|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซู,การวางแผนครอบครัว,แนวทางแก้ไข,ภาคเหนือ |
Author |
ดุษณีย์ แพสุวรรณ, กรรณิการ์ มณีวรรณ, วราพร วันไชยธนวงศ์ |
Title |
รายงานวิจัยการศึกษาหารูปแบบการดำเนินงานวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
82 |
Year |
2540 |
Source |
รายงานวิจัยการศึกษารูปแบบการดำเนินงานวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่. ศูนย์วางแผนครอบครัวชาวเขา. กระทรวงสาธารณสุข |
Abstract |
งานวิจัย “การศึกษาหารูปแบบการดำเนินงานวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่” นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหารูปแบบและกลวิธีการดำเนินงานด้านการวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ โดยคณะผู้วิจัยได้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการในการศึกษาและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิดของชาวลีซอ (หน้า 2) จากการศึกษาแล้วพบว่า สาเหตุของปัญหาเกิดจากการขาดความรู้และความสนใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวของชาวลีซอเอง, หน่วยงานให้บริการในชุมชนมีขีดความสามารถจำกัด และหน่วยงานในพื้นที่ขาดการประสานงานและไม่ให้บริการแก่ผู้อยู่นอกพื้นที่ ดังนั้นคณะผู้วิจัยจึงใช้แผนภาพกิ่งแขนงการตัดสินใจเลือกวิธีแก้ไขปัญหา คือ การพัฒนาสื่อให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่, การพัฒนาระบบบริการและศักยภาพของอาสาสมัครชุมชน, การให้การอบรมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว, การปฏิบัติงานเชิงรุกเข้าให้บริการชาวบ้านถึงในหมู่บ้าน และการประสานงานหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหา คณะผู้วิจัยได้มีการสำรวจข้อมูลและความเปลี่ยนแปลง โดยใช้แบบสัมภาษณ์สำรวจข้อมูลทั้งก่อนและหลังดำเนินงาน ภายหลังการดำเนินงาน คณะผู้วิจัยสามารถให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและเพิ่มอัตราการคุมกำเนิดได้เป็นผลสำเร็จ และก็ได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิดจะต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ในการส่งข้อมูลผู้รับบริการไปยังสถานีอนามัยแห่งอื่นที่ผู้รับบริการเข้ารับบริการ รวมทั้งต้องการให้มีการจดทะเบียนประชากรในพื้นที่นั้น เพื่อให้มีการติดตามงานวางแผนครอบครัว |
|
Focus |
เพื่อศึกษาหารูปแบบและกลวิธีการดำเนินงานด้านการวางแผนครอบครัวในชาวเขาเผ่าลีซอ (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวเขาเผ่าลีซอในเขตพื้นที่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ณ บ้านขุนแจ๋บนและบ้านขุนแจ๋ล่าง โดยกำหนพื้นที่ทั้งสองเป็นพื้นที่ทดลอง และให้บ้านแม่แวนน้อยเป็นพื้นที่ควบคุม (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในด้านความสามารถฟังภาษาไทย ทั้งกลุ่มในพื้นที่ดำเนินการและพื้นที่ควบคุมสามารถฟังภาษาไทยได้เข้าใจจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งเล็กน้อยคือ ร้อยละ 68.1 กับ 64.6 ตามลำดับรองลงมาคือ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างจำนวนร้อยละ 28.3 กับ 26.2 ตามลำดับ (หน้า 40) ในด้านความสามารถพูดภาษาไทย ทั้งสองกลุ่มมีความสามารถในการพูดภาษาไทยได้มากกว่าครึ่งเล็กน้อยเช่นกัน คือ ร้อยละ 64.6 กับ 63.1 ตามลำดับ รองลงมาคือ พูดได้บ้างไม่ได้บ้างจำนวนร้อยละ 29.2 กับ 24.6 ตามลำดับ (หน้า 40) แต่ในด้านความสามารถอ่านภาษาไทย ทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่จะอ่านภาษาไทยไม่ได้ มีอ่านได้เพียงร้อยละ 35.4 กับ 33.8 ตามลำดับ (หน้า 41) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาในการดำเนินโครงการทั้งหมดประมาณ 8 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน (หน้า 31-32) |
|
History of the Group and Community |
ชาวเขาเผ่าลีซอมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศจีน ต่อมาได้อพยพเข้ามาในประเทศพม่าในแถบบริเวณเมืองเชียงตุง เพื่อหาพื้นที่เหมาะสมในการปลูกฝิ่น, ข้าวโพด และมันฝรั่ง ซึ่งเป็นอาหารหลักของพวกเขา ต่อมาเมื่อประมาณพ.ศ. 2467 ชาวเขาเผ่าลีซอกลุ่มแรกก็ได้อพยพเข้าประเทศไทยมายังหมู่บ้านแม่สะลอง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีชาวเขาเผ่าลีซออาศัยอยู่ในหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่, เชียงราย, ตาก, แม่ฮ่องสอน และกำแพงเพชร เป็นต้น (หน้า 13) |
|
Demography |
หมู่บ้านที่อยู่ในขอบเขตการดำเนินงานและการศึกษาขุนแจ๋บน-ล่างมีข้อมูลทั่วไปดังนี้ (หน้า 25) 1. จำนวนประชากรรวม 533 คน มีจำนวนหลังคาเรือน 96 หลังคาเรือน 2. จำนวนสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานแล้วอยู่กินกับสามี 91 คน 3. จำนวนคู่สมรสที่มีลูกไม่เกินสองคน 34 คู่ 4. จำนวนคู่สมรสที่มีลูกคนแรกอายุต่ำกว่า 20 ปีในรอบปีที่ผ่านมา 9 คน 5. จำนวนสตรีที่คลอดในรอบปีที่ผ่านมา 15 คน 6. จำนวนการตายของเด็กอายุ 0-1 ปีในรอบปีที่ผ่านมา 1 คน 7. จำนวนการตายของเด็กอายุ 1-5 ปีในรอบปีที่ผ่านมา 1 คน ส่วนในหมู่บ้านควบคุม (แม่แวนน้อย) มีข้อมูลทั่วไปดังนี้ 1. จำนวนประชากร 322 คน มีจำนวนหลังคาเรือน 61 หลังคาเรือน 2. จำนวนสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานแล้วอยู่กินกับสามี 51 คน 3. จำนวนคู่สมรสที่มีลูกไม่เกินสองคน 8 คน 4. จำนวนคู่สมรสที่มีลูกคนแรกอายุต่ำกว่า 20 ปีในรอบปีที่ผ่านมา 2 คน 5. จำนวนสตรีที่คลอดในรอบปีที่ผ่านมา 7 คน นอกจากนี้คณะผู้วิจัยได้ดำเนินงานศึกษาเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวด้วยแบบสัมภาษณ์ โดยเลือกพ่อบ้าน, แม่บ้าน และเยาวชนในพื้นที่ดำเนินงานมาจำนวน 113 คนและในพื้นที่ควบคุม 65 คน ซึ่งมีข้อมูลทั่วไปดังนี้ 1. ในพื้นที่ดำเนินงานจะมีจำนวนของเยาวชนอายุต่ำกว่า 19 ปี ใกล้เคียงกับกลุ่มในพื้นที่ควบคุมคือ ร้อยละ 27.4 กับ 26.2 ตามลำดับ ส่วนกลุ่มอายุ 20-25 มีจำนวนร้อยละ 23.9 กับ 16.2 ตามลำดับ ส่วนกลุ่มอายุที่มากขึ้นจะมีจำนวนลดลงทั้งในสองพื้นที่ (หน้า 36) 2. มีจำนวนเพศชาย-หญิงใกล้เคียงกันทั้งในพื้นที่ดำเนินงานและในพื้นที่ควบคุม (หน้า 37) 3. ในพื้นที่ดำเนินงานจะมีสัดส่วนคนโสดมากกว่าในพื้นที่ควบคุม (หน้า 37) |
|
Economy |
อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่กลุ่มตัวอย่างประกอบกันมากที่สุดทั้งในพื้นที่ดำเนินงานและพื้นที่ควบคุม คิดเป็นร้อยละ 61.1 กับ 81.5 (หน้า 41) ส่วนเงินรายได้ในครอบครัว ส่วนมากจะได้รายได้น้อยกว่า 100 บาทต่อวัน (หน้า 42) |
|
Social Organization |
ด้านประเพณีการแต่งงานของชาวลีซอ ชาวเขาเผ่าลีซอจะไม่มีความซับซ้อนใด ๆ มาการแต่งงาน ชาวหนุ่มจะแต่งงานกับสาวที่ถูกใจตน จะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันหรือคนนอกหมู่บ้านก็ได้ เมื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายใดจะไปอยู่บ้านอีกฝ่ายแล้วแต่จะตัดสินใจตกลงกัน (หน้า 14) |
|
Political Organization |
เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนสำคัญต่อการปกครองหมู่บ้านชาวเขาเผ่าลีซออย่างยิ่ง ซึ่งชาวเขาเผ่าลีซอที่ยอมรับให้คนภายนอกมาปกครอง ไกล่เกลี่ยประนีประนอม หรือตัดสินข้อขัดแย้งมากกว่าให้พวกเดียวกันจัดการ (หน้า 14) |
|
Belief System |
กลุ่มตัวอย่างทั้งในพื้นที่ดำเนินงานและพื้นที่ควบคุมส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ คือ ร้อยละ 54.9 กับ 75.4 ส่วนที่เหลือจะนับถือศาสนาพุทธ (หน้า 38) |
|
Education and Socialization |
กลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ดำเนินงานและพื้นที่ควบคุมส่วนมากไม่ได้รับการศึกษาในระบบการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 55.8 กับ 61.5 ตามลำดับ รองลงมาคือ จบระดับประถมศึกษา จำนวนร้อยละ 29.2 กับ 24.6 ตามลำดับ ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นจะมีจำนวนลดลง (หน้า 39) |
|
Health and Medicine |
ในเขตตำบลแม่แวน มีสถานีอนามัย 2 แห่งคือ สถานีอนามัยป่าแขมและสถานีอนามัยร่มเกล้า แต่ในพื้นที่ดำเนินการ มีสำนักงานสาธารณสุขชุมชนบ้านขุนแจ๋หนึ่งแห่ง ซึ่งได้รับงบประมาณจากโครงการพัฒนาที่สูงดอยเวียงผาและที่ดินจากบริจาค ระยะทางจากสำนักงานถึงบ้านขุนแจ๋ล่าง 2 กิโลเมตรและถึงบ้านแม่แวนน้อยยาว 11 กิโลเมตร ในเขตพื้นที่ดำเนินงานและพื้นที่ควบคุม มีเขตติดต่อกับตำบลป่าตุ้ม ซึ่งมีสถานีอนามัยทุ่งกู่ตั้งอยู่ และมีประชาชนบางส่วนเข้ารับบริการด้วย (หน้า 22) ผู้เขียนได้ผลการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับงานวางแผนครอบครัวของหมู่บ้านดำเนินการกับหมู่บ้านควบคุมดังนี้ (หน้า 25) 1. ในหมู่บ้านกลุ่มดำเนินการ มีจำนวนผู้รับบริการที่กำลังใช้การคุมกำเนิดทุกวิธี 63 คน ใช้วิธีการคุมกำเนิดถาวร 9 คน แบ่งเป็นการทำหมันหญิง 7 คนและหมันชาย 2 คน ส่วนที่คุมกำเนิดชั่วคราวมีจำนวนทั้งหมด 54 คนแบ่งออกเป็นห่วงอนามัย 4 คน, ยาเม็ดคุมกำเนิด 18 คน, ยาฉีดคุมกำเนิด 26 คน, ยาฝังคุมกำเนิด 3 คน และถุงยางอนามัย 3 คน 2. ในหมู่บ้านควบคุม มีจำนวนผู้รับบริการที่กำลังใช้การคุมกำเนิดทุกวิธี 35 คน ใช้วิธีการคุมกำเนิดถาวร 5 คน ใช้วิธีทำหมันหญิงทั้งหมด ส่วนที่คุมกำเนิดชั่วคราวมีจำนวนทั้งหมด 30 คนแบ่งออกเป็นยาเม็ดคุมกำเนิด 15 คน, ยาฉีดคุมกำเนิด 14 คน และยาฝังคุมกำเนิด 1 คน จากการวิเคราะห์หาปัญหาด้วยผังก้างปลา ผู้เขียนพบว่า สาเหตุที่อัตราการคุมกำเนิดของชาวเขาเผ่าลีซอในพื้นที่ดำเนินการมีจำนวนต่ำมีอยู่ 3 ประการสำคัญดังนี้ (หน้า 26) 1. ผู้ให้บริการทางด้านสาธารณสุขในพื้นที่มีจำนวนเพียงคนเดียว แต่มีงานในหน้าที่จำนวนมาก บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็ไม่อยู่เพราะติดหน้าที่ราชการที่อำเภอ อีกทั้งรายงานข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง เพราะมีการย้ายเข้า-ออกของผู้รับบริการบ่อยครั้ง และยังขาดสื่อไม่เหมาะสมกับพื้นที่ 2. ระบบบริการของรัฐมีการรณรงค์การวางแผนครอบครัวไม่ต่อเนื่อง โรงพยาบาลของอำเภอไม่ให้บริการแก่ผู้ที่อยู่นอกเขต เวชภัณฑ์คุมกำเนิดมีการเปลี่ยนรูปแบบบ่อยครั้ง และสถานที่ตั้งของสำนักงานสาธารณสุขชุมชนไม่เหมาะสม 3. ผู้รับบริการมักจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่ค่อยสนใจการวางแผนครอบครัวเมื่อแต่งงานแล้ว ครอบครัวจะต้องการบุตรชายไว้สืบสกุลและจะไม่คุมกำเนิดหากยังไม่มีบุตรชายเลย อีกทั้งผู้รับบริการจะได้รับข่าวลือผิด ๆ เกี่ยวกับการคุมกำเนิดและการสนทนาเกี่ยวกับการคุมกำเนิดถือเป็นเรื่องที่หยาบคาย นอกจากนี้ผู้รับบริการยังเคยชินกับรูปแบบบรรจุภัณฑ์คุมกำเนิดที่เคยใช้ และยังมีการย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง จากสาเหตุของปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้ใช้แผนภาพกิ่งแขนงการตัดสินใจในการค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งแยกวิธีการแก้ไขปัญหาได้ดังนี้ (หน้า 29) 1. ทางด้านผู้รับบริการ ให้จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิดแก่กลุ่มสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานแล้ว, กลุ่มพ่อบ้านที่มีภรรยาอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ และกลุ่มเยาวชน 2. ทางด้านผู้ให้บริการ 2.1 ให้มีการพัฒนาระบบบริการ โดยพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารและศักยภาพอาสาสมัครหมู่บ้าน จัดทำแผนปฏิบัติงานให้ชัดเจน และให้บริการเชิงรุกถึงพื้นที่ 2.2 ให้การพัฒนาสื่อ โดยจัดทำสื่อทั้งวีดีโอ, โปสเตอร์, เทป และบุคคล 2.3 ทำการประสานงานกับโรงพยาบาลพร้าว, สถานีอนามัยทุ่งกู่ และผู้นำศาสนาประจำหมู่บ้าน คณะผู้ดำเนินงานของผู้เขียนได้วางแผนกิจกรรมตามแนวทางแก้ไขปัญหาและได้ผลดังนี้ 1. ผลิตสื่อสุขศึกษาอันได้แก่ แผ่นพับจำนวน 500 แผ่นและม้วนเทปหอกระจายเสียง 8 ม้วน ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภาษาลีซอ (หน้า 33) 2. พัฒนาระบบบริการ ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร วางแผนปฏิบัติงาน และพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครหมู่บ้าน (หน้า 33) 3. ให้การอบรมความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด โดยตั้งเป้าหมายให้มีกลุ่มพ่อบ้านจำนวน 74 คน, แม่บ้านวัยเจริญพันธุ์ 91 คน และเยาวชน 71 คน เข้าร่วมรับการอบรม ซึ่งก็ได้ผลร้อยละ 91 โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มีจำนวนมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ (หน้า 34) 4. ปฏิบัติงานเชิงรุก โดยคณะผู้วิจัยและหน่วยงานวางแผนครอบครัวจากโรงพยาบาลพร้าว ออกให้บริการวางแผนครอบครัวในพื้นที่ดำเนินการจำนวน 2 ครั้ง ซึ่งมีผู้เข้ารับบริการยาฝังคุมกำเนิด 18 ราย และตรวจหามะเร็งปากมดลูก 18 ราย มีพ่อบ้าน 2 คนต้องการจะทำหมันชาย แต่ก็ได้ปฏิเสธการทำไป เนื่องจากต้องเดินทางไปทำที่โรงพยาบาล (หน้า 35) 5. งานด้านการติดต่อประสานงานกับสถานที่ให้บริการด้านการวางแผนครอบครัวและคุมกำเนิดนั้น ได้พบปัญหาว่า สถานที่ที่ให้บริการที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ดำเนินงานไม่ให้บริการแก่ชาวบ้าน เพราะอยู่นอกพื้นที่รับผิดชอบและไม่มีข้อมูลของผู้รับบริการที่แท้จริง (หน้า 35) คณะผู้ดำเนินงานของผู้เขียนจึงได้ดำเนินงานติดต่อประสานงานเกี่ยวกับการให้บริการและการส่งต่อผู้รับบริการ โดยประสานงานกับโรงพยาบาลพร้าว, สถานีอนามัยทุ่งกู่ และสำนักงานสาธารณสุขชุมชนขุนแจ๋ (หน้า 35) คณะผู้ดำเนินงานได้ดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว โดยศึกษาทั้งในพื้นที่ดำเนินงานและพื้นที่ควบคุมด้วยแบบสัมภาษณ์ ซึ่งได้ผลการศึกษาเกี่ยวกับการเพศศึกษา คือ 1. อายุของการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของกลุ่มศึกษานั้น ทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกที่อายุน้อยกว่า 20 ปี 2. อายุเมื่อแต่งงานของกลุ่มศึกษานั้น ทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่จะแต่งงานกันตั้งแต่อายุน้อยกว่า 20 ปี 3. อายุเมื่อคลอดบุตรคนแรกของกลุ่มศึกษานั้น ทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่จะคลอดบุตรคนแรกตั้งแต่อายุต่ำกว่า 20 ปี 4. จำนวนบุตรที่มีชีวิตของกลุ่มศึกษานั้น ทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่จะมีบุตรมากกว่า 2 คน ในด้านความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวนั้น คณะผู้วิจัยได้ผลการศึกษาดังนี้ 1. ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวในกลุ่มพ่อบ้าน ภายหลังดำเนินการ กลุ่มในพื้นที่ดำเนินงานมีความรู้เพิ่มขึ้นมากกว่าในพื้นที่ควบคุม 2. ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวในกลุ่มแม่บ้าน ภายหลังดำเนินการ กลุ่มในพื้นที่ดำเนินงานมีความรู้เพิ่มขึ้นมากกว่าในพื้นที่ควบคุม 3. ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวในกลุ่มเยาวชน ก่อนดำเนินการ กลุ่มพื้นที่ควบคุมมีความรู้มากกว่า แต่ภายหลังดำเนินการ กลุ่มในพื้นที่ดำเนินการมีความรู้มากกว่า 4. ความรู้ใน 3 กลุ่มศึกษา ภายหลังการดำเนินการ กลุ่มในพื้นที่ดำเนินการมีความรู้เพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มในพื้นที่ควบคุม ด้านทัศนคติต่อการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด คณะผู้วิจัยได้ผลการศึกษาดังนี้ 1. ทัศนคติของกลุ่มพ่อบ้านนั้น ภายหลังการดำเนินการ กลุ่มในพื้นที่ดำเนินการมีทัศนคติที่ดีขึ้นแต่เพิ่มขึ้นน้อยกว่ากลุ่มในพื้นที่ควบคุม 2. ทัศนคติของกลุ่มแม่บ้านนั้น ภายหลังการดำเนินการ กลุ่มในพื้นที่ดำเนินการมีทัศนคติที่ดีขึ้นและมากกว่ากลุ่มพื้นที่ควบคุม 3. ทัศนคติของกลุ่มเยาวชนนั้น ภายหลังการดำเนินการ ทั้งสองกลุ่มมีคะแนนเฉลี่ยทัศนคติที่ดีขึ้นเท่ากัน แต่กลุ่มในพื้นที่ดำเนินการมีความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังดำเนินการมากกว่า 4. ทัศนคติใน 3 กลุ่มศึกษา ภายหลังดำเนินการ กลุ่มในพื้นที่ดำเนินการมีทัศนคติที่ดีขึ้นและมากกว่าในพื้นที่ควบคุม คณะผู้วิจัยได้ผลการปฏิบัติการวางแผนครอบครัวตามแบบสัมภาษณ์เมื่อสิ้นสุดโครงการดังนี้ 1. ในพื้นที่ดำเนินการ มีแม่บ้านวัยเจริญพันธุ์เข้ารับการคุมกำเนิดทุกวิธีจำนวน 39 คนจากจำนวน 50 คน ใช้วิธีการถาวร 9 คนและใช้วิธีชั่วคราว 30 คน คิดเป็นร้อยละ 76 ขณะที่ในพื้นที่ควบคุม มีแม่บ้านวัยเจริญพันธุ์เข้ารับการคุมกำเนิด 14 คนจากจำนวน 20 คน ใช้วิธีการถาวร 5 คนและใช้วิธีการชั่วคราว 9 คน คิดเป็นร้อยละ 70 (หน้า 49) ซึ่งแสดงว่า ในพื้นที่ดำเนินการได้ผลมากกว่า 2. ภายหลังการดำเนินการ ทั้งในพื้นที่ดำเนินการและพื้นที่ควบคุมมีอัตราการคุมกำเนิดเพิ่มขึ้น แต่ในพื้นที่ดำเนินการมีอัตราเพิ่มขึ้นมากกว่า ผู้เขียนได้สรุปผลจากแผนปฏิบัติการโดยแบ่งเป็นด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด ทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งระหว่างก่อนกับหลังดำเนินการและระหว่างพื้นที่ดำเนินการและพื้นที่ควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นและมีทัศนคติเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิดดีขึ้นมากกว่าก่อนดำเนินการและมากกว่าพื้นที่ควบคุม โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ซึ่งผู้เขียนมุ่งเน้นให้ความสำคัญว่า เยาวชนเป็นวัยอยากรู้อยากลอง จึงควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ต่อไป (หน้า 52) ส่วนกลุ่มแม่บ้านนั้นมีการตื่นตัวกันมากในเรื่องมะเร็งปากมดลูก เจ้าหน้าที่จึงใช้การตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นแรงจูงใจในการเข้ารับยาฝังคุมกำเนิด (หน้า 53) 2. ด้านการพัฒนาสื่อ เนื่องจากในพื้นที่ยังขาดสื่อที่เหมาะสมกับพื้นที่และจากแบบสัมภาษณ์ แม้ส่วนใหญ่จะสามารถพูดและฟังภาษาไทยได้ แต่กลับอ่านภาษาไทยไม่ได้เลย สื่อที่ใช้ในการเผยแพร่เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวอันได้แก่ เอกสารแผ่นพับกับเทปคลาสเซต จึงได้ผลดีระดับหนึ่ง 3. ด้านการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน คณะวิจัยพบว่า การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการให้บริการวางแผนครอบครัวแก่ชาวลีซอนอกพื้นที่รับผิดชอบ หรือแม้แต่การส่งข้อมูลของผู้รับบริการที่ไปเข้ารับบริการในพื้นที่อื่น จะช่วยเพิ่มอัตราการคุมกำเนิดได้ 4. ด้านการให้บริการเชิงรุกด้านการวางแผนครอบครัวในพื้นที่ ซึ่งคณะผู้วิจัยพบว่า ประสบผลสำเร็จมาก เพราะหน่วยงานในพื้นที่มีขีดความสามารถจำกัด ทำให้ชาวบ้านไปใช้บริการในเขตอำเภอ แต่บางครั้งช่วงเวลาก็ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้รับบริการพลาดโอกาส จึงปล่อยตามเลยให้ไม่มีการคุมกำเนิด จากการที่แม่บ้านวัยเจริญพันธุ์สนใจเรื่องการตรวจหามะเร็งปากมดลูก จึงสามารถใช้เรื่องนี้เป็นแรงจูงใจในการเข้ารับการคุมกำเนิดได้ เมื่อสรุปผลการดำเนินการ อัตราการคุมกำเนิดในพื้นที่ดำเนินการมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิมและมากกว่าพื้นที่ควบคุม |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวลีซอมีความสัมพันธ์กับชาวจีนฮ่อเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความสัมพันธ์มาตั้งแต่ช่วงที่อยู่ร่วมกันในมณฑลยูนนาน ประกอบกับมีวัฒนธรรมและความเชื่อคล้ายคลึงกัน เช่น การนับถือศาลผีประจำหมู่บ้านและการฉลองปีใหม่ เป็นต้น ชาวลีซอรุ่นเก่าส่วนมากจึงสามารถพูดภาษาจีนฮ่อได้และหนุ่มสาวของทั้งสองกลุ่มก็มีการแต่งงานระหว่างกันเสมอ (หน้า 14) สำหรับชาวไทยในพื้นที่ราบแล้ว ชาวลีซอมีความรู้สึกเป็นมิตรด้วยจากการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าหน้าที่รัฐ แม้บางแห่งเจ้าหน้าที่จะเข้าไปไม่ถึง ชาวลีซอก็รู้สึกว่าไม่มีใครรบกวนความเป็นอยู่ของพวกตน ชาวลีซอยังมีการติดต่อสัมพันธ์กับชาวไทยผ่านการค้าขายและการเข้าร่วมเทศกาลของชาวไทยด้วย (หน้า 15) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
คณะผู้วิจัยได้ให้ข้อมูลถึงประวัติความเป็นมาของการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่า วิธีการดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนักวิทยาศาสตร์ของประเทศอังกฤษ ซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในกองทัพ เพื่อป้องกันการโจมตีของกองทัพอากาศเยอรมันที่จะเข้ามาโจมตีเกาะอังกฤษ ต่อมาสหรัฐฯก็ได้นำไปใช้ในการแก้ปัญหาการพัฒนากองเรือ เพื่อลดการสูญเสียจากการโจมตีของเรือดำน้ำเยอรมัน เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการก็ได้นำไปใช้ในภาคเอกชนและรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ (หน้า 5) คณะผู้วิจัยยังได้ให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินงานเพิ่มเติมดังนี้ 1. การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวยังคงมีความสำคัญอยู่ เพราะบางกลุ่มเป้าหมายยังไม่มีความรู้หรือได้รับความรู้ไม่ถูกต้อง และได้รับข่าวลือผิด ๆ ซึ่งเนื้อหาความรู้และวิธีการให้ความรู้อาจนำสื่อบุคคลให้หมู่บ้านที่คุมกำเนิดร่วมถ่ายทอดด้วย 2. การอบรมความรู้ควรให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมคิดด้วย ซึ่งคาดว่า จะเป็นผลดีต่อกลุ่มเยาวชนในปัจจุบันที่รู้จักคิดและมองเห็นสาเหตุกับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตลอดจนเป็นแนวคิดให้กับพ่อบ้านแม่บ้านวัยเจริญพันธุ์ที่จะอบรมเลี้ยงดูบุตรรุ่นใหม่ด้วย 3. การให้บริการเชิงรุกด้านการวางแผนครอบครัวควรมีการกระทำอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดทำเป็นแผนประจำปี เพื่อให้บริการ, ติดตามผู้รับบริการ, แก้ไขปัญหาภาวะแทรกซ้อน ตลอดจนให้ความรู้ที่เกี่ยวข้อง 4. การประสานความร่วมมือ ควรให้บุคคลหลากหลายวิชาชีพในพื้นที่มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา และต้องประสานความร่วมมือกับผู้นำชุมชนและอาสาสมัครกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชนในการร่วมกิจกรรมด้วย เพื่อให้ผู้นำเหล่านั้นตระหนักถึงปัญหาในชุมชนของตน 5. การแก้ไขระบบบริการ ควรมีการอบรมพัฒนาศักยภาพของแพทย์โรงพยาบาลชุมชนการทำหมันชายเคลื่อนที่ และเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่โรงพยาบาลชุมชนที่มีชาวเขาใช้บริการ 6. ควรให้พื้นที่มีการจดทะเบียนประชากรในพื้นที่ เพื่อควบคุมการย้ายเข้า-ออก และเพื่อติดตามงานวางแผนครอบครัวและงานอื่น ๆ |
|
Map/Illustration |
คณะผู้วิจัยได้ใช้รูปแผงผังก้างปลาและแผนภาพกิ่งแขนงการตัดสินใจในการอธิบายถึงวิธีการที่คณะผู้วิจัยจะใช้ในการดำเนินการ (หน้า 7-12) และใช้แสดงวิธีการหาสาเหตุของปัญหาและวิธีการแก้ไขในการดำเนินการจริง (หน้า 27-28) คณะผู้วิจัยยังได้ใช้ตารางในการให้ข้อมูลเชิงปริมาณทั้งในจำนวนจริงและจำนวนร้อยละ รวมถึงการใช้ตารางเวลาในการกำหนดช่วงเวลาในการดำเนินการในแต่ละอย่างชัดเจน (หน้า 31-32) อีกทั้งคณะผู้วิจัยยังได้ใช้แผนที่อธิบายลักษณะของพื้นที่ในหมู่บ้านทั้งพื้นที่ดำเนินงานและพื้นที่ควบคุม (หน้า 23-24) นอกจากนี้คณะผู้วิจัยได้แนบตัวอย่างแบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการสำรวจข้อมูล (หน้า 59-65), ตารางเวลาและเนื้อหาการอบรม (หน้า 66-75), เอกสารเสนอดำเนินงานโครงการ (หน้า 76-78). กำหนดการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (หน้า 79-80) และภาพกิจกรรมที่คณะผู้วิจัยได้ดำเนินโครงการ (หน้า 81-82) |
|
|