|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไต,ไทใหญ่,พิธีส่างลอง,จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
Author |
ดนัย สิทธิเจริญ |
Title |
สาระทางการศึกษาในกระบวนการส่างลองของชาวไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
68 |
Year |
2535 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนาหรือวัดกับชุมชนไทใหญ่ จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ไทใหญ่แทบทุกคนจะผ่านการบวชเรียนมาแล้ว โดยเลื่อมใสการบวชเด็กเป็นเณรมากกว่าการอุปสมบทผู้ใหญ่เป็นพระภิกษุเพราะถือว่าการบรรพชาสามเณรมีอานิสงส์มากกว่า งานบวชเด็กเป็นเณรจึงจัดเป็นงานใหญ่เรียกว่า “ปอยส่างลอง” การจัดงานปอยส่างลองที่แม่ฮ่องสอนกระทำราวเดือนมีนาคม – เมษายน มักจัด 3 วัน การส่างลองนับว่ามีความสำคัญต่อการศึกษาของไทใหญ่เนื่องจากเมื่อเด็กอายุ 8 – 9 ขวบ พ่อแม่จะนำไปฝากที่วัดเพื่อศึกษาเล่าเรียน หัดอ่านหนังสือ เรียนรู้ระเบียบวินัยกิริยามารยาท และเรียนรู้วิธีการบวช เพราะสมัยก่อนนั้นโรงเรียนประชาบาลยังไม่แพร่หลายวัดจึงได้กลายเป็นสถานศึกษาพื้นฐานของสังคม และเป็นแหล่งถ่ายทอดวัฒนธรรมของคนในชุมชน แม้ว่าในปัจจุบันกระบวนการส่างลองถูกแทนที่ด้วยระบบการศึกษาตามหลักสูตรที่รัฐกำหนด แต่ส่างลองก็ยังคงเป็นที่นิยมของไทใหญ่เพราะเชื่อว่าผู้ที่ผ่านการเป็นส่างลองและได้บวชเรียนมาแล้วนั้นเป็นผู้ที่ได้รับได้รับการอบรมนิสัยและปลูกฝังคุณธรรมทางพุทธศาสนา เปลี่ยนสภาพจาก “คนดิบ” เป็น “คนสุก” ก้าวสู่วัยผู้ใหญ่พร้อมทั้งที่จะมีครอบครัว ประเพณีส่างลองจึงกลายเป็นประเพณีประจำปีที่สำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน การศึกษาผ่านกระบวนการส่างลองจะมีการอ่านเขียนภาษาไทใหญ่เป็นพื้นฐานควบคู่ไปกับภาษาพม่าหรือภาษาเมือง กระบวนการจัดการศึกษา เทคนิค วิธีสอนจะเป็นแบบเน้นการท่องจำ ครูเป็นศูนย์กลางของการเรียน มีการสอนรายบุคคล ไม่มีหลักสูตรการเรียนที่แน่นอน เพียงแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อ่านเขียนสืบทอดคัมภีร์ศาสนาได้ ในปัจจุบันกระบวนการส่างลองได้เปลี่ยนแปลงไปภายหลังระบบโรงเรียนเข้าถึง ด้วยการสูญเสียเนื้อหาและการเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น แต่สาระการอบรมระเบียบวินัยและความพฤติเมื่อครองตนอยู่ในวัดนั้นยังไม่สูญสิ้นไป การศึกษาระบบวัดที่ยังคงอยู่ในกระบวนการส่างลองจึงเป็นการศึกษาที่มีวิธีและสืบทอดความเชื่อในฐานะเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตามวัฒนธรรมแบบสังคมหมู่บ้านและแบบนิยมด้านความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนพฤติกรรมที่ได้กระทำร่วมกันจนกลายเป็นขนบธรรมเนียม |
|
Focus |
เนื้อหาและกระบวนการทางการศึกษาในกระบวนส่างลอง การเปลี่ยนแปลง และปัจจัยที่มีอิทธิพลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทใหญ่ ชาวพื้นเมืองของแม่ฮ่องสอน ซึ่งเรียกตนเองว่า “คนไต” (หน้า 52) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
แต่เดิมไทใหญ่ในแม่ฮ่องสอนมีภาษาพูดและภาษาเขียนของตนเอง เรียกว่า “ภาษาไต” (หน้า 3) แต่ผู้คนจะรู้ภาษาเขียนน้อย เพราะผู้ที่มีความรู้ในภาษาเขียนเป็นผู้ที่ผ่านระบบการเรียนรู้จากวัด นอกจากนั้นคัมภีร์ทางศาสนาของวัดอาจเป็นภาษาพม่าหรือภาษาเมือง การเรียนรู้ภาษาพม่าหรือภาษาเมืองจึงขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการอ่านคัมภีร์ศาสนาของแต่ละวัด ความจำเป็นในการติดต่อทางการค้ากับพม่ายังเป็นปัจจัยที่ทำให้ ไทใหญ่ต้องเรียนรู้ภาษาพม่า แต่ต่อมาความเป็นในการใช้ภาษาพม่าลดลงเพราะไม่ได้ทำการค้ากับพม่าอีกต่อไป (หน้า 46, 54) และเมื่อแม่ฮ่องสอนเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยอย่างสมบูรณ์ และระบบการศึกษาของรัฐเข้ามา เยาวชนไทใหญ่ต้องเรียนภาษาไทยโดยเฉพาะ ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการห้ามใช้ภาษาท้องถิ่น และห้ามสอนภาษาท้องถิ่น การใช้ภาษาดั้งเดิมจึงเริ่มลดลง และใช้ภาษาไทยมากขึ้น (หน้า 49) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ช่วงปี พ.ศ. 2409 มีสงครามสู้รบระหว่างเมืองหมอกใหม่และเมืองนายซึ่งเป็นเมืองไทใหญ่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า บางส่วนจึงอพยพเข้ามาที่บ้านโป่งหมู (ปางหมู) และบ้านแม่ฮ่องสอน จนหมู่บ้านทั้งสองกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ ต่อมาในปี พ.ศ.2517 เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ประกาศยกฐานะหมู่บ้านแม่ฮ่องสอนเป็นเมืองแม่ฮ่องสอนโดยมีพ่อเมืองแรกชื่อ พระยาสิงหนาทราชา เป็นพ่อเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรกซึ่งรวบรวมผู้คนมาอยู่ด้วยกันมากยิ่งขึ้น และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญขึ้นมาก ในปี พ.ศ.2453 ได้มีการรวมเมืองต่างๆ มาตั้งที่เมืองแม่ฮ่องสอน แล้วเปลี่ยนเป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรกชื่อ พระยาศรสุรราช ในการอพยพแต่แรกมีพระสงฆ์และสามเณรเข้ามาด้วย จึงมีการสร้างที่พักชั่วคราวกลายเป็นกุฏิและมีการสร้างวัดต่างๆ ซึ่งกลายเป็นสถาบันที่สำคัญของสังคม เมื่อเด็กเติบโตรู้ความ ก็จะนำไปฝากวัดให้เข้าประเพณีทางธรรม มีพระอบรมสั่งสอน และให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน (หน้า 26 - 29) |
|
Economy |
ตามวิถีชีวิตเดิม ชาวแม่ฮ่องสอนส่วนใหญ่ทำไร่ทำนา และทำสวน (หน้า 37) แต่มีการค้าขายกับพม่า เพราะการคมนาคนสะดวก ต่อมา พ.ศ. 2507 พม่าเปลี่ยนแปลงการปกครองกลายเป็นเมืองปิด ประกอบกับการสร้างถนนเข้าสู่แม่ฮ่องสอน ผู้คนจึงหันมาทำการค้ากับเชียงใหม่แทน (หน้า 54) |
|
Belief System |
ไทใหญ่ในแม่ฮ่องสอนนับถือศาสนาพุทธและเคร่งครัดในศาสนามาก เห็นได้จากการหยุดงานในวันพระเพื่อไปวัดซึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมายาวนาน อีกทั้งประเพณีต่างๆ ของไทใหญ่มักจะมีเรื่องศาสนาเกี่ยวข้องเสมอ แม้แต่การละเล่นละครที่ไทใหญ่เรียกว่า “จ๊าดไต” ซึ่งร้องเป็นกลอนภาษาไทใหญ่ก็มาจากชาดกหรือนิทานธรรม โดยเฉพาะเรื่องทศชาติ นิยมเล่นในงานใหญ่ๆ เช่น งานประจำปี ไทใหญ่แทบทุกคนผ่านการบวชเรียนมาแล้ว ความเชื่อในเรื่องการบวชของไทใหญ่ถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง แต่เลื่อมใสการบวชเด็กเป็นเณรมากกว่าอุปสมบทผู้ใหญ่ เพราะถือว่ามีอานิสงส์มากกว่า โดยเชื่อว่าถ้าบวชลูกตนเป็นสามเณรมีอานิสงส์ 8 กัลป์ บวชลูกคนอื่นมีอานิสงส์ 4 กัลป์ งานบวชเด็กเป็นเณรเป็นงานใหญ่ที่เรียกว่า “ปอยส่างลอง” จัดราวเดือนมีนาคมถึงเมษายน มีเด็กๆ เข้าบวชพร้อมกันหลายๆ คน แต่ละครั้งมักจัด 3 วัน เมื่อเด็กบวชเป็นเณรจะมีคำนำหน้าเรียกเป็นการย่องย่องว่า “เจ้าส่าง” เมื่อสึกออกมาเรียกว่า “ส่าง” คือ คนที่ผ่านการบวชเป็นสามเณรมาแล้วนั่นเอง (หน้า 31 - 32) |
|
Education and Socialization |
ในอดีตไทใหญ่ในแม่ฮ่องสอนมีการให้การศึกษาในวัดผ่านกระบวนการส่างลอง พ่อแม่จะนำบุตรหลานของตนไปบวชเป็นสามเณรในเรียนกับพระในวัด มีการเรียนอ่านเขียนพม่า หรือภาษาเมือง หรือ ไทใหญ่ ประกอบกับการคิดเลข และสั่งสอนเกี่ยวกับการประพฤติตนให้อยู่ในธรรมวินัยและยึดมั่นในหลักของพระพุทธศาสนา โดยที่ไม่มีการวัดผลเป็นทางการหรือเป็นกลุ่ม เมื่อระบบการศึกษาของรัฐไทยเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 มีการตั้งสถานที่เรียนโดยมีฆราวาสเป็นครูแทนพระ มีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เนื้อหาทางการศึกษาในกระบวนการส่างลองจึงเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีการเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น หมดหน้าที่การฝึกหัดด้านสติปัญญา แต่กระบวนการส่างลองยังคงมีหน้าที่ที่มีต่อสังคมคือสืบทอดความเชื่อในฐานะที่เป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ส่วนการศึกษาของรัฐเป็นหลักสูตรจากส่วนกลาง และใช้ภาษากลางเพื่อใช้สื่อสารถ่ายทอดให้มีวัฒนธรรมทางภาษาร่วมกัน ระบบการศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างคนสู่การประกอบอาชีพ (หน้า 33-39, 47-54) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
แต่เดิมชายไทใหญ่นุ่งกางเกงสีดำหรือสีเทา คล้ายกางเกงของจีน สวมเสื้อคอกลมยาวแบบจีนแต่มีกระเป๋า 4 ใบ ไว้ผมยาวเกล้ามวย ไม่นิยมสวมหมวกแต่ใช้ผ้าโพกศีรษะ เมื่อเดินทางไกลจะสวมหมวกปีกกว้างทับ นิยมสักหมึกตามร่างกาย สีน้ำเงิน แดง เท้ามักสักเป็นยากันงูพิษ ส่วนผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าถุงลายสีต่างๆ ยาวคล่อมข้อเท้า สวมเสื้อเอวลอยแบบหญิงพม่า ไว้ผมเกล้ามวย หญิงสาวนิยมไว้ผมหน้าม้า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมการแต่งกายตามแบบสากลนิยม (หน้า 3) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทใหญ่ในแม่ฮ่องสอนเข้าสู่ระบบการศึกษาของรัฐและการหลอมรวมวัฒนธรรมตามอุดมการณ์การสร้างชาติสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยการใช้ระบบการศึกษาจากส่วนกลางและการใช้ภาษากลางเพื่อให้เกิดการผสมผสานกลมกลืนให้ชาวไทยเผ่าพันธุ์และภาษาต่างๆ มีวัฒนธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (หน้า 51) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนใช้แผนภูมิแสดงภาพเสริมการอธิบายข้อมูล (หน้า 5, 6 ) และใช้แผนที่ย่อยแสดงตำแหน่งที่ตั้งถิ่นที่อยู่และการย้ายถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 27, 29 ) |
|
|