สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การเมือง,สังคม,การอพยพ,พื้นราบ,พะเยา
Author สมจิต สัจสัญญาวุฒิ
Title ปัญหาในการอพยพชาวเขาลงสู่พื้นราบ กรณีศึกษาเผ่าม้ง อำเภอปง จังหวัดพะเยา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 191 Year 2537
Source หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ศึกษาปัญหาข้อดีและข้อเสียของโครงการอพยพม้งไปอยู่ในพื้นที่ราบบ้านขุนกำลัง ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา เพื่อให้ทราบถึงความสำเร็จของโครงการอพยพชาวเขาลงสู่พื้นราบของรัฐบาลว่าการอพยพมาอยู่พื้นที่ราบในที่ดินที่รัฐบาลจัดไว้ให้นั้นจะสามารถหยุดพฤติกรรมการย้ายถิ่น การทำไร่เลื่อนลอย และเพื่อให้ทราบความพอใจในที่อยู่ใหม่ ความคิดเรื่องการย้ายไปตั้งที่อยู่ใหม่ และการผสมกลมกลืนระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบ และอื่นๆ สำหรับการอพยพลงพื้นที่ราบของม้งนั้นเริ่มจาก พ.ศ.2526 ในการศึกษาได้ใช้แบบสัมภาษณ์จำนวน 173 ชุด จากจำนวนม้งทั้งหมด 910 คน จากการศึกษาพบว่า การจัดสรรที่ดินทำกินของรัฐบาลไม่อาจควบคุมให้ม้งอยู่ในพื้นที่ที่จัดสรรไว้ให้ได้ ม้งส่วนหนึ่งอพยพกลับไปปลูกพืชบนภูเขา และที่อยู่ใหม่ต้องใช้ค่าครองชีพมากกว่าที่อยู่เดิม นอกจากนี้ก็ไม่สามารถอยู่อย่างกลมกลืนกับชาวพื้นราบได้เพราะมีวัฒนธรรมประเพณีที่ไม่เหมือนกัน (บทคัดย่อ หน้า จ)

Focus

ศึกษาสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาในการอพยพชาวเขาลงสู่พื้นราบ และข้อดีข้อเสีย รวมทั้งแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมในการอพยพชาวเขาลงสู่พื้นราบ (หน้า 14)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้ง บ้านขุนกำลัง หมู่ 4 ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา (หน้า 16,32) ชนกลุ่มน้อยในไทย แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1 ) ชาวจีน ส่วนใหญ่อพยพมาจากฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน มี 5 กลุ่มได้แก่จีนกวางตุ้ง จีนฮกเกี้ยน จีนแต้จิ๋ว จีนแคะ และจีนไหลหลำ เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเพราะเดินทางมาทำการค้าเริ่มจากสมัยกรุงศรีอยุธยา จากนั้นมาก็เข้าเดินทางเข้าไทยเป็นจำนวนมาก เช่น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2365 มีจำนวน 200,000 คน และ พ.ศ.2498มีจำนวน 2,315,000 คนทุกวันนี้ลูกหลานชาวจีนได้ผสมกลมกลืนจนเป็นคนไทย แต่มีคนจีนที่ยังถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวอยู่ในไทย มีกว่า 241,916 คน (หน้า 34) 2) ชาวญวน กลุ่มที่เข้าเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปัจจุบันได้ผสมกลมกลืนเป็นคนไทยแล้ว ส่วนคนญวนที่เข้ามาในไทยช่วง พ.ศ.2488-2489 เนื่องจากสงครามต่อต้านฝรั่งเศส หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางการได้ควบคุมให้อยู่ใน จังหวัดต่างๆ เช่น หนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร และภาคใต้ สุราษฎร์ธานี พัทลุง และภาคตะวันออกที่ปราจีนบุรี (หน้า 34-35) 3) ชาวเขา อยู่ทางภาคเหนือ อาทิ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ และภาคตะวันตกที่ประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย แม้ว กะเหรี่ยง เย้า มูเซอ ลีซอ อีก้อ ฉิ่น ขมุ ลัวะ และ ผีตองเหลือง มีจำนวนทั้งหมดในไทย 579,239 คน (หน้า 35) 4) จีนฮ่อ อพยพจากมณฑลยูนนาน เริ่มจาก พ.ศ. 2492 หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ปกครองประเทศจีน โดยได้อพยพเข้าไทยเข้าไปพม่า จน พ.ศ.2504 ถูกพม่าโจมตีจึงย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทย จีนฮ่อมี 2 กลุ่มคือ อดีตทหารจีนคณะชาติกองพล 93 และคนจีนจากมณฑลยูนนาน กลุ่มนี้อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย มีประชากร 30,000 คน (หน้า 35) 5) ชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่า ประกอบด้วย มอญ พม่า กะเหรี่ยง คะฉิ่น ไทยใหญ่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่อยู่ในจังหวัดติดกับประเทศพม่า เช่น กาญจนบุรี ตาก เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน มีประชากร 47,000 คนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในไทยมากกว่า 25 ปี จึงอยู่อาศัยปะปนกับประชาชนไทยทั่วไป (หน้า 35) กลุ่มที่หนีการต่อสู้ในพม่า เริ่มจาก พ.ศ.2527 ทางการไทยได้แยกให้อยู่ต่างหาก ไม่ให้รวมอยู่กับคนไทย โดยให้อยู่ในพื้นที่อำเภอสังขละ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอพบพระ อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก กิ่งอำเภอสบเมย อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีประชากร 50,000 คน (หน้า 36) กลุ่มหลบหนีเข้าเมืองมีประชากร 250,000-350,000 คน อยู่ในพื้นที่ต่างๆ เช่น อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อำเภอเมือง จังหวัดระนอง และอำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด เป็นต้น กลุ่มนี้จะอยู่กับนายจ้างตามแหล่งสถานประกอบการต่างๆ (หน้า 36) 6) มุสลิม อยู่ใน 5 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา มีประชากร2,723,000 คนกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยเนื่องจากมีวัฒนธรรมประเพณีไม่เหมือนประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศบางส่วนยังพูดภาษาไทยไม่ได้ (หน้า 36) 7) ผู้อพยพอินโดจีน คือกลุ่มที่หนีภัยสงครามทางการเมืองมาจาก 3 ประเทศคือ นับจากวันที่ 17 เมษายน 2518 เมื่อรัฐบาลกัมพูชาแพ้พ่ายฝ่ายคอมมิวนิสต์, เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2518 เมื่อรัฐบาลเวียดนามในสมัยนั้นแพ้ฝ่าคอมมิวนิสต์และเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะฝ่ายรัฐบาลลาวในสมัยนั้น เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2518 ดังนั้นจึงมีผู้อพยพหนีเข้าไทยเป็นจำนวนมาก นับจาก พ.ศ.2518 - เดือนมีนาคม พ.ศ.2535 กลุ่มนี้เข้ามาในประเทศไทยจำนวน 751,276 คน (หน้า 36) นอกจากนี้ยังมีผู้อพยพอยู่ตามบริเวณเขตแดนไทยกับประเทศกัมพูชา ในศูนย์อพยพ 8 แห่งมีประชากร 373,600 คน นับจากปี พ.ศ.2536 ถึงปัจจุบันทางการไทยได้ส่งผู้อพยพไปประเทศที่สามและประเทศเดิม จนเกือบหมดแล้ว แต่ยังมีคนหลบหนีเข้าเมืองอยู่ในจังหวัดต่างๆ ของไทย จำนวนประมาณ 10,000 คน (หน้า 37)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มี

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มี

Settlement Pattern

จากการศึกษาระบุว่าม้ง 63% มีบ้านหลังเดียวอยู่ในหมู่บ้าน และอีก 37%มีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ทำกิน 1 หลังเป็นอย่างต่ำ, ความคงทนของบ้าน 65.89% บอกว่าบ้านจะอยู่ได้อีกประมาณ 2 ปีก็จะซอมปรับปรุงอีกครั้ง สำหรับบ้านมีมีความมั่นคงอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปีมีจำนวน 95.11% (หน้า 156) และการย้ายมาตั้งบ้านใหม่ พ.ศ. 2526-2527 ม้ง 80.34%ได้สร้างบ้านหลังใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 ครั้ง ม้ง 7.51% บอกว่าไม่เคยสร้างบ้านหลังใหม่และซ่อมบ้าน (หน้า 157)

Demography

ประชากรชาวเขาในไทย มีจำนวน 9 เผ่าอาศัยอยู่ใน 20 จังหวัดมีประชากรทั้งหมด 554,171 คน 95,838 หลังคาเรือน 3,463 หมู่บ้าน (หน้า 6) มีกะเหรี่ยงมากที่สุด จำนวน 275,354คน (49.67%) แม้ว 82,356 คน(14.86%) มูเซอ 59,812คน(10.79%)และน้อยที่สุดคือขมุ มี 7,714 คน(1.39%)(ตารางหน้า 7) ม้ง ม้งบ้านขุนกำลัง หมู่ 4 ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา เป็นชาวเขาที่ย้ายจากดอยมาอยู่ในพื้นที่ราบมี 126 ครอบครัว มีประชากร 910 คน (บทคัดย่อ หน้า ง,32,56) ส่วนประชากรในการศึกษามี 173 คน เป็นผู้ชาย 102 คน (58.95 %) ผู้หญิง 71 คน (41.05%)(ตารางหน้า 60)

Economy

อาชีพ กลุ่มประชากรศึกษามีอาชีพหลักคือเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ (หน้า 149) ซึ่งจากจำนวนทั้งหมด 173 คน แบ่งการทำการเพาะปลูกได้ดังนี้คือ ทำไร่ข้าวโพด 60 คน (34.68%) ไร่ข้าว 55 คน (31.79 %) ไร่ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง 4 คน (2.31 %) เลี้ยงสัตว์เช่น หมู ไก่ 27 คน (15.61 %) ทำไร่ฝ้าย 25 คน (14.45 %) ไร่ขิง 1 คน (0.58%) และไร่กะหล่ำปลี 1 คน (0.58%)(หน้า 64) ที่ดิน จากการศึกษาพบว่าในจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 173 คน มี165 คน (95.40 %)ที่ระบุว่าที่ดินที่ทางการจัดสรรให้นั้นไม่เพียงพอเพราะมีความคับแคบ ส่วนที่มีความเห็นว่าที่ดินเพียงพอมีจำนวน 5 คน (2.89%) และไม่ออกความคิดเห็นอีกจำนวน 3 คน หรือ 1.71% (ตารางหน้า 79) ซึ่งจากการศึกษาเรื่องความเหมาะสมเรื่องที่ดิน ม้ง จำนวน 165 คน เห็นว่าที่ดินที่ทางการจัดสรรให้เป็นที่ดินทำกินนั้นขาดความเหมาะสมในการทำการเกษตร (หน้า 76) สำหรับการใช้ที่ดินนั้นระบุว่า ม้ง 137 คน (79.19%) ได้เข้าไปปลูกพืชทำกินในที่ดินที่ทางการจัดสรรให้ และเข้าทำทำกินในบางส่วนมี 26 คน (15.03%) เข้าไปทำกินบางแห่ง 6 คน (3.47%) และไม่เข้าไปทำกินแต่อย่างใด 4 คน (2.31%) รวมคนที่เข้าไปทำกินในที่ดินของรัฐที่จัดสรรให้ทั้งหมด 169 คน หรือ 97.69% (หน้า 77) สำหรับคนที่ไม่เข้าไปทำกินในที่ดินของรัฐนั้นเห็นที่ที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ถ้าลงทุนเพาะปลูกก็จะใช้ค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก (หน้า 80, 81) ทั้งนี้กลุ่มประชากรศึกษานี้ทางการได้จัดสรรที่ทำกินให้ครอบครัวละ 10 ไร่ และเป็นที่ตั้งที่อยู่อาศัยครอบครัวละ 2 ไร่ ส่วนการศึกษาพบว่าม้ง 89 คน (51.44%) และยังเห็นว่าทางการควรจัดที่ดินให้ 20 ไร่เป็นอย่างน้อย (หน้า 82,164) รายได้ พบว่าในกลุ่มตัวอย่าง 173 คน หลังจากที่ม้งย้ายมาอยู่หมู่บ้านใหม่ ม้ง 63 คน (36.42%) มีรายได้เท่าเดิมแต่มีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่มีรายได้น้อยลงมีจำนวน 47 คน (27.17 %) และมีรายได้เท่าเดิม 15 คน (8.67%)(หน้า 74) เมื่อรวม 3 กลุ่มจะมีจำนวน 72.24% ที่บอกว่ามีค่าใช้จ่ายกว่าอยู่หมู่บ้านเดิม ดังนั้นม้งส่วนมากจึงยากจนกว่าเดิม (หน้า 75,165)

Social Organization

สถานภาพสมรส ในจำนวน 173 คน แต่งงานแล้ว 146 คน(84.44%) เป็นโสด 15 คน(8.7%) เป็นหม้าย 9 คน (5.2%) และหย่า 3 คน(1.7%) (หน้า 62) ส่วนความคิดเห็นเรื่องความถูกต้องตามประเพณีในการแต่งงานระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบพบว่า ม้ง 151 คน(87.29%) บอกว่าการแต่งงานของชาวเขากับชาวพื้นราบ ไม่ถูกต้องตามประเพณีของชาวเขา ซึ่งรายงานระบุว่าจากความคิดเห็นนี้แสดงว่าชาวเขาอาจไม่ชอบในการปฏิบัติเช่นนี้บางครั้งจะทำให้เข้าใจว่าชาวพื้นราบไม่ค่อยให้เกียรติชาวเขา (หน้า 67)

Political Organization

สาเหตุการอพยพม้งลงสู่พื้นราบในจังหวัดพะเยา กรณีการย้ายม้งจากดอยลงมาอยู่พื้นราบสืบเนื่องมาจากปัญหาทางการเมืองระหว่างรัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหรือ ผคท. เพราะในช่วง พ.ศ. 2511 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้เข้ามาตั้งเขตงานในพื้นที่บริเวณรอยต่อของอำเภอปง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา และอำเภอท่าวังผา กิ่งอำเภอบ้านหลวง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ที่ดอยผาจิซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้จำนวนมากเป็นหุบเขาซับซ้อนตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลที่เป็นจุดสูงสุด 1,388 เมตร ในพื้นที่ต่ำสุดมีความสูง 380 เมตร มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน เช่น แม่น้ำสาวที่ไหลไปแม่น้ำคาง ลงไปแม่น้ำควนจนถึงแม่น้ำยม ที่บริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำสาวเป็นที่ตั้งของหลายหมู่บ้านได้แก่ บ้านต่อสู้ บ้านเอกราช บ้านธงแดงและบ้านธงแดงน้อย ซึ่งหมู่บ้านเหล่านี้อยู่ติดต่อกับเทือกเขาดอยผาวัวและดอยผาช้าง ในบริเวณดอยผาจิ มีชื่อเรียกว่า เขตงาน 24/1 โดยมีการทำงาน ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ เช่น อำเภอเชียงคำ อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา และอำเภอท่าวังผา กิ่งอำเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน (หน้า 43) สำหรับศูนย์กลางเขตงานดอยผาจิ ดอยผาช้าง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มีสำนักงานเขตสองดอยน้ำสาว เป็นฐานที่มั่นสำคัญมีกองกำลังประมาณ 350 คน เมื่อ พ.ศ. 2514 เขตงานแห่งนี้ได้ตั้งเขตงานใหม่เรียกว่า เขต 13 และเปลี่ยนชื่อเป็นเขตงาน 7 เมื่อ พ.ศ.2520 โดยตั้งที่มั่นอยู่ทั้งสองฝั่งลำน้ำสาว โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 12 กองเช่น หน่วยทหารหลัก,หน่วยงานมวลชน,หน่วยสื่อสาร,หน่วยพยาบาล,กองทหารหญิง ,หน่วยพิมพ์โฆษณาและอื่นๆ (หน้า 44,45) งานเขตนี้มีมวลชน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มดอยผาจิ มีมวลชน 527 คน อยู่ในหมู่บ้านต่อสู้ บ้านเอกราช บ้านธงแดงและบ้านธงแดงน้อย กลุ่มผาช้าง ประกอบด้วยบ้านลูกไฟ บ้านร่วมใจ บ้านแม่ยัดเหนือและบ้านแม่ยัดใต้ มีมวลชน 492 คน กระทั่งกองกำลังฝ่ายรัฐบาลได้เข้าโจมตีที่ตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ฯในเขตงานดอยผาจิ ในระหว่างวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2525 – 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525 จากการต่อสู้กองกำลังฝ่ายรัฐบาลสามารถยึดฐานที่มั่นบริเวณนี้ได้สำเร็จ และได้ควบคุมตัวมวลชนกลุ่มผาจิ 4 หมู่บ้าน(หน้า 45-46) และมวลชนกลุ่มผาช้างอีก 4 หมู่บ้านเอาไว้ รวมประชากรทั้งหมด 1,019 คน ซึ่งในครั้งนั้นทางรัฐบาลได้เร่งฟื้นฟูและปรับทัศนคติต่างๆ แก่ชาวบ้านในพื้นทีจึงอนุญาตให้กลับไปยังหมู่บ้านเดิมและได้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านกลุ่มผาจิเป็นหมู่บ้านสันติสุข1-4 และกลุ่มผาช้างได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านฉลองกรุง 1-4 (หน้า 47) จากนั้นทางการได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่โดยตัดถนนสายสำคัญเข้าไปในพื้นที่หลายสาย ดำเนินการสำรวจภาวะเศรษฐกิจสังคม การจัดสรรที่ทำกิน แหล่งน้ำ และดำเนินการพัฒนาหมู่บ้านเดิม 2 แห่ง และตั้งหมู่บ้านใหม่ 4 หมู่บ้านๆ ละ 5 ครอบครัว (หน้า 47,48) ในครั้งนั้นรัฐบาลได้มีมติอนุมัติโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงดอยผาจิ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2526 โดยอพยพชาวเขาบ้านฉลองกรุงลงมาอยู่ในพื้นที่ราบไกลจากหมู่บ้านเดิม 25 กิโลเมตรโดยตั้งชื่อว่า ”บ้านขุนกำลัง” และให้ม้งบ้านสันติสุขย้ายลงมาอยู่บริเวณแม่น้ำไกล่จากที่เดิม 3 กิโลเมตร (หน้า 49 แผนผังหน้า 53,54) สำหรับม้งบ้านขุนกำลัง หมู่ 4 ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา ทุกวันนี้ม้งทุกคนในหมู่บ้านได้รับสัญชาติไทย ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว (หน้า 56)

Belief System

ความคิดเห็นเรื่องการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีของชาวเขาในหมู่บ้านใหม่ ของกลุ่มกรณีศึกษา 173คน ระบุว่าคนส่วนใหญ่ 125 คน (72.25%) บอกว่าการประกอบพิธีกรรมทางประเพณีมีความสะดวกเหมือนกับอยู่หมู่บ้านเดิม (หน้า 68)

Education and Socialization

ประชากรกรณีศึกษาแบ่งออกตามระดับการศึกษาได้ดังนี้ ในจำนวนทั้งหมด 173 แบ่งเป็นผู้ไม่จบการศึกษา 115 คน(66.47 %) จบการศึกษาต่ำกว่าระดับชั้นประถม 4 จำนวน 8 คน (4.62%)จบการศึกษาระดับชั้นประถม 4 จำนวน 34 คน (19.65%) จบการศึกษาสูงกว่าระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2 คน(1.16%) (ตารางหน้า 63) สำหรับเปรียบเทียบการศึกษาเล่าเรียนของประชากลุ่มตัวอย่างบอกว่าการศึกษาในหมู่บ้านใหม่ดีกว่าหมู่บ้านเดิม มีจำนวน 168 คน (97.11%) ส่วนคนที่คิดเห็นว่ามีการศึกษาที่ดีเท่ากันมีเพียง 5 คน (2.89%) (หน้า 72)

Health and Medicine

การรักษาพยาบาล ในกลุ่มประชากรศึกษา 173 คนระบุว่ามีม้ง 134 คน (77.46%) การรักษาพยาบาลในหมู่บ้านที่อยู่ใหม่นั้นดีกว่าหมู่บ้านเดิม ส่วนอีก 20 คน (11.56 %)บอกว่าการรักษาที่หมู่บ้านใหม่ไม่ดีเท่าหมู่บ้านเดิมและอีก 19 คน(10.98%) บอกว่าการรักษาพยาบาลดีเท่ากับหมู่บ้านเดิมที่เคยอยู่มาก่อน (หน้า 73)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เจ้าหน้าที่ราชการกับม้ง จากการศึกษาระบุว่า ม้ง 26.59% เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในในพื้นที่ดีเพราะให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทุกด้าน บอกว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยดีเพราะไม่ค่อยเข้าไปบำบัดทุกบำรุงสุข จำนวน 5.20 % บอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ดีเพราะไม่ค่อยเข้าไปแนะนำช่วยเหลือพัฒนามากนักจำนวน11.56% และเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ดีเพราะทำอะไรไม่ต่อเนื่องจริงจัง จำนวน 12.14% รวมทั้งหมดมี 28.90% (หน้า 71) ส่วนความคิดเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ดีเพราะไม่ช่วยอะไร มี 1.16 % บอกว่าไม่ดีเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับประชาชนมีจำนวน 0.58 % (หน้า 70-71) ม้งกับชาวพื้นบ้าน จากการศึกษาระบุว่าม้งกว่า 54.33% บอกว่าการติดต่อสื่อสัมพันธ์ระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบไม่ค่อยดี และบอกว่าการติดต่อสื่อสัมพันธ์ระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบไม่ค่อยดี และคบค้าสมาคมกันไม่ค่อยดีรวมทั้งหมด 85.55% (หน้า 131,157) สาเหตุของการสมาคมระหว่างชาวเขาและชาวพื้นราบไม่ดี เพราะที่ผ่านมาชาวเขารู้สึกว่าถูกหมิ่นแคลน และชาวพื้นราบมักเอาเปรียบอยู่เป็นประจำ เช่นเมื่อชาวเขาไปเยี่ยมชาวพื้นราบหากเลี้ยงเท่าที่มีชาวเขาก็พอใจ แต่ถ้าชาวพื้นราบมาเยี่ยมชาวเขา ชาวเขาก็ต้อนรับเต็มที่ทั้งเหล้าฆ่าไก่หรือเนื้อทำอาหารต้อนรับ การกระทำเช่นนี้จึงทำให้ชาวเขารู้สึกว่าตนเสียเปรียบชาวพื้นราบ (หน้า 167)

Social Cultural and Identity Change

ปัญหาและอุปสรรคในการอพยพชาวเขาลงสู่พื้นราบ แบ่งออกเป็นปัญหาต่างๆ ดังนี้ ปัญหาเศรษฐกิจ เช่นเรื่องที่ดินเพราะพบการปัญหาเรื่องดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ที่ดินไม่พอเพียง ขากแหล่งน้ำ (หน้า 164) โรคศัตรูพืชและโรคระบาดสัตว์ ขาดอาชีพรองเสริมอาชีพหลัก เป็นต้น (หน้า165) ปัญหาการทำลายป่าต้นน้ำเพราะที่ทำกินไม่เพียงพอ ปัญหาลักลอบปลูกฝิ่น ปัญหาด้านการศึกษาคือเมื่อผู้ปกครองออกไปทำงานที่อื่นจึงมีเด็กบางส่วนไปกับผู้ปกครองจึงทำให้ต้องหยุดเล่าเรียนอย่างกระทันหัน ฯลฯ (หน้า 166,167)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง แสดงถึงช่วงระยะเวลาการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา (หน้า 59) แสดงถึงเพศของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า60) อายุ (หน้า 61) สถานภาพการสมรสของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 62) การศึกษา (หน้า 63) อาชีพ (หน้า 64) ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดิน (หน้า 65) ความสำคัญของน้ำกับการตั้งถิ่นฐาน (หน้า 66) การแต่งงานระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 67) การประกอบพิธีกรรมตามจารีตประเพณีของชาวเขา (หน้า 68) ปัญหาอุปสรรคในการประกอบพิธีกรรมตามจารีตประเพณี (หน้า 69) ความคิดเห็นที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา (หน้า 70) การศึกษา,การรักษาพยาบาล,รายได้ของครอบครัวเปรียบเทียบหมู่บ้านปัจจุบันกับหมู่บ้านเดิม (หน้า 72,73,74) ปัญหาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ (หน้า 76) การใช้ที่ดิน (หน้า 77) ความเพียงพอของผลิตทางการเกษตร (หน้า 78) ความเพียงพอของที่ดินทำกิน (หน้า 79) สาเหตุของการไม่สามารถใช้ที่ดิน (หน้า 80) ความคิดเห็นเรื่องที่ดินที่ทางราชการควรจัดสรรให้ (หน้า 82) คุณภาพของที่ดินทำกินเดิมเปรียบเทียบกับที่ดินทำกินใหม่ (หน้า 83) ปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับที่ดินทำกิน (หน้า 84) ความเหมาะสมของที่ดินทำกินในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม (หน้า 85) จำนวนบ้านพักที่ครอบครองของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 87) การใช้บ้านพักอาศัย (หน้า 88) ระยะเวลาการพัก-นอนในที่ดินทำกินของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 89) พื้นที่ทำกิน (หน้า 90) เหตุผลที่ไม่ทำกินหรือทำกินแต่เพียงบางส่วนหรือทำกินแต่เพียงบางแห่ง (หน้า 92) ความเพียงพอหรือไม่เพียงพอของพื้นที่ทำกิน (หน้า 95) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมในการประกอบอาชีพของบริเวณพื้นที่ทำกินที่ทางการจัดสรรให้กับบริเวณพื้นที่ดินทำกินจริงปัจจุบัน (หน้า 97) สภาพพื้นที่ที่เห็นว่าเหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานของชาวเขา (หน้า 100) สภาพภูมิประเทศ,ภูมิอากาศ,สภาพการตลาดที่ต้องการตั้งถิ่นฐาน (หน้า 102,104,106)เหตุผลในการตั้งถิ่นฐานของชาวเขา (หน้า 107) ความรู้สึกในการอพยพลงมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบปัจจุบัน (หน้า 109) ผลผลิตที่ได้เปรียบเทียบระหว่างที่ดินที่ทางการจัดสรรให้กับที่ดินเดิม (หน้า 111) ความคิดเห็นต่อภูมิประเทศ,ภูมิอากาศที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐาน (หน้า 113,115) รายได้ (หน้า 117) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอพยพโยกย้ายของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 120) อาชีพและการตั้งถิ่นฐานในระยะยาว (หน้า 121) จำนวนในการซ่อมแซมบ้านหรือสร้างบ้านใหม่ (หน้า 123,125) ความคิดเห็นเกี่ยวกับความคงทนถาวรของบ้านพัก(หน้า 127) อุปสรรคในการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบ (หน้า 129,131) ความคิดเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบ (หน้า 132) ความคงทนถาวรของบ้านพักกับความคิดที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อื่น (หน้า 133) ความคิดที่จะสร้างบ้านใหม่หรือซ่อมแซมบ้าน (หน้า 134) ความเห็นเกี่ยวกับการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบ (หน้า 136) รายได้ของความครัวเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการอพยพ (หน้า 138) ความคงทนถาวรของบ้านพักกับความคิดที่จะอพยพไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อื่น( หน้า 141) ความคิดที่จะสร้างบ้านใหม่หรือซ่อมแซมบ้าน (หน้า 143) การติดต่อระหว่างชาวเขากับชาวพื้นราบกับความคิดที่จะย้ายไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อื่น (หน้า 146) แผนที่ โครงการพัฒนาพื้นที่ดอยผาจิ (หน้า 50) แผนผัง การจัดพื้นที่เพื่ออยู่อาศัยและเกษตรกรรมจุดที่ 1 บ้านขุนกำลัง (หน้า 53,54)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 04 เม.ย 2556
TAG ม้ง, การเมือง, สังคม, การอพยพ, พื้นราบ, พะเยา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง