|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, จังหวัดเชียงใหม่ |
Author |
พระนิคม กิจฺจสาโร, พระสุชาติ สุวฑฺฒโก, พระสุนทร ชยธมฺโม, พระบุญชัย ธนปญฺโณ, พระชาญวิทย์ ชยธมโม, พระสุธวัฒน์ สุขวฑฺฒโก, พระช่วยทำบุญ อธิญฺโญ, วัชระ พิริยะวรคุณ, บุญสม ปิ่นเพชรกุล |
Title |
การฟื้นฟูความสัมพันธ์ผ่านเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ ต.บ้านจันทร์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
167 |
Year |
2548 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) |
Abstract |
การศึกษานี้ได้นำเสนอปัญหา วิถีชีวิต และ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนปกาเกอะญอ ที่เปลี่ยนแปลงไป เยาวชนคนหนุ่มสาวไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิม และดำเนินชีวิตตามกระแสสังคมสมัยใหม่ ดังนั้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ผ่านเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ ต.บ้านจันทร์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้เกิดขึ้น (หน้า 8) มีชุมชนเข้าร่วมเป็นกรณีศึกษา ตั้งอยู่ใน ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งหมด 12 ชุมชน ได้แก่ บ้านวัดจันทร์, บ้านหนองแดง, บ้านห้วยฮ่อม, บ้านโป่งขาว, บ้านเด่น, บ้านหนองเจ็ดหน่วย, บ้านห้วยบง, บ้านแจ่มน้อย, บ้านห้วยอ้อ, บ้านห้วยครก, บ้านดอยตุง และ บ้านสันม่วง (หน้า 28) คณะผู้วิจัยมุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์ภูมิปัญญาปกาเกอะญอ ที่เป็นคำสอน สุภาษิต คำพังเพย ข้อห้าม ข้อปฏิบัติ เปรียบเทียบกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี นำมาเป็นประเด็นการอภิปรายในเวทีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ผ่านสื่อพิธีกรรม คือ “งานบุญสัญจร” เพื่อที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ปกาเกอะญอระหว่างชุมชน และคนระหว่างรุ่น รวมทั้งความสัมพันธ์กัน ระหว่าง วัดกับชุมชน ให้มีความแน่นแฟ้น (หน้า 3,5) ผู้ศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มธรรมจาริกได้จัดกิจกรรมทำบุญสัญจร รวม 21 ครั้ง ตั้งแต่ 13 ก.พ. 2546 - 26 ธ.ค. 47 (หน้า 128-129) โดยจัดเวทีการพูดคุยแลกเปลี่ยนหลังจากการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน (หน้า 165) กิจกรรมนี้เป็นกระบวนการดำเนินการวิจัยที่ใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วม เพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการในเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งกันและกันและการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน โดยปราศจากข้อจำกัดระหว่างวัย สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์เช่นว่านั้นได้อย่างไร (หน้า 164) ผลจากการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวได้รณณรงค์ให้มีการใช่ชุดประจำเผ่า ละเว้นอบายมุขต่างๆ มีการฟื้นฟูประเพณีบางอย่าง เช่น ประเพณีเรียกแขกกินข้าว ที่แสดงออกว่าชุมชนปกาเกอะญอมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน กระบวนการวิจัยนี้ทำให้เกิดแนวคิด วิธีการ ที่จะให้เกิดมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน และ การดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ |
|
Focus |
การศึกษาวัฒนธรรมประเพณี และ ภูมิปัญญาปกาเกอะญอ ที่เป็นคำสอน สุภาษิต คำพังเพย ข้อห้าม ข้อปฏิบัติ เปรียบเทียบกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา และใช้ภูมิปัญญาเหล่านี้ในเวทีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพื่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์ปกาเกอะญอระหว่างชุมชน และคนระหว่างรุ่น รวมทั้งความสัมพันธ์กัน ระหว่าง วัดกับชุมชน ให้มีความแน่นแฟ้น (หน้า 3,5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ปกาเกอะญอ ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 28) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยง ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (หน้า54) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะที่1 1 สิงหาคม 2545 – 31 มกราคม 2546 ระยะที่2 1 ธันวาคม 2546 – 30 พฤศจิกายน 2547 (รวม 1ปี 6 เดือน) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงมีประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน สันนิษฐานว่าเดิมอาศัยอยู่แถบต้นน้ำแม่น้ำสาละวิน ก่อนอพยพเข้าประเทศเมียนม่าร์ และ ประเทศไทย จากบันทึกของมิชชั่นนารีพบว่า ในประเทศเมียนม่าร์ มีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่จำนวนมาก ต่อมาเกิดความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ จนเกิดเป็นสงครามขึ้น ทำให้กะเหรี่ยงต้องอพยพเข้ามาในประเทศไทยตามแนวชายแดน จำนวนประชากรกะเหรี่ยงในไทย มี 352,295 คนคิดเป็นร้อยละ 46.80 ของประชากรชาวเขาในประเทศไทย และกระจายตัวอยู่ใน เขต 15 จังหวัด คือ เชียงราย, เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, กำแพงเพชร, สุโขทัย, ตาก, อุทัยธานี, สุพรรณบุรี, ราชบุรี, กาญจนบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์ มีการแบ่งกะเหรี่ยงออกเป็น 4 กลุ่มย่อย ได้แก่ 1. สะกอ หรือยางขาว (ปกาเกอะญอ) เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด 2. โป (โพล่ง) ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน, ลำพูน 3. ปะโอ (ตองสู) อาศัยอยู่ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน 4. บะเว (คะยา) อาศัยอยู่ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน (หน้า 54) สำหรับ ต. บ้านจันทร์ (มูจะคี) ซึ่งเป็นชุมชนที่ศึกษา ตั้งอยู่ในน่านน้ำแม่แจ่ม (หน้า 31) มีวัดบ้านจันทร์ สันนิษฐานว่าสร้างมากว่า 200 ปี แรกเริ่ม ลัวะเข้ามาบุกเบิกสร้างหมู่บ้าน พร้อมกับสร้างวัดในที่ต่างๆ จำนวนมาก ต่อมาเมื่อ ลัวะได้โยกย้ายไป ทำให้ วัด และเจดีย์ ต่างๆ ทรุดโทรม ขาดการบูรณะดูแล พระธุดงค์จากพม่า ชื่อ หลวงพ่ออุตตมะ ได้มาจำพรรษาบำเพ็ญภาวนา มีชาวบ้านจากบ้านขุนแจ่มน้อย และ ห้วยตอง ซึ่งไกลจากวัดมาก เลื่อมใสมาทำบุญกับท่าน หลวงพ่อ จึงชักชวนชาวบ้านให้มาตั้งรกราก ตอนแรกมีเพียง 4 ครอบครัว หลวงพ่อได้ชักชวนให้ชาวบ้านบูรณะเจดีย์ที่เหลืออยู่ ที่วัดบ้านจันทร์ ที่ได้รับการดูแล ปฎิสังขรณ์ จวนใกล้จะเสร็จ หลวงพ่อลากลับไปพม่า และ มรณภาพลงในระหว่างทาง พ.ศ. 2473 ครูบาศรีวิชัย ได้ธุดงค์มาทาง อำเภอปาย จนมาถึงวัดบ้านจันทร์ เห็นเจดีย์ ยังไม่แล้วเสร็จ ท่านจึงนำชาวบ้านดำเนินการต่อ เมื่อเสร็จได้ยกฉัตรยอดเจดีย์ และ ฉลองอยู่ 7 วัน เจดีย์ที่บ้านจันทร์ ต่อมาเรียกที่นั้นว่า “โข่ค่อทิ” หรือ บ้านตีนธาตุ ยังมีการสร้างเจดีย์อีก 2 แห่ง ทางเหนือของหมู่บ้าน เรียก “โข่กล๊อมอ” และอีกแห่งที่ตะตันออกเฉียงใต้ ชื่อว่า “พระธาตุจอมแจ้ง” (หน้า 41) หลังจากที่ครูบาธุดงค์กลับไป แล้ว ก็มีการนิมนต์พระให้มาจำพรรษา ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2510 โครงการพระธรรมจาริก วัดศรีโสดา จ. เชียงใหม่ ได้ส่งพระธรรมจาริกรุ่นแรกเข้ามาอบรมศีลธรรม และ พัฒนาวัด ขยายพื้นที่ทำงานครอบคลุมหมู่บ้านต่างๆ รวมทั้งชาวเขาด้วย และ หลังจาก การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยม พสกนิกรชาวเขา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้ง พระบรมวงศานุวงศ์ ใน พ.ศ. 2522 มีการจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพ เพื่อส่งเสริมการทอผ้าเพื่อจำหน่ายให้แก่ชาวบ้าน ยังมีบางหมู่บ้านที่ตั้งมานาน นับร้อยปี ขึ้นไป แต่ไม่ทราบประวัติที่แน่นอน ได้แก่ บ้านห้วยบง, บ้าห้วยยาใน, บ้านห้วยฮ่อม กรณีบ้านห้วยยาใน มีการย้ายหมู่บ้านบ่อยครั้ง เนื่องจากการเชื่อถือโชคลาง และ ความแตกต่างทางศาสนา (หน้า 33) การแยกมาตั้งหมู่บ้านใหม่ มีสาเหตุจากคนในหมูบ้าน มีความขัดแย้งกัน จากการนับถือศาสนาอย่างชัดเจน เป็นกรณีของหมู่บ้านห้วยยา (แม่ละอูป) (หน้า 39) บางหมู่บ้าน เป็นการอพยพหนีโรคระบาด อย่างกรณีบ้านห้วยบะบ้า (หน้า36) และหลายหมู่บ้านเป็นการแยกออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่จากหมู่บ้านเดิม เช่น หมู่บ้านดอยตุงแยกมาจากหมู่บ้านห้วยฮ่อม บ้านโป่งขาว ขึ้นกับการปกครองของบ้านหนองแดง (หน้า 34,44) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนในกรณีศึกษา ตั้งอยู่ใน ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งหมด 12 ชุมชน ได้แก่ บ้านวัดจันทร์, บ้านหนองแดง, บ้านห้วยฮ่อม, บ้านโป่งขาว, บ้านเด่น, บ้านหนองเจ็ดหน่วย, บ้านห้วยบง, บ้านแจ่มน้อย, บ้านห้วยอ้อ, บ้านห้วยครก, บ้านดอยตุง และ บ้านสันม่วง (หน้า 28) ตามผังพื้นที่วิจัย (หน้า 53) ชุมชนส่วนใหญ่กระจายขึ้นไปตามถนน ด้านทิศเหนือ บ้านจันทร์ ในจำนวนชุมชนดังกล่าว ตั้งแต่บ้านห้วยยา ไปจนถึง บ้านห้วยบะบ้า (ห่างจาก ตำบลแจ่มหลวงประมาณ 4 กิโลเมตร) อยู่ในเขตหมู่ 4 ตำบลแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ มีรัศมีระยะทาง 20 กิโลเมตรขึ้นไปจาก บ้านจันทร์ (หน้า 33, 35-36) และ ชุมชนที่กระจายตัวทางตะวันออก มีรัศมีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จากบ้านจันทร์ (หน้า 44) ชุมชนบ้านจันทร์ จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางโดยมีวัดบ้านจันทร์ อยู่ฝากถนนด้านใต้ ของบ้านจันทร์ ชุมชนที่อยู่ทางตะวันตกมี 1 ชุมชน ตามเส้นทาง เชียงใหม่-บ้านจันทร์ คือ บ้านแจ่มน้อย และ ที่อยู่ด้านใต้ ตามเส้นทาง บ้านจันทร์-ปาย เลยวัดบ้านจันทร์ลงไปอีก 1 ชุมชน คือ บ้านห้วยอ้อ |
|
Demography |
ประชากรที่สำรวจในปี 2543 มี 4,201 คน จากทั้งหมด 581 ครัวเรือน เป็นชาย 2,178 คน และหญิง 2,023 คน (หน้า 1) ในจำนวนหมู่บ้านในพื้นที่ในการศึกษานี้ บ้านวัดจันทร์ และ บ้านเด่น มีประชากรมากที่สุด ประมาณ 560 คน และ บ้านห้วยครก มีประชากรน้อยที่สุด คือ 40 คน โดยทั่วแต่ละหมู่บ้านมีประชากรเฉลี่ยประมาณ 100-300 คน ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ กับทั้งยังนับถือผีแบบดั้งเดิมด้วย โดยมีเพียง 4 หมู่บ้านที่มีประชากรนับถือคริสต์ ได้แก่ บ้านห้วยบง, บ้านเด่น, บ้านหนองแดง, บ้านห้วยฮ่อม มีประชากรนับถือคริสต์มากที่สุด คือ บ้านเด่น (32 ครอบครัว) และ บ้านห้วยฮ่อม (24 ครอบครัว) จากที่นับถือคริสต์ทั้งหมด 67 ครอบครัว (หน้า 31-51) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงเป็นแบบยังชีพ ไม่ใช่การผลิตเพื่อจำหน่าย ชาวบ้านยากจนไม่มีรายได้แน่นอน อาชีพหลักคือการทำไร่ ทำนา อาชีพรองได้แก่ การทำสวนและรับจ้างทั่วไป (หน้า 51-52) โดยมากมักปลูกข้าวไร่เป็นหลัก มีการทำนาเป็นขั้นบันไดตามหุบเขา ระบบการใช้พื้นที่ทำกินของกะเหรี่ยง มีลักษณะเชิงอนุรักษ์ โดยวิธีที่เรียกว่า “ไร่หมุนเวียน” คือเมื่อใช้พื้นที่ไร่นาเดิมเพาะปลูกแล้ว จะทิ้งไว้ แล้วย้ายไปทำในพื้นที่อื่น 3-5 ปี เพื่อให้พื้นที่หน้าดินเดิมปรับตัว ซึ่งจะช่วยรักษาหน้าที่ให้มีความเหมาะสมในการเกษตรต่อไป ส่วนการเลี้ยงสัตว์ นิยมเลี้ยง วัว, ควาย, หมู และไก่ โดยหมู และไก่มักเลี้ยงไว้ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ ในอดีต กะเหรี่ยงเลี้ยงช้างไว้ใช้งานและเพื่อรับจ้างกับบริษัททำไม้ นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังมีความชำนาญในการล่าสัตว์ป่า และ หาของป่ามาเพื่อขายอีกด้วย (หน้า 37) |
|
Social Organization |
การเกี้ยวพาราสีในหมู่หนุ่มสาว ซึ่งเป็นโอกาสให้มีการเลือกคู่ครอง มักเกิดขึ้นในโอกาสมีพิธีกรรมเช่น งานศพ และฝ่ายหญิงจะเป็นผู้บอกตกลงแต่งงานกับชายก่อน บางกรณีฝ่ายหญิงเป็นผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ซึ่งเป็นที่ยอมรับ โดยฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงก่อนเป็นเวลา 1 ฤดูเพาะปลูก (ประมาณ 7-8 เดือน) ผู้ชายหรือหัวหน้าครอบครัวจะมีหน้าที่เกี่ยวกับพิธีกรรมด้านการเกษตร และ การรักษาพยาบาล ส่วนการเลี้ยงผีตามประเพณีนับถือผีของฝ่ายมารดาเป็นหน้าที่ผู้หญิง (หน้า 55) และเมื่อแต่งงานกันแล้วก็จะแยกครอบครัวไปสร้างบ้านใหม่ แต่ความสัมพันธ์กับครอบครัวพ่อแม่เดิม และ เครือญาติ มักมีอยู่อย่างแน่นเฟ้น รวมทั้งความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน คนในหมู่บ้านมีการช่วยเหลือกันดี กลุ่มผู้สูงอายุเมื่อว่างเว้นจากงาน มักมีการพบปะดื่มน้ำชาสนทนากัน (หน้า 48) คู่แต่งงานมักไม่ปรากฏการหย่าร้าง การเป็นชู้ เป็นข้อรังเกียจ ไม่มีใครสมาคมด้วยและจะต้องถูกปรับสินไหมในการกระทำนั้น (หน้า 49) มีข้อห้ามสำหรับการแต่งงานระหว่างเครือญาติ หากฝ่าฝืน ต้องถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน แต่ไม่ห้ามสำหรับการแต่งงานข้ามเผ่า ซึ่งไม่เป็นที่นิยม เพราะความไม่ไว้วางใจกัน ครอบครัว ปกาเกอะญอ นั้นเป็นระบบครอบครัวเดี่ยว บนพื้นฐานระบบผัวเดียวเมียเดียว (หน้า 48) ถือว่าผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว และมักให้เกียรติฝ่ายชายโดยการใช้นามสกุลสามี (หน้า 49) |
|
Political Organization |
การปกครองตามจารีตของ ปกาเกอะญอ ได้แก่ผู้นำหมู่บ้าน ที่เรียกว่า “หีโข่” ซึ่งจะมีการสืบทอดตามสายโลหิต มักเป็นผู้อาวุโสที่นับถือ คอยดูแลให้ลูกบ้านประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี พร้อมกับการประกอบพิธีต่างๆสำหรับหมู่บ้าน (หน้า 34,37) ระบบการปกครองแบบจารีต นี้ ยังมีคณะกรรมการอีก 7 คน มีหน้าที่กำหนดบทลงโทษแก่ผู้ที่ละเมิดกฎจารีตประเพณี หรือ ข้อห้าม ร่วมกับผู้นำหมู่บ้านอีกด้วย (หน้า 52) ระบบนี้ดำเนินไปอย่างไม่เป็นทางการ แต่มีความหมายเชิงการปกครองวัฒนธรรม ในอดีตการกำหนดอาณาเขตแต่ละหมู่บ้าน ห่างกัน ในรัศมีระยะทางเดินเท้าไม่เกิน 1 ชั่วโมง (หน้า 55)สำหรับการปกครองที่เป็นรูปแบบทางการ ได้แก่ การปกครองส่วนท้องถิ่น ในระดับตำบลประกอบด้วย สมาชิก อบต. กับคณะกรรมการอีก 10 คน ในระดับรองลงมาคือ หมู่บ้าน ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ปกครองในรูปแบบดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการ ดังนั้น จึงมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านติดต่อกับทางราชการ (หน้า 52) ในจำนวนหมู่บ้าน 12 แห่ง มีหมู่บ้าน 5 แห่ง ที่มีเพียง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เพราะเป็นหมู่บ้านที่แยกออกมาจากหมู่บ้านหลักและอยู่ในปกครองของผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่สังกัด ได้แก่ บ้านห้วยบง หมู่ 4 ขึ้นกับบ้านหนองเจ็ดหน่วย บ้านห้วยยาใน หมู่ 4 ขึ้นกับบ้านห้วยบะบ้า บ้านดอยตุง หมู่ 1 ขึ้นกับบ้านห้วยฮ่อม บ้านโป่งขาว หมู่ 6 ขึ้นกับบ้านหนองแดง บ้านห้วยครก หมู่ 1 ขึ้นกับ บ้านสันม่วง (หน้า 32-35, 44-45) ในสังคมกะเหรี่ยงมีการกำหนด ให้พื้นที่ทำไร่ เป็นการถือสิทธิของครอบครัว คนในหมู่บ้านหนึ่งจะเข้าไปทำไร่ในเขตของอีกหมู่บ้านไม่ได้ แต่ไม่ห้ามสำหรับการทำนา เพราะนาซื้อขายกันได้(หน้า 55) ทรัพย์สินต่างๆแบ่งกันในระหว่างที่คู่สมรส ยังมีชีวิตอยู่ให้กับลูก หาก ลูกยังเล็ก ก็อาจให้ญาติเป็นผู้ดูแลแทนได้ หากมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับสืบทอดมรดก หมอผี หรือ เชี่ยเก็งคู จะปรึกษากับกลุ่มผู้อาวุโส และตัดสินใจร่วมกัน ทรัพย์สินของผู้ตายเล็กๆน้อย เช่น ปืน เสื้อผ้า มักจะถูกเผารวมกับศพ (หน้า 56) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงโปเป็นกลุ่ม ที่นับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายมารดา ซึ่งหมายความว่าพ่อแม่ต้องเป็นกระเหรี่ยงโป แต่ถ้าผู้มีบิดา หรือมารดาเป็น ชาติพันธุ์อื่น เช่น สะกอ หรือ ลัวะ จะไม่มีผีบรรพบุรุษในฝ่ายมารดาเดียวกัน จะมีก็แต่ผีเรือนของตนเท่านั้น (หน้า 55) กะเหรี่ยงนับถือผี มาแต่ดั้งเดิม เมื่อมีศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามา จึงนับถือพุทธรวมกับการถือผีด้วย ทั้งนี้ยังมีบางครอบครัว นับถือศาสนาคริสต์ รวมทั้งเริ่มมีศาสนาใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น คือ มอกอถี่ (หน้า 31) ความเชื่อในการถือผีของกะเหรี่ยงนี้ มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก เพราะธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ย่อมมีผีต่างๆ สิงสถิตอยู่ เช่น ภูเขา, ลำห้วย, ไร่นา, หมู่บ้าน เป็นต้น และเชื่อว่าผีร้ายนั้นก่อให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ จึงต้องมีการเซ่นไหว้เพื่อเอาใจ ขจัดอันตรายต่างๆ (หน้า 56) นอกจากเรื่องผี กะเหรี่ยงยังมีความเชื่อเกี่ยวกับขวัญซึ่งมีประจำตัวของแต่ละคน ทั้ง 37 ขวัญ ซึ่งประจำตามอวัยวะต่างๆ และมีขวัญที่อยู่ในรูปสัตว์ ต่างๆอีกด้วย (หน้า 58) หากขวัญหายไป หรือ ขวัญหนีไปเที่ยว รวมทั้งการที่ขวัญถูกผีร้ายกระทำต่างๆ จะส่งผลให้คนๆนั้นเกิดอันตราย หรือ เจ็บป่วย (หน้า 56) พิธีการเกิด (ดึ ค่า เบล) เมื่อทารกเกิด สายรกจะบรรจุกระบอกไม้ไผ่ แล้วไปผูกไว้กับต้นไม้ เรียกว่า ต้น สายรก (เด ปอ ทู่) และข้อห้ามการตัดต้นไม้นั้น (หน้า 57) การแต่งงาน ( ดี เทาะ โค่ เบล) (หน้า 57-59) เริ่มตั้งแต่พิธีสู่ขอ (เอะ เฆ) โดยประเพณี ปกาเกอะเญอ ผู้หญิงเป็นฝ่ายสู่ขอผู้ชาย ต่อจากนั้นจะมีการหมั้น (เตอะ โหล่) ฝ่ายหญิงนำไก่คู่หนึ่งไปเลี้ยงรับรองเถ้าแก่ฝ่ายชาย หลังจากนั้นเมื่อถึงวันแต่งงาน จะมีพิธีฆ่าหมูตัวแรก (เทาะเตาะ) เพื่อบูชาเทวดา และขอพรให้คู่บ่าวสาว และผู้ร่วมงานทุกคน จากนั้นจะเดินทางไปบ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาว จะเตรียมเพิงพักให้คณะฝ่ายเจ้าบ่าวที่หน้าบ้านเจ้าสาว มีการดื่มกินงานเลี้ยงและการร้องลำนำตลอดคืน ที่เพิงพักนี้จะมีพิธี ดื่มหัวเหล้า และ เถ้าแก่ทั้งสองฝ่าย จะทำพิธีถวายข้าวบูชาเทวดา เพื่อขอพร เมื่อจะเริ่มพิธีแต่งงาน จะมีพิธีฆ่าไก่ เริ่มต้นพิธี เรียกว่าพิธีบก๊ะ (ชอเก๊าะเก) โดยจะนำไก่ 2ตัวไปต้มโดยไม่ปรุงอะไรเลย และจะให้เด็กชาย หญิง ที่จะต้องมีพ่อแม่มีชีวิตอยู่ทั้งคู่ นำไก่พร้อมจัดคำข้าวไปให้คู่บ่าวสาวรับประทาน เด็กทั้งสองจะได้รับเงิน และสายสร้อยลูกปัดเป็นการตอบแทน สำหรับขันหมาก (เกอะเนอ) ของปกาเกอะญอ จะมี ผ้าซิ่น 1 ผืน เสื้อผู้ชาย 1 ตัว ผ้าโพกศรีษะ 1 ผืน เสียม 1 ด้าม เสื้อแม่บ้าน 1 ตัว และ เกลือ 1 ห่อ จะจัดให้แม่บ้าน ที่สามียังมีชีวิตอยู่ ถือไปให้ฝ่ายหญิง ก่อนการขอขันหมาก จะมีการขับลำนำโต้ตอบกัน อาจกินเวลาถึงรุ่งเช้าอีกวัน เสร็จแล้วมีการถวายข้าวเทวดาเพื่อขอพร ก่อนที่เถ้าแก่ และ คณะเจ้าบ่าวจะเดินทางกลับบ้าน ฝ่ายหญิงจะนำไก่ 2 ตัว (ชอโจ่ลอ)มาให้เพื่อเป็นอาหารระหว่างทาง การผูกขวัญเจ้าบ่าวเจ้าสาว (กี่ฆึ จือ) จะจัดขึ้นหลังเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้อยู่กันมาครบสามวันแล้ว ถือว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถือเป็นบุคคลเดียวกันนับแต่บัดนั้น การจัดพิธีศพ เริ่มตั้งแต่มีการตายเกิดขึ้น ชาวบ้านทุกคนจะหยุดงาน เป็นข้อห้าม ที่เรียกว่า ดึปกาชะลอหม่า ญาติจะอาบน้ำศพ และนำเสื้อผ้าใหม่แต่งตัวศพ แล้วห่อศพ ด้วยเสื้อตีข้าว นำไม้ไผ่มาผ่าเป็น 4 ซีกเท่าๆกันแล้วทาบมัดกับศพ เรียก ไม้ง่ามศพ และที่ปลายไม้นี้ นำเสื้อที่ญาติมอบให้ศพมาผูกไว้ จะมีการเตรียม สัมภาระให้ศพ (ต่าเลอจกื่อ) เป็นปัจจัยในการดำรงชีพ เช่น ย่าม, หม้อ, ถ้วย, มีด, เชื้อมัน, เชื้อข้าว เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะใส่ไว้ในกระชุ ตลอดพิธีมีการขับลำนำ ที่เรียกว่า ทาโหร่ควา ผู้มาขับลำนำจะเป็นเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ก่อนการปลงศพ จะมีพิธีส่งสัมภาระให้ศพ (เอ๊าะโล) โดยนำกระชุสัมภาระไปวางใต้ต้นไม้ใกล้ๆที่ปลงศพ เพื่อให้ผู้ตายได้ใช้สัมภาระที่จำเป็นในโลกหน้า หลังปลงศพ จะมีข้อห้าม ทำงาน ( ดึนาเกอะเกราะ) กี่วัน ขึ้นอยู่กับเวลาที่ไว้ศพ ถ้าไว้ศพวันเดียว ก็ หยุดงาน 1 วันหลังปลงศพเป็นต้น พิธีกรรมระดับครอบครัว และ เครือญาติ พิธี บึโถ่ตา เป็นการเลี้ยงไก่และ หมูคู่แรก (ชอโข่ทิ เทาะโข่ทิ) ทำหลังจากออกเรือนไปแล้วไม่นาน พิธีขึ้นบ้านใหม่ ทำหลังจากปลูกบ้านเสร็จ มีการสู่ขวัญเจ้าของบ้าน ใช้เหล้า ไก่ 1 คู่ หรือ หมู 1 ตัว ผู้อาวุโสจะเป็นผู้เรียกขวัญ ญาติพี่น้องทุกคนจะมาผูกขวัญเจ้าของบ้าน ให้มีความสุขที่ได้อยู่บ้านหลังใหม่นี้ และรับประทานอาหารร่วมกัน พิธี เอาะ บก๊ะ เป็นพิธีฆ่าไก่คู่แรกที่สามีภรรยาเจ้าของบ้านเลี้ยง โดยจะให้พ่อแม่ฝ่ายภรรยามาทำพิธีขอพร สมาภรรยาจะกินเนื้อไก่นั้นก่อนพอเป็นพิธี แล้ว จะนำไก่และข้าววางบนพื้นดิน เรียกบรรพบุรุษให้มารับประทานอาหารร่วมกัน แล้วอธิษฐานขอพร รุ่งขึ้นจึงฆ่าหมู แล้วทำพิธีแบบเดียวกัน โดยพิธีต่างที่ทำนี้ จะทำซ้ำอีกในฝ่ายพ่อแม่ของสามีที่จะเป็นผู้ทำพิธีขอพร พิธีผูกขวัญ พ่อแม่จะทำพิธีให้ทุกคน หากเป็นลูกชายที่มีครอบครัว จะมาร่วมเฉพาะลูกชายคนเดียวเท่านั้น หลังจากผูกขวัญ และอวยพรให้อยู่ดีมีสุขแล้วจะนำข้าวเปลือกคั่วไปปลูกใต้ต้นไม้ (หน้า 62) พิธีกรรมระดับหมู่บ้าน พิธีขึ้นปีใหม่ (นี่ชอโค่) ทำเมื่อได้เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ราวต้นเดือนมกราคม ผู้นำหมู่บ้าน (ฮี่โข่) จะแจ้งให้ลูกบ้านทราบ ทุกครอบครัวจะต้มเหล้าสำหรับทำพิธี ก่อนพิธี 1 วัน แต่ละบ้านจะทำขนม และ ข้าวปุ๊ก (ข้าวเหนียวต้ม และข้าวหลาม) เพื่อนำมาถวายแด่เทพเจ้า เพื่อขอพรให้พืชผลเจริญงอกงาม และ กินกันในวันพิธี วันรุ่งขึ้นแต่ละครอบครัวจะมีการผูกข้อมือเรียกขวัญ (กี่จึ๊) ในวันนี้จะไม่มีผู้ใดออกจากบ้านเป็นการพักผ่อนประจำปี หลังจากนั้น ผู้นำหมู่บ้านจะตระเวนไปแต่ละบ้าน เพื่อรินหัวเหล้า อธิษฐาน และอวยพรให้บ้านนั้น นอกจากนี้จะมีการมัดมือเรียกขวัญ ในเทศกาลปีใหม่ เรียกว่ามัดมือใหญ่นี้จะทำปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือนมีนาคม 1 ครั้ง และ ช่วงเดือนตุลาคม 1 ครั้ง การมัดมือใหญ่ครั้งแรกในรอบปี เป็นการที่ทุกครอบครัวที่นับถือผีบรรพบุรุษ และที่นับถือพุทธศาสนา จะประกอบพิธีในวันเดียวกัน โดยมีหยี่โข่ หรือผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้ทำพิธี สำหรับครั้งที่ 2 เป็นการทำพิธีภายในครอบครัว ตามโอกาสต่างๆ กะเหรี่ยงยังถือเอาวันสงกรานต์ เป็นเทศกาลปีใหม่ด้วย โดยมีการรดน้ำ ขอขมา และ ขอพรผู้ใหญ่ (หน้า 51) พิธีลาคุปู เป็นพิธีที่จัดขึ้นราวเดือนสิงหาคม ทำพิธีเหมือนพิธีขึ้นปีใหม่ เพื่อขอบคุณเทพยดาที่ให้พรตามที่ขอให้เกิดความอุดมสมบูรณ์หลังจากปีใหม่ พิธี ต่า ถ่อ โฆ่ เป็นพิธีการฉลองเจดีย์ หากเป็นเจดีย์ใหญ่ จะมีพิธีปีละ 2 ครั้ง เจดีย์ทั่วไป จะจัดเพียงครั้งเดียว ในวันพิธีมีข้อห้ามว่า ห้ามขายข้าวของเครื่องใช้ที่ตนเองทำ หรือ ขายสัตว์ที่ตนเองเลี้ยง พิธี ต่า หลื่อ หี่ พิธีเลี้ยงหมู่บ้านนี้ เป็นหน้าที่ของผู้นำหมู่บ้าน เพื่อสืบชะตาหมู่บ้าน โดยมีการสร้างหอบูชาเซ่นสรวง ทุกๆบ้านจะต้องนำไก่ต้ม และ ข้าว มาร่วมพิธีเซ่นไหว้ เทพยดาที่คุ้มครองหมู่บ้าน ในระหว่างทำพิธี ห้ามผู้หญิงเข้าร่วม หลังจากนั้นจะมีการเสี่ยงทายหาเวลาที่จะเริ่มการรับประทานอาหารร่วมกัน เมื่อได้เวลา ผู้นำหมู่บ้านจะทำพิธีดื่มหัวเหล้า แล้วทุกคนก็ได้ร่วมกันรับประทานอาหาร เมื่อจะเสร็จพิธี ก็จะมีการที่ผู้นำหมู่บ้านเริ่มดื่มก้นเหล้า และทุกคนก็จะดื่มกันจนหมด พิธีนี้อาจทำปีละครั้ง หรือ 2-3 ปีครั้ง แล้วแต่จะกำหนด พิธีต่ามาเง หรือพิธีสุมา หากหนุ่มสาวทำผิดประเพณี ก็ต้องให้ผู้นำหมู่บ้านทำพิธีนี้ตามกฎประเพณีหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงต้องต้มเหล้า ฝ่ายชายต้องหาซื้อหมู หรือ วัว ,ควาย 1 ตัว ไปร่วมทำพิธีที่เชิงบันไดบ้านผู้นำหมู่บ้าน มีการขุดหลุมปูใบตองที่เชิงบันได นำข้าวสุกวางก้นหลุม รินเหล้าตามลงไป วางขาหมู และเทเลือดสัตว์ที่เชือดใส่ในหลุม ผู้ทำพิธีจะอธิษฐานให้คนทั้งสองที่ทำผิดประเพณี พิธี เอาะ ขื่อ ต่า หรือพิธีคืนดี ทำต่อเนื่องจากพิธี สุมา พิธีนี้เป็นการคืนดีสำหรับระหว่างผู้ที่ทำผิด กับ เพื่อนบ้าน และ สิ่งสูงสุด คู่ชายหญิงที่ทำผิดต้อง ซื้อวัว หรือ ควาย 1 ตัว จูงไปรอบๆหมู่บ้านพร้อมร้องบอกไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง และขอให้ทุกอย่างกลับคืนเหมือนปกติ จากนั้นจะเชือดสัตว์แล้วนำไปแบ่งให้ทุกบ้าน ยกเว้นบ้านผู้ที่ทำผิด และญาติพี่น้อง ทั้งนี้เพื่อเป็นการลงโทษ พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการปลูกข้าว พิธีกินเชื้อข้าว ทำหลังจากการไปปักหลุม และหยอดข้าวแรก มาแล้วโดยมีการรินหัวเหล้า และ ขอพรให้ข้าวที่ปลูกเจริญงอกงาม พิธีเลี้ยงผีไร่ ทำพิธีหลังที่ข้าวอายุได้ 2 เดือน จะมีการประกอบพิธีย่อยแล้วแต่วัตถุประสงค์ ได้แก่ พิธีเลี้ยงผีไร่ขอพร, พิธีเลี้ยงไร่ปัดรังควาญ, พิธีเลี้ยงเทพอัคคี, พิธีเลี้ยงเทพขวัญข้าว, พิธีไล่ความชั่วในไร่, โดยทุกๆพิธีมีการใช้ไก่ 1 ตัว เหล้า 2 ขวด หมาก 2 คำ บุหรี่ 2 มวน พริก เกลือและปูน โดยกล่าวคำขอพรจากเทพยดาที่แตกต่างกันไป (หน้า65) พิธีกินหัวข้าว(เอาะบือโค่) ทำก่อนการเก็บเกี่ยว หัวข้าวคือ ข้าวใหม่หม้อแรกของปี โดยก่อนกินข้าวมื้อนี้ จะแบ่งข้าวพร้อมกับข้าว แบ่งเป็น สามคำวางบนเตาไฟ จากนั้นจะนำผักมาผูติดกับภาชนะทั้งหลายในครัว พิธีนี้ห้ามแขกมาร่วมกินด้วยถือว่าไม่ดี (หน้า 66) พิธีนวดข้าว (เพาะบือ กี่จือ) มีการเชือดไก่ให้เลือดเทลงที่ไม้นวดข้าว และเมล็ดข้าว และเอาขนไก่ติดไว้ที่ไม้นวดข้าว ขอพรให้ขวัญมาอยู่กับการนวดข้าว (หน้า 66) พิธีขอข้าว (แซะบือส่า) ทำเมื่อเอาข้าวเข้ายุ้ง มีการเชือดไก่ในยุ้งข้าว ขอพรให้ข้าวเต็มยุ้งพอเพียงกับทุกๆคน พิธีเรียกขวัญข้าว (แก๊วะบือเกอะลา) โดยเรียกขวัญข้าวจากลุ่มน้ำ และที่ต่างๆให้กลับมามาอยู่ที่ข้าว พิธีเลี้ยงนกขวัญข้าว (เก๊าะถ่อโถ่) ทำเมื่อเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว เชื่อว่า ขวัญข้าวอยู่ที่ตัวนกเหยี่ยว มีการเตรียมไก่ ข้าวปุ๊ก ข้าวต้ม ข้าวหลาม ดอกไม้ และ เผือก มัน พร้อมไข่ 1 ฟอง เมื่อทำอาหารเสร็จ จะกินเฉพาะน่องไก่ และ ไข่เท่านั้น โดยที่เหลือจะเรียกให้นกมากิน ซึ่งหมายถึงการเรียกขวัญข้าว พิธีกินข้าวเพิงนวด (เพาะ คีต๊ะ) เป็นการฉลองหลังนวดข้าวเสร็จ โดยนำข้าวที่เหลือจากเพิงนวด ไปต้มเหล้า แล้วนำเหล้ามารินเหล้าอธิษฐานขอพร และขอบคุณเทพยดา ที่ได้ข้าวพอเพียงใน 1 ปี โดยเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมด้วยดื่มด้วย นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรอีก เช่น พิธี กี่ฉู่จือ (มัดมือขวัญข้าว) พิธีเก๊าะถ่อโถ่บีข่า (พิธีส่งขวัญข้าวกลับขึ้นฟ้า) (หน้า 67) พิธีเลี้ยงผีเหมือง-ฝาย เจ้าของที่นาต้องทำพิธีอย่างน้อยปีละครั้ง หรือ บางกรณีอาจจะทำพิธี 3 ปี ครั้งหนึ่ง มีการสร้างหอเซ่นไหว้ จะใช้หมู หรือ ไก่ เซ่นไหว้ก็ได้ หากเชือดไก่จะป้ายเลือดไก่ในหอไหว้ และตามเสาทุกต้น อฐิษฐานให้เทพยดามารักษาคูคลองไม่ให้น้ำแห้ง มีนำไว้ทำกสิกรรมตลอดปี หลังจากนั้น จะถวายข้าวเทวดา เสร็จแล้วจึงจะร่วมกันรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว (หน้า 67) |
|
Education and Socialization |
การเรียนรู้ภูมิปัญญา คำสอนต่างๆ โดยผ่าน การขับลำนำ (ธา) ในงานพิธีต่างๆแล้ว คนในชุมชนปกาเกอะญอ มีการถ่ายทอดวัฒนธรรม จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ในเรื่องคำสอน จารีต ธรรมเนียมปฏิบัติ และประเพณี ด้วยความสัมพันธ์ทั้งในระดับครอบครัว และชุมชน แบบพี่น้องและเครือญาติ มักไปมาหาสู่กันเสมอ (หน้า 29) ปัจจุบัน คนในชุมชนจะได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านสื่อนานาชนิด ทางวิทยุ และ โทรทัศน์ ทางราชการเข้าไปจัดระบบการศึกษา จัดตั้งโรงเรียนในชุมชน เช่น โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาส คลอดจนการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาจากคณะธรรมจาริก ของศาสนาพุทธ และจากคณะศิษยาภิบาล ของคริสตศาสนา (หน้า 30) มีโรงเรียน 3 แห่ง ที่สอนตั้งแต่ระดับอนุบาล-มัธยมปีที่3 ได้แก่ โรงเรียนบ้านจันทร์, โรงเรียนบ้านสันม่วงสามัคคี , โรงเรียนห้วยยา (หน้า 32,40) สำหรับโรงเรียนสหมิตรวิทยา เป็นโรงเรียนเอกชน ตั้งอยู่ที่บ้านหนองเจ็ดหน่วย สอนตั้งแต่ระดับอนุบาล-มัธยมปีที่6 แต่สำหรับหมู่บ้านห้วยบะบ้ามีเพียง ศูนย์เด็กเล็ก และ โรงเรียนศูนย์การศึกษาชุมชนชาวไทยภูเขา สอนในระดับอนุบาล (หน้า 37) บางคนไปศึกษาในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยการบวชเรียน และบางคนเรียนวิชาชีพ (หน้า45) ผู้ใหญ่มักไม่ได้เรียนหนังสือไม่สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ ส่วนเด็ก และเยาวชน เขียนภาษาไทยได้แต่ก็ยังใช้คำ หรือ สำนวนภาษาไทยยังไม่ชัดเจน (หน้า 50) |
|
Health and Medicine |
ปกาเกอะญอ ใช้พืชสมุนไพรเป็นยารักษาโรค ซึ่งหาได้จากป่าใกล้หมู่บ้าน หรือ ที่อยู่ในไร่หมุนเวียน บางกรณีใช้ยาที่อยู่ในสัตว์ป่าบางชนิด และ แร่ธาตุบางอย่างด้วย ยาเหล่านี้มักใช้ควบคู่กับคาถา เป็นความเชื่อที่ต้องไปหาผู้อาวุโสให้ช่วยเป่าเสกรักษา เช่น เด็กที่เป็นตาแดง หรือ อย่างกรณีที่ปวดฟัน จะนำผักชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ในไร่หมุนเวียนมาต้มเคี่ยวจนข้นแล้วนำมาอม (หน้า2,29) นอกจากแบบพื้นบ้านที่ใช้สมุนไพร ควบคู่กับวิธีทางไสยศาสตร์แล้ว (หน้า 49) ยังใช้การรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันที่สถานีอนามัยในหมู่บ้าน ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยบง และบ้านห้วยยา หากเป็นกรณีเจ็บป่วยหนักจะส่งต่อไปที่ โรงพยาบาลอำเภอปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ใกล้ชุมชนที่สุด (หน้า33-34) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะบ้านเรือน มีการใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น ใช้ไม่ไผ่ ไม้สน ไม้ฟาก เป็นโครงสร้างหลัก มักมุงหลังคาด้วยใบตองตึง พื้นบ้านยกสูงจากพื้นดิน ภายในบ้านแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ห้องรับแขก และ ห้องครัวหรือห้องที่มีเตาไฟ (หน้า 48) ปัจจุบันมักใช้วัสดุอื่นเช่น สังกะสี ตามแบบบ้านคนเมือง ในวิถีชีวิตดั้งเดิม มีการปลูกฝ้าย หรือ ปอ ไว้ปั่นเป็นด้ายนำมาทอ และตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเอาไว้ใส่เอง (หน้า 29) การนำคำกลอนมาขับขับลำนำ หรือ จ้อยซอ ที่เรียกว่า อึธา (หน้า 116) ลำนำ หรือ ธา (หน้า 22) เป็นการนำ หลักคำสอน สุภาษิต คำพังเพย มาประพันธ์เพื่อสะท้อนเรื่องราวต่างๆ ที่ครอบคลุมวิถีชีวิต ปกาเกอะญอ ทั้งหมด ทั้ง ตำนาน ความเชื่อ โลกทัศน์ และ ปรัชญา (หน้า 141) ดังนั้นการขับลำนำ (ธา) ในพิธีต่างๆ จึงมีความหลากหลาย และมีเนื้อหาทางภูมิปัญญาที่สอดคล้องกับพิธีการนั้นๆ (หน้า 143-147) เช่น ธา ในการเกี้ยวพาราสี ที่ว่า “หากเธอเดินบนเส้นเชือกได้ พี่จะเดินบนคมหอก” (หน่อแล เลอ ปลี โข่ เหม่ เช เจ๊าะ แล เลอ บออ่านา เจ) เป็นต้น |
|
Folklore |
การที่ได้ชื่อบ้านจันทร์ มีเรื่องเล่าว่า นายจันทร์ ชาวล้านนา ทำผิดจารีตประเพณี ถูกครอบครัวขับไล่มา และมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ หลังจากนั้น บ้านเมืองเกิดอาเพศร้ายแรง มารดา จึงตามตัวให้ จันทร์กลับมาล้านนา ก่อนกลับจันทร์ได้ขอให้ปลูกต้นไม้ ตลอดสองข้างทาง และให้คนนอนลงเพื่อนายจันทร์ได้เดินข้ามไปจนสุดทาง (หน้า 40-41) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ปกาเกอะญอ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ อาศัยธรรมชาติแวดล้อมเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต พึ่งพาตนเอง และ ยังพึ่งพากันในเครือญาติ ซึ่งมิได้จำกัดแต่ในชุมชนเท่านั้น ยังขยายไปสู่ชุมชนอื่นๆ ให้ความสำคัญกับจารีต ประเพณี และ ธรรมเนียมปฏิบัติ(หน้า 29) เห็นได้ว่าชุมชนต้องการรณณรงค์ให้สวมชุดประจำเผ่า ในวันสำคัญต่างๆ หรือโอกาสที่มีการทำบุญร่วมกัน(หน้า 73, 90) ผู้อาวุโสของชุมชน พยายามจะให้มีการรักษาภูมิปัญญาของปกาเกอะญอ ที่ ปรากฏ ใน “ธา” (ลำนำเพลง) (หน้า116, 141) และฟื้นฟูประเพณีที่แสดงความเป็นผู้มีไมตรีจิตของปกาเกอะญอ เช่น ประเพณีเรียกแขกกินข้าว (หน้า 89) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากกระแสความเจริญ และ การพัฒนาสมัยใหม่ ส่งผลให้ชุมชนปกาเกอะญอ มีความไม่มั่นใจ และ ไม่ภูมิใจ ในภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ตนเอง วิถีปฏิบัติตามคำสอน คุณค่าของชุมชน ในการดำเนินชีวิต เริ่มเลือนหายไป โดยหันไปรับค่านิยมในเมืองมาใช้ มีการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตแบบยังชีพ มาเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ ทำให้ความสามารถในการพึ่งพาตนเองลดลง เกิดปัญหาหนี้สิน ขาดการไปมาหาสู่กัน การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแบบพี่น้องเริ่มลดลง เริ่มมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์มากขึ้น กลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ ปกาเกอะญอ ได้รับการศึกษาแบบระบบโรงเรียน เมื่อจบการศึกษา หางานทำในเมืองไม่ได้ กับทั้งขาดความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ไม่ให้ความสำคัญ กับคำสอน ของผู้อาวุโส ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยในชุมชน (หน้า 3, 30) |
|
Map/Illustration |
1. แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ในชุมชน และระหว่างชุมชน (หน้า 5) 2. แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป (หน้า 6) 3. ตารางรายชื่อพระภิกษุที่จำพรรษา ณ วัดบ้านจันทร์ (หน้า 42) 4. แผนผังพื้นที่วิจัย (หน้า 53) 5. ตารางรายชื่อขวัญ 37 ขวัญ (หน้า 58) 6. ตารางความเหมือนและแตกต่างกันระหว่างไร่หมุนเวียนกับบุญสันจร (หน้า 109) 7. ตารางบทสรุปเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป (หน้า 116-117) 8. แผนภูมิ สรุปบทเรียนแกนนำชาวพุทธกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์-บุญสัญจร (หน้า 128) 9. ตารางการจัดกิจกรรมบุญสัญจร (2546-2547) (หน้า 128-129) 10. ตารางแสดงคำสอนสุภาษิตของปกาเกอะญอที่มีความคล้ายคลึงและสอดคล้องกันกับหลักพุทธธรรม (หน้า 147-148) 11. แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของปกาเกอะญอ ในชุมชน และระหว่างชุมชน (หน้า 160) 12. แผนภูมิแสดงสาเหตุความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป (หน้า 161) |
|
|