|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มะก่อง,กระบวนการกลายเป็นชายขอบ,ปฏิกิริยาท้องถิ่น,การจัดการป่าของรัฐ,เวียดนามตอนกลาง |
Author |
Hoang Thi Xuan Diem |
Title |
Marginalization and Local Response to the State Forestry Management: A Case Study of Makong Community in Phong Nha-Ke Bang National Park, Central Vietnam |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
174 |
Year |
2547 |
Source |
A THESIS SUBMITTED TO THE GRADUATE SCHOOL IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF ARTS IN SUSTAINABLE DEVELOPMENT |
Abstract |
แนวทางการจัดการป่าของชุมชนมะก่องไม่เป็นที่ยอมรับของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลมองป่าแค่ในเชิงเศรษฐกิจ และชีวภาพเท่านั้น จึงมุ่งปกป้องรักษาเพียงส่วนที่เป็นมูลค่าตัวเงิน ดังนั้น รัฐจึงพยายามกีดกันชาวบ้านไม่ให้เข้าถึงทรัพยากรป่าได้ โครงการของรัฐล้วนแต่เน้นการเปลี่ยนแปลงให้พวกชาวบ้านเลิกพฤติกรรมที่รัฐมองว่าล้าหลัง และไม่ทันสมัย ด้วยเหตุนี้ชุมชนมะก่องจึงถูกบีบให้เปลี่ยนวิถีปฏิบัติแบบดั้งเดิมของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง บทบาทของสถาบันชุมชน และนิยามของวัฒนธรรมชุมชนจึงเปลี่ยนไป ดังจะเห็นได้จากพิธีตีกลอง และจารีตที่ดีงามของชุมชน นอกจากนั้น การที่รัฐเข้ามาควบคุมทรัพยากรป่า ได้ทำให้ชาวบ้านต้องเลิกการปลูกพืชแบบหมุนเวียนที่ดิน และต้องกอบโกยประโยชน์จากสินค้าต่าง ๆ ที่หาได้จากป่า ตลอดจนเริ่มทำการค้าขาย นำพืชเศรษฐกิจมาปลูก และเข้าร่วมทำงานกับทางราชการเพื่อความมั่นคงของชีวิต |
|
Focus |
ผู้ศึกษาอธิบายถึงกระบวนการจัดการป่าของชุมชนมะก่อง อันเชื่อมโยงกับความเชื่อ ตำนานเรื่องเล่า และประเพณีที่ชุมชนปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน ซึ่งแนวทางของชาวบ้านแตกต่างจากนโยบายของรัฐที่มีรากฐานความคิดแบบวิทยาศาสตร์โดยละเลยภูมิปัญญาชาวบ้าน การแทรกแซงของหน่วยงานรัฐได้ทำลายสภาพความเป็นอยู่เดิมในหลายแง่มุม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การใช้ประโยชน์จากป่าไม้ การเมือง ความเชื่อ ฯลฯ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ชุมชนต้องรวมตัวกันแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยวิธีการต่าง ๆ |
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาชิ้นนี้ ได้แก่ แนวคิดของ Vandergeest และ Peluso ที่กล่าวว่า รัฐใช้เขตแดนเป็นเครื่องตัดสิน และควบคุมในการอนุมัติ หรือกีดกันชาวบ้านที่จะปฏิบัติ หรือเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่ Scott อ้างว่าคนยากคนจนก็มีอำนาจของตนเองเหมือนกัน พวกเขามีอาวุธที่จะต้านทานขัดขืนความเป็นชายขอบ ซึ่งในบางกรณีพวกเขาใช้กลยุทธ์แบบที่คิดร่วมกัน แต่ในบางกรณีแต่ละคนก็ใช้วิธีการของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน การซุบซิบนินทาถึงรัฐ การดื้อดึงต่อนโยบายรัฐ การประท้วง และใช้ความรุนแรง ต่างก็เป็นแนวทางการแสดงออกทางอ้อมที่สะท้อนการตอบสนองของพวกเขา (หน้า 171) Morphy กล่าวว่าภูมิประเทศ และความเป็นมาของคนพื้นเมืองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน โดยชาวบ้านตระหนักถึงการมีอยู่ของอำนาจของบรรพบุรุษ และพวกเขารู้สึกได้ถึงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอันอยู่รายล้อมผืนแผ่นดิน ขณะที่ Kahn ชี้ว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างตาฮีเตียน(Tahitians) กับผืนแผ่นดิน โดยเธอตระหนักว่าตาฮีเตียนรับรู้ว่าผืนแผ่นดินเป็นเสมือนมารดาที่คอยเลี้ยงดูมนุษย์ นอกจากนี้ อัตลักษณ์ของบุคคลและความสัมพันธ์ทางสังคมของตาฮีเตียนยังถูกนิยามโดยความผูกพันอย่างใกล้ชิดที่มีต่อผืนแผ่นดิน ซึ่งสำหรับตาฮีเตียนนั้น อดีตของบรรพบุรุษ และวิถีชีวิตในปัจจุบันมีฐานรากจากความสัมพันธ์ระหว่างคนและผืนแผ่นดิน โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อมีเด็กทารกเกิดขึ้นมา แม่จะทำการฝังรก และสายสะดือลงไปในดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าผืนแผ่นดินจะช่วยดูแลเด็ก (หน้า172) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มะก่องในหมู่บ้านคารูง(Caroong) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ใช้ภาษาในตระกูลมอญ-เขมร(Mon-Khmer) (หน้า 63) แต่คนมะก่องไม่มีภาษาเขียน ดังนั้น ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดผ่านการเล่าตำนานและนิทาน (หน้า 66) |
|
Study Period (Data Collection) |
พฤศจิกายน ค.ศ. 2003-มีนาคม ค.ศ. 2004 (หน้า 12) |
|
History of the Group and Community |
กิจกรรมทางวัฒนธรรมหลายอย่างของชุมชนมะก่องจะกระทำกันที่หมู่บ้านแห่งนี้ เพราะที่นี่ถือเป็นผืนดินดั้งเดิมของชาวมะก่อง หมู่บ้านคารูงมีประสบการณ์จากการเข้ามาของหน่วยงานภายนอกชุมชน โดยที่โครงการส่วนมากที่เกิดขึ้นในตำบลทวงแท็ช มักจะไม่ดำเนินการในหมู่บ้านอื่น ๆ แต่จะกระทำในหมู่บ้านคารูง ตัวอย่างเช่น โครงการในปี ค.ศ. 1999 ที่รัฐแจกวัวให้ชาวบ้านนั้น หมู่บ้านคูทัน(Cuton) และหมู่บ้านท็อค(Cooc) ไม่ได้รับการแจก แต่หมู่บ้านคารูงได้รับวัวจากโครงการ (หน้า 10) มีเอกสารหลายแห่งอ้างว่าคนมะก่อง และบรู-วันเคียวอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาทวงซอน(Truong Son Mountain) ซึ่งอยู่ในภาคตะวันตกของจังหวัดควงไตร นักชาติพันธุ์วิทยาบางท่านอ้างว่าชนกลุ่มนี้มาจากประเทศลาว โดยที่การอพยพย้ายถิ่นไปในเขตทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดควงบินห์ของชนกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลมอญ-เขมร อันได้แก่ คัว ไตร และมะก่อง ได้เกิดขึ้นก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 15 ทั้งนี้ Manh (1996) พบว่าคนมะก่องเป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดควงบินห์เป็นกลุ่มแรก ๆ ซึ่งหมายความว่ามะก่องน่าจะเป็นคนพื้นเมืองของพื้นที่นี้ (หน้า 67-68) |
|
Demography |
หมู่บ้านคารูงมี 22 ครอบครัว มีประชากร 122 คน (หน้า 10) ขณะที่ ชาติพันธุ์บรู-วันเคียวมีประชากร 40,000 คน ส่วนคนมะก่องมีจำนวนประมาณ 2,000 คน (หน้า 64) |
|
Economy |
คนมะก่อง และชาติพันธุ์บรู-วันเคียวทำกินในรูปแบบไร่หมุนเวียน(Shifting Cultivation) ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจระบบตลาดจะขยายไปสู่หมู่บ้านต่างๆ ในเวียดนามแล้วก็ตาม แต่หมู่บ้านที่เป็นบรู-วันเคียวส่วนใหญ่ยังมีเศรษฐกิจในแบบยังชีพอยู่ วิถีชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ของพวกเขาคือการเก็บของป่าเล็ก ๆ น้อย ๆ (หน้า 64) ทั้งนี้ ชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเวียดนามยังมีความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจอยู่ ถึงแม้ว่าสัดส่วนคนยากจนของทั้งประเทศจะมีอัตราลดลงจาก 85% ในปี 1993 เป็น 75% ในปี 1998 แต่สัดส่วนคนยากจนของชนกลุ่มน้อยกลับเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 29% ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะว่าพวกเขาขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมกับการดำเนินการตามนโยบายขจัดความยากจนของรัฐ อีกทั้งโครงการพัฒนาของรัฐที่วางแผนแบบเบ็ดเสร็จไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในชุมชนชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในมีความแตกต่างหลากหลาย (หน้า 127) กฎข้อบังคับของชุมชนมะก่องในการใช้และพิทักษ์ป่า คนมะก่องมีความคิดที่ว่าสมาชิกทุก ๆ คน มีสิทธิที่จะใช้ และมีหน้าที่ในการดูแลทรัพยากรของชุมชน ซึ่งพวกเขามีกฎข้อบังคับที่หลากหลายตามประเภทของป่า อย่างเช่นถ้าเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์หรือป่าต้นน้ำ อันมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถือเป็นแหล่งสิงสถิตของวิญญาณต่าง ๆ จะมีข้อห้ามมิให้ชาวบ้านตัดไม้ เผาไม้ ล่าสัตว์ ฯลฯ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกปรับเป็นควายหนึ่งตัว วัวหนึ่งตัว หมูหนึ่งตัว หรือไก่หนึ่งตัว ตามความรุนแรงของการกระทำ ซึ่งผู้นำและผู้อาวุโสในชุมชนจะตัดสินลงโทษผู้กระทำผิดเป็นราย ๆ ไป (หน้า 86-87) กฎข้อบังคับของชุมชนมะก่องสะท้อนถึงความตระหนักเห็นคุณค่าของการดูแลรักษาป่าของพวกเขาผ่านประเพณีต่าง ๆ ที่แสดงออก โดยในกรณีที่ชาวบ้านคนใดมีความจำเป็นต้องตัด หรือเผาไม้ในพื้นที่ที่ใกล้กับที่ดินของคนอื่นแล้ว ผู้นั้นจะต้องบอกกล่าวเจ้าของที่ให้มาตกลงก่อไฟด้วยกันเพื่อป้องกันมิให้ไฟลุกลามออกไป แต่หากผู้ใดจุดไฟเผาป่าที่เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ หรือป่าผี อันเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้ในการฝังศพบรรพบุรุษ ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษ ทั้งนี้ หากมีไฟป่าเกิดขึ้นแล้ว หนุ่มสาวทุกคนในหมู่บ้านต้องมีหน้าที่รวมพลังกันดับไฟป่า แต่ถ้าใครไม่ยอมเข้าร่วมดับไฟก็จะถูกลงโทษเช่นกัน (หน้า 87) ขณะที่ป่าเพื่อการทำมาหากิน (Production Forest) ก็เป็นประเภทป่าที่ชาวบ้านมีกฎในการดูแลรักษาเช่นกัน หากผู้ใดต้องการตัดต้นไม้ต้นใด เขาจะต้องพยายามไม่ให้เกิดความสูญเสียกับต้นไม้ต้นอื่น ในกรณีที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ผู้ตัดจะต้องตัดกิ่งก้านออกเสียก่อนที่จะโค่นทั้งต้น ซึ่งตามกฎแล้วนั้น การโค่นไม้แล้วต้นไม้ล้มไปลงที่ดินของผู้อื่นนั้น ผู้ตัดไม้จะต้องเสียค่าชดใช้ให้กับเจ้าของที่ผู้นั้นด้วย (หน้า 87) อย่างไรก็ตาม กฎข้อบังคับของชุมชนมะก่องนั้น แตกต่างไปจากกฎของอุทยานแห่งชาติ การดูแลรักษาป่าตามแนวทางของรัฐนั้นใช้กฎหมายของรัฐเอง และกลไกการจัดการป่าที่อิงฐานความรู้แบบวิทยาศาสตร์ แต่ชุมชนมะก่องมีวิธีการจัดการป่าโดยใช้ระบบความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานในเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากคนมะก่องเชื่อว่าทุก ๆ สิ่งล้วนมีวิญญาณอยู่ในตัวของมันเอง ดังนั้น การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากวิญญาณเหล่านั้นเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นได้ว่าพวกเขามีพิธีกรรมในการขออนุญาตก่อนนำสิ่งใดออกจากป่า (หน้า 87) ในขณะที่การล่าสัตว์นั้น พวกเขามีกฎว่าจะต้องล่าสัตว์เฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดไว้ อีกทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านใด ๆ ต้องล่าสัตว์ได้ในเขตแดนของหมู่บ้านตนเองเท่านั้น หากจะล่าสัตว์ข้ามเขตแดนของหมู่บ้านต้องมีการตกลง และขออนุญาตเจ้าของพื้นที่นั้นโดยใช้ไวน์หนึ่งไห บุหรี่ หรือไก่หนึ่งตัวในพิธี ซึ่งหากล่าได้สัตว์ใหญ่อย่างเช่น กวางหรือหมูป่า ผู้ล่าจะทำการแบ่งส่วนสะโพก และหัวไว้กับตัวเอง ส่วนหาง และส่วนที่เหลือจะมอบให้เจ้าของที่ไป(หน้า 88) อย่างไรก็ดี วิธีปฏิบัติในการล่าสัตว์ดังกล่าวข้างต้นได้เปลี่ยนแปลงไปโดยอิทธิพลของระบบทุนนิยม การล่าสัตว์กลายเป็นกิจกรรมที่ทำไปเพื่อขาย การแบ่งส่วนของสัตว์ที่ล่าได้ให้กับชาวบ้านคนอื่นไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ทั้งนี้เพราะชาวบ้านมีความคิดที่เปลี่ยนไป โดยพวกเขาเห็นว่าคนอื่นก็มีเงิน พวกเขาก็คงซื้อเองได้ นอกจากนี้ ในช่วงก่อนที่จะได้รับอิทธิพลจากคนบนพื้นราบนั้น ชาวบ้านล่าสัตว์โดยใช้หมาล่าสัตว์ หอกไม้ และกับดักอย่างง่าย ๆ เช่น กับดักหลุม กับดักไม้ไผ่ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันชาวบ้านล่าสัตว์โดยใช้ปืน และกับดักที่ซื้อมาจากคนบนพื้นราบ (หน้า 88-89) กฎข้อบังคับดั้งเดิมของชุมชนมะก่องแสดงให้เห็นผ่านวิธีการทำเกษตรกรรม การวางแผนปลูกพืช การจำแนกดิน การปลูกข้าว ตลอดจนการตัดและเผาไม้ โดยที่ในการเลือกพื้นที่ปลูกข้าวนั้น ชาวบ้านจะเลือกที่ดินที่มีดินสีดำ และมีต้นไผ่ซึ่งใบมีสีเขียวขึ้น เพราะการที่ต้นไผ่มีใบเขียวแสดงว่าดินมีความชุ่มชื้น ส่วนพื้นที่ที่มีต้นหวายขึ้นก็นับว่ามีความชุ่มชื้นสูงซึ่งเหมาะสมในการปลูกข้าวเช่นกัน แต่ชุมชนกำหนดไว้ว่าชาวบ้านห้ามตัดไม้ประเภทนี้ ดังนั้น ชาวบ้านจึงเลือกพื้นที่ดินดำ และต้นไผ่ใบเขียวขึ้นมาทำการปลูกข้าว (หน้า 90) แต่นอกจากจะเลือกพื้นที่เพาะปลูกจากดินแล้ว ตัวชี้วัดอีกอย่างหนึ่งของชาวบ้านก็คือการใช้มิติทางวิญญาณ กล่าวคือ หลังจากเลือกแปลงเพาะปลูกแล้ว ชาวบ้านจะดูว่าตนเองฝันเห็นอะไร เพื่อที่จะนำมาแปลความหมายเป็นคำแนะนำของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากฝันเห็นเลือด ไฟ หรือการต่อสู้ที่เกิดจากสัตว์ป่าก็แปลความหมายได้ว่าจะโชคร้าย หากฝันเห็นเพื่อน น้ำ เด็กมะก่อง ก็แปลได้ว่าจะโชคดี อย่างไรก็ดี ก่อนเริ่มปลูกพืชนั้น ชาวบ้านจะทำพิธีกรรมเพื่อขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนเพื่อขอสิทธิ์ในการใช้ที่ดินในการเพาะปลูก (หน้า 91) ส่วนในขั้นตอนของการตัด และเผาต้นไม้ก่อนที่จะเริ่มทำการเพาะปลูกนั้น ชาวบ้านจะทำกันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม โดยจะเริ่มตัดไม้จากที่ต่ำขึ้นไปยังที่สูง และตัดต้นไม้เล็กก่อนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งต้นไม้ทั้งหมดที่ถูกตัด ชาวบ้านจะปล่อยให้แห้งก่อนที่จะเผา อันถือเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเผาไม้ หลังจากต้นไม้เริ่มแห้งแล้ว ชาวบ้านจะเลือกฤกษ์วันซึ่งเหมาะสมที่จะเผาที่ดิน โดยการเผาแปลงที่จะเพาะปลูกของตนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ชาวบ้านจะกันพื้นที่ขนาดกว้างสิบเมตรมาใช้เป็นแนวกันไฟ เพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุดอันอาจเกิดขึ้นจากไฟป่า นอกจากนั้น จะต้องทำการบอกกล่าวชาวบ้านคนอื่น ๆ ไม่ให้เข้าไปในพื้นที่นั้น เพราะอาจเกิดอันตรายได้ (หน้า 91-92) เมื่อได้เวลาที่เริ่มปลูกข้าวแล้ว ชายมะก่องจะนำแท่งไม้ไผ่เจาะรูในดิน ส่วนฝ่ายหญิงก็จะนำเมล็ดพันธุ์ข้าวหยอดลงในหลุมและกลบ ทั้งนี้ ข้าวดอย หรือข้าวที่ปลูกบนพื้นที่ราบสูง(Upland Rice) ถือเป็นพันธุ์ข้าวหลักของชุมชนมะก่อง ซึ่งการปลูกข้าวประเภทนี้จะประสบความสำเร็จได้ก็ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพอากาศ ความเพียงพอของน้ำ และจังหวะเวลาในการปลูกพันธุ์ข้าวดอยแต่ละชนิด ทั้งนี้ แต่ละครัวเรือนจะต้องประมาณอัตรากำลังแรงงาน รวมทั้งคำนวณช่วงเวลาในการหว่านเมล็ดพันธุ์ และการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสม มิฉะนั้น การเกษตรอาจไม่ได้ผลดี อย่างไรก็ตาม หากครัวเรือนใดมีที่ดินมาก ก็อาจแบ่งที่ดินออกเป็นหลายแปลง และปลูกข้าวในแปลงต่าง ๆ ไล่กันไปเป็นช่วง ๆ โดยแปลงแรกจะเริ่มปลูกในเดือนเมษายน แต่การปลูกแปลงแรก ๆ อาจได้ผลผลิตไม่มาก ดังนั้น ชาวบ้านจึงแบ่งแปลงนามาปลูกข้าวในช่วงแรกน้อยหน่อย ส่วนการปลูกข้าวในแปลงหลัง ๆ จะเริ่มในช่วงเดือนพฤษภาคม จากนั้นจะเก็บเกี่ยวในราวกลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน (หน้า 93) ในช่วงตั้งแต่ปี 1998 ที่รัฐมีนโยบายให้ชาวบ้านทำการเกษตรอย่างเป็นหลักแหล่ง ส่งผลให้พวกเขาถูกจำกัดพื้นที่ในการเพาะปลูก จึงพยายามหาข้าวพันธุ์ใหม่ที่สามารถให้ผลผลิตสูงมาทดลองปลูก โดยมีครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านคารูงได้พันธุ์ข้าวมาจากจังหวัดดักลัก (Daklak) จากการไปเยี่ยมญาติของตน เมื่อนำข้าวพันธุ์ใหม่นี้มาทดลองปลูก ปรากฎว่าการเกี่ยวข้าวในปี 2004 ได้ผลผลิตมากกว่าปี 2003 ในขณะที่ครอบครัวอื่นที่ยังไม่ได้ทดลองปลูกข้าวพันธุ์ใหม่นี้ ต้องกินมันสำปะหลังแทนข้าวเพราะผลผลิตที่ได้จากการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองเท่านั้นไม่เพียงพอต่อการรับประทาน (หน้า 143-144) ขณะเดียวกันพืชพันธุ์อื่น ๆ นอกจากข้าวก็มีความหลากหลาย เนื่องจากชุมชนมะก่องปลูกทั้งเผือก ข้าวโพด มะเขือยาว มะเขือพวง มันสำปะหลัง และถั่ว โดยที่ข้าวโพดและมันสำปะหลังจัดเป็นพืชที่ชาวบ้านปลูกสำรองเผื่อไว้ในช่วงที่อาจขาดแคลนข้าว และเอาไว้เลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้ แรกเริ่มเดิมที่แล้วนั้น ชาวบ้านก็ยังไม่รู้จักพืชพันธุ์พวกนี้ แต่เป็นเพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐมาแนะนำให้ปลูก ชาวบ้านจึงทดลองและขยายจำนวนที่ปลูกในเวลาต่อมา แต่ก็ไม่ได้บุกเบิกพื้นที่เพื่อขยายในการปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ไปยังบริเวณพื้นที่ใหม่ ๆ เพราะชาวบ้านยังคงใช้ที่ดินรอบ ๆ แปลงนาเท่านั้นมาปลูกพืชเหล่านี้ อย่างไรก็ดี ที่ดินแต่ละแปลงหากมีความอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็จะใช้ที่ดินนั้น ๆ อยู่เพียง 2-3 ปี หากเป็นแปลงที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ก็ใช้อยู่เพียงปีเดียว หลังจากนั้นก็จะปล่อยทิ้งไว้ 7-15 ปี เพื่อให้ดินกลับคืนความอุดมสมบูรณ์ และเพื่อให้คืนสภาพความเป็นป่ากลับมาใหม่ (หน้า 94) นอกจากนั้น ชาวบ้านยังมีการปลูกพืชเศรษฐกิจ อันได้แก่ ต้นหวาย ต้นไผ่ เห็ด ว่าน และต้นกระวาน รวมทั้งการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับป่าก็คือการเก็บน้ำผึ้ง และเลี้ยงสัตว์ เหล่านี้ล้วนเป็นรายได้หลักของชาวบ้าน ดังนั้น ชาวบ้านไม่ได้พึ่งป่าแค่เพียงการเป็นแหล่งอาหาร และการนำไม้มาสร้างบ้านเท่านั้น แต่ยังใช้ป่าเป็นฐานทรัพยากรในการค้าซึ่งเป็นการเชื่อมต่อความ สัมพันธ์กับสังคมภายนอกด้วย ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ช่วงฝรั่งเศสเข้ามายึดครองนั้น ชาวบ้านจะเก็บลูกกระวานไปแลกเป็นเกลือ และสินค้าอื่น ๆ กับคนบนพื้นราบ (หน้า 148) ขณะที่หวายก็เป็นพืชที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้มากเช่นกัน แต่ในระยะหลังหวายเริ่มหาได้ยากขึ้น อีกทั้งราคาหวายในตลาดก็ต่ำลง ดังนั้นอำนาจทางการตลาดจึงตกอยู่กับพ่อค้า ในปี 2000 พ่อค้าจากพื้นราบเดินทางมาซื้อต้นหวายในช่วงที่ชาวบ้านกำลังปลูกข้าว จึงทำให้หลายครอบครัวมัวแต่ใช้เวลาอยู่กับหวาย ไม่มีเวลาไปปลูกข้าว ผลก็คือชาวบ้านไม่มีข้าวกิน ในปี 2004 พ่อค้าก็เข้ามาซื้อหวายอีก แต่ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มปรับตัวโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับหวายอีก หันไปปลูกข้าวเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำมา (หน้า 149) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเมื่อมีความเติบโตในธุรกิจท่องเที่ยวถ้ำในอุทยานฟงญา กล้วยไม้ป่ากลายเป็นพืชที่ได้รับความนิยม จึงมีการสร้างรายได้ด้วยเก็บกล้วยไม้ป่าไปขาย แต่กิจกรรมนี้กลายเป็นข้อขัดแย้งที่ชาวบ้านอ้างว่าคนบนพื้นราบเข้ามาตัดต้นไม้ทั้งต้น เพียงเพื่อที่จะเก็บแค่ดอกกล้วยไม้เท่านั้น ในขณะที่ชาวบ้านเก็บกล้วยไม้โดยปีนบันไดหวายขึ้นไปซึ่งไม่ทำให้ต้นไม้เสียหายแต่อย่างใด ฉะนั้น ชาวบ้านจึงมองว่าคนบนพื้นราบเป็นสาเหตุให้ป่าถูกทำลาย (หน้า 150-151) เมื่อเศรษฐกิจระบบตลาดขยายตัวขึ้น ครอบครัวมะก่องในชุมชนทวงแท็ชบางครอบครัวหันมาทำอาชีพค้าขาย (หน้า 153) แม้อาชีพการค้าขายจะยังไม่เป็นที่นิยมในชุมชนมะก่อง แต่เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนมองว่าการค้าขายควรจะขยายตัวมากกว่านี้ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้นกว่า เดิม ดังนั้น จึงดำเนินนโยบายกระตุ้นให้ทั้งชาวบ้าน และคนบนพื้นราบมาทำการค้า โดยเจ้าหน้าที่อนุญาตให้คนบนพื้นราบเข้ามาเปิดร้าน และเก็บเกี่ยวทรัพยากรธรรมชาติได้เทียบเท่ากับชาวบ้านคนหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน เนื่องจากมีกรณีที่หมู่บ้านคูตัน ที่คนบนพื้นราบผู้หนึ่งเข้ามาผลิตไวน์ และทำฟาร์มหมูในหมู่บ้าน อันเป็นกิจกรรมที่สร้างมลพิษ กล่าวคือ กากไวน์ และขี้หมูได้ส่งกลิ่นเหม็น รวมทั้งสิ่งเน่าเสียปฏิกูลดังกล่าวยังไหลไปทั่วทั้งหมู่บ้านในเวลาฝนตก นอกจากนั้น ในช่วงหน้าร้อนชาวบ้านทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว ต้องอพยพหนีออกจากหมู่บ้านไป ซึ่งชาวบ้านได้ต่อว่าเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยให้คนบนพื้นราบเข้ามาอาศัยในหมู่บ้าน (หน้า 155) ในช่วงที่ผู้วิจัยลงพื้นที่ก็มีคนบนพื้นราบหลายคนขออนุญาตเจ้าหน้าที่เพื่อเปิดร้านขายของในชุมชน ซึ่งเมื่อชาวบ้านได้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่อนุญาต ก็เริ่มประชุมกันเพื่อหายับยั้งการเปิดร้านค้าในชุมชน โดยทั่วไปแล้วในการประชุมแต่ละครั้ง ผู้หญิงจะอยู่นิ่งเงียบไม่ค่อยพูดสักเท่าไร แต่ครั้งนี้มีหญิงวัยกลางคนพูดขึ้นว่า หากปล่อยให้คนบนพื้นราบอย่างนายทู(Thu) เข้ามาสร้างร้านค้า อิทธิพลของวิถีชีวิตแบบคนพื้นราบจะทำลายเด็กในชุมชน เนื่องจากเขามีพฤติกรรมที่ชอบเล่นการพนัน อีกทั้งยังมีสัมพันธ์ทางชู้สาวกับหญิงมะก่องอีกหลายคนจนทำให้เกิดการท้องก่อนแต่ง โดยตามประเพณีของมะก่องนั้น ครอบครัวของหญิงที่มีลูกซึ่งไม่มีพ่อจะถูกประณาม และเป็นเรื่องยากมากที่หญิงผู้นั้นจะหาชายที่จะมายอมรับเธอเป็นภรรยาได้ หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ชาวบ้านตกลงว่าไม่ยอมให้ใครมาตั้งร้านค้าในหมู่บ้าน แม้เจ้าหน้าที่จะอนุญาตแล้วก็ตาม เพราะเห็นว่าคนบนพื้นราบไม่เพียงแต่ตักตวง ผลประโยชน์จากทรัพยากรป่าเท่านั้น แต่ยังดูหมิ่นทำลายศีลธรรมอันดีงามของมะก่องด้วย ทั้งนี้ มีสุภาษิตเวียดนามที่กล่าวว่า “กฎหมายของกษัตริย์มีศักดิ์น้อยกว่าสิทธิของชาวบ้าน” ซึ่งจากเรื่องดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าคนมะก่องไม่ได้เป็นคนเฉื่อยชาและโง่เขลาเลย (หน้า 155-156) |
|
Social Organization |
บรู-วันเคียวและมะก่องมีการก่อตั้งหมู่บ้านบนพื้นฐานเครือญาติ โดย หลาย ๆ ครอบครัวในหมู่บ้านมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ทั้งนี้ หมู่บ้านมะก่องแต่ละแห่งจะประกอบไปด้วยตระกูลย่อย ๆ อย่างน้อย 2 ตระกูล ซึ่งตำบลทวงแท็ชมีทั้งหมด 21 ตระกูล อาทิเช่น Muong Ruc Sach Van Kieu Kinh ตระกูลต่าง ๆ ประกอบด้วย 2-3 ครัวเรือน และแต่ละครัวเรือนอาจมีสมาชิกต่างตระกูลกัน ตัวอย่างเช่น ภรรยาเป็นมะก่อง แต่สามีซึ่งไม่ใช่มะก่องอพยพมาทำงานในตำบลทวงแท็ชเป็นเวลานาน และแต่งงานกับหญิงในพื้นที่ ครอบครัวนี้ก็จะนับว่าเป็นสมาชิกของชุมชนมะก่อง เนื่องจากพวกเขามีวิถีชีวิตแบบมะก่อง (หน้า 72-73) ตามวัฒนธรรมมะก่องตระกูลต่าง ๆ จะถูกกำหนดให้มีความรับผิดชอบทางด้านวัฒนธรรมแตกต่างกัน โดยในพิธีตีกลอง(Drum Beating Ceremony) และพิธีกรรมอื่นของชุมชน ตระกูลเซล (Sel) จะมีบทบาทหลักในการจัดงาน และตระกูลคูซอ (Cu Sau) จะเป็นผู้ช่วยให้กับตระกูลเซล ซึ่งตระกูลคูซอนี้เองมีหน้าที่ประกอบพิธีร่วมกับผู้ครองที่ดินซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ หรือที่เรียกว่า “ดุงแซง” (Dung Dzang) เพื่อสื่อสารกับพระเจ้า (หน้า 73) ทั้งนี้ แต่ละตระกูลก็จะมีหัวหน้าเผ่าอันได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อกันมาจากพ่อลงมาสู่ลูกชายคนโต โดยหัวหน้าตระกูลมีบทบาทสำคัญซึ่งเป็นผู้ทำพิธีกรรมก่อนที่สมาชิกในตระกูลจะเริ่มทำการเพาะปลูก ตลอดจนทำหน้าที่บวงสรวงบูชาบรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่ชาวบ้านจะเริ่มบริโภคผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยว (หน้า 74) อย่างไรก็ตาม หากผู้นำตระกูลยังมีอายุไม่มาก พวกเขาจะปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้อาวุโสของหมู่บ้านเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตน และหลักในการทำพิธีกรรม นอกจากผู้นำตระกูลแล้ว โครงสร้างทางสังคมของมะก่องยังมีตำแหน่งโมเจา (Mo Jao) หรือสื่อกลางติดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (Spirit Medium) ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญต่อชีวิตประจำวันของชาวบ้าน เนื่องจากมะก่องต่างเชื่อว่าชีวิตและความตายของพวกเขาถูกกำหนดโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ คือการลงโทษอันเป็นผลจากการสร้างความไม่พอใจให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น เมื่อคนมะก่องเจ็บป่วย พวกเขาจึงต้องการโมเจาซึ่งมีอำนาจสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยรักษาโรคให้ (หน้า 74) นอกจากโมเจาแล้ว มะก่องยังมีซวต วิล(Xuat Vil) หรือผู้นำหมู่บ้าน อันเป็นผู้มีความรู้ทั้งในเรื่องประเพณี วิธีปฏิบัติ และศาสนา ซึ่งถูกเลือกโดยชาวบ้านทุกคน มาทำหน้าที่สั่งการและดำเนินการเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชุมชน อย่างไรก็ดี สังคมมะก่องมีสภาผู้อาวุโสโดยมีสมาชิกมาจากผู้เฒ่าที่มีความรู้ความเข้าใจด้านพิธีปฏิบัติ กฎระเบียบ และประเพณีมะก่อง สภาผู้อาวุโสเป็นฝ่ายที่ช่วยเหลือผู้นำหมู่บ้าน และสั่งสอนชาวบ้านให้มีศีลธรรม และทำกินอย่างมีประสิทธิภาพ สภานี้มีอำนาจปลดผู้นำหมู่บ้านได้หากผู้นำหมู่บ้านขาดความรับผิดชอบ แต่สภาผู้อาวุโสในปัจจุบันได้หมดบทบาทลงไปแล้ว แม้ว่ารัฐจะพยายามจัดการอภิปรายเกี่ยวกับบทบาทความสำคัญของสภาแห่งนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็เป็นองค์กรที่ไม่มีส่วนร่วมในโครงการต่าง ๆ ของรัฐ (หน้า 75) สังคมมะก่องเป็นสังคมที่มีการแบ่งอำนาจเป็นระดับชั้น โดยเพศชายจะมีบทบาทหลักในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครองทั้งในระดับครอบครัว และระดับชุมชน กิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของครอบครัวและชุมชนจะถูกตัดสินใจโดยผู้ชาย ดังนั้น จึงแทบไม่ค่อยเห็นเพศหญิงเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรชุมชน (หน้า 65) แม้ว่าผู้หญิงจะมีความรู้ในเรื่องดิน แต่เพราะเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับผืนดินเป็นประเด็นที่โยงกับพิธีกรรมซึ่งผู้ชายต้องเป็นผู้ปฏิบัติ ฉะนั้น เมื่อมีการเลือกพื้นที่ทำกิน ชายมะก่องจะเป็นฝ่ายที่บูชา และสวดมนต์เพื่อขออนุญาตจากป่าเขา และวิญญาณบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าหญิงมะก่องจะไม่มีบทบาทใด ๆ เลย เพราะอันที่จริงแล้ว มีการแบ่งงานกันทำระหว่างหญิงและชาย ผู้หญิงถูกมอบหมายให้รับผิดชอบงานในบ้าน เช่น เลี้ยงบุตร จัดหาน้ำ และทำอาหาร รวมทั้งยังทำงานในไร่นาเหมือนผู้ชาย อาทิ การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ และการเก็บเกี่ยว (หน้า 65) |
|
Political Organization |
อิทธิพลของระบบการเมืองสมัยใหม่แบบรัฐได้เข้ามาแทนที่สถาบันอำนาจดั้งเดิมของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นดุงแซง ผู้นำเผ่า และผู้เฒ่าผู้แก่ ทั้งนี้เนื่องจากความคิดของชาวบ้านในชุมชนที่เห็นว่างานราชการมีเงินเดือนอย่างมั่นคงทุกเดือน โดยเห็นได้จากการที่หัวหน้าชุมชนพยายามให้ลูกชายขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งราชการต่อจากตน ซึ่งชาวบ้านหลายคนก็ต่อว่าลูกชายของผู้นำคนนี้ว่าเป็นคนขี้เกียจและเป็นนักเรียนเกเรเรียนไม่จบ ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งสนิทสนมกับผู้นำของชุมชน ก็เสนอชื่อลูกสาวของตนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสตรีแม้ว่าลูกสาวมีอายุเพียง 17 ปีก็ตาม (หน้า 156-157) |
|
Belief System |
คนมะก่องมีระบบความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีชีวิต และพลังอำนาจในตัวเอง โดยมนุษย์แต่ละคนจะต้องเคารพต่อธรรมชาติ (หน้า 64) มิฉะนั้น วิญญาณต่าง ๆ จะนำความโชคร้ายมาให้ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวนี้ สามารถควบคุมไม่ให้คนมะก่องใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากจนเกินไป นอกจากนั้น พวกเขาได้สร้างกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่ไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้ และการจัดการป่า อันมีรากฐานความคิดมาจากความเชื่อทางศาสนา พวกเขาใช้จารีตประเพณี และพิธีกรรมดั้งเดิม เช่น พิธีตีกลอง(Drum Beating Ceremony) พิธีหิน(Stone Ceremony) และการบวงสรวงควาย(Buffalo Sacrifice) เพื่อรักษาและสร้างเสริมความเชื่อและเอกภาพของชุมชนเอาไว้ โดยในระดับครัวเรือนนั้น พวกเขาแสดงออกซึ่งความเชื่อผ่านการปฏิบัติพิธีกรรมในช่วงเวลาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงการทำเกษตรกรรม การแต่งงาน และการทำพิธีศพ (หน้า 65) คนมะก่องมีความเชื่อเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โดยคนมะก่องทุกตระกูลเชื่อว่าผืนดินในตำบลทวงแท็ชแต่ดั้งเดิมนั้นเป็นของดุงแซง(Dung Dzang) ใครก็ตามที่จะใช้ที่ดินจะต้องขออนุญาตจากดุงแซงซึ่งเป็นผู้ครองที่ดินเสียก่อน ซึ่งในแต่ละยุคสมัยจนถึงปัจจุบันนั้น ผู้นำของตระกูลหนึ่ง ๆ จะถูกเลือกให้มาดำรงตำแหน่งดุงแซง (หน้า 66) ทั้งนี้ มะก่องเชื่อว่าบุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือ ดุงแซงนี้เอง เนื่องจากเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณอันเป็นตัวแทนที่คอยติดต่อกับพระเจ้า(Dzang) นอกจากนั้น ดุงแซงยังเป็นเจ้าของ และคุ้มครองผืนดินทั้งหมด (หน้า 75) อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนมะก่องเชื่อในเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณในธรรมชาติ ก็คือ ก่อนการล่าสัตว์ พวกเขาต้องสวดมนต์เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และดลบันดาลให้การล่าสัตว์ประสบความสำเร็จโดยได้เหยื่อจำนวนมาก (หน้า77) นอกจากนั้น คนมะก่องยังมีพิธีข้าวใหม่ (New Rice Ritual) ซึ่งกระทำกันหลังช่วงเก็บเกี่ยวข้าว พิธีนี้ปฏิบัติภายในตัวบ้าน โดยหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ปฏิบัติพิธี ซึ่งคนมะก่องได้อธิบายว่า พิธีข้าวใหม่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษ วัตถุประสงค์ของพิธีนี้ก็คือ บวงสรวงข้าวใหม่ให้กับบรรพบุรุษ เพราะเนื่องจากความเชื่อที่ว่า วิถีชีวิตในปัจจุบันนั้นมีความเกี่ยวโยงมาจากห้วงเวลาในอดีตของบรรพบุรุษ ผลผลิตทางการเกษตรก็ล้วนเกิดจากการคุ้มครองดูแลของบรรพบุรุษ ดังนั้น ชาวบ้านจึงควรแสดงความเคารพบูชาด้วยการบวงสรวงอาหารที่ปลูกเสร็จใหม่ ๆ ให้กับบรรพบุรุษ ฉะนั้น ของบวงสรวงจึงไม่ใช่แค่เพียงข้าวใหม่เท่านั้น แต่ยังประกอบด้วย น้ำผึ้ง ข้าวโพด และสัตว์ต่าง ๆ (หน้า 83) กล่าวได้ว่าคนมะก่องมีความเชื่อว่าธรรมชาติทุกสิ่ง ล้วนเกิดจากพระเจ้า วิญญาณ และบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ แต่ความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็ทำให้พวกเขาสามารถสร้างกฎเกณฑ์ที่คงความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ได้ ซึ่งกฎเกณฑ์ทั้งหลายเหล่านี้ต่างบุกเบิกหนทางให้พวกเขาใช้ และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าไม้ได้ (หน้า 84) สำหรับความเชื่อที่เกี่ยวกับเรื่องป่าไม้นั้น คนมะก่องได้จำแนกป่าออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ 1. ป่าศักดิ์สิทธิ์ (Xa Trung Lau) 2. ป่าผี (Trung Cumui) และ 3. ป่าเพื่อการเศรษฐกิจ โดยที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ และป่าผีถือเป็นป่าดั้งเดิมที่คนมะก่องฝังร่างบรรพบุรุษ และเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ ซึ่งผู้ใดรุกล้ำพื้นที่เหล่านี้โดยมิได้รับอนุญาตจากชุมชน จะถูกปรับตามกฎของชุมชน (หน้า 84) นอกจากนั้น ป่าศักดิ์สิทธิ์เป็นป่าซึ่งชุมชนกำหนดไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาตักตวงหาประโยชน์จากทรัพยากรเป็นการส่วนบุคคล เนื่องจากมีไว้สำหรับปฏิบัติพิธีกรรม และกิจกรรมที่เกี่ยวกับประเพณีเท่านั้น (หน้า 85) ขณะที่ป่าเศรษฐกิจเป็นป่าที่แต่ละคนสามารถเข้าไปเผาหรือตัดป่าทำมาหากินได้ ซึ่งผู้ใดเข้าไปจับจองพื้นที่ใดได้ก่อนก็ถือจะสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของพื้นที่นั้น แต่การจะไถคราดเพื่อเริ่มใช้พื้นที่แปลงใด จะต้องทำพิธีกรรมขอเจ้าของที่คนเดิมเสียก่อน ซึ่งของเซ่นไหว้ก็คือไวน์หนึ่งขวด โดยหากเจ้าของที่คนเดิมอนุญาตให้เปลี่ยนกรรมสิทธิ์ถือครองที่ดินไปยังเจ้าของที่คนใหม่ก็จะทำการดื่มไวน์นั้น อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองฝ่ายเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องมีของเซ่นไหว้ใด ๆ (หน้า 86) เมื่อเวลาผ่านไปสภาพความเป็นชุมชนแบบดั้งเดิมของมะก่องก็ถูกนิยามใหม่โดยเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงของสังคม และการแทรกแซงของปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งนโยบายรัฐ ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด และการเข้ามาของคนบนพื้นราบ เดิมที่คนมะก่องมีความเชื่อว่าชีวิตได้รับการปกป้องโดยวิญญาณ และบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ซึ่งจะเห็นได้จากการสวดมนต์ขอความคุ้มครอง การทำพิธีขออนุญาตในการไถหรือเผาที่ดิน ตลอดจนการขอบคุณดวงวิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่พิธีกรรม และความเชื่อดังกล่าวมิได้เป็นสิ่งที่หยุดนิ่งตายตัว หากมีการผันเปลี่ยนตามห้วงเวลาที่หมุนผ่านไป ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะปฏิกิริยาจากความต้องการของชาวบ้านที่ไม่อยากถูกมองจากคนนอกชุมชนว่าเป็นพวกล้าหลัง และไม่พัฒนา ดังจะเห็นได้จากการที่ชาวบ้านมีการเปลี่ยนพิธีกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเกิด และการแต่งงาน เมื่อก่อนนั้นหากแม่เด็กเสียชีวิตภายใน 2 สัปดาห์หลังจากคลอดเด็ก เด็กจะต้องถูกฝังไปพร้อมศพแม่ เนื่องจากคนมะก่องเชื่อว่าเด็กยังต้องการนมแม่อยู่นั่นเอง อีกทั้งแม่ก็ต้องการเด็กให้อยู่กับเธอ ถ้าไม่ฝังร่างเด็กตามความเชื่อแล้ว แม่เด็กจะออกอาละวาดทวงเด็กคืน และจะนำภัยพิบัติสู่ชุมชนโดยรวม ซึ่งความเชื่อแบบนี้ถูกมองจากคนภายนอกชุมชนว่าเป็นเรื่องล้าหลัง เพ้อเจ้อ และไร้มนุษยธรรม ดังนั้น ชาวบ้านจึงปรับเปลี่ยนหลักปฏิบัติเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของโลกภายนอก (หน้า 160) โดยในหมู่บ้านคารูงทารกที่แม่เสียชีวิตได้นำไปเลี้ยงโดยป้า แม้การขาดแม่จะเป็นการเลี้ยงที่ยากลำบากเพราะไม่มีนมแม่ อีกทั้งเด็กเล็กก็ยังไม่โตพอที่จะกินข้าวได้ แต่ป้าของเด็กก็ใช้น้ำผสมน้ำตาลให้กินแทนนม ซึ่งก็โชคดีที่เด็กรอดชีวิตและมีสุขภาพที่ดี โดยป้าได้ให้เหตุผลของการฝืนหลักปฏิบัติเดิมที่ต้องฝังเด็กไปพร้อมแม่ว่าเดี๋ยวนี้เป็นยุคสมัยใหม่แล้ว เราจะต้องทำอะไรแบบใหม่ ประเพณีเก่าที่ล้าหลังก็ยกเลิกไปได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่เด็กป่วย เธอก็ยังนำหมูไปเซ่นไหว้วิญญาณของแม่เด็ก ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็แสดงให้เห็นว่าแม้คนมะก่องจะเปลี่ยนหลักปฏิบัติไปแล้ว แต่ก็ยังเชื่อเรื่องวิญญาณอยู่เหมือนเดิม (หน้า 161) ขณะที่ในเรื่องการแต่งงานนั้น ชาวบ้านก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมเช่นกัน ในอดีตผู้หญิงที่ท้องก่อนแต่งจะถูกตัดสินว่าฝ่าฝืนจารีตที่ดีงาม และดวงวิญญาณบรรพบุรุษของมะก่อง เธอและแฟนของเธอจะไม่ได้รับการยอมรับให้อยู่ในชุมชนต่อไป (หน้า 161) แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงสังคมสมัยใหม่ หลักปฏิบัติก็เปลี่ยนแปลง โดยหญิงสาวมะก่องถูกสังคมกดดันน้อยลงหากเธอมีความสัมพันธ์ก่อนแต่งงานกับคู่รัก หญิงสาวหลายต่อหลายคนในชุมชนมีลูกก่อนแต่งงาน แนวโน้มของหญิงมะก่องที่แต่งงานกับคนบนพื้นราบมีมากขึ้น เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าหากเธอได้แต่งงานกับชายที่มาจากพื้นราบจะทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และทันสมัย อย่างไรก็ดี ชายพื้นราบหลายคนที่มุ่งหน้าสู่ชุมชนมะก่องเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสินค้าในป่า ทำงานก่อสร้าง และทำการค้าขาย ได้ล่วงเกินเอาเปรียบหญิงสาวบริสุทธิ์ เมื่อมีลูกด้วยกันแล้ว ก็ไม่ค่อยได้มาหาครอบครัวของฝ่ายหญิง ซึ่งชาวบ้านจำนวนมากตำหนิพ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่ปล่อยให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ แต่พ่อแม่เห็นว่าฝ่ายชายได้ช่วยเหลือครอบครัวโดยซื้อ และขนส่งวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเป็นจากในตัวเมือง ดังนั้น จึงมิกล้าหยุดยั้งฝ่ายชายในการคบหา และเอาเปรียบจากลูกสาว (หน้า 162) นอกจากนั้น พิธีกรรมการปฏิบัติในระดับชุมชนก็เปลี่ยนไปด้วย โดยเห็นได้จากพิธีตีกลอง ซึ่งในปี 2004 บรรยากาศในพิธีเงียบเหงา มีผู้คนมาร่วมงานน้อยมาก ไม่คึกคักเหมือนปีก่อน ๆ หน้านี้ อีกทั้งชาวบ้านที่มางานก็ไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควร นอกจากนั้น ของเซ่นไหว้ก็น้อยลง ทั้งที่ตามปกติหมู่บ้านหนึ่งจะต้องนำไก่มา 2 ตัว เหล้า 1 ไห และของไหว้อีกมากมาย แต่ในปีนี้รวม 18 หมู่บ้านแล้ว มีไก่แค่เพียง 4 ตัวเท่านั้น (หน้า 163-164) |
|
Education and Socialization |
ชาวบ้านมีภูมิปัญญาหลายอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบ อันได้แก่ ความรู้ในกระบวนการเพาะปลูก เช่น การจำแนกประเภทของดิน การปลูกพืชหมุนเวียน การวางแผนการเพาะปลูกอย่างชาญฉลาดโดยการคิดคำนวณจากสภาพภูมิอากาศ และภูมิประเทศ (หน้า 64) ซึ่งคนมะก่องเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากบรรพบุรุษ และคนเฒ่าคนแก่ และเนื่องจากไม่มีภาษาเขียน พวกเขาจึงเรียนรู้ผ่านการเล่าตำนาน (หน้า 66) คนมะก่องมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวพืชผล และการล่าสัตว์ โดยอาศัยการดูดวงจันทร์ และสภาพภูมิอากาศ พวกเขารู้ช่วงเวลา และวิธีที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น เดือนมีนาคมถึงมิถุนายนตามปฏิทินจันทรคติเป็นช่วงที่เหมาะสมในการเก็บน้ำผึ้ง เพราะเป็นช่วงที่ป่าไม้ต่าง ๆ กำลังผลิบานออกผล ส่วนเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บผลไม้ และต้นไผ่ ขณะที่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคมเหมาะสำหรับการล่าสัตว์ เนื่องจากสัตว์ป่าจะออกหากินกันในช่วงนี้ (หน้า 88) |
|
Health and Medicine |
ชาวบ้านแห่งนี้ประสบภาวะปัญหาด้านความอดอยาก และโภชนาการอย่างร้ายแรง เนื่องจากสภาพผลผลิตที่ตกต่ำ และความล้มเหลวในการเพาะปลูก (หน้า 64) แต่ก็มีพิธีกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ และการแพทย์ โดยคนมะก่องเชื่อว่า ชีวิตของมนุษย์แบ่งเป็นสองส่วน ก็คือ จิต และกาย ถ้าทั้งสองส่วนมีความสมดุลกัน สุขภาพก็จะดีตามไปด้วย แต่ถ้าจิตไม่ทำงานอย่างสอดคล้องกับกาย ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ความเจ็บป่วยเกิดจากวิญญาณ คนมะก่องเชื่อว่าจิตของคนป่วยตกอยู่ใต้อำนาจของดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่าโม เจา (Mo Jao) ทั้งนี้ ผู้วิจัยผ่านประสบการณ์ในการสังเกตการรักษาโรคของเด็กมะก่องคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพิธีผูกวิญญาณ (Soul Tying Ritual) ที่พวกเขาเรียกการรักษาแบบนี้ว่า เลอ บอค ฮอน (Le Buoc Hon) โดยของบวงสรวงประกอบด้วย ไก่ต้ม 1 ตัว ข้าวเหนียว 1 ที่ ไวน์ 1 ไห และด้ายปั่น ระหว่างพิธีการรักษานั้น สมาชิกทุกคนจะนั่งล้อมรอบของบวงสรวง ย่าของเด็กใส่ไม้ไผ่อันเล็ก ๆ และใบพลูลงไปในไหไวน์ อันเป็นการเชิญวิญญาณ หลังจากนั้น นางจะพูดคุยอ้อนวอนดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเรื่องสุขภาพของหลาน จากนั้นพ่อของเด็กก็จะทำแบบเดียวกันอีกครั้ง ต่อจากนั้น พวกเขาก็จะช่วยกันผูกด้ายที่ข้อมือทั้งสองข้างของเด็ก และสมาชิกทุกคน (หน้า 83-84) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มีตำนานเกี่ยวกับพิธีตีกลอง ที่อ้างว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หมู่บ้านต่าง ๆ ของมะก่องประสบภาวะขาดแคลนอาหาร แม้แต่นก และสัตว์ต่าง ๆ ก็ไม่มีอาหารจะกินเช่นกัน โดยในหมู่บ้านหนึ่ง มีหญิงม่ายย่างมันฝรั่งในกระบอกไม้ไผ่อยู่ ซึ่งกลิ่นของมันฝรั่งย่างได้ดึงดูดเหล่านกที่กำลังหิวโหย ทันใดนั้นเอง พวกนกต่างก็พากันมาจิกกินบนกระบอกไม้ไผ่ จึงเกิดเสียงลั่นดังราวกับเสียงตีกลอง เสียงนี้ดังไปถึงพระเจ้า ทำให้ท่านโกรธมากเพราะท่านคิดว่าเธอตั้งใจยั่วโมโหท่าน พระเจ่าจึงลงโทษให้เธอไม่สบาย และชุมชนมะก่องเกิดภาวะขาดอาหาร แต่หลังจากได้รับคำแนะนำจากโมเจาแล้ว หญิงม่ายก็ทำการบวงสรวง และทำการสวดมนต์ขอโทษพระเจ้า พร้อมกับสาบานว่าจะตีกลองเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกรรมในเดือนมกราคมของทุกปี หากเธอหายป่วย และชาวบ้านทุกคนมีชีวิตที่ดี เมื่อพระเจ้าเห็นการแสดงความขอโทษเช่นนี้ จึงยกโทษให้เธอและเสกให้ชุมชนมะก่องมีชีวิตที่ดีกลับคืนดังเดิม ตั้งแต่นั้นมา พิธีตีกลองจึงถูกจัดขึ้นทุกปีเพื่อขอบคุณพระเจ้า (หน้า 80) โดยในพิธีตีกลองนั้น ของบวงสรวงจะประกอบด้วยผลิตผลที่มาจากป่า ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อไก่ ต้นไผ่ ต้นหวาย ข้าว ไวน์ที่หมักจากข้าว ซึ่งคนมะก่องอ้างว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของบวงสรวงที่จำเป็นต้องมี ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกแย่หากว่ามีของบวงสรวงไม่ครบหรือไม่พอ แม้ว่าผลิตผลต่าง ๆ สามารถหาได้จากบนพื้นราบ แต่พวกเขาก็ใช้เพียงผลผลิตจากป่าในชุมชนเท่านั้น (หน้า 80) ทั้งนี้ ดุงแซงซึ่งเป็นชาวบ้านที่ทำหน้าที่ดูแลที่ดินของชุมชนจะเป็นผู้นำในพิธี (หน้า 113) แต่นอกจากพิธีตีกลองจะแสดงให้เห็นถึงการบูชาพระเจ้าและวิญญาณแล้ว คนมะก่องยังปฏิบัติพิธีนี้เพื่อสวดวิงวอนขอให้ได้รับผลิตผลทางการ เกษตรที่ดี รวมทั้งสุขภาพ และภูมิอากาศที่ดีด้วย ซึ่งสิ่งนี้เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้สอนลูกหลานถึงความสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยพวกเขาถือว่าธรรมชาติมีจิตวิญญาณอยู่ในตัว (หน้า 81) มีตำนานเกี่ยวกับการบูชาหิน (Stone Worshipping) ซึ่งความเป็นมาก็คือ การที่คนบนพื้นราบ กับคนมะก่องในสมัยก่อนไม่ได้มีการกำหนดพรมแดนระหว่างกัน อยู่มาวันหนึ่งคนบนพื้นราบก็กล่าวหาว่าคนมะก่องอาศัยรุกล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ของพวกเขา มีความพยายามที่จะขับไล่คนมะก่องออกไปจากพื้นที่นั้น คนบนพื้นราบจึงกำหนดระบบภาษีที่ดิน และบังคับให้คนมะก่องจ่ายภาษี แต่คนมะก่องไม่มีเงินที่จะจ่าย ดังนั้น พวกเขาจึงอพยพไปอาศัยอยู่ในถ้ำ กระนั้นก็ดี พวกคนบนพื้นราบยังตามมาเผาถ้ำอีก แต่บังเอิญโชคเข้าข้างคนมะก่อง เนื่องจากระหว่างเผาถ้ำนั้น เกิดเหตุหินก้อนใหญ่ระเบิดจนกระทั่งทำให้คนบนพื้นราบตาย 7 คน ฉะนั้น คนมะก่องจึงเชื่อว่าหินศักดิ์สิทธิ์ได้ลงโทษคนที่เผาถ้ำ ดังนั้น พวกเขาจึงทำพิธีกรรมการบูชาหินขึ้นทุกปี ณ พื้นที่ที่เกิดเหตุดังกล่าว ซึ่งในยามทำพิธีกรรมนั้น คนบนพื้นราบจะถูกกีดกันไม่ให้อยู่ในบริเวณพิธี เพราะจะทำให้เกิดเหตุอัปมงคลจนพลอยทำให้คนมะก่องโชคร้ายไปด้วย (หน้า 81-82) พิธีบูชาหินจะจัดขึ้นหลังช่วงการปลูกข้าว โดยดุงแซงเป็นผู้นำในพิธี ซึ่งมีความเชื่อว่าหินก้อนใหญ่ที่หมู่บ้านคารูง เป็นบริเวณที่เกิดเหตุระเบิดตามตำนาน ทั้งนี้ ของบวงสรวงประกอบไปด้วย ไก่ 4 ตัว ปลาตัวใหญ่ 4 ตัว และข้าวเหนียวนึ่ง แต่ชาวบ้านก็สามารถนำอาหารอย่างอื่นมาร่วมพิธีด้วยก็ได้ โดยพิธีบูชาหินถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ การไว้อาลัยคนบนพื้นราบที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ และวิงวอนไม่ให้ดวงวิญญาณของพวกเขามาก่อความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน ส่วนที่สองคือ การวิงวอนขอให้วิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้ชาวบ้านมีสุขภาพที่แข็งแรง และได้รับผลผลิตที่ดี ซึ่งจะเห็นได้ว่า พิธีบูชาหินนั้น นอกจากจะแสดงถึงความเชื่อที่มีต่อวิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเน้นย้ำถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยสังเกตได้จากการที่คนมะก่องยังสวดอวยพรให้กับดวงวิญญาณของคนบนพื้นราบทั้ง ๆ ที่สองฝ่ายต่างมีความบาดหมางกัน (หน้า 82) ชาวบ้านมีความเชื่อว่าเสือเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีเรื่องเล่าว่าในปี 1996 มีเสือตัวหนึ่งกินสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านเป็นเหยื่อ และยังกินชาวบ้านอีกหลายคน ดังนั้นทางชุมชน และตำบลจึงประกาศให้รางวัลสำหรับคนที่ตามล่าเสือได้ ปรากฎว่ามีผู้นำชุมชนคนหนึ่งพบเสือตัวนั้น และฆ่าเสือได้สำเร็จ แต่หนึ่งเดือนต่อมานั้น ภรรยาและลูกทั้งสามของเขาล้มป่วยและตาย ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา คนมะก่องจึงมีความเชื่อว่าเสือเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีพลังอำนาจที่จะคอยแก้แค้นผู้ที่ทำร้ายมัน (หน้า 89) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในปี ค.ศ.1979 รัฐบาลเวียดนามได้จัดประเภทชาติพันธุ์ให้มะก่องเป็นกลุ่มย่อยของชาติพันธุ์บรู-วันเคียว (Bru-Van Kieu) ซึ่งการแบ่งแยกตามนี้ยังเป็นข้อถกเถียงกันในบรรดานักวิชาการ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเวียดนามใช้คำว่า “บรู(Bru)” กับชาติพันธุ์ชาวเขากลุ่มต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณหลายจังหวัดในภาคกลางตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศลาว (หน้า 62) ขณะที่ Nguyen Trac Di(1972) กล่าวว่า ชาติพันธุ์ “บรู(Bru)” ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาบริเวณจังหวัดควางตรี(Quang Tri) และทัวเทียน(Thua Thien) ถูกเรียกโดยใช้คำที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น บาโร(Baro), คาโล(Calo), กาโล(Galo), คัว(Khua), มง-เลิง(Muong-Leng), มงกง(Muong Kong, Makong) วันเคียว(Van Kieu), ตาโอย(Ta Oi) เป็นต้น โดยที่ก่อนหน้านั้นบรูเป็นชื่อชาติพันธุ์กลุ่มเล็ก ๆ ในแถบเมืองควงไตร ขณะที่ชาวเขากลุ่มอื่น ๆ จะถูกเรียกว่าวันเคียวและตาโอย แต่ในเวลาต่อมาบรูถูกใช้อย่างกว้างขวางในการกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น มะก่อง และคัว (หน้า 62-63) ส่วน Loc(1984) กล่าวว่าคนมะก่องเองก็มีความคิดที่แตกต่างเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยคนมะก่องบางคนพูดว่า “บรู” เป็นชื่อดั้งเดิมของพวกเขา แต่มะก่องเป็นคำที่คนพื้นราบตั้งให้ ขณะที่ Di(1972) ได้อ้างว่าบรูเป็นชื่อโดยทั่วไปที่ใช้กล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายซึ่งรวมทั้งมะก่องด้วย(หน้า 63) ในปัจจุบันการจัดประเภทชาติพันธุ์ในระดับชาติให้บรู-วันเคียว เป็นคำที่ใช้สำหรับกล่าวถึงกลุ่มชาวเขาชาติพันธุ์หนึ่งที่ใช้ภาษาในตระกูลมอญ-เขมร(Mon-Khmer) ซึ่งรวมไปถึงวันเคียว คัว ไตร และมะก่อง แต่ Trang(1998) มีความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยกล่าวว่าบรู-วันเคียวไม่ได้รวมถึงมะก่อง คัว และไตร แต่เป็นคำที่ใช้แค่เพียงสำหรับเรียกพวกวันเคียวเท่านั้น (หน้า 63) เพราะว่าบรูใช้กล่าวถึงชาวเขาที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนลาวบริเวณภาคกลางของเวียดนามในจังหวัดควางตรี แต่คนมะก่องนั้นอาศัยอยู่ในตำบลทวงแท็ชจังหวัดควงบินฮ์ อย่างไรก็ตาม ชาติพันธุ์บรู-วันเคียวมีประชากร 40,000 คน ขณะที่คนมะก่องมีจำนวนประมาณ 2,000 คน (หน้า 64) ชุมชนมะก่องในตำบลทวงแท็ชนั้น ประกอบด้วยตระกูลเล็ก ๆ 21 ตระกูล ซึ่งมาจากหลายพื้นที่ บางตระกูลอ้างว่าพวกเขามาจากจังหวัดควางตรี (Quang Tri) บางตระกูลอ้างว่าต้นกำเนิดของพวกเขามาจากประเทศไทย และมีบางตระกูลอ้างว่ามาจากประเทศลาว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อมูลที่แตกต่างเกี่ยวกับต้นกำเนิดของแต่ละตระกูล แต่พวกเขาก็ล้วนมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ร่วมกัน มีพิธีกรรม และจารีตเหมือน ๆ กัน โดยพวกเขาต่างร่วมกันทางวัฒนธรรมทั้งทางด้านการใช้และการจัดการป่า การศึกษาของเด็ก องค์กรชุมชน รวมทั้งความเชื่อทางศาสนาและวิญญาณ (หน้า 66) ป่าถือได้ว่าเป็นเขตแดนทางวัฒนธรรมของชุมชนมะก่อง พวกเขารับรู้ประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษผ่านสภาพความเป็นป่าของพวกเขา อีกทั้ง กิจกรรมต่าง ๆ ที่คนมะก่องทำกับป่าไม้นั้น เชื่อมโยงอยู่กับความเชื่อทางจิตวิญญาณด้วย (หน้า 111) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตการตั้งท้องก่อนแต่งงานถือว่าเป็นความประพฤติที่ไม่เหมาะสมซึ่งชาวบ้านไม่ยอมรับกัน แต่นับตั้งแต่ที่มีคนจากที่ราบเข้ามาแทรกแซงโดยการเข้ามาทำธุรกิจในพื้นที่ป่าของหมู่บ้านนั้น การตั้งท้องก่อนแต่งงาน หรือการตั้งท้องโดยที่ไม่มีการแต่งงานได้เกิดขึ้นกับหญิงสาวหลาย ๆ คน (หน้า 14) หลังจากเวียดนามได้รับเอกราช รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับชนกลุ่มน้อย เนื่องจากชนกลุ่มน้อยเป็นเป้าหมายของการพัฒนา และโครงการการจัดการทรัพยากรของรัฐ ซึ่งการแทรกแซงของรัฐมีผลอย่างมากต่อความเป็นอยู่ของพวกเขา (หน้า 97) เนื่องจากตำบลทวงแท็ชเป็นชุมชนพรมแดนที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่ง ชาติฟงญา-แกะบาง ซึ่งชุมชนแห่งนี้อยู่ภายใต้การจัดการดูแลของหน่วยงานรัฐหลายหน่วย อันได้แก่ ตำรวจชายแดน กองกำลังความมั่นคงของตำบล หน่วยทหารของตำบล และหน่วยราชการพัฒนาระดับตำบล โดยที่หน่วยงานเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อชาวบ้านทั้งสิ้น แต่ระดับความมีอิทธิพลก็ขึ้นอยู่กับมุมมองที่หน่วยงานนั้น ๆ มีต่อชุมชน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งทำงานในตำบลทวงแท็ชอ้างอยู่เสมอว่าคนมะก่องมีวัฒนธรรมที่ล้าหลัง และขาดศักยภาพ (หน้า 101) เจ้าหน้าที่รัฐพยายามมุ่งเป้าไปที่หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความล้าหลังของชุมชนมะก่อง แต่พวกเขาใช้มุมมองทางวัฒนธรรมแบบคนบนพื้นราบชาวคินฮ์ (Kinh) มาวิเคราะห์วัฒนธรรมมะก่องซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ภูเขาอันห่างไกล เจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยมองผ่านเลนส์ในฐานะที่ตนเองเป็นคนมะก่องบ้าง เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมคนมะก่องถึงไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ทางการคินฮ์แนะนำ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่รัฐยังมองภาพมะก่องในแง่ลบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากคำกล่าวที่ว่าชายมะก่องเป็นคนขี้เกียจ ขณะที่หญิงมะก่องต้องทำงานหนัก (หน้า 102) การแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องการพยายามให้ชาวบ้านยกเลิกกฎบางอย่างของชุมชนมะก่อง กล่าวคือคนมะก่องมีความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับการแต่งงานอยู่อย่างหนึ่งก็คือ การที่หญิงที่แต่งงานแล้วห้ามร้องเพลง เพราะการร้องเพลงจะเป็นการทำลายความสงบสุขให้กับบรรพบุรุษของฝ่ายสามี ซึ่งก็คือการกระทำที่แสดงถึงการขาดความเคารพ อีกทั้งการที่หญิงแต่งงานแล้วร้องเพลง ยังเป็นการเรียกร้องให้ชายอื่นสนใจตนเองด้วย โดยที่ในกรณีดังกล่าวนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะมีหญิงมะก่องที่ทำงานเป็นหัวหน้าชุมชนร้องเพลงในระหว่างประชุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำให้ถูกกล่าวหาโดยสามีของเธอว่าเธอไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี อันเป็นเหตุให้สามีขอหย่าขาด เนื่องจากรับไม่ได้ที่เธอฝ่าฝืนกฎต้องห้ามของชุมชนมะก่อง แต่หลังจากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แทนที่เจ้าหน้าที่รัฐจะกล่าวขอโทษ แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่ข่มขู่สามี และสั่งปรับในข้อหาที่สามีตบตีภรรยา นอกจากนั้น ยังกล่าวว่าความเชื่อแบบนี้เป็นเรื่องน่าตลก และควรยกเลิกได้แล้ว (หน้า 103) เจ้าหน้าที่รัฐยังมีมุมมองว่าคนมะก่องขาดศักยภาพ ซึ่งตัวอย่างหนึ่งก็คือ การที่พวกเขากล่าวหาว่าดุงแซง (Dung Dzang) เป็นผู้ที่กำลังติดเหล้าเรื้อรัง ดังนั้น จึงขาดความสามารถในการทำพิธีตีกลอง (Drum Beating) ในประเด็นนี้ผู้ทำวิจัยแย้งว่าหากคนมะก่องขาดศักยภาพจริง เหตุใดในสงครามเวียดนามซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ถูกทหารอเมริกันวางระเบิดทุกวัน จนพวกเขาไม่สามารถทำการเกษตร และมีอาหารที่เพียงพอได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถดำเนินพิธีตีกลองได้ในช่วงนั้น (หน้า 104) ในหมู่บ้านคารูงโดยเฉพาะคนมะก่องนั้น ได้รับอิทธิพลจากรัฐทั้งนโยบายชาติพันธุ์ และนโยบายการจัดการป่าไม้ ซึ่งในช่วงทศวรรษ 1960 มีโครงการแทรกแซงโดยรัฐมากมายที่กระทบหมู่บ้านคารูง ในปี 1968 รัฐดำเนินโครงการการปลูกพืชเศรษฐกิจและการทำเกษตรแบบตั้งหลักแหล่ง (Fixed Cultivation and Sedentarization program : FCSP) ซึ่งหมู่บ้านนี้ก็ต้องร่วมโครงการด้วยเพราะถือว่าอยู่ในเขตปกครองของตำบลทวงแท็ช (หน้า 106) ภายใต้โครงการ FCSP นั้น ชาวบ้านก็ต้องช่วยกันปรับตัวในเรื่องการทำเกษตร เนื่องจากโครงการกำหนดให้มีการตั้งสหกรณ์ในทุกหมู่บ้าน เพื่อให้เกษตรกรได้ช่วยเหลือกัน แต่ชาวบ้านแจ้งกับทางการว่ากลไกของสหกรณ์กลับสร้างปัญหาและความขัดแย้งให้แก่พวกเขา เพราะปริมาณข้าวที่จัดสรรให้แก่สมาชิกนั้น ครัวเรือนต่าง ๆ ได้ไม่เท่าเทียมกัน เนื่องจากข้าวส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้นำชุมชนเสียมากกว่า ซึ่งระบบสหกรณ์ดังกล่าวดำเนินการอยู่ได้เพียง 3 ปี ก็มีอันต้องสิ้นสุดลง (หน้า 107) ตั้งแต่ปี 1986 เมื่ออุทยานแห่งชาติฟงญาถูกประกาศให้เป็นเขตป่าสงวนแล้ว ทางจังหวัดได้ออกกฎมากมายเพื่อสนับสนุนการปกป้องดูแลป่า ดังนั้น เจ้าหน้าที่อำเภอจึงดำเนินโครงการลดการทำไร่เลื่อนลอย ในปี 1995 ทางอำเภอเริ่มโครงการให้เงินกู้แก่ชาวบ้าน เพื่อปลูกสวนผลไม้ทดแทนการทำไร่เลื่อนลอย โดยในทางปฏิบัติจริงแล้วการแทรกแซงของรัฐก็ไม่เป็นผลดีต่อชุมชน เพราะชาวบ้านทำสวนผลไม้ไม่สำเร็จ แต่กลับติดหนี้สินกับทางโครงการ เนื่องจากชาวบ้านทำคุ้นเคยในการทำเกษตรแบบนี้ (หน้า 107) ในปี 1998 ทางการมีโครงการปลูกป่าในเขตแดนหมู่บ้านคารูง โดยจ้างคนบนพื้นราบให้มาปลูกต้นไม้ แต่โครงการนี้ก็ล้มเหลวเช่นกัน เพราะชาวบ้านไม่รู้สึกว่าจะต้องดูแลป่าไม่ให้สัตว์ป่าทำลายต้นไม้ที่ปลูกไว้ ทั้งนี้ การที่ชาวบ้านขาดสำนึกการเป็นเจ้าของทรัพยากรป่า ก็อันเนื่องมาจากทางการประกาศชัดเจนว่าป่าเป็นของรัฐไม่ใช่ของชุมชน (หน้า 107-108) ต่อมาในปีเดียวกันนี้เอง รัฐดำเนินโครงการ 135 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาสาธารณูปโภค รวมทั้งชีวิตจิตใจของชนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ภูเขา และชุมชนในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้เกิดการบรรเทาความยากจนและความล้าหลัง ในโครงการนี้มีการสร้างถนน สถานีอนามัย โรงเรียน และที่ทำการชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการแจกวัว แพะ ข้าว ให้แก่ครอบครัวมะก่อง อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าเกิดประโยชน์ต่อชาวบ้านจริงหรือไม่ เพราะสถานีอนามัยยังไม่ได้เปิดทำการแม้ว่าจะสร้างเสร็จเป็นปีแล้ว ห้องเรียนของเด็กก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม อีกทั้งถนนก็ยังสร้างไม่เสร็จ (หน้า 108) สำหรับในเรื่องป่าไม้นั้น ตำรวจชายแดนกับหน่วยงานรัฐระดับอำเภอเป็นสององค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลป่าในตำบลทวงแท็ช แต่ทั้งสององค์กรนี้ รวมทั้งชาวบ้านเองก็ยังสับสนเกี่ยวกับการจัดขอบเขตบริเวณของพื้นที่ป่าสงวนว่ากินพื้นที่เข้าไปในหมู่บ้านใดบ้าง อย่างไรก็ดี ทางการกำหนดว่าห้ามไม่ให้ชาวบ้านตัด หรือเผาต้นไม้ใหญ่ในที่ทำกินของตนเอง หากใครฝ่าฝืน หัวหน้าชุมชนจะถูกปรับเป็นเงิน 200,000 ดอง และระงับการให้เงินเดือน นอกจากนั้น หากผู้ใดทำสัญญากับคนภายนอกชุมชนให้เข้ามาตัดต้นไม้ในเขตป่าสงวนจะต้องถูกปรับ 200,000 ดอง แต่กฎข้อห้ามดังกล่าวก็ไม่สามารถช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่าได้ เพราะคนที่ทำอาชีพตัดไม้ขาย และล่าสัตว์จากพื้นราบก็ยังฝ่าฝืนกฎอยู่ ซึ่งชาวบ้านและทางการก็ไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากคนเหล่านี้มีเป็นร้อยคนทีเดียว (หน้า 109) นโยบายของรัฐได้รวมชุมชนท้องถิ่นเข้าไว้ในแผนการจัดการป่าด้วย ดังนั้น รัฐจึงเสนอแจกข้าวและเงินให้ชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านเลิกทำไร่เลื่อนลอย (Shifting Cultivation) ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐคิดว่าทำให้เกิดการทำลายป่า แต่ที่จริงแล้ว การทำไร่เลื่อนลอยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวบ้านไปเสียแล้ว เพราะ เป็นทั้งความอยู่รอด และจิตวิญญาณ พวกเขาจึงไม่สามารถเลิกได้ (หน้า 112) อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมที่แฝงว่าด้วยความเชื่อทางจิตวิญญาณนั้นเชื่อมโยงอยู่กับกิจกรรมด้านป่าไม้ของชาวบ้าน ดังนั้น รัฐจึงพยายามที่จะแทรกแซงชุมชนด้วยการเปลี่ยนแปลง หรือสร้างนิยามใหม่ให้กับพิธีกรรมของชาวบ้าน เพื่อให้ความคิด และกิจกรรมของชาวบ้านเปลี่ยนไป ด้วยยุทธวิธีแบบเหตุนี้เองที่ส่งผลให้ชาวบ้านเป็นคนชายขอบไป (หน้า 111-112) ในวันที่ชาวบ้านทำพิธีตีกลองกันนั้น เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐเคารพต่อพิธีกรรม ซึ่งทางอำเภอจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนบนพื้นราบซึ่งเป็น คนคินฮ์ (Kinh) เข้าร่วมพิธี ปรากฎว่าพวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องการแสดงให้ทางอำเภอเห็นว่าพวกเขามีอิทธิพลต่อคนมะก่อง จึงพยายามแทรกแซงวุ่นวายในงานพิธี เจ้าหน้าที่ทำถึงขนาดสอนชาวบ้านว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างในพิธี เพราะพวกเขาคิดเข้าใจว่าชาวบ้านไม่มีความสามารถพอที่จะทำพิธีได้สำเร็จ (หน้า 113-114) ก่อนที่จะทำพิธีตีกลองหนึ่งวัน ดุงแซงได้เปิดบ้านพร้อมเหล้า 3 ไห เพื่อต้อนรับเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คนที่เดินทางมาถึง ซึ่งเจ้าหน้าที่คะยั้นคะยอให้ชาวบ้านทุกคนดื่มเหล้าด้วยกัน โดยในสถานการณ์บังคับเช่นนี้ชาวบ้านจึงมิกล้าปฏิเสธ หลังจากการดื่มเหล้าเสร็จสิ้นทำให้ดุงแซงเมาเหล้าเป็นอย่างมาก จนไม่สามารถที่จะตื่นขึ้นมาเริ่มพิธีในเวลา 2 นาฬิกา เพื่อเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบรรพบุรุษได้ (หน้า 114) ด้วยเหตุนี้ ลูก ๆ ของดุงแซงจึงจำเป็นต้องตระเตรียมพิธีกันเอง จนถึงเวลากว่า 1 ทุ่ม พิธีจึงเริ่มขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ที่มาร่วมงานจัดการควบคุมการดำเนินงานในพิธีเสียเอง ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นหน้าที่ของดุงแซง เจ้าหน้าที่ได้ใช้โอกาสในพิธีนี้พูดสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับนโยบายการจัดการป่าของรัฐ และกระตุ้นให้ชาวบ้านร่วมมือกันดูแลป่าโดยหยุดการตัดและเผาไม้ (หน้า 115) จากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐแทรกแซงในพิธีดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบอย่างที่คาดไม่ถึงอยู่หลายอย่าง กล่าวคือ ดุงแซงกลายเป็นผู้ที่ชาวบ้านไม่เชื่อถืออีกต่อไป และครอบครัวของดุงแซงถูกกล่าวหาว่ารับเงินมาจากเจ้าหน้าที่รัฐจึงควรเป็นฝ่ายที่ออกค่าใช้จ่ายในพิธีทั้งหมด นอกจากนี้ ดุงแซงยังกลายเป็นบุคคลที่ติดเหล้าต่อเนื่องไปอีกหลายปี และงานในพิธีปีนั้นก็มีชาวบ้านเข้าร่วมน้อยกว่าปีก่อน ๆ ดังนั้น การที่รัฐเข้ามาแทรกแซงแบบนี้จึงทำให้ประเพณีของชุมชนมะก่องเสื่อมถอยลงไป และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชาวบ้านลดลง อย่างไรก็ดี กระบวนการกลายเป็นชายขอบของคนมะก่องไม่เพียงจะเห็นได้จากในประเด็นของการจัดการป่า และพิธีกรรมเหล่านั้น แต่ยังเห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงไปของสถาบันของชุมชน และศีลธรรมของชาวบ้านอีกด้วย (หน้า 116-117) โดยนอกจากภาพลักษณ์ และความรู้สึกของชาวบ้านที่มีต่อดุงแซงจะเปลี่ยนไปแล้ว บทบาทของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนก็ยังเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เพราะในปัจจุบันคนแก่เป็นเพียงแค่หุ่นในการประชุมหมู่บ้านซึ่งหน่วยงานรัฐเชิญมาร่วมเท่านั้น ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อการพัฒนาชุมชน เนื่องจากรัฐกลายเป็นฝ่ายที่ตัดสินใจแทนชุมชนไปทั้งหมดเสียแล้ว (หน้า 118-119) ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้แตกต่างไปจากในอดีต โดยมีผู้เฒ่ามะก่องคนหนึ่งเล่าว่าช่วงเวลาก่อนที่หน่วยงานรัฐจะเข้ามาในชุมชนนั้น เรื่องต่าง ๆ จะถูกตัดสินใจโดยผู้อาวุโส ดุงแซง และหัวหน้าเผ่า ถึงแม้คนแก่จะไม่มีตำแหน่งที่เป็นทางการใด ๆ ก็ตาม แต่พวกเขามีประสบการณ์ และเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน ดังนั้น จึงมีอำนาจหรืออิทธิพลมากในชุมชน เป็นเหตุให้มีบทบาทสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ปัญหาความขัดแย้ง การสอนเด็กเกี่ยวกับประเพณีของชุมชน การเป็นผู้นำในงานเฉลิมฉลองของพิธีกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงการเป็นสักขีพยานในงานแต่งงาน (หน้า 120) ช่วงหลังสงครามเวียดนามในราวกลางทศวรรษที่ 1980 กฎหมายรัฐเริ่มเข้ามามีบทบาทในชุมชน ส่งผลให้จารีตดั้งเดิมของชาวบ้านไม่ค่อยถูกใช้อย่างเคร่งครัดเหมือนแต่ก่อน ชาวบ้านไม่ค่อยช่วยเหลือเกื้อกูลกันเหมือนเดิม อีกทั้งบทบาทของผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ทั้งนี้ก็เป็นเพราะรัฐมีกฎเกณฑ์จะผู้นำชุมชนจะต้องอ่านออกเขียนได้ ดังนั้น ในปัจจุบันผู้นำจึงกลายเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวเสียเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 121) การแปรสภาพเป็นชายขอบยังเห็นได้จากประเด็นในด้านศีลธรรมด้วย ในยุคปัจจุบันที่ความเป็นเมืองเข้ามามีอิทธิพลต่อชาวบ้านมากขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยปฏิบัติตามคำสั่งสอนของคนแก่แล้ว คนรุ่นใหม่เห็นว่าคนแก่เป็นพวกล้าหลัง และไม่ควรเอาอย่าง นอกจากนั้น ตั้งแต่ที่ชาวบ้านเริ่มรู้จักทำเหล้าที่ผสมจากข้าว คนแก่หลายคนก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป หลายคนติดเหล้า อันเป็นเหตุให้ไม่เป็นที่เคารพของคนรุ่นใหม่ คนแก่บางคนถึงไปขอเงินลูกหลานเพื่อซื้อเหล้ากิน ทำให้สังเกตเห็นได้ว่าปัจจุบันเด็กสามารถนั่งในระดับเดียวกับคนแก่ได้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ (หน้า 122-123) นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละครอบครัวก็เปลี่ยนไปเช่น กัน แต่ก่อนชาวบ้านที่ยากจนกว่ายังสามารถขอกันกินได้ ยังมีการช่วยเหลือกันในยามขาดแคลนแรงงาน ช่วยเหลือกันดูแลเด็ก ฯลฯ แต่ปัจจุบันการขอความช่วยเหลือกันกลายเป็นการถูกมองว่าเป็นตัวถ่วง เป็นอุปสรรค การช่วยเหลือกันกลายเป็นเรื่องที่ต้องมีผลประโยชน์ตอบแทน เช่น ช่วยเหลือโดยมีเงิน แรงงาน เหล้า หรือบุหรี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน (หน้า 123) ในสายตาของชาวบ้านมะก่องนั้น พวกเขามองว่าภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐแตกต่างไปจากเมื่อก่อนที่ประเทศกำลังประสบความยากลำบาก เนื่องจากปัจจุบันเจ้าหน้าที่รัฐทำงานไม่เต็มความรับผิดชอบ และยังใช้อำนาจหน้าที่ทำสิ่งผิดกฎหมายเพื่อตนเอง ผิดแผกไปจากเมื่อก่อนสมัยสงครามเวียดนามที่พวกเขาเป็นกันเองกับชาวบ้าน มีความกระตือรือร้น และมีจิตใจชอบช่วยเหลือ (หน้า 128) ทัศนคติที่เจ้าหน้าที่รัฐหลายคนที่ทำงานไม่เต็มที่ และไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของชาวบ้านที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เกิดช่องว่างระหว่างกันและกัน โดยเฉพาะในกรณีที่พวกเขาลุแก่อำนาจด้วยการทำลายทรัพยากรป่าเพื่อตักตวงประโยชน์ส่วนตัว (หน้า 131-132) นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่รัฐขององค์กรต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ดูแลป่า และความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ยังแก่งแย่งอำนาจกันเองอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจชายแดน เจ้าหน้าที่อุทยาน เจ้าหน้าที่อำเภอและชุมชน ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ตนเองทั้งสิ้น ซึ่งคนมะก่องเห็นว่าตำรวจชายแดนนอกจากจะไม่สามารถสกัดกั้นกลุ่มคนที่เข้ามารุกล้ำทำลายป่าแล้ว พวกเขายังสร้างระบบขึ้นมาเพื่อหาเงินจากกลุ่มคนที่รุกล้ำป่าเหล่านี้ด้วย โดยใครก็ตามที่ต้องการเข้ามาทำงานในเขตชายแดนจะต้องลงทะเบียน และเสียเงินจำนวน 10,000 ดอง ให้กับตำรวจชายแดน บางครั้งอาจจะต้องช่วยตำรวจซ่อมรั้ว ซ่อมบ้าน หรือปลูกพืชผักสวนครัวด้วย อีกทั้งการขนไม้ หรือสิ่งของมีค่าออกจากป่า จะต้องมีการติดสินบนตำรวจ มิฉะนั้นหากตำรวจชายแดนสืบทราบ ของทั้งหมดจะถูกยึด (หน้า 132) ทัศนคติของชาวบ้านเกี่ยวกับการดูแลป่านั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่รัฐเข้ามาจัดการเสียเอง ชาวบ้านหลายคนเห็นว่าการดูแลป่าเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากพวกเขาไม่มีอำนาจ และสิทธิเพียงพอ อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐองค์กรต่าง ๆ มีความขัดแย้งกันเอง เจ้าหน้าที่บางคนใช้อำนาจหน้าที่ร่วมมือกับผู้ลักลอบทำลายป่าเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน (หน้า 141) เจ้าหน้าที่อำเภอก็เป็นเช่นกัน พวกเขาใช้นโยบายรัฐมาหากิน โดยในResettlement Program ซึ่งเป็นโครงการรัฐที่ต้องการย้ายชาวบ้านกลับเข้าไปอาศัยในหมู่บ้านหลังจากที่ชาวบ้านหนีสงครามไปอยู่ตามถ้ำ รัฐมีนโยบายแจกสิ่งของจำเป็นสำหรับชาวบ้าน เช่น อาหาร และสัตว์เลี้ยง แต่เจ้าหน้าที่อำเภอกลับนำข้าวไร้คุณภาพ รวมทั้งวัวแก่ ๆ และขี้โรคมาแจกให้ชาวบ้าน(หน้า 133) ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานก็รังแกชาวบ้านด้วยการริบสัตว์ป่าที่ชาวบ้านล่ามาได้ ไปเป็นสมบัติของตนเอง โดยชาวบ้านที่ชื่อนายเชา(Chau) เล่าว่าเจ้าหน้าที่อุทยานยึดเต่าป่าของพรานที่มาจากพื้นราบ และฆ่าเต่าทิ้งเพื่อเอาส่วนที่เป็นตับเท่านั้น ซึ่งถือเป็นกระทำส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์ การกระทำที่ผิดกฎหมายของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ยังเป็นการทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้ที่จะได้จากการขายสัตว์ป่า เรื่องเล่านี้กระตุ้นเตือนผู้ฟังทุกคนให้ย้อนกลับมาคิดว่าอะไรคือบทบาทที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นผู้พิทักษ์ป่า (หน้า 134) ทางด้านนายดุง(Dung) ซึ่งเป็นนักล่าสัตว์ป่าที่มาจากพื้นราบ อันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชน ได้เล่าให้ฟังว่าป่าไม้ของบริเวณพื้นที่ทวงแท็ชมีการเสื่อมสภาพลงกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยสาเหตุก็คือการตัดไม้ เผาป่า และทำป่าไม้อย่างผิดกฎหมาย และการล่าสัตว์ แต่สาเหตุหลักของการที่ป่าถูกทำลายนั้น มาจากการที่รัฐให้สัมปทานป่าอย่างถูกกฎหมายกับบริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 80 บริษัทเหล่านี้เข้ามาลงทุนสร้างถนนเพื่อพัฒนาการคมนาคมในการขนไม้ โดยที่สามารถตัดไม้ได้หลาย ๆ เอเคอร์ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น (หน้า 137) ถึงแม้นายดุงเองจะเป็นนักล่าสัตว์เถื่อนเช่นกัน แต่เขาสะท้อนให้เห็นว่าวิธีการอนุรักษ์ป่าของรัฐนั้นไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ป่าดีขึ้นเลย เพราะรัฐพยายามหยุดยั้งการตัดป่าอย่างผิดกฎหมาย โดยลงทุนจ้างคนที่จบปริญญาด้านป่าไม้ ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้ไม่มีความรู้ที่ดีพอที่จะเข้าใจวิถีปฏิบัติของชาวบ้านในการดูแลป่า ดังนั้น จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าหน้าที่อุทยาน และเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นคนในชุมชนเอง เพราะชาวบ้านเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับพื้นที่ และป่าของพวกเขา นอกจากนั้น ยังรู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะหยุดยั้งพวกตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย นายดุงได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่มาจากนอกชุมชน ก็ได้แต่ทำงานโดยขี่มอเตอร์ไซด์ไปตามถนนสายหลัก แล้วอย่างนี้จะจับพวกที่ลักลอบทำลายป่าได้อย่างไร?” (หน้า 137) องค์กรของรัฐหน่วยงานต่าง ๆ ได้นำโครงการมากมายเข้าไปปฏิบัติในชุมชนมะก่อง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชีวิตคนมะก่อง แต่คำถามก็คือ โครงการเหล่านี้ได้รับการยอมรับโดยชาวบ้านหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการลงทุนของรัฐไม่สู้มีประสิทธิภาพ และไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้ดั่ง ตัวอย่างเช่น โครงการสนับสนุนให้เกษตรกรตั้งหลักแหล่งในการเพาะปลูก ที่รัฐลงทุนหลายล้านดอง โดยในปี 1999 รัฐจัดให้ชนกลุ่มอาเร็ม(Arem) เข้ามาตั้งหลักแหล่งบริเวณชุมชนทวงแท็ชภายในอุทยานฟงญา-แกะบาง ซึ่งในโครงการนี้รัฐจัดสร้างบ้านหลังคาสังกะสี จัดหาวัตถุสิ่งของมากมายให้แก่พวกเขา ปรากฏว่าชาวบ้านอาเร็มก็ยังกลับไปอยู่ถ้ำ และหมู่บ้านเดิมของพวกเขา แต่ความล้มเหลวของโครงการนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผู้บริหารโครงการเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานแต่อย่างใดเลย กลับส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอคติต่อชนกลุ่มอาเร็ม โดยเจ้าหน้าที่อุทยานระบุว่าพวกนี้เป็นคนล้าหลัง และหากคนล้าหลังพวกนี้ยังอยู่ในป่าแล้ว จะเป็นเรื่องยากในการอนุรักษ์ป่า (หน้า 138-139) ตั้งแต่รัฐดำเนินโครงการจัดการป่าในปี 1998 การปลูกพืชแบบไม่มีหลักแหล่งแน่นอนก็เริ่มลดลงไป ชาวบ้านในทวงแท็ชได้ยอมรับการปลูกพืชแบบหมุนเวียนที่ดินในพื้นที่ประจำของตนเองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงมีปฏิกิริยาปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ โดยพยายามหาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง แม้คนมะก่องจะมีพันธุ์ข้าวที่หลากหลาย แต่พวกเขาก็ทดลองปลูกข้าวโดยใช้พันธุ์ใหม่ที่ได้มาจากชุมชนอื่น ๆ นี่ก็ถือเป็นการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าชาวบ้านไม่มัวแต่รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐดังที่เจ้าหน้าที่หลายคนเข้าใจ (หน้า 143) ปี 1998 นี้เองที่ชาวบ้านเริ่มปลูกกาแฟ ซึ่งนำพันธุ์มาจากจังหวัดดักลัก แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากต้นกาแฟถูกวัวที่เลี้ยงไว้ และสัตว์ป่าทำลายหมด อย่างไรก็ตาม มีชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวว่าเขาจะตั้งต้นปลูกต้นกาแฟอีกรอบหนึ่ง แต่ครั้งนี้จะปลูกต้นหนามล้อมรอบไร่กาแฟ ตัวอย่างนี้พอจะแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านเข้าสู่ระบบตลาด และสร้างสัมพันธ์กับภายนอกชุมชนเรื่อย ๆ (หน้า 144-145) |
|
Map/Illustration |
1. แผนที่แสดงพื้นที่คุ้มครอง(Protected Area) จังหวัดควงบินห์(หน้า 53) 2. แผนที่แสดงเขตอาศัยของชนกลุ่มน้อยในประเทศเวียดนาม (หน้า 67) 3. ตารางแสดงเผ่าต่าง ๆ ของคนมะก่องในชุมชนทวงแท็ช (หน้า 73) 4. แผนภูมิแสดงโครงสร้างทางสังคมในอดีตของคนมะก่อง (หน้า 76) 5. แผนภูมิแสดงโครงสร้างทางสังคมในปัจจุบันของคนมะก่อง (หน้า 76) 6. แผนภูมิแสดงสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าของคนมะก่อง(หน้า 85) 7. ตารางแสดงการจำแนกประเภทดินของคนมะก่อง (หน้า 91) |
|
|