สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม พุทธศาสนิกชน การอยู่ร่วมกัน การจัดการทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ภาคใต้ ชายฝั่งตะวันตก ประเทศไทย
Author Ryoko Nishii
Title A Consideration on Cultural Management in a Changing Society of Muslim-Buddhist Co-residence on the West Cost of Southern Thailand
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 14 Year 2537
Source ไม่ระบุ
Abstract

การศึกษานี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษและลูกหลานในรูปแบบความเชื่อของผีบรรพบุรุษ คือ ความเชื่อเรื่องตายายในท้องถิ่นภาคใต้ของไทย ซึ่งกรณีศึกษาเป็นหมู่บ้านประมงที่มีชาวพุทธและมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกันทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของภาคใต้ การศึกษาพบว่าประชากรในหมู่บ้านมีโครงสร้างทางสังคมแบบเครือญาติที่มาจากรากเดียวกัน (Cognatic Kinship) จากการแต่งงานกันระหว่างคนต่างศาสนา ความผูกพันในระบบเครือญาติได้ทำให้เกิดรูปแบบ และมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานะการณ์ อย่างไรก็ตามความไม่ชัดเจนของการมีอยู่ของบรรพบุรุษ “genealogical amnesia” ความคุ้นเคยกับบรรพบุรุษที่เป็นการเฉพาะในแต่ละคน จากการศึกษา มักมีได้ไม่เกิน 4 ชั่วคน เป็นส่วนให้เกิดความเชื่อ “ตายาย” ที่หมายถึงบรรพบุรุษร่วมกันโดยทั่วไป ผู้ศึกษาได้สรุปกรอบแนวคิดลักษณะของบรรพบุรุษในภาคใต้ของไทย ดังนี้ 1) บรรพบุรุษ โดยทั่วไปไม่ได้สัมพันธ์กันโดยตรงกับการสืบทอดทางวงศ์สกุลใดโดยเฉพาะ 2) ลูกหลานรับสืบทอดพิธีกรรม ที่เป็นการปฏิบัติในคนรุ่นก่อนๆ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษและ ลูกหลาน เป็นการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ในลักษณะต่างตอบแทน จากกระบวน การบน (bon) และ แก้บน (k ee bon) (หน้า 8) ดังนั้น “ตายาย” ในสังคมดังกล่าวไม่ได้สัมพันธ์กันโดยการสืบทอดทางวงศ์สกุล หรือไม่มีความสัมพันธ์ระบบเครือญาติแต่รูปแบบดังกล่าวเป็นการแสดงถึงพลังอำนาจของวิญญาณบรรพบุรุษที่จะปกป้องลูกหลานให้ดำรงชีวิตอย่างปกติสุขผ่านระบบการต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน บนความสัมพันธ์นี้ ได้แก่ การร้องขอ หรือ การบนบาน วิญญาณบรรพบุรุษ และมีการแก้บน ตอบแทนจากลูกหลาน (หน้า 12) ในหลายรูปแบบ ได้แก่ การทำพิธีไหว้ตายายเป็นประจำทุกปีในเดือน 6 ทางจันทรคติ, การแสดงมโนราห์ ตายาย หรือ มโนราห์โรงครู, การไหว้ครูหมอ, การไหว้ To Naan ที่ถ้ำเขาทะนาน(Thanaan), การที่มุสลิม นิยมนำลูกบวชเณรและบวชชี แก้บน จากความเจ็บป่วยในวัยเด็ก (หน้า 5-10) แม้ว่าพิธีเหล่านี้เป็นประเพณีที่สืบต่อกันมา แต่ก็แสดงความเป็น ”ญาติพี่น้อง” ที่มีความหมายของการมีบรรพบุรุษร่วมกันทั้งพุทธและมุสลิมเป็นความสัมพันธ์ที่มีความยืดหยุ่น และ ความสามารถในการปรับเปลี่ยน ระหว่างคน ที่นับถือศาสนาต่างกัน

Focus

ผู้ศึกษาแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่มีความยืดหยุ่น และ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนระหว่างคนที่นับถือศาสนาต่างกัน แต่มีโครงสร้างทางสังคมแบบเครือญาติที่มาจากรากเดียวกัน (Cognatic Kinship) รวมทั้งพื้นฐานความเชื่อที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของการมีบรรพบุรุษร่วมกันที่อาจทำให้เกิดการจัดการที่ดีกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเคลื่อนย้ายของประชากรท้องถิ่น จากการวิจัยในหลายพื้นที่ ที่ประชากร มุสลิมและพุทธอาศัยร่วมกัน มีการให้ความหมายของความเป็นเครือญาติที่มาจากรากเดียวกันนั้นค่อนข้างมีความยืดหยุ่น เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในกระบวนการเคลื่อนไหวในขอบเขตทางศาสนา รวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นแบบธรรมเนียมจารีตที่เป็นตัวอย่างในการผสมผสานกันระหว่างศาสนา แต่ก็ยังมีความขัดกันอยู่ โดยมีการวิเคราะห์การให้ความหมายของคำว่า “บรรพบุรุษ” (ancestor) ในสังคมดังกล่าว (หน้า 1)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ประชากรที่เป็นมุสลิม และประชากรที่เป็นพุทธที่อาศัยร่วมกันในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในแนวชายฝั่งตะวันตก จังหวัดสตูล

Language and Linguistic Affiliations

สามารถพูดภาษาไทย ภาษาถิ่นภาคใต้, ภาษามาลายู (หน้า 2)

Study Period (Data Collection)

กันยายน-พฤศจิกายน 1994

History of the Group and Community

ได้มีการสันนิษฐานว่าการเข้ามาตั้งรกรากในหมู่บ้านนี้เกิดขึ้น เมื่อมีการเปิดให้ตัดไม้โกงกางในเชิงพาณิชย์ เพื่อการส่งออกไปยังปีนัง เกิดขึ้นหลังปี 1910 โดยเริ่มแรกของการก่อตั้งชุมชน ประชากรมีทั้งผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ กรณีชาวพุทธชายมักแต่งงานกับหญิงมุสลิม ซึ่งตอนหลังหญิงมุสลิมก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ประมาณว่าช่วงปี 1930 ในจำนวน 13 ครัวเรือน ในหมู่บ้านแห่งนี้ มี 3 ครัวเรือนที่นับถือพุทธ และข้อมูลในปี 1988 สนับสนุนว่า มีชาวบ้านที่เป็นมุสลิม ร้อยละ 54 และ ร้อยละ 46 เป็นพุทธ ในช่วงประมาณปี 1945 มีการส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งขึ้นในหมู่บ้านแต่อาชีพดังกล่าวไม่ได้แพร่หลาย จนกระทั่งช่วงปี 1960 จึงกลับมานิยมเลี้ยงกุ้งกันอีก ซึ่งต่อมาเมื่อมีการตัดถนนเส้นแรกเข้าหมู่บ้านในปี 1982 ทำให้ใช้รถยนต์ในการเดินทางซึ่งก่อนหน้านี้ใช้การเดินทางใช้ทางเรือเข้าออกหมู่บ้าน (หน้า 2)

Settlement Pattern

เป็นชุมชนชาวประมงชายฝั่งทะเล มีผู้อาศัยนับถือศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ และมีการแต่งงานระหว่างกลุ่ม ในสมัยก่อนที่จะมีการตัดถนนเส้นแรกเข้ามาในหมู่บ้านในปี 1982 หมู่บ้านนี้ต้องใช้การคมนาคมทางเรือเท่านั้น (หน้า 2)

Demography

ข้อมูลทางสถิติของราชการ จากจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศไทย ร้อยละ 4 เป็น มุสลิม ที่เหลือ ร้อยละ 96 เป็นชาวพุทธ ร้อยละ 76 ของมุสลิม ทั้งหมด อาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้ของไทย และมีประชากรมุสลิม ร้อยละ 60-80 ในแต่ละจังหวัดโดยเฉพาะ 4จังหวัดแถบชายแดน ไทย –มาเลเซีย (หน้า 1) สำหรับในหมู่บ้านมีประชากรมุสลิม ร้อยละ 54 และพุทธ ร้อยละ 46 (หน้า 2)

Economy

เนื่องจากสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านติดชายฝั่งทะเล มีป่าโกงกางขึ้นหนาแน่น ในช่วงแรกของการตั้งชุมชนพบว่ามีการตัดไม้โกงกางส่งออกไปยังปีนัง ในช่วงปลายปี 1980 มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เกษตรกร ที่เคยทำนา หันมาทำ ฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ซึ่งให้ผลตอบแทนดี ทั้งการลงทุนด้วยตนเอง และที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ (หน้า 3) ในปี 1994 นาข้าวส่วนใหญ่ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นบ่อเลี้ยงกุ้ง ในจำนวนนักลงทุนทั้งหมด เป็นมุสลิม 7 ราย ไทยพุทธ 10 ราย แต่หลายคนไม่ประสบความสำเร็จ เช่น นักลงทุนรายหนึ่งเป็นครูหันมาทำนากุ้ง ไม่ประสบผลสำเร็จ ถึงกับก่อหนี้ 2 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับเงินเดือนครู ทั้งหมด 17 ปี

Social Organization

ในหมู่บ้านการแต่งงานกันระหว่าง มุสลิมและพุทธ มีประมาณร้อยละ 20 จากการแต่งงานที่เกิดขึ้นทั้งหมด แสดงให้เห็นว่ามีการแต่งงานข้ามศาสนาในอัตราที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับที่กลันตัน ประเทศมาเลเซีย ในปี 1985 มีเพียง ร้อยละ 3.1 เช่นเดียวกับการแต่งงานที่พบในปัตตานี มีเพียง 2-3 ราย ในปี 1988 พบว่ามีชาวบ้านมุสลิมเฉพาะที่เกิดในหมู่บ้านนี้ ได้เข้าพิธีแต่งาน เป็นผู้ชายร้อยละ 61 และเป็นผู้หญิงร้อยละ 56 สำหรับกรณีชาวพุทธเป็นผู้ชายและผู้หญิงที่เกิดในหมู่บ้านนี้ ร้อยละ 49 และ 39 ตามลำดับ ในจำนวนคู่แต่งงานทั้งหมดพบว่า ผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายเป็นผู้ที่เกิดอยู่ในจังหวัดสตูล มีเพียงร้อยละ 56 แสดงให้เห็นว่ามีการแพร่กระจายตัวของการเคลื่อนย้ายประชากร ภายในเขตดังกล่าวซึ่งเป็นการลื่นไหลของอัตลักษณ์ทางสังคม เกี่ยวกับแนวคิดทางเครือญาติด้วย (หน้า 2) ในปี 1988 คู่แต่งงานจำนวน 159 คู่ หลังการแต่งงานร้อยละ 44 อาศัยอยู่ในท้องถิ่นทางฝ่ายพ่อ ร้อยละ 36 อาศัยอยู่ในท้องถิ่นทางฝ่ายแม่ มีร้อยละ 20 ที่ออกไปหาถิ่นที่อยู่ใหม่ การยอมรับนับถือความเป็นญาติสนิท ไม่ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกหลานที่สืบสายสกุลจากบรรพบุรุษ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ให้ความนับถือกันทั้ง 2 ฝ่าย ที่ตนเองให้ความสัมพันธ์ในบางระดับ (หน้า 3) โดยนัยความหมายของญาติ คือคำว่า ”ญาติพี่น้อง” บางกรณีเป็นญาติและบางกรณีเป็นพี่น้อง การให้ความหมายของ “ญาติ” อ้างตามพจนานุกรมว่า หมายถึง บุคคลที่ตระหนักว่า เป็นญาติไม่ว่าจะเป็นการสืบเชื้อสายทางฝ่ายมารดา หรือ ฝ่ายบิดา “พี่น้อง” หมายถึง พี่ชาย,น้องชาย หรือ พี่สาว, น้องสาว ที่มีพ่อแม่ ร่วมกัน ผู้ศึกษาได้สรุปกรอบแนวคิดลักษณะของบรรพบุรุษ ในภาคใต้ของไทย ดังนี้ 1) บรรพบุรุษ โดยทั่วไปไม่ได้สัมพันธ์กันโดยตรงกับการสืบทอดทางวงศ์สกุลใดโดยเฉพาะ 2) ลูกหลานรับสืบทอดพิธีกรรม ที่เป็นการปฏิบัติในคนรุ่นก่อนๆ 3) ความสัมพันธ์ ระหว่างบรรพบุรุษ และ ลูกหลาน เป็นการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ในลักษณะต่างตอบแทน จากกระบวน การบน (bon) และ แก้บน (k ee bon) (หน้า 8) กรณีการที่มุสลิมบวชแก้บน ผู้ศึกษาพบว่า ในจำนวน 15 ราย มีเพียงที่เป็นชาย บวชเณร ที่เหลือ เป็นหญิงที่บวชชี และในจำนวนดังกล่าวข้างต้น 12 ราย เป็นลูกคนแรกของครอบครัว แม้ว่าหากเป็นกรณีของชาวพุทธ จำนวนผู้หญิง ที่บวชชี มีมากกว่า ร้อยละ 40 และในในจำนวนดังกล่าว มักมีอายุเกินกว่า 10 ปี (หน้า 10)

Political Organization

ปัญหาของประชากรมุสลิมส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนไทย-มาเลเซีย คือประเด็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติ เพราะเหตุที่มีการใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่แตกต่าง โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานี, นราธิวาส, และ ยะลา เป็นประชากรมุสลิมที่พูดมาเลย์ และมีวัฒนธรรมต่างกับ มุสลิม ในจังหวัดสตูล ที่รัฐไทยถือว่าเป็นแบบอย่างของไทยมุสลิม (หน้า 1-2)

Belief System

พิธีกรรมตายาย เป็นความเชื่อต่อการเคารพผีบรรพบุรุษ เป็นการทำบุญอุทิศให้ ตา-ยาย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ตา-ยาย ที่ เป็นพ่อ และแม่ ที่เป็นญาติฝ่ายมารดา แต่หมายถึง บรรพบุรุษ ทั่วๆ ไป พิธีนี้ทำในเดือน 6 ทางจันทรคติ ของทุกปี มีการเซ่นไหว้ วิญญาณด้วยข้าว, ข้าวเหนียวนึ่ง, ไก่ต้ม และ ขนมโค ซึ่งเป็นของหวานทำจากแป้ง และน้ำตาลมะพร้าว มีคำกล่าวเชิญตา-ยาย มารับของเซ่นไหว้ เพื่อให้ปกป้องลูกหลาน จากความเจ็บป่วยต่างๆ หลังจากนั้นอีก 5 นาที ก็ลาของไหว้ และสามารถกินของเหล่านั้นได้ (หน้า 5) พิธีนี้เหมือนกันกับ พิธี To Ne Ne มโนราห์ ซึ่งลูกหลานในครอบครัวนักแสดงมโนราห์จัดขึ้น ที่เคดาห์ (Kedah) จากการศึกษาของ Arcaimbault ในปี 1956 คำว่า To Ne Ne หมายถึง หลาน ในภาษามาเลย์ (หน้า 13) ตายาย มโนราห์ เป็นการแสดงพื้นบ้านที่ได้รับความนิยม และมีเอกลักษณ์ของท้องถิ่นภาคใต้ ซึ่งแฝงความเชื่อ และมีเรื่องของอำนาจเวทมนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นอกเหนือจะมีลักษณะเป็นการแสดงแล้ว ยังเป็นการแสดงเพื่อการแก้บน (หน้า 6) ความรู้ในการรำมโนราห์ ได้ถ่ายทอดไปตามสายสกุลทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ แบบเดียวกับการสืบทอดครูหมอ (Kruu Moo) เป็นการรักษาเยียวยาความเจ็บป่วยที่มีการสืบทอดกันมา โดยเฉพาะกรณีที่เกิดความผิดปกติฉุกเฉินในเด็ก และโรคทางตาบางประเภท เป็นการรักษาที่ใช้อำนาจเวทมนต์ ต่างกันกับ พิธีตา-ยาย ที่เป็นเรื่องการคุ้มครองป้องกันในชีวิตประจำวัน แต่ ครูหมอเป็นการรักษาที่เฉพาะกรณี ที่ต้องอาศัย ทักษะ และความรู้ที่สืบทอดกันมา นอกจาก เวทมนต์ แต่ความเชื่อเรื่องครูหมอ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อในเรื่องตา-ยายด้วย เพราะการรักษาความเจ็บป่วยให้หายก็เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือของบรรพบุรุษด้วย และเมื่อรักษาได้ผล ก็จะมีการตอบแทน ทั่วไป จะเป็นการเซ่นไหว้ด้วยอาหาร ประเพณีการบวชมุสลิมเป็นพระ, สามเณร หรือ แม่ชี ที่วัด เป็นลักษณะพิเศษที่มีการผสมผสานพื้นฐานทางศาสนาในชุมชนนี้ ซึ่งมีสืบต่อกันมากว่า 60 ปี การบวชแบบนี้ เป็นการ ”แก้บน” (kee bon) อย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่ เป็นกรณีที่เด็ก อายุต่ำกว่า 3 ปีลงมา เจ็บป่วย เชื่อว่ามีเหตุมาจากวิญญาณบรรพบุรุษชาวพุทธ พ่อแม่ก็มักบนขอให้หาย แล้วจะบวชแก้บน กรณีนี้มักบวชตอนอายุได้ 10 ปี ส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิงที่บวชเป็นชี ส่วนเด็กชายจะบวชเณร โดยใช้เวลาบวชเพียงวันเดียว การบวชแก้บนในกรณีดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าแต่ละครอบครัวจะทำได้เพียงครั้งเดียว การศึกษาพบว่าส่วนใหญ่ผู้บวชมักเป็นลูกคนแรกของครอบครัว และหากแม่ได้เคยผ่านการบวชมาแล้ว ถือกันว่า เป็น “ตระกูลบวช” (ordained lineage) ทำให้ลูกคนแรกของครอบครัว มักต้องสืบประเพณีการบวชตาม ประเพณีนี้มีแนวคิดเดียวกับ พิธีไหว้ตายาย (หน้า 9-10) และเมื่อพ้นภาวะนักบวชในพุทธศาสนา แล้ว ต้องทำพิธีกลับเข้ามาเป็นมุสลิมต่อไป การตัดขาดจากนับถือเชื้อสายบรรพบุรุษที่เป็นชาวพุทธ ซึ่ง เป็นพิธีที่ทำหลังจากบวชแก้บนแล้ว ต้องทำพิธีเปลี่ยนผ่านภาวะเช่นนั้น (rite of renunciation) มีการเตรียมชุดขาว สำหรับผู้ที่จะเข้าพิธีสละ หมากพลู 9 คำ เงิน 50 บาท พิธีแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก ผู้เข้าพิธีสวมชุดขาวนั่งลงกับพื้น ข้างหน้ามีขันน้ำมีผ้าขาวคลุมปากขัน และมีจานหมากพลูพร้อมเงินวางไว้ข้างตัว ผู้ทำพิธี ซึ่งเป็นผู้อาวุโสคนเดียวในหมู่บ้านที่รู้ขั้นตอนการทำพิธีเพียงคนเดียว และเป็นผู้ทำพิธีมาตลอด 40 ปี (หน้า 10) จะจุดเทียนและสวด “yasin” จากคัมภีร์กุรอ่าน ซึ่งถือว่าเป็นการสวดให้ผู้ตาย จากนั้นก็เอานิ้วจุ่มลงในขันน้ำ ช่วงที่2ให้ผู้เข้าพิธี ไปอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว มากล่าวคำลาพระรัตนตรัย 3 ครั้งว่าไม่ยึดถือเป็นที่พึ่งอีกต่อไป จากนั้นผู้ทำพิธีโยนผ้าขาวและสาดน้ำไปที่ผู้เจ้าพิธี (หน้า 11) “To Naan” เป็นความเชื่อแบบเดียวกันกับความเชื่อเรื่องตายาย เชื่อกันว่า To Naan เป็นมุสลิม และไม่ว่าชาวบ้านที่เป็นพุทธหรือมุสลิมต่างก็เชื่อว่าเป็นลูกหลานของ “To Naan” ดังนั้นชาวบ้านจึงเคารพทั้งในฐานะเป็นบรรพบุรุษและเป็นเจ้าของหมู่บ้าน (หน้า 8) ซึ่งเป็นในลักษณะส่วนรวมระดับหมู่บ้าน ในขณะที่ตายายเป็นเรื่องของแต่ละครอบครัว (หน้า 9) ในปี 1982มีการสร้าง รูปของ To Naan ที่ตั้งถัดจากพระพุทธรูป ในถ้ำ เขาทะนาน (Thanaan or Thanaan Rock) ก่อนหน้าที่จะมีการสร้างรูป To Naan นี้ มุสลิม ก็ได้มีการเซ่นไหว้ ตรงก้อนหินหน้าถ้ำมาก่อน สมัยก่อนคนเดินทางผ่านมาก่อนเข้าหมู่บ้านก็จะต้องไหว้ก่อน ชาวบ้านมักบนบาน To Naan ให้คุ้มครองการเดินทาง การออกเรือ ป้องกันลมพายุหรือช่วยหาเด็กหาย การแก้บนก็มักจะเซ่นไหว้ด้วยข้าวเกรียบปิ้ง (fire-cracker) 5 แผ่น ไก่ต้ม ถ้าแก้บนกรณีเด็กหาย ก็จะเป็นแพะ ต้องไม่แก้บนด้วย เหล้า และ หมู ด้วยเชื่อกันว่า To Naan เป็นวิญญาณบรรพบุรุษมุสลิม และต้องแก้บนเฉพาะวันศุกร์ เท่านั้น ส่วนการบนทำได้ตลอดเวลา (หน้า 9)

Education and Socialization

ความรู้ในการรำมโนราห์ ได้ถ่ายทอดไปตามสายสกุลทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ แบบเดียวกับการสืบทอดความเชื่อใน ตา-ยาย โดยปราศจากเงื่อนไขด้านเพศ หรือลำดับอาวุโสของพี่น้อง (หน้า 7)

Health and Medicine

ครูหมอ (Kruu Moo) เป็นผู้รักษาการเจ็บไข้ กรณีพิเศษ มีลักษณะการรักษาทางเวทมนต์ โดยเชื่อว่า ครูหมอ (Teacher of Doctor) ซึ่งต้องมีการสืบทอดกันมาทั้งในด้านจิตวิญญาณ ศิลปะและทักษะ แบบเดียวกันกับหมอตำแย และผู้มีความรู้ในการรักษาความป่วยไข้ อื่นๆ (หน้า 7) เปรียบเทียบกับความเชื่อใน ตา-ยาย ซึ่งเป็นเรื่องของการได้รับการปกป้องคุ้มครองในชีวิตชาวบ้านปกติประจำวัน แต่ความเชื่อในเรื่องครูหมอ จะมีลักษณะพิเศษจำเพาะกว่า กล่าวคือเป็นความเชื่อในการเยียวยารักษาชาวบ้านในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วย หรือ กรณีที่เด็กป่วยเจ็บ อย่างประหลาด ปัจจุบันทันด่วน หรืออาจเป็นกับโรคที่เกี่ยวกับดวงตา (หน้า 7)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

มโนราห์ เป็นการแสดงพื้นบ้าน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความเชื่อ ในการศึกษากรณีนี้ เรียกว่า “โนราห์ ตา ยาย” เป็นการแสดงเพื่อการตอบแทนหรือแก้บน (Kee bon) อาการเจ็บป่วย จากความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ การแสดงโนราห์ในพิธีไหว้ตา-ยาย ซึ่งมักจัดขึ้น 3วัน 3 คืน ในช่วงเดือน 6 ทางจันทรคติ เรียกว่า “มโนราห์ โรงครู” (Long Khruu) ชุดแต่งกายของนักแสดงมโนราห์ เป็นชุดเหมือนอย่างนกร้อยด้วยลูกปัด (หน้า 6) คำว่า ”โรงครู” นั้นหมายถึงสถานที่แสดงมโนราห์ ที่ปลูกสร้างต่างหาก เป็นลักษณะอย่างห้องโถง (หน้า 13) ในส่วนของการบวชแก้บวช การแต่งกายของนักบวชเหมือนกับพระ,สามเณรและแม่ชี ในศาสนาพุทธนักบวชชายแต่งกายด้วยการนุ่งห่มสบงจีวรสีเหลือง ในขณะที่ นักบวชหญิง (แม่ชี) นุ่งห่มสบงจีวรสีขาว (หน้า 9)

Folklore

มโนราห์ เป็นการแสดงพื้นบ้านที่นิยมในภาคใต้ของไทย และมีพื้นฐานจากนิทานพื้นบ้าน ในการศึกษานี้เป็นการแสดงที่เกี่ยวข้องกับพิธีแก้บนและเกี่ยวข้องกับความเชื่อในเรื่องของผีบรรพบุรุษ เรียกมโนราห์ที่แสดงแก้บนว่า “มโนราห์โรงครู” (Long Khruu) (หน้า 7)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เนื่องจากหมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านที่มีทั้งผู้เป็นมุสลิม และผู้เป็นชาวพุทธอาศัยอยู่รวมกัน นอกจากอัตลักษณ์เฉพาะในแต่ละศาสนาแล้ว ความแตกต่างที่สำคัญของคนมุสลิม ในกรณีนี้ เป็นมุสลิมที่ผสานความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ (ตา-ยาย) ในการประกอบพิธีกรรมในการดำเนินชีวิตด้วย รวมทั้งการพูดภาษาถิ่นไทยใต้ ต่างกับมุสลิมที่อาศัยทางชายฝั่งตะวันออก ในภาคใต้ของไทย ที่พูดภาษามาลายู และมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน (หน้า 1-2)

Social Cultural and Identity Change

ประเพณีความเชื่อของมุสลิม ที่เกี่ยวกับการบวชลูกชายหรือลูกสาว ในศาสนาพุทธ เพื่อแก้บนนั้นขัดกับหลักการทางศาสนาอิสลาม ในแต่ละท้องถิ่นจึงมีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป ในสมัยก่อนพ่อแม่มักให้ลูกคนแรกได้บวช ซึ่งสมัยนั้นไม่มีใครรู้พิธีที่จะตัดขาดจากนับถือเชื้อสายบรรพบุรุษที่เป็นชาวพุทธ จึงเกิดเป็นประเพณีสืบต่อกันมา (หน้า 9) แต่พิธีเช่นว่านั้นก็มีผู้รู้เพียงรายเดียวในหมู่บ้านที่ทำการศึกษา ทำให้มีการปฏิบัติที่ต่างกันออกไปในท้องถิ่นอื่น เช่น ในจังหวัดตรัง การบวชเณร และ บวชชี ไม่ได้ทำพิธีที่วัด โดยก่อนเข้าพิธีสุหนัด (The ritual of circumcision) จะมีการกล่าวบูชาต่อบรรพบุรุษชาวพุทธ ว่า”ขอให้เด็ก มีความสุข ความเจริญ ในอนาคต และเขาจะบวช ตอนอายุ 100ปี” แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านขาดความเข้าใจในเหตุผลของการทำตามประเพณีที่คนรุ่นก่อนปฏิบัติ การปฏิบัติ เช่นว่านี้ กำลัง แพร่กระจายไปยังชุมชนมุสลิมอื่นๆด้วยเพื่อปฏิบัติให้ถูกตามหลักศาสนาอิสลาม (หน้า 11-12)

Other Issues

ไม่ปรากฏ

Map/Illustration

ไม่ปรากฏ

Text Analyst พรนรินทร์ เพิ่มพูล Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG มุสลิม พุทธศาสนิกชน การอยู่ร่วมกัน การจัดการทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ภาคใต้ ชายฝั่งตะวันตก ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง