|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไต คนไต ไตโหลง ไตหลวง ไตใหญ่,การแต่งกาย,จิตรกรรมฝาผนัง,เชียงใหม่ |
Author |
ปิยฉัตร อุดมศรี |
Title |
การศึกษาการแต่งกายของชาวไทใหญ่จากจิตรกรรมฝาผนังวัดท่าข้าม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และวัดบวกครกหลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
83 |
Year |
2548 |
Source |
ประกอบวิชา “กระบวนวิชาระเบียบวิธีการวิจัยศิลปะ” ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ. เชียงใหม่ |
Abstract |
การศึกษานี้เป็นรายงานการวิจัยเบื้องต้นที่ใช้กรณีศึกษาจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในวิหารของวัดท่าข้าม ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง และ วัดบวกครกหลวง ในตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการแต่งกายของไทใหญ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผู้ศึกษาได้นำเสนอภูมิหลังของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ไทใหญ่ การเข้ามาตั้งชุมชนไทใหญ่ในภาคเหนือ ประเทศไทย ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ และการแต่งกายของไทยใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงการวิเคราะห์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งปรากฏให้เห็นรูปแบบการแต่งกาย จำแนกตามสถานะของบุคคลแต่ละชนชั้น เช่น กษัตริย์, เจ้านาย, นางกำนัล, ทหาร และ ชาวบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นถึงสุนทรียภาพของการแต่งกายรวมทั้งวิเคราะห์ การนำเสนอเรื่องราว, รูปแบบ, องค์ประกอบศิลป์ และการใช้สี ในงานจิตรกรรมสกุลช่างไทใหญ่ รวมทั้งคตินิยม ในทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับงานจิตรกรรมฝาผนังอีกด้วย |
|
Focus |
ภาพจิตรกรรมไทยประเพณี สกลุช่างล้านนา-ไทยใหญ่ ที่แสดงการแต่งกายในวัฒนธรรมไทใหญ่ ในวัดวัดท่าข้าม อ.แม่แตง และวัดบวกครกหลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทใหญ่ หรือ ไต (Tai) เรียกตามคนท้องถิ่นล้านนาว่า “เงี้ยว” |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทใหญ่, ภาษาท้องถิ่นล้านนา |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนมิถุนายน 2548 – กันยายน 2548 เป็นเวลา 4 เดือน |
|
History of the Group and Community |
ไทใหญ่ หรือ ไต (Tai) อาศัยอยู่ใน รัฐชาน สหภาพพม่า และมีหลายกลุ่มย่อย เช่น ยวน, ลื้อ, เขิน อาศัยทางตะวันออกของรัฐ ส่วนที่อยู่ทางตะวันตก เรียกว่า “เงี้ยว” จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เมือง ไทใหญ่ และ ล้านนามีความสัมพันธ์กันมานาน ดังจะเห็นว่า ในสมัยพระเจ้าติโลกราช ล้านนามีอาณาเขตในหลายเมืองของไทใหญ่ เช่น เมืองปั่น, เมืองนาย นับว่าอยู่ในอาณาเขตล้านนา ไทใหญ่ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย เรื่อยมาเนื่องจากปัญหาการเมือง และในสมัยที่พม่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษไทใหญ่ก็สามารถจะแยกตัวเป็นอิสระ ทั้งสามารถเลือกว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า หรือไทย โดยทั่วไปไทใหญ่ (หน้า 13) ตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายตามแนวชายแดนไทย-พม่า ตั้งแต่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จนถึงด้านชายแดนตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 14) หมู่บ้านโป่งหมู จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นส่วนหนึ่งของประวัติการตั้งรกรากชุมชนไทใหญ่ในประเทศไทยซึ่งนำโดยเจ้าแก้วเมือง โดยตั้ง พะกาหม่อง ให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน (ก้าง) ได้รวบรวมชนกลุ่มต่างๆมารวมกันเป็นหมู่บ้าน ปัจจุบัน คือ ตำบลปางหมู่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 14) วัดท่าข้าม ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการบันทึกประวัติของวัด จากเจ้าอาวาสสืบต่อๆมาร่วมร้อยปี ลงในสมุดกระดาษสา ระบุว่าวิหารในวัดสร้างในปี พ.ศ. 2407 และมีการฉลองในปี พ.ศ.2417 สำหรับประวัติการเขียนจิตรกรรมฝาผนังไม่มีการบันทึกไว้ ทราบตามคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า จิตรกรชื่อ “ส่างจะเล” เป็นชาวไทใหญ่ มีภรรยา เป็นชาวอำเภอแม่ริม และ มาตั้งรกราก ที่บ้านท่าข้าม อำเภอแม่แตงนี้ สันนิษฐานว่าจิตรกรรมฝาผนัง เขียนขึ้นประมาณ พ.ศ. 2417-2448 สถาปัตยกรรมภายในวัดได้มีการบูรณะ ปฏิสังขรณ์ ต่อมาภายหลัง มีเพียงโครงสร้างหลักของวิหารที่มีภาพจิตรกรรมนี้เท่านั้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (หน้า 39) สำหรับวัดบวกครกหลวง ในตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมวัดนี้ชื่อ วัดม่วงคำ เป็นวัดขนาดเล็ก ไม่ทราบประวัติความเป็นมาที่แน่นอน คำว่า บวกครกหลวง เป็นคำพื้นเมือง “บวกครก” แปลว่า หลุม “หลวง” แปลว่า ใหญ่ ซึ่งน่าจะแปลได้ว่า วัดหลุมใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัตโกสินทร์ ราวพุทธศตวรรษที่ 24 ลงมาโดยภาพรวมวิหารของวัดนี้เป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างเชียงใหม่ อายุประมาณ 100 ปี สำหรับจิตรกรรมฝาผนัง ไม่ระบุปีที่เขียนสันนิษฐานว่าอยู่ในช่วงในสมัยรัชกาลที่ 5 ลงมา หน้าบันวิหารระบุว่าบูรณะในปี พ.ศ.2468 สันนิษฐานว่า เป็นการบูรณะซ่อมแซมวิหารครั้งใหญ่ (หน้า 47) ซึ่งก่อนหน้านี้พบว่ามีการสร้างมุขโถง คร่อมบันไดหน้าทั้งหมดเอาไว้ ใน พ.ศ. 2467 โดยเจ้าแก้วนวรัฐ (เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย พ.ศ. 2452-2482) และจ้าวแม่จามรีชายา (หน้า 48) สำหรับโครงสร้างภายใน และพื้นวิหาร มีการบูรณะ ใน พ.ศ. 2498 จากการบันทึกไว้ที่ฐานวิหาร (หน้า 47) |
|
Economy |
ไทใหญ่ส่วนมากมีอาชีพเกษตรกรรม มักทำนาตามไหล่เขา ตามสภาพภูมิศาสตร์ของชุมชน (หน้า 17) |
|
Belief System |
งานจิตรกรรมที่ศึกษาทั้ง 2 วัด แสดงออกถึงคติความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งกายไทใหญ่ โดยแสดงออกในเรื่องของคติความเชื่อ และสัญลักษณ์ในทางศาสนา, ความเชื่อทางสังคม และ ความเชื่อทางกายภาพ (หน้า 30) ไทใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ที่มีการผสมผสานกับความเชื่อแบบดั้งเดิม มีความเคร่งครัด ในศาสนามาก เมื่อเทียบกับไทยในภาคเหนือ (หน้า 18) ในคติความเชื่อ ทางศาสนา ปรากฏในประเพณีการบรรพชาสามเณร เรียกพิธี “ปอยส่งลอง” หรือ “การบวชลูกแก้ว” ที่เชื่อว่าประเพณีการบวชเณรนี้ได้บุญมาก คือ ได้อานิสงถึง 16 กัลป์ ซึ่งมากกว่า การบวชภิกษุ หรือ ที่เรียกว่า “จางลอง” (หน้า 18) ได้อานิสง 7 กัลป์ การจัดพิธีใหญ่จะใช้เวลา 4 วัน หากเป็นพิธีที่จัดแบบธรรมดา เรียกว่า “ข่ามดิบ” (หน้า 30) เชื่อว่าเด็กที่จะบวช นี้จะถูกสมมุติให้เป็นกษัตริย์พร้อมที่จะสละทิ้งความสุข เพื่อแสวงหาสัจธรรม (หน้า 31) เหมือนอย่างพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้า ทรงเป็นกษัตริย์ ก่อนออกบวช (หน้า 18) ในคติความเชื่อทางสังคม และ ทางกายภาพ นั้นการแต่งกายแสดงให้เห็นอัตลักษณ์ของไทยใหญ่ และบ่งบอกสถานะทางสังคมด้วย โดยเฉพาะการใช้ผ้าโพกหัวสำหรับหญิงสาว นิยมการเกล้าผมสูง (ไว้สต๊อก) มากกว่าใช้ผ้าโพกหัว หากใช้นิยมผ้าโพกหัวหลากสี (หน้า 23) กรณีหญิงสูงอายุมักใช้ผ้าโพกสีขาว หรือ สีดำ (หน้า 23,33) ในสมัยโบราณ ชายไทใหญ่นิยมสักหมึกตามร่างกาย แสดงความเป็นชายชาตรีว่ามีความเข็มแข็งอดทน (หน้า 31) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เนื่องจากภูมิประเทศซึ่งแวดล้อมที่ตั้งชุมชนเป็น ภูเขา และ ป่าทึบกับทั้งมีอากาศร้อนชื้นทำให้มีแมลง และสัตว์รบกวน การแต่งกายของไทใหญ่จึงมิดชิดด้วยเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ผ้านุ่งก็ยาวกรอมเท้า ทั้งนี้เพื่อป้องกันพิษของสัตว์และแมลง นอกจากนี้ไทใหญ่นิยมสักลายตามเท้าเพื่อป้องกันพิษงูด้วย (หน้า 17) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
งานภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พบในวิหารวัดท่าข้าม และ วัดบวกครกหลวงนี้โดยทั่วไปมีความเป็นล้านนาอยู่ ซึ่งวาดตามความเชื่อตามวัฒนธรรม เป็นลักษณะอุดมคติประเพณี มากกว่าความเหมือนจริง วาดโดยใช้เทคนิคสีฝุ่น และเป็นสีจากธรรมชาติ (หน้า 12) ภาพจึงแสดงออกเพียง 2มิติ คือ กว้าง และยาว แม้ว่าจะไม่เน้นความลึก แต่อาจมีการใส่แสงเงา และมีปัจจัยอื่นๆที่ดูคล้าย 3 มิติ อยู่บ้าง เป็นเพียงส่วนน้อย ภาพนิยมแสดงเป็นตอนๆ โดยการใช้แนวต้นไม้ หรือ กำแพงเส้นแถบสีต่างๆขนาดใหญ่ เป็นตัวแบ่ง การใช้สีในลักษณะแบน แต่ใช้เส้นที่มีขนาด และน้ำหนักแตกต่าง เพื่อแสดงความกลมความหนา ช่วยให้ภาพมีความรู้สึกว่าไม่แบนจนเกินไป รูปทรงมนุษย์ สัตว์ พืช และอาคารบ้านเรือน มีเค้าโครงที่เป็นจริงแต่ได้ปรับแต่งเสริมตามแนวทางอุดมคติประเพณี มีการใช้ทองคำเปลว ปิดเน้นภาพกลุ่มบุคคลที่สำคัญ เช่น ภาพกษัตริย์ ภาพกลุ่มบุคคลสำคัญนี้จะเครื่องประดับแสดงความหรูหรา ให้ความรู้สึกสุภาพ ไม่มีกริยาอาการโลดโผน แต่จะแสดงท่าทีที่สงบและเรียบเฉย ต่างกับภาพกลุ่มชาวบ้าน หรือ ทหาร ที่การเคลื่อนไหว และ การแต่งกายเหมือนจริงกว่า สังเกตได้จาก รอยยับย่นบนเสื้อผ้า การแต่งกายสกุลช่างไทใหญ่ การแต่งกายของไทใหญ่ ที่พบในการศึกษากรณีนี้ แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นวัฒนธรรมไทใหญ่ที่ปรากฏในวิถีชีวิตทั่วไป และ กลุ่มบุคคลที่ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนัง วัฒนธรรมการแต่งกายไทใหญ่ นั้นเครื่องแต่งกายแบ่งแยกเพศชาย หญิง เท่านั้น โดยลักษณะเครื่องแต่งกายที่เหมือนกันในเพศนั้นๆ แต่แตกต่างตามขนาดและสัดส่วนในแต่ละวัย ผ้าที่ใช้ตัดเย็บนิยมใช้ผ้าที่ทอจากด้ายดิบ สีออกหม่นเทา ย้อมสีคราม ดำ (น้ำอุนหลำ) (หน้า 19) สำหรับผู้ชาย นิยมใช้ผ้าโพกหัว เรียกว่า “คองปอง” เป็นผ้าผืนยาว สีขาว ขนาดประมาณ 4 ศอก กว้าง 1 คืบ วิธีการพันมักดึงชายหนึ่งไว้ข้างบน แล้วพันผ้าที่เหลือไปรอบๆศรีษะ และใช้เครื่องสวมศรีษะ หรือ “กุบ” เรียกว่า “หมวกทอลั่น” เป็นหมวกใบกว้าง มี 2 ชนิด คือ กุบกาบ ทำจากกาบไม้ของต้นแคระ และ กุบสาน ทำจากไม้ข้าวหลาม มีราคาถูก กุบนี้ใช้ในเวลาทำงานทั้งหญิงและชาย เสื้อที่สวมมี 2 ประเภทคือ “กุยตั๋ง” และ “กุยเฮง” เสื้อกุยตั๋งเป็นเสื้อแบบจีนแขนยาวถึงข้อมือ ป้ายข้างติดกระดุมถักแบบจีน สำหรับเสื้อกุยเฮง หรือ เสื้อแตกพุง เป็นเสื้อคอกลมแขนยาวไม่มีปกชายเสื้อยาวถึงสะโพก ผ่าอกติดกระดุมผ้าตั้งแต่คอเสื้อ ถึงชายเสื้อ มักใส่ทับเสื้อคอกลมบางชั้นใน กางเกงที่ใช้ เรียกว่า “โก๋นโห่งโย่ง” หรือ เรียกเป็นอย่างอื่นๆว่า กางเกง เป้ายาน, กางเกงไต, กางเกง 3 ดูก, หรือ เตี่ยวสะดอ เป็นกางเกงลักษณะยาวกรอมเท้า ขากว้างเวลานุ่งใช้รัดเอวไว้ ไม่ใช้เข็มขัด เสื้อผ้าที่ใช้นิยมสีสุภาพ เช่นสีดำ สีน้ำเงิน หรือ สีน้ำตาล ซึ่งมักอยู่ในโทนสีเดียวกันตลอด แสดงความสุภาพของไทใหญ่ (หน้า 33) สำหรับหญิงไทใหญ่ นิยมใส่เสื้อปั๊ด หรือ เสื้อย้ง, เสื้อนาเวียด ซึ่งมีทั้งประเภท แขนกุด และ แขนยาว ลักษณะคล้ายเสื้อกุยตั๋ง แต่มีมีวิธีการตัดเย็บต่างกัน โดยเฉพาะเสื้อผู้หญิงจะตัดมาตามขนาดผู้ใส่แล้วใช้วิธีเย็บข้างทั้ง 2 เป็นตัวเสื้อ หญิงสาวนิยมใช้เสื้อที่มีเนื้อผ้าบาง รัดรูป และหลากสี ต่างกับหญิงสูงอายุ เนื้อผ้าจะหนากว่า และมักเป็นเสื้อแขนยาว สีขาว การนุ่งผ้าซิ่นนั้นมีซิ่นสีต่างๆ โดยนุ่งให้ยาวกรอมเท้า แล้วป้ายชายพกไปด้านข้าง ต่างกับการนุ่งซิ่นแบบล้านนาที่ชายผกอยู่กลาง สีเสื้อผ้าทีใช้เป็นสีสดใส เช่น สีบานเย็น สีเขียว สีชมพู เป็นต้น (หน้า 33) การไว้ผมนิยมเกล้าเป็นมวย สำหรับ หญิงสาว ผมจะเกล้าสูง และไว้ผมด้านหน้าคล้ายลักษณะ ผมหน้าม้า เรียกว่า “ไว้สต๊อก” ไม่นิยมโพกผ้า แต่จะประดับผมด้วยดอกเอื้องคำ (หมอกคำ) สำหรับหญิงสูงอายุ มักรวบผมไว้มวยค่อนไปข้างหลัง ผ้าโพกหัวหญิงไทใหญ่นั้นใช้สำหรับเวลาทำงานเพื่อป้องกันฝุ่นละออง ซึ่งนิยมใช้ผ้าหลากสี แต่สำหรับ หญิงชรา จะนิยมใช้ผ้าโพกสีดำ หรือสีขาว นอกจากนี้ ทุกเพศทุกวัยยังนิยมใช้ย่าม อีกด้วย (หน้า 21-23) การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือการแต่งกายของ “ส่างลอง” หมายถึงเด็กที่จะเข้าพิธีบวชเณร เด็กจะไว้ผมอย่างหัวจุก เรียกว่า ”จ๊อง” ใช้ผ้าแพรอย่างดีสำหรับเป็นผ้าโพกหัว และประดับด้วยดอกไม้ นิยมใช้ดอกเอื้องคำ (หมอกคำ) เสื้อส่างลองเป็นผ้าเนื้อบาง อย่างดีคล้ายลูกไม้ มีสีสดใสหลากสี เช่น สีชมพู สีบานเย็น สีเหลือง เป็นต้น ประดับบ่าทั้งสองข้างด้วยโบว์ เรียกว่า ”ใส่ป้อ” สรวมสร้อยคอที่ทำจากแผ่นทองคำตีให้บางทรงกลม ร้อยเป็นสร้อยประมาณ 5-7 ชิ้น เรียกว่า “แขบคอ” ที่ลำตัวคล้องสังวาลย์ เรียกว่า “ลอแป” นอกจากนี้ยังประดับด้ายกำไล แหวน ต่างหู ตามแต่ฐานะด้วย ผ้านุ่งเป็นผ้าหน้ากว้างนุ่งแบบหน้านางแล้วสอดปลายผ้าไปด้านหลัง เหมือนโจงกระเบน โดยสีผ้าเข้าชุดกับสีเสื้อ เนื่องจากไม่นิยมใช้เข็มขัด จึงใช้ผ้ารัดเอวแทน และใส่ถุงเท้าครึ่งน่อง (หน้า 24-25) การแต่งกายของกลุ่มบุคคลที่ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนัง แบ่งตามสถานะบุคคล กษัตริย์ ประดับศีรษะด้วย มงกุฎ หรือ ชฎา (หน้า 64) เครื่องทรงท่อนบน เป็นการสวมเสื้อ 2 ชั้น โดยเสื้อแขนสั้นสวมทับเสื้อแขนยาว ต่อจากตัวเสื้อมี ริดพักตร์ และมีชายเสื้อโผล่ออกมา เสื้อประดับด้วยอินทรธนู กรองศอ ท่อนล่างนุ่งผ้ามีลักษณะการนุ่งคล้ายโจงกระเบน (หน้า 44) และมักสวมฉลองพระบาท (หน้า 64) เจ้านายชาย ใช้ผ้าโพกศรีษะ สวมเสื้อ 2 ชั้น เสื้อชั้นนอกสีดำมีจุดเล็กเรียงกันเป็นกากบาท ไขว้กลาง ลำตัว คล้ายสังวาลย์ ส่วนเสื้อชั้นในมีลายจุดประทั่วทั้งแขน (หน้า 58) มีการประดับกระถอบหน้าผ้านุ่งโจงกระเบน สีผ้านุ่งลายคลื่นสีฟ้ากับสีน้ำเงิน มีลายสีแดงปนเป็นพื้นขาว คล้ายกับลายลุนตยาอะชีค ซึ่งไทใหญ่รับมาจากวัฒนธรรมพม่า ซึ่งเป็นรูปเจ้านายนั่งบนคอช้าง (หน้า 59) บางรูป สวมเสื้อเหมือนเสื้อกุยตั๋ง หรือ กุยเฮงสีฟ้า มีผ้าผาดไหล่สีขาว (หน้า 60) นางกำนัล นุ่งผ้าซิ่นลายริ้ว สีดำ ขาว แดง สลับกัน นิยมเปลือยอกและใช้ผ้าคลุมไหล่ มีการประดับร่างกายด้วยสร้อยคอ และกำไล (หน้า 63) ทหาร ศรีษะมีผ้าโพก ท่อนบนปล่อยเปลือย นุ่งผ้าลายตาราง และลายริ้ว ลักษณะการนุ่งแบบเด็ดหม้าม ท่อนขานิยมสักลวดลาย (หน้า 45) สวมเสื้อกุยเฮงสีฟ้าขาว ผ้านุ่งสีขาวขุ่น ลักษณะการนุ่งแบบเด็ดหม้าม และมีลายสัก (หน้า 61) ชาวบ้านชายมักสักหมึกดำที่โคนขา นุ่งผ้าเตี่ยว นุ่งหยักรั้ง นุ่งโจงกระเบน (หน้า 75) ไว้ผมทรงมหาดไทย และนิยมสวมหมวกปีก (หน้า 43) บางรูป ใช้ผ้าโพกศรีษะสีแดง สวมเสื้อกุยเฮงสีแดง นุ่งเตี่ยวสะดอ หรือ กางเกงโห่งโย่ง (หน้า 62) สีขาวหญิงชาวบ้านใช้ผ้าโพกศีรษะ ท่อนบนปล่อยเปลือย นุ่งผ้าลายตาราง และลายริ้ว ลักษณะการนุ่งแบบเด็ดหม้าม ท่อนขานิยมสักลวดลาย การละเล่นพื้นเมืองไทใหญ่ที่พบในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ รำไต (รำไทใหญ่), รำดาบ, รำกิงกะหล่า (รำนางนก) (หน้า 18) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ไทใหญ่ปัจจุบันไม่นิยมแต่งกายในรูปแบบเดิม มีเพียงแต่กลุ่มผู้สูงอายุยังคงการแต่งกายแบบเดิมอยู่ (หน้า 28) |
|
Map/Illustration |
สารบัญภาพ 1. ภาพเสื้อกุยตั๋ง (หน้า 19) 2. ภาพเสื้อกุยเฮง (เสื้อแตกพุง) (หน้า 20) 3. ภาพกางเกงโก๋นโห่งโย่ง (หน้า 20 ) 4. ภาพย่าม (หน้า 21) 5. ภาพกุบ (หน้า 21) 6. ภาพการแต่งกายผู้ชายชาวไทใหญ่ (หน้า 22) 7. ภาพเสื้อปั๊ด และ ผ้าถุงซิ่น (หน้า 22) 8. ภาพทรงผมหญิงสาว (หน้า 23) 9. ภาพลักษณะการแต่งกายของผู้หญิงชาวไทใหญ่ (หน้า 23) 10. ภาพการแต่งกายของส่างลอง (หน้า 25) 11. ภาพการแต่งกายของส่างลอง (หน้า 26) วัดท่าข้าม 1. ภาพกษัตริย์ (หน้า 44) 2. ภาพทหาร (หน้า 45) 3. ภาพชาวบ้าน (หน้า 46) วัดบวกครกหลวง 1. ภาพเจ้าชายไทใหญ่บนช้างทรง (หน้า 58) 2. ภาพเจ้านาย (หน้า 60) 3. ภาพทหาร (หน้า 61) 4. ภาพชาวบ้าน (หน้า 62) 5. ภาพนางกำนัล (หน้า 63) 12. ภาพกษัตริย์ (หน้า 65) 13. ภาพกษัตริย์ (หน้า 66) 14. ภาพเจ้านาย (หน้า 68) 15. ภาพเจ้านาย (หน้า 69) 16. ภาพนางกำนัล (หน้า 71) 17. ภาพทหาร (หน้า 73) 18. ภาพทหาร (หน้า 74) 19. ภาพชาวบ้านชายและหญิง (หน้า 76) 20. ภาพชาวบ้านชาย (หน้า 77) 21. ภาพชาวบ้านหญิง (หน้า 78) |
|
|