอนใต้ตลอดช่วงคริสตวรรษที่ 19 (หน้า 224) ผู้เคราะห์ร้ายมีทั้งคนไท โถ 29 คน ข่า นุง 1 คน เกีย 3 คน และชนกลุ่มน้อยเผ่าอื่น 300-500 คน หมาน โลโล เย้า 5 คน แม้ว 52 คน ทั้งขบถและไม่ขบถ รวม 90 คน มีทหารตังเกี๋ยถูกฆ่าตาย 1 คน (หน้า 233) 2. 3 ความเชื่อ ผู้มีบุญมิชางอ้างถึง “พระเจ้าบนสวรรค์” ลึกลับแต่มีอำนาจแต่งตั้งบรรดาหัวหน้าขบถ มิชางเป็นตัวแทนความรับผิดชอบการเคลื่อนไหวทั้งทางการเมืองและการทหาร มิชางได้ถูกวางตัวในตำแหน่งผู้บริหาร มิใช่หัวหน้า อำนาจการตัดสินใจขึ้นอยู่กับคำบัญชาของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ผู้มีบุญจะแสดงตนว่าเป็นเพียงผู้ช่วยมิใช่ผู้ถือกุญแจชะตากรรม ผู้เขียนทราบว่าการบริหารนี้มีความพิเศษเน้นความสัมพันธ์กับสวรรค์ คุณสมบัติดังกล่าวเช่น “ผู้เข้าถึงสวรรค์” “ผู้เชื่อฟังสวรรค์” และ “พรมแดนของมนุษยชาติ”บางทีอาจมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ กับ “อำนาจชั้นสูง” เจตจำนงของผู้มีบุญที่ให้อำนาจสวรรค์เข้ามาแทรกในองค์กรลำดับการปกครองการเคลื่อนไหวของเขาซึ่งหมายถึงว่า เขาหวังให้มีกฏระเบียบในการให้ความคุ้มครอง ผู้เข้าร่วมขบวนการมีความเชื่อเรื่องพลังอำนาจเหนือธรรมชาตินั้น ได้ส่งอาหารให้ผู้มีบุญมิชาง เช่น ข้าวโพด ไก่ เพื่อให้ปกป้องด้วยการทำพิธีกรรม สวดอ้อนวอน และกล่าวสรรเสริญ ซึ่งจะพบได้ในหลักการของผู้มีบุญม้งส่วนใหญ่ การถ่ายเทพลังอำนาจเหนือธรรมชาติของผู้มีบุญสู่ผู้ร่วมขบวนการ เป็นลักษณะพิเศษของลัทธิผู้มีบุญในวัฒนธรรมม้ง ผู้ประกอบพิธีกรรมในศาสนาม้งทุกสาขานั้นมีความสามารถถ่ายเทพลังอำนาจเหนือธรรมชาติบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้สู่กลุ่มบุคคล ตั้งแต่เริ่มเคลื่อนไหวมิชางได้สาธิตพลังอำนาจพิเศษ คือ พยากรณ์ทำนายสงครามการต่อสู้ที่กำลังจะเกิด และสามารถติดต่อกับสัตว์และต้นไม้ได้ ทั้ง ๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ผู้ร่วมขบวนการก็ยังรอคอยการแสดง “พลังอำนาจเหนือธรรมชาติที่แท้จริง” พลังที่ผู้เข้าร่วมหวังที่จะได้รับประโยชน์เพิ่มเติม (หน้า 225) จากคำพยากรณ์ทำนายว่า “ผู้ช่วยให้รอดจากสรวงสวรรค์” ได้มาปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ เพื่อช่วยปัดเป่าความเสี่ยงที่โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ผู้มีบุญม้งจะเปลี่ยนแปลงรากฐานระเบียบแบบแผนของโลกโบราณ ผู้มีบุญจะเข้าแทรกมิให้ผันเปลี่ยนโลกไปในทางไม่ดี เช่น การรุกราน ภัยพิบัติตามธรรมชาติ เป็นต้น และผันเปลี่ยนสถานการณ์ที่ไม่ดีไปสู่ “ระเบียบแบบแผนที่ดี” และเข้าถึง “ระเบียบแบบแผนใหม่” ซึ่งหมายถึง ความสุขสันติ และความมั่งคั่ง (หน้า 226) มิชางกล่าวว่า เขาฝันเห็น “ผู้มีปัญญา” เรียกเขาและแต่งตั้งเขาให้ดำรงตำแหน่ง “จักรพรรดิ” และช่วยสอนภาษาต่าง ๆ มากมายให้ หลังจากนั้นไม่นาน มิชางกลับบ่นว่าเขาเป็นเพียง “เหยื่อ” และไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำความชั่วร้ายทุกอย่างเหล่านี้ได้ มิชางระบุว่า “พวกโจรผู้ร้ายแอบอ้างชื่อของข้าพเจ้าไปใช้ปล้นสดมภ์ก่ออาชญากรรม ผู้มีบุญปฏิเสธความรับผิดชอบในการก่อขบถ (หน้า 226) การแต่งตั้งนายพลให้เป็นตัวแทนภาระหน้าที่ของมิชางบนโลก ผู้ช่วยทั้งฝ่ายพลเรือนและการทหาร อาจจะเป็นเพียงผู้แสดงแผนการที่กว้างขว้างมากนี้ การได้รับการคุ้มครองจากมือของมิชางถือว่าเป็นการได้รับสัญลักษณ์การปกป้องจากสวรรค์ อย่างไรก็ตามคำสั่งบางอย่างมีเงื่อนไขถึงความถูกต้องสมบูรณ์ของสถานภาพพิเศษเหนือธรรมชาติ (หน้า 228) ผู้เขียนได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเคารพหลักการและการปกป้องคุ้มครองจากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ (หน้า 229) ผู้มีบุญได้แบ่งปันการคุ้มครองจากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติให้กับคนจีน และการสนับสนุนจากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติที่ไม่แจ่มชัดเผื่อบรรดาเหล่าสาวก ซึ่งต้องเคารพหลักการอันสัมพันธ์กับชีวิตอย่างแนบแน่น 2.4 สัญลักษณ์เชิงคัมภีร์ มิชางยืนยันว่ามิใช่หัวหน้า แต่เขาก็คอยช่วยคุ้มครองปกป้องเหล่าสานุศิษย์ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเคารพคำสอนบทบัญญัติด้านจริยธรรม ไม่สร้างความทุกข์แก่คนและสัตว์ “การยินยอมให้การคุ้มครอง” หมายถึง การยอมให้ “สวรรค์ช่วยคุ้มครอง” (หน้า 227) “จงค้นหาสันติสุขระหว่างมนุษย์ หรือระหว่างมนุษย์กับสัตว์” “อย่าสร้างทุกข์เข็ญทั้งกับคนและสัตว์” “จะกินพืชผักหรือธัญพืชก็ได้แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องทำตัวเป็นคนดี” หากฝ่าฝืนหลักการดังกล่าว จะต้องสูญเสียอำนาจเหนือธรรมชาติ พืชผักต่าง ๆ จะเจริญเติบโตได้ดีสำหรับ “คนดี” ม้งเชื่อว่ามนุษย์กับสัตว์มีความเท่าเทียมกันและติดต่อสัมพันธ์กัน อันเป็นลักษณะเด่นของช่วงเวลาอันลึกลับที่มีความใกล้ชิดกับจุดกำเนิดโลก เช่นเดียวกับแนวความคิดเรื่องมนุษย์อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ในลัทธิเต๋า มิชางอ้างถึงศีลธรรม ตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ เขาแสดงตนเป็นต้นแบบด้านศีลธรรมจรรยา ซึ่งบรรดาเหล่าสานุศิษย์ต้องยึดถือปฏิบัติตาม ข้อจำกัดด้านอาหารยืนอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างโลกและสวรรค์ เหมือนผู้มีบุญคนอื่น ๆ แนะนำเรื่องสันติและโดยส่วนตัวปฏิเสธการเข้าร่วมสงคราม ความอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นคุณสมบัติที่พบได้ในหมู่ผู้มีบุญส่วนใหญ่ คุณสมบัตินี้จะช่วยรักษาการรอคอย “วันที่ยิ่งใหญ่” อย่างไม่มีที่สิ้นสุด วันที่ระเบียบของโลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ถูกบังคับให้อยู่ร่วมสมัยกับมนุษย์ (หน้า 230) แนวคิดผู้มีบุญม้งได้สะท้อนรูปแบบการก่อตั้งองค์การ “ชุมชนดั้งเดิม” คือ ระบบเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งจะไม่ยอมให้มีการบังคับทางเศรษฐกิจและการเมืองจากภายนอก (หน้า 232) “การเอาชนะจีน” โดยเฉพาะอุดมการณ์เรื่อง ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้วจีนเป็นวัฒนธรรมที่เข้าครอบงำกดขี่ข่มเหงม้ง อย่างไรก็ตามก็เป็นรูปแบบความสมบูรณ์ ความซับซ้อน และประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับศาสนาและระดับปราชญ์ความรู้ สำหรับม้ง คือ การเอาชนะรูปแบบที่ทำให้ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงในตัวเองหมดไปอันเป็นความเฉียบแหลมของพลังทางด้านสัญลักษณ์ของชาวต่างชาติ (หน้า 232) แต่แนวคิดยูโทเปียของมิชางก่อให้เกิดความไร้ระเบียบบริเวณพรมแดนตังเกี๋ยและจีน ทหารฝรั่งเศสจึงเข้าจับกุมและคุมขังมิชางไว้ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เขากลับมาเคลื่อนไหวอีก (หน้า 233) 3. ปาเช (Pachay) 3.1 กำเนิด เริ่มขบวนการแถบเมืองลาวกาย เมืองเดียนเบียนฟูในเวียดนามเหนือติดพรมแดนจีน แขวงหัวพัน แขวงเชียงขวาง แขวงหลวงพระบางในลาว เมื่อกรกฎาคม พ.ศ. 2461 เป็นเวลา 3 ปี ผู้เขียนได้ทราบการเคลื่อนไหวของปาเชจากข้อมูลทางการทหาร และหลักฐานที่เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุโพ้นทะเลที่เมืองเอ็กซ์อองโพรวองซ์ และข้อเขียนต้นฉบับต่างๆ ที่เรียบเรียงโดยบาทหลวงฟรองซัวมารี ซาวีนา เป็นบุคคลแรกที่ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปาเช มิชชั่นนารี่ผู้นี้ได้มาที่แคว้นตังเกี๋ยในปี พ.ศ. 2444 เมื่อตอนอายุ 25 ปี และทำงานในหมู่บ้านม้งที่เมืองลาวกายในเวียตนาม และหมู่บ้านแม้วในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ระหว่างปี พ. ศ. 2449-2468 บาทหลวงซาวีนาเป็นชาวตะวันตกคนเดียวที่สามารถพูดภาษาม้งได้ในขณะนั้น 3.2 องค์กรรวม ปาเชมีความข้องเกี่ยวกับการก่อขบถอย่างกว้างขวางและเป็น “ผู้นำสงคราม” (หน้า 234) ในขณะนั้นปัญหาทางการเมืองระหว่างม้งกับเจ้าผู้ครองรัฐไทแถบจังหวัดลาวกายและฮุงเฮาค่อนข้างตึงเครียด ม้งหลายพันคนและมีชนกลุ่มน้อยเผ่าอื่นๆ ที่โกรธแค้นและต้องการแก้แค้นที่ถูกพวกลาวสบประมาทดูถูก ปาเชถูกแรงกดดันบีบคั้นจากลุงซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมและคนใกล้ชิดวิงวอนขอร้องเขาให้เข้าร่วมทำสงคราม เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมีทั้งลาว ไทย ทหารของกองทัพฝ่ายเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส จำนวนหลายร้อยคน ผู้มีบุญปาเชถูกสังหารใน ปี พ. ศ. 2464 3.3 ความเชื่อ ปาเชถูกสมมติให้เป็นผู้นำสารจากสวรรค์ มีความเชื่อและความพยายามที่จะสร้างโลกที่ยุติธรรมและสงบ แต่สานุศิษย์ไม่เชื่อคำแนะนำของสวรรค์ จนต้องทำสงครามและถูกสังหารในที่สุด 3.4 สัญลักษณ์เชิงคัมภีร์ มีโครงการสันติสุขประกอบด้วยคัมภีร์หลักการหรือกฎสวรรค์ 11 ข้อเป็นเครื่องนำทาง ไม่มีเนื้อหาอะไรให้คำตอบทางการเมืองการทหาร เนื้อหาคัมภีร์เน้นเรื่องข้อห้ามด้านอาหารการกิน สุขอนามัย และการบวงสรวงสังเวยหรือการบูชายัญ 4. ชงเลอ (Chong Leu) 4.1 กำเนิด ผู้มีบุญชงเลอ เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ. ศ. 2472 (ค. ศ. 1929) เริ่มเคลื่อนไหวช่วงฤดูใบไม้ผลิ เดือนเมษายน-พฤษภาคม พ. ศ. 2502 เป็นเวลา 12 ปี แถวหมู่บ้านม้งบริเวณพรมแดนเวียดนาม-ลาว ใกล้แขวงซำเหนือ ซึ่งเป็นที่ตั้ง “เขตเสรี” ภายใต้การปกครองของฝ่ายคอมมิวนิสต์ แขวงหัวพัน แขวงเชียงขวาง และแขวงหลวงพระบางในประเทศลาว แล้วพัฒนาต่อไปที่ฐานทัพทหารที่ลองเตียง ค่ายผู้อพยพที่บ้านวินัย ประเทศไทย 4.2 องค์กรรวม ชงเลอได้รวบรวมผู้คนและบรรดาสานุศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นม้งหลายสิบคน มีทั้งเจ้าฟ้า ทหารม้ง เย้า และลาว มีสตรีน้อยหรือแทบไม่มีเลยที่เข้าร่วมสงครามกลางเมืองแบ่งแยกดินแดน ผู้มีบุญชงเลอถูกสังหารเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ. ศ. 2514 มีเหยื่อผู้ถูกสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน ในสงครามกลางเมืองประเทศลาว ทั้งทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์ และ ทหารของนายพลวังเปา (หน้า 254) 4.3 ความเชื่อ ชงเลอมีความเชื่อในเทพเจ้าปาเฮา (Pahawh) มีเทวฑูตแต่งชุดดำหลายคนลงมาจากสวรรค์ มาปรากฏตัวต่อหน้าชงเลอซึ่งกำลังศึกษาคัมภีร์ปาเฮาอย่างลับ ๆ ในตอนกลางคืน และประกาศให้ทราบว่าบัดนี้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีบุญ ที่มาช่วยให้ม้งหลุดพ้น (หน้า 253) 4.4 สัญลักษณ์เชิงคัมภีร์ ชงเลอเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการเผยแผ่คัมภีร์ปาเฮาให้แก่กลุ่มผู้ใกล้ชิดกลุ่มเล็ก ๆ ก่อน เริ่มต้นสั่งสอนประชาชนม้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายในบริเวณเขตคอมมิวนิสต์ทางลาวเหนือซึ่งเป็นที่อยู่ของเขาเอง ชงเลอได้บอกสานุศิษย์ถึงการสาบสูญของเขาในอนาคต ชงเลอได้เขียนสาส์นประกอบด้วยสัญลักษณ์เพียง 3 ตัวซึ่งเป็นพยัญชนะในคัมภีร์ของปาเฮา แทนด้วยตัวเลข 7 8 9 เขียนกลับด้านเหมือนมองผ่านกระจก ตัวเลขทั้งสามตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ถึงคำบัญชาให้พี่น้องผู้ชาย 3 คนมาจุติ ได้แก่ อาจารย์ 2 คนของเทพเจ้าปาเฮามาจุติบนโลกและตัวของชงเลอเอง การกลับด้านของตัวเลข แสดงถึงการกลับคืนสู่สวรรค์ ชงเลอได้กล่าวแก่สานุศิษย์คนหนึ่งว่า “ม้งยังไม่พร้อม จะต้องรอไปก่อน นี้คือสาเหตุว่าทำไมข้าจึงต้องกลับคืนสู่สวรรค์ก่อน” และสั่งเสียเกี่ยวกับการทำศพของเขา “หลังจากที่ข้าถูกสังหารอย่าเพิ่งเอาข้าฝังลงดิน ให้รอก่อนและเก็บร่างข้าไว้ 13 วัน ถ้าพระบิดาบนสรวงสวรรค์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ช่วยม้งให้หลุดพ้นจากทุกข์เข็ญนี้ ข้าจะส่งสัญญาณจากโรงศพ ให้ท่านฝังร่างข้าได้ แต่ถ้าพระบิดาพิพากษาจะช่วยม้ง ข้าก็จะกลับมาใหม่อยู่กับพวกท่านอีกครั้ง” (หน้า 258) 5. งาวา (Nga Va) 5.1 กำเนิด การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญงาวาเกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 (1959) บริเวณแขวงไชยะบุรี ในประเทศลาว แล้วแผ่ขยายไปในค่ายผู้ลี้ภัยที่สบต่ำ จ. น่าน และที่ อ. เชียงคำ จ. พะเยา ในประเทศไทย และที่บ้านนาง จ. น่าน ตามด้วยการเคลื่อนไหวทั้งในลาวและไทย 5.2 องค์กร มีสานุศิษย์ส่วนใหญ่เป็นม้งผู้ชายอายุระหว่าง 25-50 ปี จำนวนประมาณ 20-30 คน งาวาได้ตระหนักถึงความยากลำบากที่ม้งบนโลกต้องเผชิญ และต้องการคำแนะนำจากศาสนาใหม่เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายที่ม้งได้พบมา ปลายปี พ.ศ. 2524 (1981) สานุศิษย์จำนวน 10 คนและผู้นับถืองาวาได้ออกจากค่ายผู้อพยพที่สบทุ่ง จ. น่าน เพื่อไปตั้งหมู่บ้านของตนเองในดินแดนลาว โดยนำหลักคำสอนที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ไปใช้ในการดำเนินชีวิต ต่อมาค่ายนี้ถูกปิดในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2525 ม้งหลายร้อยคนได้มาอาศัยอยู่รวมกับสานุศิษฐ์ของงาวาในดินแดนที่มีความปลอดภัยและมีความเที่ยงธรรม ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้อยู่ในการดูแลของฝ่ายรัฐบาลไทยซึ่งกำลังติดตามดูที่อยู่ของม้งในค่าย โดยละเลยข้อบังคับของเจ้าหน้าที่ฝ่ายลาว ผู้รับผิดชอบฝ่ายคอมมิวนิสต์ลาวได้มาตรวจเยี่ยมหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้หลายครั้ง ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนลาวสองสามกิโลเมตร วัตถุประสงค์ของเจ้าหน้าที่ที่มาที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อให้ม้งไปลงทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมายของรัฐบาลกลางที่กรุงเวียงจันทน์ ผู้ร่วมองค์กรของงาวาได้ติดต่อกับทหารไทยอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็ให้ข้อมูลด้านยุทธศาสตร์ รวมทั้งได้ติดต่อกับพ่อค้าจีนเพื่อขอซื้อฝิ่น อนึ่งการขึ้นทะเบียนหมู่บ้านแห่งใหม่นี้อย่างเป็นทางการ อยู่ในอำนาจของเจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์ลาว ได้สั่งม้งมิให้ติดต่อการค้าใดๆ กับฝ่ายไทย ในตอนนั้นฝิ่นเป็นแหล่งรายได้อย่างเดียวของม้ง ชาวบ้านพยายามขอยืดเวลากับฝ่ายคอมมิวนิสต์ เพื่อจะขอสิทธิ์กลับไปตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินไทย เพราะสถานภาพผู้อพยพผิดกฏหมายในไทย จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นทางการในไทย ในที่สุดกองทหารประเทศลาวได้มาที่หมู่บ้านและบังคับให้ม้งมาขึ้นทะเบียนทันที ทั้ง ๆ ที่มีคำสั่ง พวกม้ง กลับปฏิเสธ เพระต้องการรักษาความเป็นกลาง ทหารประเทศลาวจึงเปิดฉากการรบทันที สงครามกินเวลา 10 วัน ทำให้คนของงาวาเสียชีวิตหลายสิบคน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนผู้รอดชีวิตอพยพมาพร้อมภรรยาและบุตรหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย (หน้า 262) หลังจากนั้น งาวาพยายามหาที่พึ่งพึงในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เพื่อขอที่ดินผืนเล็ก ๆ ในไทยเพื่อตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เมื่อไม่มีทางออกสำหรับโครงการในอนาคต สานุศิษฐ์ของงาวาจึงแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ แต่ละกลุ่มมีทางเลือกแตกต่างกันไป ผู้รอคอยที่เป็นปัญญาชน และนักเคลื่อนไหวต้องการให้โครงการของเขาเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ต่างพากันคัดลอกและแบ่งคัมภีร์ โดยมีแผนการว่าจะมารวมตัวกันใหม่เมื่อโชคอำนวย (หน้า 263) งาวาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ค่ายผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาตินั้นไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ให้องค์กรที่กำลังเคลื่อนไหวนี้เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการ หากทว่ากระทำในโอกาสสุดท้ายด้วยความหวังที่จะหาที่สร้างหมู่บ้านในอุดมคติแห่งใหม่ (หน้า 263) ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2541 สานุศิษฐ์ของทั้งชงเลอและงาวายังคงเคลื่อนไหวทางศาสนาอยู่ทั้งในเอเชีย และโลกตะวันตก 5.3 ความเชื่อ มีความเชื่อในเทพเจ้าเยีย บิ มิ นู (Yia Bi Mi Nou) ซึ่งอยู่เหนือธรรมชาติบนสวรรค์ชั้นที่ 12 อันเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดของจักรวาล เป็นที่อยู่ของเทพเจ้า เกิดมานาน 2,800 ปี เยียบิมินู ได้ชักชวนเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ให้ลงมายังโลกมนุษย์โดยตรงเพื่อช่วยเหลือม้ง ในยุคลึกลับนี้ โลกสวรรค์ได้แบ่งแยกจากโลกมนุษย์อย่างชัดเจน แก่นของความรู้และอำนาจเหนือธรรมชาติจะช่วยม้งให้หลุดพ้นเป็นอิสระจากกฏข้อบังคับ 5.4 สัญลักษณ์เชิงคัมภีร์ ตามข้อมูลที่สอบถามสานุศิษฐ์ของงาวาที่บ้านนาง จ. น่าน เมื่อปี พ. ศ. 2536 นั้น ไม่มีคำทำนายใด ๆ ออกจากปากของผู้มีบุญโดยตรง เพราะคัมภีร์ได้บรรจุคำทำนายไว้แล้วมากมายในรูปแบบที่มีการใส่รหัสไว้ ผู้เขียนคิดว่าบางทีต้องมีการเพิ่มเรื่องการพยากรณ์ ทำนายของผู้มีบุญไว้บ้าง ถ้าหากมีจริงก็ยังคงเป็นความลับอยู่ในปัจจุบัน (หน้า 263) มีคัมภีร์ 8 เล่มถูกค้นพบที่บ้านนาง เขียนด้วยภาษาของแขวงไชยะบุรี มีการตีความพระคัมภีร์ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของผู้มีบุญ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยไขกุญแจไปสู่หนทางหลุดพ้น คัมภีร์เล่มแรก กล่าวถึง การจัดองค์กรภาคปฏิบัติของรัฐบาลในอนาคต กระทรวง และระบบการศึกษา “ประเทศม้ง” สามารถตั้งอยู่บนพื้นฐานรัฐธรรมนูญที่แท้จริง ผลงานทั้งหมดแสดงด้านต่าง ๆ ของระบบสัญลักษณ์ องค์ประกอบของธง ลวดลายเหรียญเงิน รวมทั้งความสัมพันธ์ของกระทรวงต่างๆ การบริหารงาน รูปสัตว์สัญลักษณ์ เล่มใหญ่สุดแสดงพื้นฐานทางการเมืองและข้อจำกัดด้านดินแดนของรัฐม้งที่มาในลาวเหนือ มีส่วนหนึ่งอุทิศให้กับประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ “จักรวาล” รวมทั้งประวัติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คัมภีร์ส่วนนี้มีความหนา 2,000 กว่าหน้า มีบางเล่มอุทิศให้กับคำจำกัดความของคำว่า “รัฐม้ง” หนา 300 กว่าหน้า พร้อมแผนที่ ส่วนเล่มอื่น ๆ มีเพียง 100 หน้า (หน้า 260) สานุศิษย์ทุกคนจะมารวมตัวกันปีละ 3 ครั้ง ในงานพิธีเฉลิมฉลอง จะวางคัมภีร์ไว้กลางปรัมพิธี รูปแบบและเนื้อหาของพิธีกรรมเหล่านี้ยังคงเป็นความลับอยู่ ผู้เขียนทราบแต่เพียงว่าพิธีกรรมจะจัดขึ้นในวันเพ็ญที่ 6 เดือนมิถุนายน วันเพ็ญที่ 9 เดือนกันยายน วันเพ็ญที่ 12 เดือนธันวาคม สัญลักษณ์ของกลุ่มคือ การพูดซ้ำมีคุณค่ากว้างขวาง ทวีคูณของตัวเลข 3 เป็นเรื่องดี เช่น 06-06 09-09 12-12 ส่วนตัวเลขอื่น ๆ เช่น 21 เป็นเรื่องไม่ดีทั้งหมด เพราะมีตัวเลข 7 ปรากฏอยู่ (3+7 = 21) (หน้า 264) ขบถ “ผู้มีบุญ” สามารถหาทางแก้ไขวิกฤตทางสังคมได้ ใน ขณะที่สังคมม้งแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ ขบถ “ผู้มีบุญ” เสนอคำตอบแก่สถานการณ์ดังกล่าวไว้ 4 ประการด้วยกัน คือ (หน้า 473) 1. ปรากฏการณ์ด้านสิทธิ “ผู้มีบุญ” เห็นได้ชัดจากตัว “ผู้มีบุญ” เป็นผู้ซึ่งสร้างสังคมที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งใหญ่ มีสานุศิษย์เข้าร่วมลัทธิจำนวนมาก ต่อมาได้สร้างชุมชน “ผู้มีบุญ” ขึ้น โดยยึดหลักการขั้นพื้นฐานให้เคารพนับถือหลักศีลธรรมจรรยา และประกอบพิธีในสรวงสรรค์ มีวัตถุประสงค์ที่จะปลดปล่อยมนุษย์จากการถูกกดขี่ข่มเหงในสังคม นอกจากนี้ชุมชน “ผู้มีบุญ” แสดงให้เห็น ”การหยุดอำนาจเหล่านั้นไว้ชั่วคราว” (หน้า 473) 2. ในช่วงเกิดวิกฤตมนุษย์มีความต้องการที่จะตั้งหัวหน้าหรือผู้รับผิด ชอบนโยบายด้านการเมืองเพื่อต่อรองกับอำนาจของรัฐบาลไทยทีแผ่ขยายเข้ามา มีการประกาศการมาของ “กษัตริย์ม้งบนสรวงสวรรค์” “ผู้มีบุญ” หลีกเลี่ยงที่จะยืนยันว่าตนเองเป็นหัวหน้าหรือผู้นำอย่างชัดเจน “ผู้มีบุญ” เป็นผู้ถือกุญแจแห่งอำนาจบางอย่างไว้ และยืนซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งอำนาจอย่างเป็นทางการ “ผู้มีบุญ” ทำหน้าที่เป็น “ผู้นำสารที่ถ่อมตน” ของกษัตริย์บนสวรรค์ เป็นพระเจ้าทางการเมืองที่สูงส่งและมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว ส่วนหน้าที่ของ “กษัตริย์สวรรค์” คือรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองให้แข็งขึ้นในระดับที่อยู่เหนือธรรมชาติ ม้งต้องการให้รูปแบบ “กษัตริย์” แยกพระองค์ออกจากสังคมของฆราวาสทั่วไป เพื่อให้บุคคลในอุดมคติผู้นี้มีพลังที่จะเอาชนะวิกฤตกาลให้ผ่านพ้นไปได้ (หน้า 474) 3. ทั้ง ๆ ที่ “ผู้มีบุญ” มีสถานภาพทางการเมืองอันคลุมเครือ พระองค์ทรงปรากฏตัวราวกับเป็นศูนย์รวมอำนาจทางศาสนา และทางการเมืองในหมู่ชาวม้งไปพร้อมๆ กัน พระองค์มีภาระหน้าที่ช่วยชาวม้งที่ต้องการหลุดพ้นจาก “การถูกกดขี่ข่มเหงเหยียบย้ำ” ให้ได้พบกับสันติสุข พระองค์ได้สร้างความสัมพันธ์พิเศษกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คำพูดและการกระทำของพระองค์กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวม้งว่าพระองค์ทรงเป็นปากเสียงให้กับชะตากรรมของมนุษย์ (หน้า 474) 4. เพื่อตอบสนองความปรารถนาของม้ง “ผู้มีบุญ” สร้างรูปแบบอำนาจทางการเมืองไว้ตอบโต้การยึด ครองดินแดนม้งของฝ่ายราชการไทย โดยได้ประกาศการเข้าถึง “ดินแดนชนชาติม้ง” ในอนาคต ความคิดเรื่องการเข้าครอบครองดินแดนในจินตนาการทำให้ “ผู้มีบุญ” สามารถอธิบายความหมายของสภาพ “ไร้พรมแดน” แก่ม้งได้ในท้ายที่สุด แม้ว่าการมาถึงของ ”กษัตริย์ม้ง” และการเข้าถึงดินแดนม้งอย่างแท้จริงนั้นจะเสร็จสมบูรณ์ได้ยาก (หน้า 474) แต่การเคารพหลักการสวรรค์อย่างมั่นคง จะนำไปสู่ดินแดนของ “กษัตริย์สวรรค์” และตั้งรกรากอยู่ใน ดินแดนอิสระ แนวคิดทั้งสองอย่างทำให้ม้งจินตนาการถึงดินแดนที่อยู่ห่างไกลได้ (หน้า 474) “ผู้มีบุญ” ได้เขียนแถลงการณ์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร และกำกับความปรารถนาของม้งไว้ในด้านพิธีกรรม สร้างรูปแบบที่จับต้องได้เพียงเล็กน้อยแต่มีปฏิกิริยาอย่างมากต่อจินตนาการของสังคม พลังสำคัญ คือ การผัน พลังอำนาจความปรารถนาของส่วนรวม ซึ่งปรกติโดยทั่วไปหลบซ่อนอยู่ไม่แสดงออกมา กับความสามารถในการ รวมชุมชน “ผู้มีบุญ” ไว้ให้อยู่ รอบ ๆ สิ่งที่ปรารถนา (หน้า 474) “ผู้มีบุญ” เป็นทั้งผู้นำทาง “วิญญาณ” และทางนโยบายการเมืองที่มีความสามารถปฏิบัติการได้ รู้ว่าไม่สามารถครอบครองอำนาจทางการเมืองได้จริง เพราะต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านของม้ง จึงจับเอารูปแบบอำนาจทางสัญลักษณ์อื่น ๆ คือ การเกิดใหม่ และความเป็นอมตะ เป็นการยืนยันพลังอำนาจบนหลักการตามธรรมชาติและของสังคม (หน้า 475) |
|
Belief System |
พิธีปีใหม่เป็นพิธีที่สำคัญสำหรับม้ง พิธีกรรมนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะขับไล่เคราะห์ร้ายต่าง ๆ ของปีเก่าที่กำลังเคลื่อนผ่านไป และรวบรวมหรือชุบชีวิตเพิ่มพลังให้ “จิตวิญญาณเข้มแข็งขึ้น” สำหรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง (หน้า 65) พิธีเริ่มด้วยการเช็ดถูบ้านเรือน ได้แก่ การเข้าไปภายในบ้าน เอาไม้กวาดที่ทำด้วยไม้ไผ่กับใบไผ่กวาด เข้าไปในมุมที่เล็กที่สุด เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงให้ออกไปจากบ้านพร้อมกับท่องบทสวด (หน้า 66) พิธีกรรมต่อมาคือ การชุบชีวิต วัสดุค้ำชูจิตวิญญาณดีภายในบ้านให้แก่สมาชิกทุกคนภายในบ้าน เป็นประจำปี เพื่อให้มีความสมบูรณ์มั่นคั่ง จิตวิญญาณคู่นี้จะ “สิงสถิต” บนแผ่นกระดาษมีสี่เหลี่ยมจัตุรัสตรง กลางปิดด้วยทอง กระดาษแผ่นนี้ถูกตรึงบนส่วนสูงของกำแพงบ้าน มีหิ้งบูชาของคนทรงรองรับซึ่งใช้เป็นที่ทรง เกียรติยศเมื่อกำลังรับประทานอาหาร บนแผ่นกระดาษนี้จะติดขนไก่ทาเลือด (หน้า 66) พิธีกรรมที่สาม ก่อนที่จะเข้าสู่ปีใหม่ เจ้าบ้านหรือคนอื่นใครก็ได้ที่รู้พิธีกรรมเรียกขวัญ จะทำพิธีเรียกขวัญให้ แก่สมาชิกทุก คนในบ้านในช่วงขึ้นปีใหม่ ม้งเชื่อว่าเมื่อต้องรีบเร่งทำงานในไร่นาตลอดปีที่ผ่านพ้นไป อาจ ปล่อยให้ขวัญต่าง ๆ ตกหล่นหายไป ฉะนั้นเมื่อเริ่มต้นปีใหม่ จึงควรกลับมาเข้าร่วมพิธีกรรมเหล่านี้เพื่อจะได้ “สมบูรณ์เต็มดี” (หน้า 67) วันแรกๆ ของงานเฉลิมฉลองขึ้นปีใหม่ ถือเป็นช่วงเวลาเดียวของปีที่คนทรงจะประกอบพิธีกรรม อันดับแรกคือ ชุบ หิ้งคนทรงใหม่แล้วส่งจิตวิญญาณผู้ชายไปสู่โลกสวรรค์ จุดประสงค์ของพิธีกรรมนี้คือให้จิตวิญญาณได้หยุด ท่องเที่ยวพักผ่อน และชุบชีวิต ซิว ยีส (Siv Yis) ซึ่งเป็นเจ้าสวรรค์หรือผู้ยิ่งใหญ่บนสวรรค์ พิธีกรรมนี้จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความอดทนและค่อย ๆ พยายาม พิธีกรรมของคนทรงในช่วงปีใหม่ไม่ได้อยู่ในประเภทพิธีกรรมรวม เพราะว่าพิธีกรรมนี้จะแสดงความสัมพันธ์ปัจเจกชนหรือเรื่องส่วนตัวที่คนทรงสนทนาพูดคุยกับผู้ช่วยเหนือ ธรรมชาติของคนทรงเรียกว่า “เน้ง” (neeb) (หน้า 67) บ้านชา มีผู้ประกอบพิธีกรรมสำคัญของศาสนาม้งเดิมมีสามประเภทใหญ่ ๆ คือ คนทรงติดต่อกับวิญญาณ สัปเหร่อผู้จัดพิธีศพ และคนที่ทำหน้าที่เรียกขวัญให้แก่เด็กเกิดใหม่และคนป่วย (หน้า 110) ในหมู่บ้านชา (มีประชากรอยู่ประมาณ 1,000 คน) เราจะได้ยินเสียงฆ้องทองแดงที่ผู้ช่วยคนทรงจะตีสัปดาห์ละ หลายครั้ง เพื่อป่าวประกาศการเริ่มต้น “เดินทาง” สู่โลกบนสรวงสวรรค์ของเหล่าวิญญาณ เพื่อรักษาสมดุลทางจิต กับการที่ผู้ป่วยมีสุขภาพพลามัยดี เป็นการค้นหาความกลมกลืนระหว่างสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น ผู้ช่วย วิญญาณ เครื่องมือเวท มนต์คาถากับโลกของวัตถุ เช่น การใช้สมุนไพร รากไม้ และองค์ประกอบทางยาอื่น ๆ หน้าที่ในการรักษาโรคต่าง ๆ เปรียบเสมือนการต่อสู้ปกป้องชีวิตของคนให้พ้นจากการตายอย่าง “ผิดปรกติ” หรือ ตายก่อนวัยอันสมควร เช่น อุบัติเหตุ และโรคภัยไข้เจ็บ คนทรงต้องเผชิญกับพลังอำนาจเร้นลับต่าง ๆ ที่อยู่เหนือ ธรรมชาติ ได้แก่ วิญญาณชั่วร้ายและโลภโมโทสน กลิ่นควันชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคซึ่งจะทำให้เกิดความทุกข์ ทรมานต่อไปอย่างยาวนาน รวมทั้งเทพแห่งโรคภัยไข้เจ็บ ความตาย เทพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดหรือการกลับ ชาติมาเกิดใหม่ ท้ายที่สุดคนทรงมีหน้าที่ที่จะรักษาผู้ป่วยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อประกัน ความเป็นอยู่ของกลุ่มคนให้อยู่รอดต่อไป (หน้า 110) ในขั้นตอนแรกคนทรงจะเรียกวิญญาณมาประทับทรง แล้วคนทรงจะมีอาการตัวสั่นและโยกตัวทำท่าขี่ม้าบนม้านั่งเปรียบเสมือนกำลังขี่ม้ามังกร ประกอบกับคนทรงจะแสดงปฏิกิริยาสองช่วง ช่วงแรกผู้ช่วยคนทรงจะตอบรับกับเสียงเรียกของคนทรง ต่อมาคนทรงจะท่องบทสวดบอกสั่งภาระหน้าที่แก่ผู้ช่วย การเดินทางสั้นยาวซับซ้อนต่างกันไป โดยมีวัตถุประสงค์ คือ ค้นหาวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายหนึ่งหรือหลายตนลักพาตัวไป (หน้า 111) คนทรงม้งจะปฏิบัติหน้าที่ต่อเมื่อผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยมาร้องขอ จะไม่ไปเสนอบริการด้วยตนเอง หมู่บ้านม้ง มีคนทรงนับได้ทั้งหมด 12 คน โดยเฉลี่ยคนทรง 1 คนต่อแปดครอบครัว มีคนทรงม้งที่เป็นผู้หญิง 3 คน มีคน ทรงม้งขาวเพียงคนเดียว ผู้ทำพิธีศพประกอบด้วยบุคคลสองประเภท คือ ผู้ท่องบทสวดนำผู้ตายไปยังหมู่บ้านของบรรพบุรุษบนสรวงสวรรค์ พร้อมกับสวดรำลึกถึงการสร้างโลก มนุษย์ และสังคม นักดนตรีเป่าปี่ของเผ่าและตีกลองในพิธีศพ กลองนี้ทำจาก หนังสัตว์เพียงผืนเดียว ขึงลงบนกรอบไม้ นักดนตรีจะแอบอยู่นอกพิธีศพ และมีข้อห้ามจำนวนมากไม่ให้พร่ำ เรียกชื่อของผู้ตาย ทำนองเสียงเพลงร้องเต้นในพิธีกรรมจะใช้กลองเป็นตัวเน้นเสียงให้ดังขึ้นหรือเบาลง เสียงร้อง และเสียงเครื่องดนตรีจะรับกันหรือไม่ในบางช่วงขณะแล้วแต่กำหนด (หน้า 112) ที่บ้านชามีนักสวดประมาณ 10 คน ทั้งหมดเป็นม้งเขียว ผู้ท่องบทสวดจะทำหน้าที่ “นำทางผู้ตาย” (หน้า 112) มี ชาวบ้านจำนวนมากสามารถทำพิธี “เรียกขวัญ” บางทีมีมากกว่า 50 คน มีทั้งหญิงและชาย ม้งเขียวและม้งขาว ซึ่งตรงข้ามกับคนทรง ผู้ทำพิธีเรียกขวัญไม่ต้องมีผ้าม่านคลุมหรือบังตา ไม่มีวิญญาณผู้ช่วย ไม่มีอาการตัวสั่น และ ไม่สามารถ “เดินทาง” ไปยังสรวงสวรรค์ได้ โดยทั่วไป “หัวหน้าครอบครัว” สามารถทำพิธีเรียกขวัญได้เอง เมื่อมี เหตุบางอย่างกระทบขวัญของคนในครอบครัว เช่น เด็กเกิดใหม่ หรือเด็กที่อ่อนแอ หรือผู้ใหญ่ที่ไม่แข็งแรง อ่อนเพลียเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คนทรงอาจจะทำพิธีเรียกขวัญก่อนเข้าทรง หมายความว่าก่อนที่คนทรงจะ “ละ จาก” โลกมนุษย์ไปสู่โลกแห่งวิญญาณบนสรวงสวรรค์ (หน้า 112) |
|
Education and Socialization |
บ้านชา รัฐบาลสร้างอาคารเรียนให้หลังหนึ่ง จวบจนปี พ. ศ. 2536 เด็กนักเรียนม้งที่ร้องเพลงชาติใน ตอนเช้ามีน้อยนิด เพราะขาดเรียนบ้าง มาสายบ้าง นักเรียนไม่ได้สวมเครื่องแบบกันเพราะไม่มีเงินซื้อ จนรัฐบาลไทยได้บริ จาคเครื่องแบบนักเรียนให้ มีครูผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 1 คน พวกครูสอนมักบ่นเรื่องคุณภาพชีวิตที่ต้องกล้าหาญอดทน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีโทรทัศน์ดู และความไม่ดีของพวกม้ง ในความคิดของคนไทย ชาวเขาเป็นคนเสเพลไร้ศีลธรรม (หน้า 96) หลังปี พ. ศ. 2503 มิชชั่นนารีอเมริกันนิกายโปรแตสแตนท์ได้มาพาเด็กม้งไปเข้าโรงเรียนศาสนาที่พื้นราบ ปี พ. ศ. 2510 มีหนุ่มสาวม้งประมาณ 10 คน ไปเข้าโรงเรียนกินนอนประจำที่ อ. ปัว ได้เรียนทั้งภาษาไทยและหนังสือม้งซึ่งถ่ายภาษาด้วยระบบของบาร์นี สมอลลี่ มิชชั่นนารีอเมริกันมักคัดเลือกนักเรียนกลุ่มเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งส่งเรียนต่อที่ลินคอล์น อคาเดมี ในอำเภอเมืองน่าน ปัจจุบันไม่มีม้งที่ได้รับการศึกษา กลับไปทำงานรับตำแหน่งที่บ้านเกิด แต่ชอบที่จะอยู่ที่บ้านหลวงหรือที่เชียงใหม่และทำงานให้กับพ่อค้าชาวจีนหรือสมาคมองค์กรศาสนา (หน้า 122) บ้านนาง โรงเรียนที่บ้านนางสร้างขึ้นเมื่อปี พ. ศ. 2532 โดยชาวบ้านและทุนสนับสนุนค่าวัสดุจากทางรัฐบาล เป็นตึกเพียงหลังเดียวที่มุงหลังคาด้วยสังกะสี ในปีเดียวกันนั้นเอง ครูผู้ชายคนไทยพูดภาษาม้งไม่ได้แม้แต่คำเดียวได้รับการแต่งตั้งให้มาสอนหนังสือที่บ้านนาง แต่อยู่ได้เพียงสองสามเดือนเท่านั้น โรงเรียนเปิดสอนอยู่สองปีกว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีการเรียนการสอนและปิดตัวลง ต่อมาก็เปิดใหม่ในปี พ. ศ. 2536 มีครูสาวคนไทยได้รับการแต่งตั้งให้มาสอนที่นี่ พูดภาษาม้งไม่ได้เลย อยู่แค่สองสามวันเท่านั้น ครูก็จากหมู่บ้านนี้ไป โชคดีที่ครูปิดประตูและฝากกุญแจห้องเรียนให้กับผู้รับผิดชอบของหมู่บ้านตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โรงเรียนก็ถูกใช้เป็นห้องประชุมสำหรับชาวบ้านมาประชุมคัดค้านการสั่งย้ายหมู่บ้านของทางราชการอยู่บ่อย ๆ (หน้า 118) ผู้เขียนพบว่าแม้ในโรงเรียนของรัฐบาลได้เปิดอบรมครูจำนวนมากที่มีเชื้อสายชาวเขา แต่แทบจะไม่ได้แต่งตั้งให้กลับไปสอนในบริเวณที่เคยเกิดสงครามมาก่อน ครูชาวเขาเหล่านี้ได้รับการบรรจุให้ไปสอนในบริเวณที่สงบจากสงครามแล้ว เช่น รอบ ๆ ตัวเมืองเชียงใหม่และในค่ายผู้อพยพภายในที่กลับใจเข้าอยู่ในหมู่บ้าน เช่น บ้านหลวง เนื่องจากนโยบายของทางราชการที่จำกัดไม่ให้ครูชาวเขาเข้ารับตำแหน่งครูดอย ทั้งๆ ที่พวกเขาสามารถอดทนต่อสภาพชีวิตไม่ค่อยสะดวกสบายบนดอย และมีความรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมพื้นเมือง ซึ่งสามารถประสานระบบการศึกษาของไทยให้เข้ากับสภาพชีวิตประจำวันของชาวบ้านและเกษตรกรได้ (หน้า 118) โรงเรียนที่บ้านนางร้างไร้ครูสอนคนไทย แต่มีผลกระทบเล็กน้อยกับเด็กรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตามเด็กชายหญิงบางคนก็พูดเขียนภาษาไทยได้ ส่วนใหญ่ถูกส่งไปเข้าเรียนที่บ้านหลวง โดยพักอยู่กับญาติสนิท 3 - 4 ปี พ่อแม่เด็กมักสอนลูกอ่านหนังสือเอง และเลือกที่จะส่งเด็กๆ เข้าโรงเรียนในหมู่บ้านใหญ่ของชาวม้งที่บ้านหลวง เพื่อจะได้รับความรู้ที่จำเป็นเพื่อให้เข้าใจและใช้เอกสารของราชการ พ่อแม่ม้งจะแบ่งปันแรงบันดาลใจทางสังคมกับพ่อแม่ที่บ้านหลวงและตามอำเภอต่างๆ ของไทย และปรารถนาให้ลูกมีสถานภาพทางสังคมสูงขึ้นในระบบสังคมของม้งเองและโดยเฉพาะในระบบสังคมไทย รูปแบบพฤติกรรมของชาวม้งในหมู่บ้านบนดอยสูงที่ห่างไกลอาจถูกเข้าใจว่าเป็นเครื่องหมายแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในรายงานเรื่องชาวม้งกับระบบการศึกษาของชาติ (หน้า 123) บางครอบครัวที่ลูกชายมีอายุ 20-30 ปี เคยไปเข้าเรียนในค่ายพักพิงชั่วคราวที่บ้านหลวงหรือค่ายผู้ลี้ภัยที่เชียงคำระหว่างสงคราม การบังคับให้มาอยู่ที่ค่ายทำให้ได้ร่ำเรียนหนังสือจนจบและได้ประกอบอาชีพพยาบาล ทันตแพทย์ เรียนวิธีคิดบัญชี ส่วนใหญ่มีความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ซึ่งหาได้น้อยในหมู่บ้านชาวเขา ประกอบกับสายสัมพันธ์ทางพ่อแม่ คนเหล่านี้ก็มักได้รับเลือกให้เป็นกรรมการตัวแทนหมู่บ้านเข้าดูแลผลประโยชน์หมู่บ้านร่วมกับฝ่ายบริหาร (หน้า 116) บ้านหลวง ม้งที่มีต้นกำเนิดที่บ้านนางได้รับการศึกษาจากมิชชั่นนารีอเมริกันในช่วงทศวรรษหลังปี พ. ศ. 2503 ส่วนใหญ่จะตั้งรกรากอยู่ที่บ้านหลวง เพื่อจะได้รับประโยชน์ด้านสาธารณูปโภคจากพวกบาทหลวง (หน้า 139) ครอบครัวม้งที่ลูกชายเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลและมีผลการเรียนดีจะรีบส่งลูกไปเรียนต่อในโรงเรียนโปรแตสแตนท์ที่อำเภอปัว ครอบครัวเหล่านี้เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าโรงเรียนที่สอนด้วยภาษาไทยไม่พอที่จะได้รายได้สูง ระดับการศึกษาระหว่างโรงเรียนของรัฐกับของมิชชั่นนารีไม่น่าจะแตกต่างกัน แต่ข้อพิสูจน์ที่ได้กลับเป็นอย่างอื่น เพื่อจะเข้ารับตำแหน่งความรับผิดชอบบางอย่างนั้น จำเป็นจะต้องสานสัมพันธ์กับองค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอและองค์กรศาสนา เมื่อเป็นเช่นนี้ที่เชียงใหม่ จึงพบม้งจำนวนมากเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมการกุศลที่มีกำเนิดจากบ้านหลวงและเกศน้อย ม้งบ้านหลวงจะคอยต้อนรับนักศึกษาม้งที่มาจากหมู่บ้านบนเขา ในขณะเดียวกันก็ให้อภิสิทธิ์แก่ผู้นับถือศาสนาคริสต์ ผู้ดูแลเหล่านี้เกือบทั้งหมดได้รับการศึกษาจากโรงเรียนที่สอนด้วยมิชชั่นนารีและผู้ร่วมงานที่เป็นคนของหน่วยงานทางศาสนา รูปแบบความร่วมมือประเภทนี้ก้าวหน้ากว่าความสัมพันธ์ในโคตรตระกูลและเครือญาติตามระบบจารีตประเพณี (หน้า 139) |
|
Health and Medicine |
ดูหัวข้อ 22 ที่เกี่ยวกับคนทรงที่ทำพิธีให้คนในบ้านมีความสมดุลย์ทางร่างกายและจิตใจ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สถาปัตยกรรมบ้านนาง ในปี พ.ศ. 2535 บ้านทุกหลังในหมู่บ้านสร้างด้วยไม้ไผ่ บ้างก็สร้างด้วยไม้กระดานขัด หลังคามุงจากมัด วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ยกเว้นอาคารเรียนและบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน การมุงหลังคาสังกะสีลอน ต้องใช้เงินมาก และค่าเดินทางก็ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ระยะเวลาใช้งานอาจใช้เวลานานถึง 6-8 ปี ในขณะที่ หลังคามุงจากโดยเฉลี่ยใช้ได้ 2 ปี เป็นเวลาชั่วคราว การเตรียมใบจากทำขึ้นในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือน พฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงว่างเว้นจากการกรีดและเก็บยางฝิ่นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และทำ ขึ้นใหม่อีกครั้งช่วงหน้าแล้งเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม การเปลี่ยนหลังคาจากเป็นแผ่นสังกะสีชุบนั้นบ่งบอกถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของพวกชาวบ้าน สีของหลังคาไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาลเหลืองของจาก หรือสีเทาของสังกะสีลอนจึงเป็นเครื่องบ่งบอกสภาพเศรษฐกิจของชาวบ้านม้ง (หน้า 119) สถาปัตยกรรมบ้านหลวง บ้านหลวงที่ตั้งขึ้นใหม่บนที่ราบ ทั้งๆ ที่มีชาวเขาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีลักษณะคล้ายหมู่บ้านไทยมากกว่าหมู่บ้านชาวเขา เพราะบ้านม้งถูกจำกัดที่ให้ตั้งอยู่ติด ๆ กัน มีชาวเขาเชื้อสายต่าง ๆ (ม้ง เย้า ลัวะ) อย่างไรก็ตามก็มองเห็นลักษณะสถาปัตยกรรมบางอย่างของชาวม้ง ที่สะดุดตา คือ การยึดลักษณะการสร้างบ้านติดดิน ใช้เป็นที่อยู่อาศัย มิใช่ใช้เป็นที่ปรุงอาหารหรือเก็บข้าวของเหมือนบ้านไทย หัตถกรรมที่บ้านชา มีการตีเหล็กทำกันในกระท่อมเล็ก ๆ ที่มีเครื่องสูบทำจากลำต้นไม้ เจาะตรงกลางให้กลวง ใส่แผ่นไม้ล้อมรอบด้วยด้ามไม้สำหรับขับดันอากาศที่ให้ความร้อนแก่เหล็ก ชาวนาไทยและพวกลัวะมีความต้องการเครื่องมือเหล็กที่ตีด้วยมือ เพราะมีความเหนียวและความคงทนกว่ามีดที่ขายตามท้องตลาดในเมือง วัตถุดิบเบื้องต้นได้จากลวดสปริงแขวนของรถบรรทุกหรือรถปิกอัพ ซึ่งต้องบรรจุสัดส่วนของคาร์บอนจำนวนหนึ่ง เพื่อชุบเหล็กกล้า ใบมีดเหล็กกล้าที่ม้งตีมีชื่อเสียงยอดเยี่ยมในหมู่คนไทยและในพวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ช่างตีเหล็กม้งผลิตขาหยั่งสามขาทำด้วยเหล็กอ่อนสำหรับตั้งกระทะบนเตาไฟ ซึ่งทุกครัวเรือนจะขาดเสียไม่ได้ (หน้า 107) การแต่งกาย: ที่บ้านชา มีการทำผ้าบาติก เป็นงานของหญิงม้ง มักทำในช่วงนอกฤดูทำนา โดยจะใช้ขี้ผึ้งร้อน ๆ หยดลงบนผ้า ฝ้ายดิบ บางครอบครัวได้ใบสั่งทำผ้าบาติกตามลวดลายที่กำหนดมาเป็นจำนวนมาก ผู้ชายเริ่มร่างโครงวาดเส้น เล็ก ๆ สีขาวด้วยท่าทางที่มั่นใจ ผ้าบาติกตามมาตรฐานด้านหนึ่ง ๆ มีความยาว 3 เมตร * 4 เมตร (หน้า 106) ที่บ้านนาง มีการพัฒนาการผลิตผ้าบาติกสีน้ำเงินที่บ้านนางน้อย ม้งขาวร้อยละ 40 กว่าของประชากรทั้งหมดของหมู่บ้าน ม้งเขียวผลิตผ้าบาติกสีน้ำเงินที่ใช้เป็นผ้าแถบตรงกลางของกระโปรงม้งดั้งเดิมที่มีจีบและลายปัก นอกจากนี้ผู้เขียนสังเกตเห็นว่ามีการปลูกต้นป่านด้วย สาวม้งเขียวนำมาทอเป็นผ้าท่อนล่างของกระโปรงม้งดั้งเดิมที่มีความละเอียดที่สุด แต่สี่ห้าปีมานี้ไม่มีใครทอผ้าป่านอีกแล้ว (หน้า 121) |
|
Folklore |
ต้นปี พ. ศ. 2536 ระหว่างที่ผู้เขียนทำวิจัยภาคสนามในพื้นที่ มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ มีคนทรงม้งขาวชรา คนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้จักมาเป็นเวลาหลายเดือนและพูดคุยเกี่ยวกับตำนานการสร้างโลกและมนุษย์ ได้แสดงหนังสือ เล่มใหญ่จดบันทึกตัวเขียนม้งที่ผู้เขียนไม่สามารถอ่านออก ทำไมวันนั้นคนทรงจึงพึ่งจะเอางานชิ้นนี้มาให้ดู ทำไม จึงไม่พูดถึงหนังสือเล่มนี้ให้เร็วกว่านั้น เพราะต่อมาผู้เขียนจึงทราบจากปากของผู้ให้ข้อมูลคนอื่น ๆ ว่าหนังสือ ลายมือเขียนนี้ต้องปกปิดไม่เปิดเผยให้ใคร (หน้า 123) คนทรงคนนี้ได้เอาหนังสือมาให้ดูห่อด้วยผ้าหนาหนึ่งผืน และมัดใส่ถุงพลาสติกหลายใบเพื่อปกป้องหนังสือข้างใน หนังสือเล่มนี้หนา 350 กว่าหน้า เขียนด้วยลายมือทั้งเล่ม ข้อความที่เขียนข้างในเป็นแถวๆ แบ่งเป็นย่อหน้า ๆ อย่างชัดเจน เน้นภาพวาดสีสดใส ปกหนังสือซึ่งทำด้วยสีน้ำตาลและแผนที่ลาวและคาบสมุทรอินโดจีนจำนวนมากวาดด้วยมือ คนทรงอธิบายว่าหนังสือเล่มนี้รวบรวมบทสวดที่ใช้ในพิธีกรรมประกอบกิจทางศาสนาของม้ง รวมถึงลัทธิคนทรงเจ้าการเรียกวิญญาณ การสอนหนทางเดินทางแก่ผู้ตายในการประกอบพิธีศพ และบทสวดในพิธีกรรมที่ไม่ค่อยใช้กันแล้ว จากรูปภาพ ผู้เขียนพบว่าบุคคล เครื่องมือที่ใช้ในพิธีกรรมม้งไม่เหมือนกับที่รู้จัก ผู้เขียนเลือกถามความหมายเกี่ยวกับรูปภาพ นั้นคือภาพบุคคลผิวขาว เหลือง ดำ สวมเครื่องแต่งกายเหมือนพระในศาสนาพุทธเปิดไหล่ สวมผ้าโพกศีรษะแหลม ใบหูยาว (พุทธลักษณะอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว มือประสานกอดอกมือซ้ายทับมือขวา ผู้ให้ข้อมูลพยายามอธิบายให้ผู้เขียนฟังอย่างค่อนข้างวกวน โดยบอกว่าภาพนั้นเป็นทั้งคนทรงม้งและพระในศาสนาพุทธของชาวม้งที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในลาว ผู้เขียนตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายและความจำเป็นของแผนที่ทางภูมิศาสตร์จำนวนมากในหนังสือพิธีกรรม เขาตอบว่าแผนที่เหล่านี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ที่ม้งเข้าครอบครอง ฝูงชนแถวนั้นได้มาเรียกคนทรงให้ไปต้อนวัวควายที่บุกเข้าไปในทุ่งข้าวโพด คนทรงจึงขอให้ลูกเลี้ยงซึ่งอายุประมาณ 15 ปี มาดูแลหนังสือต่อ เขาเน้นว่าหนังสือเล่มนี้ให้ผู้เขียนยืมไม่ได้ จึงได้ถ่ายภาพไว้และคัดลอกอย่างรวดเร็ว เท่าที่ผู้เขียนจะทำได้คือ ประมาณ 20 หน้า (หน้า 124) ต่อมาอีกนานผู้เขียนทราบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มหนึ่งในจำนวนหนังสือชุด 8 เล่ม จัดทำขึ้นมีรูปแบบเดียวกันหมด ผู้ให้ข้อมูลที่บ้านนางกล่าวว่าหนังสือแต่ละเล่มมีลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมม้ง เล่มแรกอุทิศให้กับการนำตัวหนังสือใหม่ซึ่งเราระบุได้ว่าเป็น “ตัวหนังสือของแขวงไชยะบุรี” เป็นแขวงในลาวซึ่งมีพรมแดนติดกับจังหวัดน่าน หรือ “ตัวหนังสือของเยีย บิ มิ นู” ตามชื่อของผู้สร้างสมมติเหนือธรรมชาติ หนังสือลายมือเขียนเล่มอื่น ๆ บันทึกการปฏิบัติและบทสวดในพิธีกรรมตามประเพณีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในที่สุดมีอยู่เล่มหนึ่งแสดงเผยแพร่พื้นฐานเบื้องต้นทางการปกครองและดินแดนในการตั้ง “ประเทศม้ง” ทางตอนเหนือของลาว และผลงานเล่มสุดท้ายนี้เองที่คนทรงชราให้ผู้เขียนดู (หน้า 125) ในจำนวนคนทรงม้งขาวในหมู่บ้านนี้มีเพียงคนทรงสูงอายุผู้นี้ยืนยันเปิดเผยตัวหนังสือของแขวงไชยะบุรี หนุ่มม้งขาวหลายคนได้รับการสอนตัวหนังสือจากคนทรงผู้นี้แต่ไม่มีสักคนเดียวพูดคุยสนทนาได้ในขณะที่คนหนุ่มสาวที่ได้รับการสอนนี้และคนทรงม้งขาวสี่คนของหมู่บ้านใช้ตัวหนังสืออีกแบบคือ แบบของชองเลอ (ปาเฮา) ใช้ค่อนข้างประจำ เมื่อติดต่อกับม้งคนอื่น ๆ ในประเทศไทย ไม่มีใครเล็งถึง การส่งสาส์นที่เขียนด้วยตัวหนังสือของแขวงไชยะบุรี ลัทธิความรู้ประเภทหลังนี้จะเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่ถูกสอนมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการโฆษณาชวนเชื่อและการสนทนา (หน้า 125) ประชากรทั้งหมดของบ้านนางยกเว้นม้งเขียวสองสามคนได้ฝึกฝนการถ่ายภาษาม้งแบบบาร์นี-สมอลลี่ที่เผยแพร่มากที่สุดในประเทศตะวันตกได้อย่างคล่องแคล่ว (หน้า 125) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
สังคมม้งดั้งเดิมมีความสามารถที่จะเผชิญกับความไม่เป็นระเบียบแบบแผนตามปรกติ (ตามธรรมชาติ ตามสังคม ตามสัญลักษณ์) ซึ่งมักจะคุกคามการเชื่อมโยงอำนาจของกระบวนการผลิตซ้ำ และคุณค่าทางอุดมการณ์ซึ่งเป็น พื้นฐานของสังคม ท่าทีของความไม่แน่นอนมุ่งที่จะประกันความมั่นคงของระเบียบแบบแผนภายใต้การยอมรับทุก อย่าง ในทางตรงข้ามเมื่อ “ผู้มีบุญ” ตีความปัญหาทางการเมืองและอัตลักษณ์ว่าเป็นเครื่องหมายทางสัญลักษณ์ ของความไม่เป็นระเบียบแบบแผน วิกฤตของสังคมลึก ๆ ก็เกิดขึ้น รูปแบบของวิกฤตทางอัตลักษณ์เพิ่งเกิดขึ้นใน ประวัติศาสตร์ เป็นรูปแบบทวีคูณและประกอบด้วยจินตนาการหลายอย่าง (หน้า 472) เราเห็นว่าเครื่องหมายวิกฤตนี้เน้นย้ำคำตอบที่บรรดา “ผู้มีบุญ” เสนอมา เราจำเป็นที่จะต้องตอกย้ำลักษณะของสังคมและศาสนาม้งดั้งเดิมซึ่งถูกมองว่าเป็นเครื่องหมายทางสัญลักษณ์ (หน้า 472) 1.โครงสร้างสังคมม้งดั้งเดิมที่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ในช่วงวิกฤตของสังคมนั้นมีลักษณะมุ่งประเด็นไปยังข้อจำกัด ที่มีความหมายบางอย่างต่ออัตลักษณ์ของชาวม้ง เช่น การแบ่งสังคมม้งออกเป็น “ม้ง กลุ่มสีต่าง ๆ” (ม้งเขียว ม้งขาว ม้งแขนลาย “แถบเครื่องหมายทหาร”) แบ่งเป็นโคตรตระกูลทางสายพ่อและสายตระกูลย่อยกลายเป็นเป้าหมายของการตั้งคำถามไป สานุศิษย์บางคนของ “ผู้มีบุญ” ชอง เลอ ปฏิเสธที่จะบอกชื่อโคตรตระกูลของตนเอง ส่วนคนอื่นก็ปฏิเสธการแบ่งว่าเป็นม้งเขียวหรือม้งขาว เพราะว่าการแบ่งนี้ต้องรับผิดชอบต่อวิกฤตทางสังคมที่ชาวม้งต้องเผชิญอยู่ ฉะนั้นรูปแบบวิกฤตถูกมองว่าเป็นปัญหาพื้นฐานสังคมที่ต้องรับผิดชอบต่อ “ความไม่เป็นแบบแผน” ซึ่งกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตและความนึกคิดของสังคมม้ง เราพอจะมองเห็นราง ๆ ว่าม้งมีความปรารถนาที่จะแสวงหาจักรวาลที่เสนอทางหลุดพ้น (หน้า 473) 2.ผู้มีอำนาจทางการเมืองม้งแบบดั้งเดิมปฏิเสธที่จะแปลตัวเองเป็นกลุ่มสังคมทันทีเมื่อก้าวพ้นบันไดครัวเรือน แนวความคิดเรื่องความเท่าเทียมของผู้มีอำนาจถูกนำมาใช้ในด้านการเมือง ศาสนา เท่าๆ กับในด้านเศรษฐกิจ และเป็นตัวแทนอุปสรรคสำคัญต่อการเกิดหัวหน้าในสังคมม้งดั้งเดิม (หน้า 473) 3. ศาสนาม้งดั้งเดิมเป็นประจักษ์พยานถึงวิธีการแสดงออกอันหลากหลาย และมีการปรับตัวบางอย่างให้เข้ากับโลกสมัยใหม่ มีปัจเจกที่นำปฏิบัติการนี้มาใช้ ศาสนาม้งดั้งเดิมไม่สามารถ “จัดการ” “หรือ “รับผิดชอบ” ต่อปัญหาโดยรวมไม่ว่ารูปแบบใด ดังนั้นการเมืองจึงต้องตั้งอยู่นอกสนามอย่างแน่นอน เราเข้าใจว่าข้อจำกัดที่ไม่สามารถหาทางแก้ไขนี้เป็นการเชื่อมโยงโครงสร้างการเมืองที่ไม่ชัดเจนเข้ากับอัตลักษณ์ต่าง ๆ ของสังคม (หน้า 473) 4.ม้งมีความสัมพันธ์ต่อพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แบบดั้งเดิม ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับลักษณะการตั้งครัวเรือนแบบทำ “ไร่เลื่อนลอย” การใช้พื้นที่ทำไร่ทำนาแบบโค่นต้นไม้เผาป่า (โดยเฉลี่ยทุก 5 ปี) ทั้งในประเทศไทยและลาว ทำให้ต้องอพยพย้ายที่อยู่ ต้องหักร้างถางพงเรื่อยๆ เพื่อหาที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก ส่วนพิธีกรรมม้งนั้นมีพื้นที่ให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในผืนดินและบนที่ดินน้อย ซึ่งแตกต่างจากที่เรามักจะเห็นในหมู่คนจีน ไทย ลาว และฮานี ที่บ้านของม้งยังคงมีหิ้งวิญญาณผีบ้านแต่มีการกราบไหว้บูชาน้อย (หน้า 473) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ม้งที่อาศัยอยู่บนพื้นราบได้ติดต่อสัมผัสกับค่านิยมในสังคมไทยเป็นประจำ อุดมคติตามแบบการดำเนินวิถีชีวิต ตามแบบโทรทัศน์ไทย ทำให้เกิดความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จทางสังคม มีงานทำ มีเงินเดือนใช้ การผลิตซ้ำค่านิยมแบบม้งดั้งเดิม (ความสมานฉันท์ ความสัมพันธ์ในสายตระกูลย่อยตลอดจนวงศ์ตระกูล การปกครองตนเองทางเศรษฐกิจภายในครัวเรือน เสรีภาพในเรื่องเวลาการทำงาน) เริ่มสูญหายไปมาก เพราะ พ่อแม่จำเป็นต้องจากหมู่บ้านบนภูเขาและเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้านหลวง และได้รับค่านิยมทางเศรษฐกิจและ คุณภาพบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนไทย เราจะเห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างม้งภูเขากับพื้นราบ โดยเฉพาะ ในหมู่วัยรุ่นหนุ่มสาว ตามโครงการของม้งภูเขาจะอนุรักษ์ความรักความผูกพันกับการทำการเกษตร และไม่ต้อง ตาต้องใจกับเมืองใหญ่ ๆ แบบเชียงใหม่ แต่ม้งพื้นราบโดยทั่วไปพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานในท้องทุ่งด้วยการไปเข้าโรงเรียน อีกทั้งพ่อแม่ก็ยังสนับสนุนให้ดำเนินชีวิตตามวิถีทางนี้ ซึ่งมีจำนวนมากที่เข้าเมืองไปทำงานเป็นกรรมกรให้กับผู้ผลิตบางราย บางครั้งก็พวกพ่อค้าแม่ค้า หรือไปเรียนต่อ การตั้งถิ่นฐานใหม่ในช่วงปี พ. ศ. 2510 เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรม (หน้า 140) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนที่แสดงบริเวณที่อยู่ของประชากรม้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หน้า 35A) ข. แผนที่ภูมิศาสตร์กายภาพของที่ราบสูงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หน้า 78A) ค. แผนที่จังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย ปี ค. ศ. 1989 (หน้า 78B) ง. แผนที่ที่ตั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญ ม้ง (หน้า 218A) แผนภูมิ แผนภูมิการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพคนไทยตามคำสั่งเรื่องการปราบปรามกลุ่มคอมมิวนิสต์อย่างเป็นทางการ (หน้า 132A) แผนภูมิการสังเคราะห์จักรวาลของผู้มีบุญม้งและคนทรงม้ง (หน้า 375A) แผนภูมิจักรวาล การแลกเปลี่ยนและสิ่งกีดขวาง (หน้า 385A) แผนภูมิวงจรการแบ่งยุคโบราณและการเปลี่ยนแปลงตามขบถผู้มีบุญ (หน้า 464A) ตาราง ตารางแสดงจำนวนประชากรเย้าในจังหวัดต่าง ๆ ของจีน ในปี พ. ศ. 2533 (หน้า 35B) ตารางแสดงจำนวนประชากรเย้าในเอเชีย (พ.ศ.1980-1995) (หน้า 39A) ตารางการสังเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวกลุ่มผู้มีบุญ 5 กลุ่ม (หน้า 265A) ตารางแสดงลักษณะของผู้สมัครเป็นผู้มีบุญและคนทรง (หน้า 307) ตารางแสดงการดำเนินงานของขบถผู้มีบุญ (หน้า 418 เอ) ภาพ ภาพการนวดรวงข้าวสุก (บ้านชา ตุลาคม พ. ศ. 2539) (หน้า 66A) ภาพเด็กสาวม้งรวมตัวกันก่อนไปเล่น “ลูกช่วง” กับเด็กผู้ชายม้ง (ปีใหม่ พ. ศ. 2536 บ้านชา จ. น่าน ประเทศไทย (หน้า 74A) ภาพชายหนุ่มม้งแต่งตัวเพื่อไปเล่น “ลูกช่วง” ในเทศกาลขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2536 บ้านชา จ. น่าน ประเทศไทย (หน้า 74 ปี) ภาพการแบ่งข้าวโพด (บ้านเทา จ. น่าน พฤศจิกายน 2535 ต้องใช้เส้นทางแคบ ๆ เพราะไม่มีถนนที่รถเข้าถึงได้ จำเป็นต้องใช้ม้าตัวเล็ก ๆ เป็นพาหนะขนส่ง (หน้า 88A) ภาพบ้านชายทุ่งอันโดดเดี่ยวท่ามกลางทุ่งข้าวที่แห้งแล้ง (บ้านนาง จ. น่าน กันยายน 2536) (หน้า 105A) ภาพกิ่งไม้ที่ถูกมัดเข้าด้วยกันในช่วงฤดูแล้ง (บ้านชา มีนาคม-เมษายน 2536) (หน้า 108A) ภาพทิวทัศน์ทั่วไปของบ้านเทา (จ. น่าน กันยายน 2535) มีบ้านทรงไทยใต้ถุนสูงจำนวนมาก ตั้งอยู่ด้านหน้าของโรงเรียน (หน้า 110A) ภาพทิวทัศน์ทั่วไปของบ้านนาง (จ. น่าน มิถุนายน 2536) บ้านทุกหลังมีรูปลักษณ์ของบ้านม้งโบราณ (หน้า 120A) การเผาป่าเพื่อปลูกฝิ่นในหุบเขาแคบ ๆ อันอุดมสมบูรณ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ (บ้านนาง จ. น่าน เมษายน 2536) (หน้า 130 A) ภาพการเผาป่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ และในอดีต (แม่จริม จ. น่าน 2536) (หน้า 130 ปี) ภาพการกลับจากไร่ข้าวโพดที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน (บ้านเทา จ. น่าน พฤศจิกายน 2535) (หน้า 147A) ภาพสถานที่บูชาของศาสนาใหม่ เยีย บิ มิ นู จะสังเกตเห็นว่าตรงกลางหิ้งบูชาว่างเปล่า (การเคลื่อนไหวของผู้มีบุญเฮอ งาวา) (หน้า 346A) ภาพครึ่งตัวของเทพเจ้าบนหิ้งบูชา (การเคลื่อนไหวของผู้มีบุญเฮอ งาวา) (หน้า 346B) ภาพหิ้งบูชาสามหิ้งในบ้านม้งเขียวที่บ้านนาง (จ. น่าน 2536 (หน้า 357A) ภาพหิ้งบูชาของอาจารย์เจ้าลัทธิคนทรงม้งขาวที่บ้านนาง (จ. น่าน 2536) (หน้า 357B) ภาพบ้านม้งโบราณ (บ้านนาง จ. น่าน 2536) (หน้า 389A) ภาพผู้ประกอบพิธี สอง คน ของ ลัทธิ เยีย บิ มิ นู ใส่ชุดเปิดไหล่ข้างหนึ่ง (ขบวนการเคลื่อนไหวของผู้มีบุญเฮอ ชา วา) (หน้า 399A) ภาพผู้ประกอบพิธีของขบถผู้มีบุญเยีย บิ มิ นู (ขบวนการเคลื่อนไหวของผู้มีบุญเฮอ ชา วา) ภาพผู้ประกอบพิธี สอง คน ของขบถผู้มีบุญเยีย บิ มิ นู ใส่ชุดเปิดไหล่ข้างหนึ่ง (ขบวนการเคลื่อนไหวของผู้มีบุญเฮอ ชา วา) (หน้า 399B) ภาพสานุศิษย์ของผู้มีบุญเยีย บิ มิ นู ยืนอยู่บนเวทียกพื้นสำหรับประกอบพิธีกรรม (หน้า 399C) ภาพการจัดร่างผู้ตายบนแคร่ในวันที่สามของพิธีศพผู้หญิงในโคตรตระกูลโตชที่บ้านชา (จ. น่าน กุมภาพันธ์ 2536) ภาพรวมของสถานที่ฝังศพผู้หญิงม้งเขียวที่บ้านเทา (จ. น่าน พฤศจิกายน 2535) (หน้า 405B) ภาพสาวพรหมจารีใช้ผ้ากันเปื้อนป้องกันลูกหินของฝ่ายศัตรู ผ้าโพกศีรษะแบบแขกตกแต่งด้วยลายวงขาวดำเป็นสัญลักษณ์ที่เด่นสะดุดตาอย่างหนึ่งของชาวม้งขาวในลาว (แขวงเชียงขวางและหัวพัน) (หน้า 414A) |
|
Text Analyst |
ยุพิน พิพัฒน์พวงทอง |
Date of Report |
19 เม.ย 2564 |
TAG |
ม้ง, ผู้มีบุญ, |
Translator |
- |
|