|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ยวน คนเมือง ไทยวน,ความหลากหลายทางชีวภาพ,ภูมิปัญญา,การปรับตัว,น่าน |
Author |
กฤษฎา บุญชัย |
Title |
พลวัตรชุมชนล้านนาในการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยวน ยวน ยวนสีคิ้ว คนเมือง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
211 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรปริญญาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ชุมชนบ้านน้ำจำมีการจัดการทรัพยากรชีวภาพอย่างหลากหลาย การพัฒนาระบบการผลิต องค์ความรู้การคัดเลือกพันธุ์พืชเขตร้อน แลกเปลี่ยนกระจาย ความรู้เรื่องบริโภคอาหารพื้นบ้าน การใช้ประโยชน์บนฐานของความเชื่อเรื่อง "ผี" ครอบคลุมมิติจิตวิญญาณ ตั้งแต่ พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ชุมชนได้ผลกระทบ 3 ประการ ประการแรก นโยบายสัมปทานไม้ของรัฐ ที่จูงใจให้ชาวบ้านละเมิดกฎเกณฑ์ชุมชน ประการที่ 2 การส่งเสริมพืชพาณิชย์ซึ่งเป็นแบบแผนการผลิตใหม่ ประการสุดท้าย การกำหนดสิทธิของรัฐในลักษณะกรรมสิทธิ์รัฐและกรรมสิทธิ์ปัจเจกได้มาลดทอนสิทธิการใช้ประโยชน์ "หน้าหมู่" (common property) สร้างความไม่มั่นใจแก่ชาวบ้านในการทำมาหากิน อำนาจในการรักษาและกีดกันคนภายนอกของชุมชนลดลง เงื่อนไขเหล่านี้เป็นแรงกดดันให้ชาวบ้านต้องปรับตัวไปในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทำสวน ปลูกพืชผัก รับจ้างทั้งนอกและในชุมชน ลดรอบไร่หมุนเวียนและการปลูกพาณิชย์ รูปแบบหลังพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะในขณะที่กลไกราคาทำงานเต็มที่ ชาวบ้านไม่ได้เป็นเจ้าของผลผลิตตนเอง กลับเข้าสู่วัฎจักรหนี้ อย่างไรก็ดี โครงสร้างทางสังคมของชุมชนเองก็ยังสามารถเกาะตัวเพื่อปรึกษา หารือสรุปบทเรียนในระดับชุมชน และยกระดับสู่เครือข่ายเพื่อหาทางเลือกในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน และชุมชนมีความมั่นคงในชีวิต ซึ่ง "กลุ่มฮักเมืองน่าน" ได้เข้ามามีบทบาทหนุนช่วยชุมชน (หน้า 113, 124-125, 134-140) อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยยังได้ใช้กรอบประชากร ซึ่งไม่ได้เป็นเหตุและผลต่อกันเพียงประการเดียว พบว่าแรงกดดันภายนอกเรื่องนโยบายรัฐ การประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่มาก่อนปัจจัยประชากรเพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวบ้านเกิดความมั่นใจเรื่องสิทธิ นอกจากนี้ ไม่ได้มีหลักฐานมารองรับหรืออ้างอิงปรากฎในงานวิจัย เช่น ประชากรในพื้นที่ศึกษาเพิ่มจริง แต่ไม่มีตัวเลขยืนยันการเบิกที่มากกว่า 5 ไร่จากการถือครองเดิมของแต่ละครัวเรือน (หน้า 136-137, 192 ) |
|
Focus |
เป็นการศึกษา 1.มุ่งเจาะระบบคิด ภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่น ว่าชุมชนมีความรู้อย่างไร ระบบคิดดังกล่าวส่งผลต่อแบบแผน วิถีปฏิบัติ ประเพณี ความเชื่อ การจัดการความสัมพันธ์ทางสังคม และการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร 2.การปรับตัวของระบบคิดหรือภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่น กระบวนการเรียนรู้ของชุมชนต่อความหลากหลายทางชีวภาพ จากแรงกดดันภายในและภายนอกชุมชน กระบวนการตอบโต้ และการปะทะประสานระหว่างภูมิปัญญาชุมชน กับการพัฒนากระแสหลักอย่างไร ที่ชุมชนจะใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน (หน้า 32) |
|
Theoretical Issues |
ไม่มีข้อค้นพบในประเด็นเชิงทฤษฎีที่ชัดเจน |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยยวน หรือคนเมืองพื้นราบ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
1. เชิงศึกษาพื้นที่ประมาณ พ.ศ.2537-2540 2. เชิงข้อมูลนั้นได้สืบสาวเชิงประวัติศาสตร์ชุมชนโดยแบ่งเป็น 2 ยุค 2.1 ยุคก่อนการพัฒนา พ.ศ.2500ลงมา 2.2 ยุคหลังการพัฒนา พ.ศ.2500 เป็นต้นมา |
|
History of the Group and Community |
จากคำบอกเล่าคนเฒ่าคนแก่ในยุคตั้งรกรากถิ่นฐานพบว่า ชุมชนน้ำจำไม่ใช่ชนกลุ่มแรกที่มาบุกเบิกพื้นที่ โดยจากหลักฐานวัดมอญ ได้บ่งชี้ว่าเป็นมอญอยู่มาก่อน หลังจากนั้นชุมชนน้ำจำก็อพยพเข้ามา มีการสร้างวัดน้ำจำตามแบบล้านนาร่วมกันประมาณ พ.ศ. 2319 ซึ่งช่วงแรกมีประชากรไม่ถึง 100 หลังคาเรือนผู้คนเกี่ยวพันเป็นเครือญาติ สกุล ผัดผลเป็นสกุลดั้งเดิมของชุมชน จากระบบนิเวศน์ที่มีความแตกต่างหลากหลาย การพึ่งพาทรัพยากรจึงมีระดับที่แตกต่างกันตามความสามารถของชุมชนในวิถีชุมชนบ้านป่า การก่อตั้งบ้านเรือนจะเกาะกลุ่มเรียงรายตามแม่น้ำ ประวัติศาสตร์ชุมชนเป็นเรื่อง ความรู้ชาวบ้านในการจัดการทรัพยากร และการปรับตัวต่อผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐที่ขยายเข้ามาในชุมชน และความเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนเอง (หน้า 59-61) |
|
Settlement Pattern |
เดิมคนไทยยวนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเขตเมืองน่าน ด้วยต้องการหาแหล่งทำมาหากินใหม่ ซึ่งป่าติดน้ำน่านฝั่งตะวันออกตอนใต้แห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำเกษตร จึงได้อพยพเข้ามาทำกินในพื้นที่ปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 180 ปี (ราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์) และมี "ลำห้วยน้ำจำ" เป็นแหล่งน้ำหลักที่หล่อเลี้ยงชุมชน (หน้า 59-60) |
|
Demography |
มี 169 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 683 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 333 คน ผู้หญิง 350 คน (หน้า 169) |
|
Economy |
พื้นฐานจากชุมชนเกษตรกรรม ครัวเรือนเป็นหน่วยการผลิตและบริโภคขนาดเล็ก มีระดับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศน์ที่แตกต่างกัน ได้แก่ ทำนาในที่ราบลุ่มริมน้ำ ที่ต้องอาศัยกลุ่มเหมืองฝายในการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่ป่า "หน้าหมู่" ซึ่งได้เปิดมิติวิธีคิดที่มองว่าระบบการผลิตแบบไร่หมุนเวียน (หรือ "ไร่เลื่อนลอย" ตามความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ป่าไม้และคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย) เป็นระบบการผลิตของกะเหรี่ยง เมี่ยนและลีซออย่างผูกติดตรึงอยู่กับชาติพันธุ์ แต่ในกรณีนี้คนพื้นเมืองน้ำจำก็ยึดระบบไร่หมุนเวียนเช่นเดียวกัน รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ เก็บของป่า สมุนไพรและล่าสัตว์ การค้าวัวต่างกับกลุ่มชาติพันธ์และคนเมือง ปัจจุบันมีการทำเกษตรพาณิชย์ ในรูปแบบทำสวน ปลูกผัก การลงทุนในการผลิตพืชเงินสดสูงขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีการเกษตรแผนใหม่ และแม้ว่าชุมชนจะมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรเป็นฐานในการสร้างรายได้หรือความมั่งคงทางเศรษฐกิจ แต่ความมั่นคงในชีวิตเรื่องปัญหาหนี้สินได้เข้ามาบีบคั้น เปลี่ยนแปลงทัศนคติ รวมทั้งการผลักให้ระดับการพึ่งพาระบบการผลิตเพื่อการพึ่งตนเองของชุมชนลดลง (หน้า 64-66,111) |
|
Social Organization |
การตั้งถิ่นฐานเป็นระบบมาตาลัย (matrilocal) ถือสายแม่เป็นหลัก โดยนับถือผีปูย่าทางฝ่ายหญิง หากสืบสายตระกูลพบนามสกุลหลักๆ ผัดผล หาดพรหม และขัตติยะ นิยมมีลูกมากด้วยเงื่อนไขความต้องการแรงงาน จึงมักเป็นครอบครัวขยาย (extened family) นอกจากนั้นยังมีกลุ่มเหมืองฝาย เพื่อจัดการดูแลบริหารน้ำ ผู้อาวุโสจะเป็นผู้มีบทบาทมากในฐานะผู้นำความคิด ปัญญา วัฒนธรรม ศาสนาพิธีกรรมแก่ครอบครัวและชุมชน ตลอดจนผู้สั่งสมภูมิปัญญา "หมอเมือง" สามารถรักษาพยาบาลและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ชุมชนและธรรมชาติกับ "ผี" ตามโลกทัศน์ของคนพื้นเมือง ส่วนกลุ่มตุ๊เจ้า (พระสงฆ์) มีบทบาทสูงในสังคม เป็นครูสอนความรู้ทางธรรม ซึ่งเป็นคุณค่าที่ได้รับการยกย่องและเคารพนับถือ (หน้า 49-50, 71-72, 120-124) |
|
Political Organization |
หลังจากความพยายามผนวกล้านนาให้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย ทางราชการเชียงใหม่ได้มาจัดตั้งเป็นหมู่บ้านทางการ (ไม่ได้ระบุ พ.ศ.) จนปัจจุบันมีผู้ใหญ่บ้านทั้งสิ้น 11 คน เดิมที่ชุมชนน้ำจำและเมืองจังเป็นชุมชนที่ใหญ่ ต่อมาได้มีการแบ่งแยกแตกแขนงออกเป็น 9 หมู่บ้าน รวมทั้งชุมชนน้ำจำ น้ำวะและน้ำซาวก็เคยเป็นชุมชนเดียวกันมาก่อน (หน้า 63-64) |
|
Belief System |
ความเชื่อที่เป็นรากเหง้าของชุมชนคือ "ผี" ตามตระกูลสายแม่ที่เป็นสัญญะของความเคารพเชื่อฟังกติกาในการอยู่ร่วมของชุมชนอย่างสงบสุข เพราะกิจกรรมของมนุษย์ทุกอย่าง รวมทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนล้วนนับถือผีปู่ย่าร่วมกัน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคนธรรมชาติ การนับถือผี เช่น ผีไร่ ผีนา แสดงถึงความเกรงกลัว เคารพในคุณค่าธรรมชาติ ระบบนิเวศน์อันหลากหลาย อันแสดงออกในรูปแบบการประกอบพิธีกรรมขอขมาลาโทษ การสวดอ้อนวอน ระบบคุณค่าเรื่อง "ผี" ได้ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (socialization) ความเชื่อเหล่านี้เป็นวิธีคิดที่มีพลังเบื้องหลังของการพยายามรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ อนุรักษ์และพัฒนาระบบเกษตร รักษาและปรับปรุงพันธุกรรมพืชเขตร้อนชื้นของชุมชน (หน้า 67-69) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนได้เข้ามาแทนที่วัดห่างและหอผีของหมู่บ้านเมื่อปี พ.ศ. 2490 ครูจากภายนอกได้เชื่อมโยงความรู้จากส่วนกลางเข้ามาแทนที่ความรู้ของผู้อาวุโส หนาน และความรู้ทางธรรมของ คัมภีร์ใบลาน ตัวหนังสือล้านนา พิธีกรรมและพระธรรมคำศีล ซึ่งพระสงฆ์ที่ได้ทำหน้าที่ครูสอนเด็กในชุมชนมาแต่เดิม และพบว่าตั้งแต่ปี 2530 ลงมา ชาวบ้านมีทัศนคติให้บุตรหลานได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้นและสูงขึ้น ด้วยเป้าหมายการเลื่อนสถานภาพทางสังคม การศึกษาในโรงเรียนไม่ได้สร้างกลไกให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติและชุมชนตนเองนัก จึงเกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่กับชุมชน การขาดช่วงของกระบวนการขัดเกลา การอบรมสั่งสอนสมาชิกใหม่ ๆ ในสังคม และการถ่ายทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาระบบคุณค่าเกิดการหยุดชะงัก (หน้า 160-166) |
|
Health and Medicine |
การเข้ามาของแพทย์แผนใหม่เมื่อปี 2500 ด้วยการอธิบายโรคแบบวิทยาศาสตร์ เหตุ-ผล ทดสอบด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ทันสมัยได้ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้ป่วยอย่างกว้างขวาง และแก้ปัญหาโรคระบาดของชุมชนได้อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันได้เกิดผลกระทบต่อองค์ความรู้ต่อหมอเมืองโดยตรง อย่างเป็นลูกโซ่ ความนิยมต่อตัวหมอพื้นบ้านลดลง การคิดค้น ปรับปรุง และถ่ายทอดความรู้รักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรจากคัมภีร์ใบลานก็ไม่ได้รับพัฒนาสานต่อ พืชสมุนไพรไม่ได้ถูกจดจำ จึงกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ ถูกแผ้วถางสูญหายไปเสียมาก ส่งผลต่อการลดลงของทรัพยากรชีวภาพสมุนไพร (หน้า 162-164) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ความศรัทธาต่อ "ผี" ซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิม ซ้อนทับกันพุทธ-ผี และผียังเป็นระบบสัญลักษณ์ในการอธิบายความสัมพันธ์ มนุษย์ ชุมชนกับธรรมชาติอย่างเป็นองค์รวม นอกจากนี้ ชาวบ้านมีความเชื่อถือเรื่องป่าศักดิ์สิทธิ์ 3 ชั้น ป่ากิ่วเย็น ป่าโองโป่ง ป่าช้า ซึ่งสามารถควบคุมการใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างดี โดยป่าทั้ง 3 แบ่งตามระบบนิเวศน์ของป่าจากการเรียนรู้ของชุมชนเอง และกติกาภายในชุมชนใช้ประโยชน์อย่างพอเพียง (หน้า 116-117) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนภาพ พลวัตรชุมชนกับการจัดการทรัพยกรชีวภาพ (หน้า 33) แผนที่แสดงลุ่มน้ำน่าน (หน้า 38) แผนที่จังหวัดน่าน (หน้า 39) แผนที่บ้านน้ำจำ (หน้า 58 ) โครงสร้างลำดับขั้นการแยกหมู่บ้าน ต.เมืองจัง (หน้า 64) |
|
|