|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ฉาน,ไทใหญ่,ความคิดเรื่องพัฒนาการมนุษย์,จิตวิทยา,จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
Author |
Nancy Eberhardt |
Title |
Shan Theories of Human Development |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
18 |
Year |
2534 |
Source |
ห้องสมุดงานวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ |
Abstract |
ผู้ศึกษาได้สังเกตพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดจนพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉาน หมู่บ้านห้วยผา จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 1) ฉานเชื่อว่ากระบวนการพัฒนาของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นรูปธรรม ที่แปรผันไปในแต่ละช่วงวัย อยู่บนพื้นฐาน ตามคติชีวิตในพุทธศาสนา (หน้า 7,9 ) เริ่มตั้งแต่สภาวะก่อนตั้งครรภ์ จนถึงชีวิตหลังความตาย (หน้า 13) ในกระบวนการ ดังกล่าวมีสภาวะของนามธรรม หรือ จิตวิญญาณ ( ผี ) (immatrial realm), สภาพบุคคล ที่เป็นรูปธรรม (matrial realm) ซึ่งมีเหตุปัจจัยเชื่อมโยง เกี่ยวกับ การเวียนว่ายตายเกิด หรือการกลับมาเกิดใหม่ ที่สัมพันธ์ กันกับกรรม (การกระทำ ดี หรือ ชั่ว) และ เวร ผลของกรรมจากอดีตชาติ แต่ การกระทำ, ประสบการณ์ และ การเรียนรู้ในปัจจุบัน ของแต่ละบุคคล ถือว่ามีส่วนสำคัญที่สุดต่อกระบวนการพัฒนาดังกล่าว ทำให้เกิดความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรม รวมทั้ง บุคคลิกภาพของแต่ละบุคคล (หน้า 13-14) จนเมื่อบุคคลนั้นตายลง เป็นการกลับมาสู่ภาวะนามธรรม หรือ จิตวิญญาณ อีกครั้งหนึ่ง กระบวนการพัฒนานี้มีลักษณะที่หมุนวนเป็นวัฎจักร แนวทฤษฏี การพัฒนาของมนุษย์นี้ ฉานถือว่าวัยเด็กถือเป็นการเริ่มต้นพัฒนา และการได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของวัยหนุ่มสาว ก็ยังคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนา ตราบจนเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งมีการพัฒนาทั้งทางกายภาพ, วิถีชีวิต และจิตวิญญาณ ถือว่าเป็นช่วงการพัฒนาที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม วัยเด็ก และ วัยชรา เป็นช่วงวัยที่มีการทับซ้อนกัน ทั้ง ภาวะ นามธรรม และ รูปธรรม สัมพันธ์กับช่วงการเปลี่ยนผ่าน ของวัยเด็ก สู่ ผู้ใหญ่ และ วัยผู้ใหญ่ สู่ วัยชรา(หน้า 11) เช่น การร้องไห้ ของทารก (หน้า 5-6), การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของผู้สูงอายุ (9-10) เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ศึกษาได้สำรวจแนวความคิดเชิงจิตวิทยาทางชาติพันธุ์ ฉาน ที่เป็นเหตุผลในกระบวนการพัฒนามนุษย์ นำมาวิเคราะห์ และสรุปว่า สภาวะ นามธรรม หรือ จิตวิญญาณ (immatrial realm) นั้น สามารถมีคุณลักษณะบางประการ มีเพศและอายุ และสามรถพัฒนาได้ เช่นเดียวกับ บุคคลทั่วไป ข้อสรุปนี้อธิบายการกลับมาเกิดใหม่ของมนุษย์ ได้อย่างสมเหตุผลเชื่อมโยงกัน (หน้า 12-13) |
|
Focus |
ศึกษาแนวคิดกระบวนการพัฒนาของมนุษย์ ตั้งแต่ ภาวะก่อนตั้งครรภ์ จนถึง ชีวิตหลังความตาย ซึ่งสัมพันธ์กับ จิตวิทยาของชาติพันธุ์ฉาน มีพื้นฐานเกี่ยวกับชีวิตที่เวียนตายเวียนเกิด ตามคติในพุทธศาสนา (หน้า 1) เพื่ออธิบายพฤติกรรมแต่ละบุคคล อันเป็นกระบวนการพัฒนามนุษย์ (หน้า 15) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ฉาน (ไทใหญ่) หมู่บ้านห้วยผา (Huai Pha) จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
กรกฎาคม 2533 - มิถุนายน 2534 (1990-1991) |
|
History of the Group and Community |
|
Social Organization |
พัฒนาการของมนุษย์ ในโลกทัศน์ของฉาน คือว่า เด็ก (ตั้งแต่อายุ 12 ปีลงมา) ในวัยแรกเริ่มนั้น ถือว่าอยู่ในกระบวนการของการพัฒนา จากการ “ไม่รู้ความ” ( am pai hu kwaam )ไปสู่ “การรู้ความแล้ว” (hu kwaam yaw) โดยสัมพันธ์กับความสามารถในการใช้ภาษาสื่อสาร ผู้ใหญ่จะไม่ถือสา พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสมของเด็ก ในช่วงนี้ (หน้า 5-6) เพราะคิดว่าเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้นก็จะมีลักษณะที่เรียกว่า “hai” ซึ่งหมายถึง ว่า “ร้าย” หรือควบคุมไม่ได้ ซึ่งเป็นธรรมชาติของเด็ก และจะหมดไปเองเมื่อเด็กพัฒนาเข้าสู่วัยหนุ่มสาว (หน้า 5) ดังนั้นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็ก มาจากเหตุร่วมกันทั้ง สันชาติญาณ (pen hai) และ การที่ไม่สามารถสื่อสารได้ (am hu kwaam) คนฉานถือว่าวัยนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนา (หน้า 6) ความคิดที่สำคัญของคนฉานที่เกี่ยวกับเด็กอย่างหนึ่ง คือว่า เด็กมีเจตนารมณ์ที่เป็นอิสระตั้งแต่แรกเริ่ม สิ่งที่พัฒนาคือความสามารถของเด็กในควบคุมหรือกำหนดทิศทางเจตนารมณ์ให้เป็นไปตามครรลองของวัฒนธรรม ซึ่งแบบแผนปฏิสัมพันธ์ของเด็ก-ผู้ใหญ่ก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่า เด็กก็คล้ายๆ ผู้ใหญ่ และการแสดงความต้องการของเด็กที่ชัดเจนก็บ่งบอกถึงตัวตนว่าเด็กเป็นใคร และในบางกรณีก็เชื่อว่าเด็กรำลึกชาติได้ (หน้า 6) ผู้ใหญ่ทำหน้าที่ควบคุมความต้องการของเด็กให้อยู่ในร่องในรอย จนเมื่อเด็กเติบโตและเรียนรู้ที่จะควบคุมความต้องการแล้วผู้ใหญ่ก็จะพอใจที่รู้ว่าเด็กเริ่ม “ความรู้” แล้ว (หน้า 7) วัยแรกรุ่นเป็นวัยที่ถูกมองว่าดูแลตัวเองได้แล้ว แต่ไม่มีการประกอบพิธีกรรมใดแสดงว่าย่างเข้าสู่วัยรุ่น ส่วนผู้ใหญ่ก็จะสั่งสอนน้อยลงเพราะถือว่าได้สอนไปมากแล้ว เมื่อใกล้ถึงวัยแต่งงานก็มีสถานภาพเฉพาะสำหรับผู้หญิงและผู้ชายคือ “สาว” สำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน และ “บ่าว” สำหรับชายหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงาน (หน้า 8) การที่หนุ่มสาวมีการพัฒนาไปสู่วัยผู้ใหญ่ คือ การมีหน้าที่รับผิดชอบการงานต่างๆอย่างผู้ใหญ่ และ กรณีที่ ได้แต่งงาน (หน้า 8) สำหรับผู้ใหญ่วัยกลางคน (อายุ 45 ปี ขึ้นไป) ได้รับการพัฒนาในด้านทักษะการทำงาน และ ความรู้ทางสังคม –วัฒนธรรม ที่มากขึ้น คนวัยนี้ถือเป็นช่วงเข้าสู่วัยสูงอายุ (หน้า 9) ถือว่าได้ผ่านวัยผู้ใหญ่บริบูรณ์ (kon long) มักถ่ายโอนหน้าที่การงานให้กับ วัยหนุ่มสาว (หน้า 7) ฉานเรียกผู้สูงอายุ ว่า “คนเฒ่า” (“Kon thaw”) หรือ “คนนอนสรวง” (“kon naun tsaung” ) ซึ่งหมายถึงคนที่ถือศีลและ พักที่วัดในช่วงเวลานั้น การเรียกผู้สูงอายุทั้งสองคำนี้เป็นคำที่ใช้เรียกแทนกันได้ (หน้า 9) ในวัยนี้เป็นการพัฒนาทักษะชีวิตทางจิตวิญญาณ และเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ภาวะชีวิตหลังความตาย โดยการทำบุญกุศลต่างๆ (หน้า 10) |
|
Belief System |
ฉาน เชื่อว่า มนุษย์มีการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งมีเหตุปัจจัย 2 ประการ คือ 1. การทำบุญกุศล 2. สิ่งที่ได้ทำ หรือ มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติที่ผ่านมา (หน้า 2) แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อในเรื่อง “ผี” ซึ่งหมายถึง วิญญาณ สมารถกลับมาเกิดใหม่ ได้ ผี มีความแตกต่าง กับ “ขวัญ” (sole stuff) ตรงที่ ขวัญ เป็นพลังชีวิตที่สามารถ เข้ามาอยู่ กับร่างกายของคนๆนั้น หรือ สลายไปก็ได้ ขวัญจึ่งมีสภาวะไม่แน่นอน ตามภาวะที่ผู้นั้นต้องประสพ (หน้า 2-3) และด้วยเหตุนี้จึงมีพิธีกรรมเสริมสร้างความเข็มแข็งให้แก่ “ขวัญ” (หน้า 10-11 ) สำหรับธรรมเนียมการตั้งชื่อเด็กนั้น จะไม่ทำล่วงหน้า เพราะ ชื่อเด็กต้อง สอดคล้องกับวันเดือนปีเกิดของเด็ก อาจมีการผสมอักษร จากชื่อของพ่อ และ แม่ด้วย นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมสมัยกันกับที่เด็กเกิดอาจนำมาใช้ตั้งชื่อเด็กได้ (หน้า 3) แม้ฉานมีความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์ ( โชคชะตา) แต่ก็ไม่ถือว่าโหราศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่อธิบายความแตกต่างของพฤติกรรมของแต่ละบุคคล (หน้า 15) ฉาน เชื่อว่า “phi mae ta laa” เป็นผีที่คุ้มครองเด็กตั้งแรกเกิด จนถึงอายุ 12 ปี และยังมีวิญญาณ พ่อซื้อ แม่ซื้อ เรียกว่า “pau phaan” และ “ mae phaan” คอยคุ้มครองอีกด้วย กรณี ที่เด็กถูกผีอื่นคุกคาม จะมีพิธีเชิญ วิญญาณที่มีอำนาจเหนือกว่า ได้แก่ผีที่คุ้มครองหมู่บ้าน หรือ “เสื้อเมือง” (tsaw moeng) ให้มาช่วยขับไล่ไป (หน้า 5) สำหรับพิธีกรรม ที่สืบเนื่องจากความเชื่อดังกล่าว มีหลายพิธีเช่น พิธีอาบน้ำเด็ก เรียกว่า “อาบเหลิน” (the ap loen rite) หรือ อาบน้ำเงินน้ำทอง ทำภายหลังเด็กคลอดแล้วในเดือนที่เกิด หรือหลังจากนั้น 1 เดือน โดยเชิญผู้อาวุโสมาทำพิธี และทำพิธีผูกข้อมือทำขวัญ กล่าวอวยพรให้ได้รับสิ่งที่ดี ปลอดภัย (หน้า 4) เชื่อว่าทำให้ขวัญของเด็กแข็งแกร่งขึ้นในช่วง 2-3 ขวบปีแรกของเด็ก หากเด็กที่เกิดวันเดียวกับพ่อแม่ ถือว่าเป็นอัปมงคล ต้องมีพิธีให้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งมักเป็นเครือญาติ ซื้อเด็ก(เป็นเงิน 20 บาท) และมีการผูกข้อมือทำขวัญด้วย (หน้า 4) หลักการเหตุผลของการกระทำ และผลของการกระทำ “กรรม-เวร” ฉานได้ให้ความหมายที่ต่างกัน “กรรม” เป็นผลทั่วไปโดยรวมของสภาพชีวิตเฉพาะในแต่ละคน เช่น บุคลิก, ฐานะความเป็นอยู่ ฯลฯ ส่วน “เวร” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆไป เป็นเหตุไปสู่การบาดเจ็บ หรือการตาย อาจเป็นผลกรรมที่เหลืออยู่จากชาติที่แล้ว (หน้า 14) ผู้สูงอายุจะกังวลเรื่องชีวิตหลังความตายซึ่งคงจะไปเมืองผี และกลับไปเกิดที่เมืองคน ซึ่งเป็นอาณาจักรของมนุษย์ การทำบุญจะช่วยให้ลู่ล่องตามเป้าหมาย (หน้า 10) ความตายในทัศนะของชาวฉานถือว่าเป็นอันตรายสำหรับคนใกล้ชิดเพราะตนตายยังไม่อาจตัดสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดได้ในทันที และอาจจะอยากมาเอาไปด้วย (หน้า 10) |
|
Education and Socialization |
การพัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็ก จาก “การไม่รู้ความ” (am pai hu kwaam) ไปสู่ “การรู้ความ” (hu kwaam yaw) พฤติกรรมของเด็กที่ไม่เชื่อฟัง (wa yap) นั้นซับซ้อน(หน้า 6) เด็กกลุ่มนี้จึงถูกมองว่าเป็น “คนหนวก” (nok) หมายถึงการที่ต้องสอนซ้ำๆจนเข้าใจ ฉาน ถือว่าวัยเด็กยังไม่ใช่การพัฒนาที่แท้จริง แต่เป็นจุดเริ่มต้น ของการพัฒนา วัยหนุ่มสาว มักได้เรียนรู้ในประสบการณืต่างที่ได้รับ จากการทำงาน การแยกตัวออกไปจากครอบครัว รวมทั้งการแต่งงานมีครอบครัวของตนเองด้วย (หน้า 7-8) กระบวนการเปลี่ยนผ่านสถานะ ของวัยหนุ่มสาว สู่วัยผู้ใหญ่ นอกจากแสดงออกผ่านพิธีกรรม เช่น การบวชเณรของเด็กชายแล้ว (หน้า 7) ยังรวมถึงการมีหน้าที่รับผิดชอบในการงาน ต่างๆ อีกด้วย ประสบการณ์ เป็นปัจจัยสำคัญ ต่อกระบวนการพัฒนามนุษย์ ชาวฉาน ถือว่า ผู้ที่ขาดประสบการณ์คือ ผู้ที่ “ไม่รู้อะไรเลย” (am hu hang) เพราะประสบการณ์สร้างองค์ความรู้ในเรื่อง ความจริง และ ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ (หน้า 14) |
|
Health and Medicine |
กรณีเจ็บป่วยที่เรียกว่า ขวัญเสีย เพราะเชื่อว่าเป็นการกระทำของวิญญาณ หรือปีศาจ ของคนที่ตาย ในวัยหนุ่มสาว หรือ คนที่ตายอย่างกระทันหัน ที่มักมีความสัมพันธ์กับคนป่วย ซึ่งเชื่อว่าคนตายมักจะพาคนที่รักไปอยู่ด้วย (หน้า 10-11) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1. แผนภูมิแสดงการเปลี่ยนผ่านของวงจรชีวิต (หน้า 11) |
|
|