|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การคุมกำเนิด,สุขภาพ,ความเชื่อ,ภาคเหนือ |
Author |
สมควร ใจกระจ่าง |
Title |
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการรับบริการคุมกำเนิดของชาวเขาเผ่าม้ง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
55 |
Year |
2540 |
Source |
ศูนย์วางแผนครอบครัวชาวเขา กระทรวงสาธารณสุข |
Abstract |
งานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการรับบริการคุมกำเนิดของชาวเผ่าม้ง” นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการรับบริการคุมกำเนิดของสตรีชาวเขาเผ่าม้ง โดยศึกษาสตรีชาวเขาเผ่าม้งจำนวน 341 คนซึ่งกำลังคุมกำเนิดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอยู่ อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, น่าน และตาก ซึ่งผู้เขียนได้ทำการวิจัยด้วยวิธีการสุ่มแบบหลากหลาย รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และทดสอบความสัมพันธ์ด้วย Chi-Square (หน้าบทคัดย่อ) ผู้เขียนได้ผลศึกษาสรุปเป็นข้อมูลเชิงปริมาณปัจจัยต่าง ๆ ทั้งข้อมูลทั่วไปและข้อมูลการวางแผนครอบครัว เช่น อายุของสตรีกลุ่มตัวอย่าง, อายุของสามี, จำนวนสมาชิกในครอบครัว, อาชีพของสตรีกลุ่มตัวอย่าง, จำนวนการตั้งครรภ์และการคลอด, การมีส่วนร่วมในการกำหนดจำนวนบุตร, เหตุผลในการคุมกำเนิด และสถานที่รับบริการคุมกำเนิด เป็นต้น เมื่อผู้เขียนทดลองเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านต่าง ๆ กับวิธีการคุมกำเนิดแต่ละชนิดพบว่า อายุของสตรี, อายุของสามี, การนับถือศาสนา, ระดับการศึกษา, จำนวนสมาชิกในครอบครัว, จำนวนบุตรที่มีชีวิต, จำนวนบุตรชาย, จำนวนการคลอดของสตรี, ผู้ทำคลอด, แหล่งความรู้, แหล่งให้บริการ, การรับบริการตรวจหลังการคลอด,ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายในการรับบริการ (หน้าบทคัดย่อ) มีความสัมพันธ์ในการกำหนดการรับบริการคุมกำเนิดของสตรี |
|
Focus |
การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการรับบริการคุมกำเนิดของสตรีชาวเขาเผ่าม้ง (หน้าบทคัดย่อ) และหาความสัมพันธ์ของปัจจัยกับการรับวิธีการคุมกำเนิด (หน้า 1) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้วางกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีว่า พฤติกรรมการรับบริการคุมกำเนิดแต่ละชนิดมีความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนำซึ่งประกอบด้วยปัจจัยด้านประชากรและสังคม ปัจจัยเสริม และปัจจัยเอื้อที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านสังคมสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์ (หน้า 1) โดยใช้แนวคิดดังนี้ 1. ปัจจัยด้านประชากร ซึ่งเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลและครอบครัวอันได้แก่ อายุของสตรี, จำนวนบุตรที่ต้องการ (บุตรในอุดมคติ), จำนวนบุตรที่มีชีวิต, การศึกษาของสตรี และเพศของบุตร (หน้า 2) 2. แนวคิดทฤษฏีด้านพฤติกรรม 2.1 แบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพ ซึ่งใช้ศึกษาและอธิบายความเชื่อของตัวบุคคลที่มีผลต่อการยอมรับการรักษาและแรงจูงใจในการตัดสินใจเข้ารับการรักษา ซึ่งมีพื้นฐานความเชื่อว่า สุขภาพที่ดีในความคิดของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน (หน้า 5) โดยแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัย ได้แก่ ความน่ากลัวของโรคหรือความเจ็บป่วย, ความเชื่อในประสิทธิภาพหรือคุณค่าของพฤติกรรมที่จะกระทำนั้นว่า จะช่วยลดความน่ากลัวของโรคได้หรือไม่, ตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการรับรู้แรงจูงใจด้านสุขภาพ (หน้า 4-6) 2.2 แนวคิดในการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งใช้วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยวิเคราะห์ถึงปัจจัยหลาย ๆ ด้านทั้งด้านตัวบุคคล ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมของบุคคล 3. ปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการยอมรับสิ่งใหม่ไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายในละปัจจัยภายนอกในการส่งเสริมหรือชักจูง โดยแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ 3.1 แรงชักนำหรือผลักดันทางจิตวิทยาสังคม แบ่งออกเป็น 3 ประเภทอันได้แก่ แรงผลักดันจากความต้องการของมนุษย์, แรงผลักดันจากกลุ่มหรือสังคม และแรงชักนำที่มนุษย์คิดขึ้นเอง (หน้า 12) 3.2 สื่อ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทอันได้แก่ สื่อด้านเดียวที่ให้แต่ข้อมูล เช่น บทความ ข้อเขียน และรูปภาพเป็นต้น กับสื่อไป-มาที่มีการโต้ตอบระหว่างกัน แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ญาติมิตรและเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง (หน้า 12) จากกรอบแนวคิดนี้ ผู้เขียนจึงมีแนวคิดว่า ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการคุมกำเนิดแต่ละชนิดของสตรีชาวเขาเผ่าม้ง ได้แก่ อายุของภรรยาและสามี, อายุแรกสมรสของภรรยา, จำนวนการคลอด, ศาสนา, การศึกษา และการที่พูดภาษาไทยได้ ปัจจัยเสริมได้แก่ จำนวนบุตรที่มีชีวิตและตาย, แหล่งความรู้หรือผู้ให้คำแนะนำ. สมาชิกในบ้านเรือน. ผู้ทำคลอด และการทำคลอด และปัจจัยเอื้อ คือแหล่งการให้บริการคุมกำเนิด ค่าใช้จ่ายในการรับบริการ และความห่างไกลของสถานบริการ (หน้า 14) |
|
Ethnic Group in the Focus |
สตรีชาวเขาเผ่าม้งที่มีอายุระหว่าง 15-44 ปีซึ่งกำลังใช้บริการคุมกำเนิดชนิดใดชนิดหนึ่งที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้บริการ และอาศัยอยู่ในพื้นที่ 5 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย แม่ฮ่องสอน, น่าน และตาก |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มีจำนวนสตรีกลุ่มตัวอย่างที่ผู้เขียนศึกษาก็สามารถพูดภาษาไทยได้ถึง 184 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 54 ของจำนวนสตรีในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (หน้า 19) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
กลุ่มตัวอย่างที่ผู้เขียนได้สัมภาษณ์นี้เป็นสตรีชาวเขาเผ่าม้งที่มีอายุระหว่าง 15-44 ปีจากหมู่บ้านในพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 341 คน ซึ่งสามารถแบ่งตามอายุได้ดังนี้ (หน้า 17) - อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 14 คน - อายุ 20-24 ปี จำนวน 60 คน - อายุ 25-29 ปี จำนวน 85 คน - อายุ 30-34 ปี จำนวน 72 คน - อายุ 35-39 ปี จำนวน 60 คน - อายุ 40-44 ปี จำนวน 45 คน โดยเฉลี่ยแล้ว กลุ่มสตรีที่ผู้เขียนศึกษาจะมีอายุ 30.3 ปี (หน้า 17) ผู้เขียนยังได้ระบุอายุของสามีของกลุ่มสตรีตัวอย่างจำนวน 341 คนด้วย โดยแบ่งตามอายุได้ดังนี้ - อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 3 คน - อายุ 20-24 ปี จำนวน 35 คน - อายุ 25-29 ปี จำนวน 74 คน - อายุ 30-34 ปี จำนวน 72 คน - อายุ 35-39 ปี จำนวน 63 คน - อายุ 40-44 ปี จำนวน 55 คน - อายุ 45-49 ปี จำนวน 28 คน - อายุ 50 ปีขึ้นไป จำนวน 11 คน จากการสำรวจข้อมูลประชากร ผู้เขียนพบว่า ส่วนใหญ่ครอบครัวในกลุ่มตัวอย่างสตรีจะมีจำนวนสมาชิกอยู่ประมาณ 5-9 คน รองลงมาคือ 10-14 คน กลุ่มตัวอย่างสตรีนี้มักจะแต่งงานครั้งแรกเมื่ออายุ 15-19 ปี มีบางส่วนที่แต่งงานครั้งแรกตั้งแต่อายุ 11 ปี และอายุสูงสุดที่แต่งงานครั้งแรก คือ 26 ปี สตรีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการตั้งครรภ์ครั้งแรกอยู่ในช่วงอายุ 15-19 ปีและส่วนใหญ่มีจำนวนการตั้งครรภ์ 3-4 ครั้ง รองลงมาคือ 5-6 ครั้ง (หน้า 20) ในกลุ่มตัวอย่างสตรีนี้มีส่วนใหญ่มีจำนวนการคลอด 3-4 ครั้ง รองลงมาคือ 5-6 ครั้ง ส่วนใหญ่ไม่เคยมีการแท้งถึง 278 คน (หน้า 21) ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างสตรีนี้จะมีบุตรอยู่ประมาณ 3-4 คน รองลงมาคือ 5-6 คน โดยอายุของบุตรคนสุดท้องจะอยู่ประมาณ 1-2 ปี รองลงมาคือ 2-3 ปีและ 5 ปีขึ้นไป และในครอบครัวของสตรีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีจำนวนบุตรชายที่มีชีวิตอยู่ 1-2 คน รองลงมาคือ 3-4 คน ขณะที่จำนวนบุตรหญิงที่มีชีวิตอยู่ ส่วนใหญ่จะมีประมาณ 1-2 คน แต่กระนั้น กลุ่มตัวอย่างสตรีส่วนใหญ่ไม่มีบุตรที่เสียชีวิต (หน้า 23) ด้านความต้องการบุตร กลุ่มตัวอย่างสตรีส่วนใหญ่จะต้องการบุตรจำนวน 4 คน รองลงมาคือ 5 คน โดยมีความต้องการบุตรชาย 2 คนมากที่สุดและรองลงมาคือ 3 คน และมีความต้องการบุตรสาวจำนวน 2 คนมากที่สุดและรองลงมาคือ 1 คน (หน้า 25-26) ซึ่งกลุ่มตัวอย่างสตรีกับสามีจะมีส่วนร่วมในการกำหนดจำนวนบุตรมากที่สุด รองลงมาคือ สามีเป็นผู้กำหนดเพียงคนเดียว ในกลุ่มตัวอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นภรรยาลำดับที่ 1 มากที่สุด มีบางคนที่เป็นภรรยาคนที่ 2 และ 3 ซึ่งสามีของกลุ่มตัวอย่างที่มีภรรยา 2 คนและมากกว่า 2 คน มีจำนวน 55 คน และ 8 คนตามลำดับ (หน้า 26) ในกลุ่มตัวอย่างสตรีนี้ มีบุตรของสามีจำนวนมากกว่า 2 คนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 86.7 โดยมีจำนวนบุตรชายของสามีเกินกว่า 2 คนถึงร้อยละ 49 แต่มีจำนวนบุตรหญิงของสามีเกินกว่า 2 คนเพียงร้อยละ 36.6 (หน้า 27) |
|
Economy |
กลุ่มตัวอย่างสตรีนี้เกือบทั้งหมดจะประกอบอาชีพทำไร่ทำสวนซึ่งเป็นอาชีพเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกับสามี ซึ่งมีจำนวนถึง 323 คนที่ประกอบอาชีพนี้ (หน้า 18) มีจำนวนเล็กน้อยที่ประกอบอาชีพอื่น เช่น ค้าขายและอาชีพอื่น ๆ เป็นต้น และไม่มีใครในกลุ่มตัวอย่างประกอบอาชีพรับจ้าง (หน้า 18) |
|
Belief System |
สตรีกลุ่มตัวอย่างนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธซึ่งมีจำนวน 184 คน มีบางส่วนที่นับถือพุทธ-ผี, ศาสนาคริสต์ และนับถือผีอย่างเดียว (หน้า 18) |
|
Education and Socialization |
กลุ่มตัวอย่างนี้เกือบทั้งหมดไม่ได้รับการศึกษาในระบบการศึกษา สำหรับผู้ที่ได้รับการศึกษาในระบบ ระดับการศึกษาสูงสุดคือ ระดับมัธยมศึกษา/ปวช./ปวส. จำนวน 5 คน ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 4 (หน้า 18) |
|
Health and Medicine |
สตรีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ทำคลอดกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข แต่ก็มีอีกจำนวนมากที่ให้สามี พ่อแม่ หรือญาติช่วยเหลือในการทำคลอด มีบางคนที่ให้หมอตำแยทำคลอดและคลอดเอง (หน้า 21) แต่กระนั้น ภายหลังการคลอดครั้งหลังสุด สตรีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มักไม่มีการตรวจร่างกายภายหลังการคลอด แต่ก็มีอยู่จำนวนหนึ่งที่เข้ารับการตรวจ โดยเลือกที่จะเข้ารับการตรวจจากโรงพยาบาลมากที่สุดถึงร้อยละ 33.4 จากร้อยละ 39.9 ของสตรีกลุ่มตัวอย่างที่เข้ารับการตรวจทั้งหมด ในการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของสตรีกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่จะให้น้ำนมลูกเป็นเวลา 1-2 ปี รองลงมาคือ 9-12 เดือน แต่มีจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ให้น้ำนม โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีน้ำนมและหัวนมบอด (หน้า 24) ในการคุมกำเนิด มีกลุ่มตัวอย่างสตรีเพียงร้อยละ 2.3 เท่านั้นที่มีการคุมกำเนิดก่อนตั้งครรภ์ครั้งแรกและหลังจากคลอดบุตรคนแรกก็มีเพียงร้อยละ 13.9 เท่านั้นที่คุมกำเนิด (หน้า 28) ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ยาฉีดคุมกำเนิด รองลงมาคือ การทำหมันหญิง เหตุผลส่วนใหญ่ที่คุมกำเนิดคือ มีบุตรเพียงพอแล้ว รองลงมาคือ เพื่อเว้นระยะการมีบุตร สตรีกลุ่มตัวอย่างนี้ส่วนใหญ่ต่างพอใจวิธีการคุมกำเนิด แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ชอบ เพราะมีผลข้างเคียง (หน้า 29) สถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างสตรีไปรับบริการคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเป็นโรงพยาบาลและสถานีอนามัย มีบางส่วนที่ใช้บริการสถานบริการสาธารณสุขและคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต้องเดินทางมากกว่า 30 กิโลเมตร รองลงมาคือ 1-10 กิโลเมตร โดยส่วนมากมักจะเดินทางโดยรถยนต์รับจ้าง รองลงมาคือ ใช้วิธีเดินเท้า กลุ่มที่ใช้วิธีโดยสารรถรับจ้างจะเสียค่าเดินทาง 21-30 บาทมากที่สุด รองลงมาคือ 11-20 บาท เหตุผลสำคัญที่กลุ่มตัวอย่างไปรับบริการในสถานบริการ คือ ใกล้บ้าน รองลงมาคือ สะดวกให้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเสียค่าบริการตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไป แต่ก็มีอยู่จำนวนใกล้เคียงกันที่ไม่เสียค่าบริการและเสียค่าบริการเพียง 10-20 บาท บุคคลที่แนะนำให้กลุ่มตัวอย่างคุมกำเนิด ส่วนมากจะเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รองลงมาคือ รู้ด้วยตนเองและสามีแนะนำตามลำดับ สตรีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่เคยมีการคุมกำเนิดมาก่อนเข้ารับบริการในปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า ต้องการมีลูกตามต้องการมากที่สุด รองลงมาคือ เพิ่งมีลูกคนแรก กลุ่มที่เคยมีการคุมกำเนิดมาก่อนส่วนใหญ่จะใช้วิธีการฉีดยาคุมกำเนิดและยาเม็ดคุมกำเนิด สาเหตุที่สตรีกลุ่มตัวอย่างเลิกใช้วิธีการคุมกำเนิดก่อนมาคุมกำเนิดในปัจจุบัน โดยแบ่งตามวิธีการดังนี้ (หน้า 33) 1. กลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนมากให้เหตุผลที่เลิกใช้ว่า ยังต้องการมีลูกกับมีอาการข้างเคียง มีบางส่วนที่ลืมกินยา 2. กลุ่มที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะให้เหตุผลที่เลิกใช้ว่า ต้องการทำหมัน, ประจำเดือนไม่ปกติ และมีอาการอ่อนเพลีย 3. กลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิด จะให้เหตุผลที่เลิกใช้ว่า มีเลือดออกกระปริดกระปรอยและไม่มีแรง 4. กลุ่มที่ใช้ห่วงอนามัย ส่วนใหญ่จะให้เหตุผลที่เลิกใช้ว่า ใช้ไม่สะดวก รองลงมาคือ ต้องการลูก ซึ่งสตรีกลุ่มตัวอย่างนี้ส่วนมากจะตัดสินใจไปรับบริการคุมกำเนิดด้วยตนเอง แต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่สามีตัดสินใจให้ โดยสามีเกือบทั้งหมดเห็นด้วยกับการคุมกำเนิด ขณะที่พ่อแม่ของสามีเกือบทั้งหมดไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในการรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับวิธีการคุมกำเนิด มีบางส่วนที่เคยได้ยินมา โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับสุขภาพของตน เช่น ฉีดยาแล้วมดลูกแห้งไม่มีแรง จะไม่มีลูก, ฝังยาคุมแล้วผอม เลือดลมไม่ดี หงุดหงิด ไม่มีแรง และทำหมันแล้วจะทำงานหนักไม่ได้ ไม่มีอารมณ์ เปลี่ยนนิสัย ช่องคลอดแห้ง ไม่มีแรง เป็นต้น (หน้า 35) อีกทั้งสตรีกลุ่มตัวอย่างนี้เกือบทั้งหมดรู้จักวิธีการคุมกำเนิดวิธีอื่นนอกเหนือจากที่ใช้อยู่ด้วย โดยสตรีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่รับรู้ข้อมูลข่าวสารการคุมกำเนิดจากสถานีอนามัยหรือสถานบริการสาธารณสุขชุมชน รองลงมาคือ จากสื่อบุคคล และจากวิทยุกับวีดีโอ บุคคลผู้ให้คำแนะนำในการคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีเพียงเล็กน้อยที่เป็นญาติ เพื่อนบ้าน และคนใกล้ชิด สุขภาพก่อนและหลังการคุมกำเนิดของสตรีกลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดจะเป็นปกติ มีจำนวนเล็กน้อยที่มีอาการผิดปกติ แต่กลุ่มที่มีอาการผิดปกติส่วนใหญ่จะไม่มีการทำอะไรเพื่อแก้ไขอาการผิดปกตินั้น มีบางส่วนเท่านั้นที่พยายามเข้ารับการรักษา โดยส่วนใหญ่จะเดินทางไปโรงพยาบาลและสถานีอนามัย ผู้เขียนได้ถามความคิดเห็นของสตรีกลุ่มตัวอย่างในการเปลี่ยนแปลงวิธีการคุมกำเนิดว่า เกือบทั้งหมดจะไม่เปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิด มีส่วนหนึ่งที่เปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิด โดยส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นในการคุมกำเนิด รองลงมาคือ การทำหมันหญิง ผู้เขียนได้หาความสัมพันธ์ของวิธีการคุมกำเนิดชนิดต่าง ๆ กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องให้รับบริการคุมกำเนิดแต่ละวิธีแล้วพบว่า 1. ในความสัมพันธ์ระหว่างอายุสตรีกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด กลุ่มสตรีตัวอย่างที่อายุต่ำกว่า 20 ปีจะรับบริการยาฉีดคุมกำเนิดและยาเม็ดคุมกำเนิดมากกว่าชนิดอื่น ส่วนสตรีกลุ่มตัวอย่างที่อายุมากกว่า 40 ปีส่วนใหญ่จะทำหมันหญิง และสตรีกลุ่มตัวอย่างที่รับยาฝังคุมกำเนิดมากที่สุดเป็นกลุ่มสตรีอายุ 30-39 ปี มีเพียงเล็กน้อยที่ใช้ห่วงอนามัย 2. ในความสัมพันธ์ระหว่างอายุสามีกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดและยาฉีดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะมีสามีอายุต่ำกว่า 20 ปี กลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะมีสามีอายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนกลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงส่วนใหญ่จะมีสามีอายุ 40-49 ปี 3. ในความสัมพันธ์ระหว่างอายุแรกสมรสกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดและยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะมีอายุแรกสมรสต่ำกว่า 20 ปี และสตรีที่นิยมทำหมันหญิงจะมีอายุ 25 ปีขึ้นไป แต่ก็มีสตรีในช่วงอายุ 15- 24 ปีจำนวนมากที่นิยมใช้วิธีทำหมันหญิง 4. ในความสัมพันธ์ระหว่างการนับถือศาสนากับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและนับถือผีจะนิยมใช้ยาฉีดคุมกำเนิดใกล้เคียงกัน แต่กลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะนับถือพุทธ+ผี กลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงและยาฝังคุมกำเนิดส่วนมากจะนับถือศาสนาคริสต์ 5. ในความสัมพันธ์ระหว่างระดับการศึกษากับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดจะจบการศึกษาระดับป.6 มากที่สุด ขณะที่กลุ่มที่ทำหมันหญิงจะจบการศึกษาระดับป.4 กลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัยทั้งหมดจะไม่ได้รับการศึกษา 6. ในความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการพูดภาษาไทยได้กับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างทั้งที่พูดภาษาไทยได้และไม่ได้มีวิธีในการคุมกำเนิดใกล้เคียงกัน (หน้า 41) 7. ในความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนสมาชิกในครอบครัวกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิธีทำหมันหญิงส่วนใหญ่จะมีสมาชิกในครอบครัวไม่เกิน 4 คน กลุ่มที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดจะมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และกลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดส่วนใหญ่มีสมาชิกในครอบครัว 5-9 คน 8. ในความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนบุตรมีชีวิตกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะมีบุตร 1-2 คน ส่วนที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนมากจะมีจำนวนบุตร 9 คนขึ้นไป และกลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดและการทำหมันหญิงจะมีบุตรจำนวน 7-8 คน 9. ในความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนบุตรชายกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มที่ไม่มีบุตรชายจะนิยมการใช้ยาฉีดคุมกำเนิดมากที่สุด กลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะมีบุตรชาย 1-2 คน กลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงจะมีบุตรชาย 3-4 คน และกลุ่มที่นิยมใช้ยาฝังคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะมีบุตรชาย 5 คนขึ้นไป (หน้า 42) 10. ในความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนการคลอดของสตรีกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้การทำหมันหญิงจะมีจำนวนการคลอก 5-8 ครั้ง ส่วนสตรีกลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดจะมีการคลอด 8 ครั้งขึ้นไป สตรีกลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดและยาฉีดคุมกำเนิดจะมีจำนวนการคลอด 1-4 ครั้ง 11. ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ทำคลอดกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะให้ญาติและสามีทำคลอดมากที่สุด ขณะที่กลุ่มที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดจะให้พ่อแม่ทำคลอด ส่วนกลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดจะให้หมอตำแยเป็นคนทำคลอด แต่กลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงจะให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำคลอด (หน้า 43) 12. ในความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งให้ความรู้การคุมกำเนิดกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะได้ความรู้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่วนกลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงส่วนใหญ่จะได้รับความรู้จากโรงพยาบาลและสื่อต่าง ๆ กลุ่มที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนมากจะได้รับความรู้จากเพื่อนบ้าน และกลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดส่วนมากจะได้รับความรู้จากอาสาสมัครสาธารณสุข 13. ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้คำแนะนำการคุมกำเนิดกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะได้รับคำแนะนำจากสามีมากที่สุด ขณะที่กลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงจะได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมากที่สุด ส่วนกลุ่มที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะได้รับคำแนะนำจากเพื่อนบ้านมากที่สุด (หน้า 44) 14. ในความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งให้บริการการคุมกำเนิดกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเข้ารับบริการที่คลินิก รองลงมาคือ ที่สถานีอนามัย ขณะที่กลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดกับกลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงจะเข้ารับบริการจากโรงพยาบาล และกลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะเข้ารับบริการจากสถานบริการสาธารณสุขชุมชน 15. ในความสัมพันธ์ระหว่างการรับบริการตรวจหลังคลอดกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนมากจะรับบริการตรวจจากสถานบริการสาธารณสุขชุมชน กลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะรับบริการตรวจจากสถานีอนามัย ขณะที่กลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงส่วนใหญ่จะรับบริการจากโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดส่วนใหญ่ไม่รับการตรวจ 16. ในความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่ายในการเดินทางกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเสียค่าเดินทางไม่เกิน 20 บาท กลุ่มที่ใช้การทำหมันหญิงจะเสียค่าเดินทางมากกว่า 40 บาท (หน้า 46) 17. ในความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่ายในการรับบริการกับวิธีการรับบริการคุมกำเนิด สตรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดส่วนมากจะเสียค่ารับบริการ 21-50 บาท ส่วนกลุ่มที่ทำหมันหญิงส่วนใหญ่จะเสียค่ารับบริการ 50 บาทขึ้นไป และกลุ่มที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเสียค่ารับบริการไม่เกิน 20 บาท ผู้เขียนได้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ปัจจัยต่าง ๆ กับวิธีการคุมกำเนิดแล้วสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. ปัจจัยนำที่ทำให้สตรีกลุ่มตัวอย่างเข้ารับบริการคุมกำเนิดคือ อายุของสตรี, อายุของสามี, การนับถือศาสนาของสตรี และระดับการศึกษาของสตรี มีความสัมพันธ์ต่อการรับบริการคุมกำเนิด เช่น สตรีอายุน้อยหรือมีสามีอายุน้อยมักจะใช้ยาฉีดในการคุมกำเนิด ขณะที่สตรีที่มีอายุมากหรือมีสามีอายุมากมักจะใช้การทำหมันหญิง (หน้า 50-51) เป็นต้น แต่อายุแรกสมรสกับความสามารถในการพูดภาษาไทยได้ไม่มีส่วนสัมพันธ์ใด ๆ กับการรับบริการคุมกำเนิด 2. ปัจจัยเสริมที่ทำให้สตรีกลุ่มตัวอย่างเข้ารับบริการคุมกำเนิดคือ จำนวนบุตรมีชีวิต, จำนวนสมาชิกในครอบครัว, จำนวนบุตรชาย, จำนวนการคลอด, ผู้ทำคลอด, แหล่งความรู้ และผู้ให้คำแนะนำ มีความสัมพันธ์กับการรับบริการคุมกำเนิด เช่น สตรีที่มีบุตรมีชีวิตอยู่จำนวนมากมักจะใช้วิธีการทำหมันหญิงหรือยาฝังคุมกำเนิดเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่สตรีที่บุตรมีชีวิตอยู่จำนวนน้อยมักจะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด (หน้า 51) เป็นต้น 3. ปัจจัยเอื้อที่ทำให้สตรีกลุ่มตัวอย่างเข้ารับบริการคุมกำเนิดคือ แหล่งให้บริการคุมกำเนิด, การตรวจหลังคลอด, ค่าเดินทาง และค่ารับบริการ มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการ เช่น สตรีจะรับบริการทำหมันหญิงจากโรงพยาบาลมากที่สุด ขณะที่สตรีที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดมักจะรับบริการจากคลินิก เป็นต้น |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ผู้เขียนยังได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอีกดังนี้ 1. การรับรู้ข้อมูลและการได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องมีผลต่อการรับบริการคุมกำเนิดของสตรีชาวเผ่าม้ง ผู้เขียนจึงแนะนำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนำกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทั้งในการทำงานและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง 2. ชาวเขาเผ่าม้งเพศชายมีส่วนสำคัญต่อพฤติกรรมการคุมกำเนิด ดังนั้นการสื่อสารและกระจายความรู้ผ่านทางพ่อบ้านชาวเขาจะช่วยทำให้สตรียอมรับการคุมกำเนิดมากขึ้น 3. ควรมุ่งเน้นการให้ความรู้และคำปรึกษาในการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัวแก่กลุ่มเยาวชนชาวเขาทั้งชายและหญิง เพราะชาวเขาเผ่าม้งมักจะมีบุตรจำนวนมากตั้งแต่อายุน้อย โดยเฉพาะเพศชาย (หน้า53) 4. ควรมุ้งเน้นให้สตรีที่กำลังตั้งครรภเข้ารับบริการจากโรงพยาบาลมากขึ้น เพื่อให้คำแนะนำส่งเสริมการทำหมันหลังคลอด โดยมุ่งเน้นการให้สุขศึกษารายกลุ่มและเน้นสื่อบุคคลซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มชาวเขาได้ง่าย (หน้า 53) 5. การวิจัยครั้งต่อไปควรมีการศึกษาแบบเจาะลึกในประเด็นต่าง ๆ ในแต่ละกลุ่มอายุ |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนภูมิในการแสดงกรอบแนวคิดในการวิจัย เพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงของปัจจัยต่าง ๆ ในทางทฤษฎี เช่น แผนภูมิกรอบแนวคิดในการอธิบายพฤติกรรมสุขภาพตามแบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพและ แผนภูมิมโนทัศน์การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพตามแบบจำลอง เป็นต้น และผู้เขียนยังได้ใช้ตารางต่าง ๆ อธิบายข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น ตารางจำนวนและร้อยละของอายุสตรี, ตารางจำนวนและร้อยละของความต้องการบุตร และตารางจำนวนและร้อยละของค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เป็นต้น นอกจากนี้ในภาคผนวก ผู้เขียนได้ให้รูปแบบของแบบสำรวจที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย |
|
|