สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,กะเหรี่ยง,การใช้สารเคมี,สุขภาพ,เชียงใหม่
Author พรปริญญา สุขสวัฒนา, บุญถิ่น อินดาฤทธิ์
Title ศึกษาผลกระทบจากการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชของชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยง ณ ลุ่มแม่น้ำกลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 92 Year 2537
Source มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

          เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการศึกษาเรื่องการใช้สารเคมีและภาวะการใช้สารเคมี ผลกระทบต่อสุขภาพและปัญหาต่างๆของม้งและกะเหรี่ยง ที่อยู่ลุ่มน้ำแม่กลาง เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 180 ครอบครัวจากทั้งหมด 280 ครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่ จากการศึกษาพบว่าการใช้สารเคมีมีชาวเขาบางส่วนทำตามคำแนะนำที่อ่านในฉลากยาบางส่วนจะกะเอาโดยประมาณ การใช้สารเคมียังมีผู้ที่ปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องเช่น ไม่สวมหมวก หรือสวมหน้ากากป้องกันพิษไม่สวมถุงมือและรองเท้าหุ้มส้น เป็นต้น ส่วนผลกระทบด้านสุขภาพม้งและกะเหรี่ยงเคยพบปัญหาด้านสุขภาพเช่นเวียนหัว คลื่นไส้ ระคายผิว นอกจากนี้ม้งและกะเหรี่ยงยังมีการพัฒนาการใช้สารเคมีด้วยตนเองเพิ่มชนิดและปริมาณต่อไร่มากขึ้นขาดความรู้เรื่องความปลอดภัยและประมาทรวมทั้งขาดจิตสำนึกต่อผู้บริโภค

Focus

          ศึกษาปัจจัยพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้สารเคมีและภาวะการใช้สารเคมีผลกระทบและปัญหาการใช้สารเคมีของม้งและกะเหรี่ยง (หน้า 2,3)

Theoretical Issues

          ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

          ประชากรในกรณีศึกษาเป็นม้ง หมู่บ้านขุนกลาง ตำบลบ้านกลาง จำนวน 72 ครอบครัว (หน้า 3,66) และกะเหรี่ยง 5 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านผาหมอน บ้านหนองหล่ม บ้านอ่างกาน้อย บ้านผาหมอนใหม่ บ้านท่าฝั่ง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 108 ครอบครัว (หน้า 3,67)

Language and Linguistic Affiliations

          ไม่มี

Study Period (Data Collection)

          เก็บข้อมูลใน พ.ศ. 2538 ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ (หน้า 30)

History of the Group and Community

          ประวัติม้งบ้านขุนกลาง ลุ่มน้ำแม่กลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มบ้านคือ “กลุ่มเลาหลึ” อพยพมาจากบ้านแม่เลา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ“กลุ่มเลาเจี๊ยะ” ส่วน“ กลุ่มหยงหั่ว” อพยพมาจากบ้านโป่งสมิต ตำบลแม่วิน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา (หน้า 4,5) ประวัติกะเหรี่ยง ลุ่มน้ำแม่กลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านของกะเหรี่ยงอยู่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หมู่บ้านกรณีศึกษาเป็นกะเหรี่ยงสะกอ ประกอบด้วยหมู่บ้านดังต่อไปนี้ หมู่บ้านผาหมอน หมู่บ้านหนองหล่ม หมู่บ้านท่าฝั่ง และหมู่บ้านอ่างกาน้อย (หน้า 5,6) ทั้ง 4 หมู่บ้านได้ก่อตั้งเมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมาในระยะแรกจะอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งหมู่บ้าน ในภายหลังจึงแยกออกเป็นหมู่บ้านต่างๆ อันเนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนประชากรและความขีดแย้งเรื่องการฝ่าฝืนจารีตประเพณี (หน้า 6)

Settlement Pattern

          ไม่มี

Demography

          ประชากรกรณีศึกษา ประกอบด้วยม้งและกะเหรี่ยง ที่อยู่ในพื้นที่ล่มน้ำแม่กลาง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ มีประชากรทั้งหมด 280 ครอบครัว ประชากรในการศึกษามี 180 ครอบครัวโดยอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ดังนี้ บ้านขุนกลาง(ม้ง) 72 ครอบครัว และกะเหรี่ยงในหมู่บ้านต่างๆคือบ้านผาหมอน 39 ครอบครัว บ้านหนองหล่ม 37 ครอบครัว บ้านอ่างน้อย 20 ครอบครัว บ้านผาหมอนใหม่ 7 ครอบครัว และบ้านท่าฝั่ง 5 ครอบครัว (บทคัดย่อ หน้า ข,27,30)

Economy

          อาชีพของม้งบ้านขุนกลาง อาชีพหลักคือเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เช่น หมู ไก่ มา วัวและอื่นๆ สำหรับพืชที่ปลูกคือไม้ดอก (55.60 %) และพืชไร่ ( 40.30%) ทำนาข้าว ปลูกข้าวไร่และข้าวโพด ฝิ่น พืชยืนต้นจะปลูก ท้อ ละหุ่ง กาแฟ ฯลฯ ซึ่งได้ความรู้มาจากนักส่งเสริมของโครงการหลวง ฟังวิทยุและอ่านจากหนังสือพิมพ์ เมื่อปลูกได้ผลผลิตก็จะขายให้กับพ่อค้าและส่งจำหน่ายให้โครงการหลวง นอกจากนี้ก็ประกอบอาชีพอื่น เช่นค้าขาย ขับรถ หาของป่า เป็นต้น (บทคัดย่อ หน้า ข,5ตารางหน้า 35,67) อาชีพของกะเหรี่ยงลุ่มน้ำแม่กลาง อาชีพหลักคือทำไร่ (76.90%) ปลูกพืชเช่น ข้าว กาแฟ ฝิ่น พืชยืนต้นเช่น ขนุน มะม่วง และเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู ไว้เซ่นไหว้ผี เลี้ยงวัว ควาย เพื่อใช้แรงงาน สำหรับอาชีพอื่นได้แก่ หาของป่า รับจ้าง ค้าขาย รับราชการและอื่นๆ (บทคัดย่อ หน้า ข,6-7,67 ตารางหน้า 35)

Social Organization

          ไม่มี

Political Organization

          ไม่มี

Belief System

          ไม่มี

Education and Socialization

          การศึกษาของม้งบ้านขุนกลาง ตำบลบ้านกลาง ประชากรกรณีศึกษา 72 ครอบครัว ส่วนมากมีอายุระหว่าง 31-40 ปี (33.30 %) มีคนที่อ่านหนังสือออก 58.30 % ส่วนคนที่อ่านหนังสือไม่ออก มี 41.70 % (หน้า 66 ตารางหน้า 32) การศึกษาของกะเหรี่ยงลุ่มน้ำแม่กลาง ประชากรศึกษา 108 ครอบครัว ส่วนมากอายุระหว่าง 34-40 ปี(28.70%) มีคนที่อ่านหนังสือไม่ออกจำนวน 56.50 % ส่วนคนที่อ่านหนังสือออกมี 43.50 % (หน้า 67ตารางหน้า 32)

Health and Medicine

          ผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพชาวเขา ม้ง พบว่าส่วนมากได้รับผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพเช่น มีอาการเวียนหัว ปวดหัว คิดเป็น 80.60 % มีอาการคลื่นไส้ 63.90 % ปวดเมื่อยตามร่างกาย 65.30 % ระคายเคืองตามผิวหนัง ตา คอ จมูก 56.90 % หายใจติดขัด 20.90 % ตาพร่าและเหงื่อออกมาก 18.10 % เป็นต้น (หน้า 70 ตารางหน้า 53) กะเหรี่ยง พบว่าส่วนมากมีผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพ เช่น มีอาการเวียนหัว ปวดหัว คิดเป็น 74.10 % ปวดเมื่อยตามร่างกาย 65.70 % คลื่นไส้ 43.50 % ระคายเคืองผิวหนัง ตา คอ จมูก 42.60 % เป็นต้น (หน้า 70 ตารางหน้า 54) ปัญหาการใช้สารเคมีของม้งและกะเหรี่ยงลุ่มน้ำแม่กลาง จากการศึกษาพบว่า ปัญหาทั่วไปที่ส่งผลให้เกิดปัญหาในการใช้สารเคมี เช่นปัญหาความเข้าใจกับภาษาบนฉลากสารเคมี ปัญหาความยากจนจึงทำให้มุ่งที่จะผลิตพืชผักต่างๆเพื่อขาย นอกจากนี้ก็พบปัญหาเรื่องแรงงานที่ม้งส่วนมากจะว่าจ้างแรงงานกะเหรี่ยงที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการใช้สารเคมี สำหรับปัญหาการใช้สารเคมีนั้นคือ ชาวเขาจะพัฒนาการใช้สารเคมีโดยจะเพิ่มชนิดและปริมาณด้วยตนเอง นอกจากนี้ก็ยังไม่มีความรู้เรื่องความปลอดภัยในการใช้สารเคมีอันเนื่องมาจากความประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สำหรับผลกระทบนอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพแล้วยังเกิดปัญหาสารพิษตกค้างในน้ำและดิน ทำให้มลภาวะทางอากาศเป็นพิษและอื่นๆ (หน้า 64,72) การรักษาพยาบาล ม้งและกะเหรี่ยงเมื่อเป็นไข้ไม่สบายจะไปรักษาตามสถานที่ต่างๆดังนี้ ไปรักษาที่สถานีอนามัย โดยคิดเป็นม้งที่ไปรักษา 75 % กะเหรี่ยง 81.50 % ไปโรงพยาบาล ม้ง 73.60 %และกะเหรี่ยง 72.20 % ซื้อยามากินเอง ม้ง 27.80 % และกะเหรี่ยง 30.60 % ไปคลินิค ม้ง 26.40 % กะเหรี่ยง 9.30 %รักษาพื้นบ้าน ม้ง 9.70 %และกะเหรี่ยง 6.50 % เป็นต้น (หน้า 55) วัตถุประสงค์ของการใช้สารเคมี จากการศึกษาระบุว่า ม้งได้บอกเหตุผลของการใช้สารเคมีดังนี้ กลุ่มตัวอย่าง 72 คน (100 %) บอกว่าใช้เพื่อป้องกันและกำจัดแมลง กะเหรี่ยง 95 คน (88 %) บอกว่าใช้เพื่อป้องกันและกำจัดแมลง ส่วนอีก 13 คน(12 %)ไม่ระบุเหตุผลของการใช้ (หน้า 39) ระยะการใช้สารเคมี พบว่าในกลุ่มม้ง 72 คน มีระยะเวลาในการใช้สารเคมีดังนี้ใช้น้อยกว่า 3 ปี 27 คน (37.60%) ใช้ 4-6 ปี 29 คน (40.20 %) ใช้ 7-9 ปี 9 คน ( 12.50 %) ใช้มากกว่า 10 มี 7 คน (9.80 %) กะเหรี่ยง 108 คน จำนวนมากที่สุด 47 คน (43.50 %)ใช้ต่ำกว่า 3ปี 29 คน (27 %)ใช้สารเคมี 4-6 ปี 12 คน (11.10 %) ใช้สารเคมี 7-9 ปี และใช้มากกว่า 10 ปีขึ้นไปมี 20 คน (18.40%)(หน้า 38) ลักษณะการใช้สารเคมี แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ 1) จำนวนสารเคมีที่เริ่มใช้นับถึงปัจจุบัน ม้ง 72 คนระบุว่า จำนวนสารเคมีที่ใช้ 1-2 ชนิด มี 27 คน (37.50%) 3-4 ชนิด 36 คน (50 %) 5-6 ชนิด 9 คน(12.50 %) กะเหรี่ยง 108 คนระบุว่า จำนวนสารเคมีที่ใช้ 1-2 ชนิดมี 60 คน(55.50%) ใช้ 3-4 ชนิด 34 คน(31.50%) ใช้ 5-6 ชนิด 14 คน(13 %) (หน้า 38) 2) 2 ) ปริมาณการใช้สารเคมี ม้งระบุว่า ปริมาณการใช้สารเคมีลดลง 10 คน (13.90%) ใช้เท่าเดิม 23 คน(31.90 %) ใช้เพิ่มขึ้น 39 คน(54.20%) กะเหรี่ยง ระบุว่าใช้ลดลง 10 คน (9.30 %)ใช้เท่าเดิม 26 คน(24.10 %) ใช้เพิ่มขึ้น 59 คน (54.60 %) ไม่ระบุ 13 คน(12 %) (หน้า 39) 3) ลักษณะด้านต่างๆของการใช้สารเคมี ม้งระบุว่า ใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว 25 คน (34.70 %) ใช้ผสม 46 คน(63.90 %) และไม่ระบุการใช้ 1 คน(1.40 %) กะเหรี่ยง ระบุว่า ใช้เพียงอย่างเดียว 28 คน(25.90 %) ใช้ผสม 66 คน(61.10 %) ไม่ระบุการใช้ 14 คน(13%) (หน้า 40) 4) จำนวนสารเคมีที่ผสม ม้งระบุว่าจำนวนสารเคมีผสม 2 อย่าง 32 คน(44.40 %) ผสม 3 อย่าง 17 คน(23.60%) ผสม 4 อย่าง 2 คน (2.80%)ผสมมากกว่า 4 อย่าง 21 คน(29.20 %) กะเหรี่ยง ระบุว่า ผสม 2 อย่าง 35 คน(32.40 %) ผสม 3 อย่าง 27 คน (25 %) ผสม 4 อย่าง 7 คน(6.50 % )ผสมมากกว่า 4 อย่าง 2 คน(1.90 %)และไม่ระบุจำนวนสารเคมีที่ผสม 37 คน( 34.30 %) (หน้า 40) 5) การอ่านฉลากก่อนใช้สารเคมี ม้งระบุว่า อ่าน 45คน(58.30 %)ไม่อ่าน 27 คน (41.70%) กะเหรี่ยง อ่าน47 คน(43.50 %)ไม่อ่าน 61 คน (56.50 %) (หน้า 41) 6) ความเข้าใจเมื่ออ่านฉลากสารเคมีจบแล้ว ม้งระบุว่า เข้าใจ 42 คน (58.30 %) ไม่เข้าใจ 30 คน (41.70 %) กะเหรี่ยงระบุว่า เข้าใจ 47 คน (43.50 %)ไม่เข้าใจ 61 คน (56.50 %) (หน้า 42) 7) การตวงสารเคมีเพื่อนำไปใช้ ม้งระบุว่า ตวงสารเคมีใส่ภาชนะตามที่กำหนดไว้บนฉลาก 34 คน (47.20 %) เทสารเคมีโดยประมาณ 20 คน(27.80 %) เทตามพอใจ 4 คน(5.60 %) อื่นๆ 14 คน(19.40 %) กะเหรี่ยงระบุว่า ตวงสารเคมีใส่ภาชนะตามที่กำหนดไว้บนฉลาก39 คน (36.10 %) เทสารเคมีโดยประมาณ 35 คน(32.50 %) เทตามความพอใจ 13 คน(12 %) อื่นๆ 8 คน(7.40 %) ไม่ตอบ 13 คน (12 %) (หน้า 42) 8) สิ่งของที่ใช้คนขณะผสมสารเคมี ม้ง ระบุว่า ใช้มือ 6 คน(8.30 %)ใช้ไม้ 66 คน (91.70 %) กะเหรี่ยง ระบุว่า ใช้มือ 9 คน(8.30 %) ใช้ไม้ 86 คน (79.70 %)และไม่ตอบ 13 คน(12 %)(หน้า 43)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          ไม่มี

Folklore

          ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

          ไม่มี

Other Issues

          โครงการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีความเป็นมาดังนี้ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยได้เสด็จไปที่หมู่บ้านขุนกลาง บ้านอ่างกาน้อย บ้านผาหมอน ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง เมื่อทรงทราบปัญหาจึงมีพระราชกระแสรับสั่งต่อข้าราชการและผู้ที่เข้าเฝ้าว่าควรพัฒนาพื้นที่ทำกิน แก่ชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่อุทยานฯ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการซื้อขายพื้นที่ทำกิน ฯลฯ (หน้า 7) ดังนั้นเพื่อเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้นและคณะได้เดินทางไปตรวจราชการที่บ้านขุนกลาง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2522 จึงได้ออกคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2522 แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการฯ โดยโครงการได้เข้าไปพัฒนาและช่วยเหลือม้งและกะเหรี่ยง 3 ด้านคือ (หน้า 8) ด้านสังคมเช่นอบรมความรู้ด้านการเกษตร การเมือง การสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจเช่น ส่งเสริมให้ปลูกพืชตามโครงการฯ อาทิเช่น สตรอเบอรี่และพืชส่งเสริมต่างๆ และเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ความช่วยเหลืออื่นๆเช่น การปรับปรุงที่ดินทำกิน และให้คำแนะนำ ฯลฯ (หน้า 9)

Map/Illustration

ตาราง
          อายุของชาวเขา (หน้า 31) ความสามารถในการอ่านหนังสือของชาวเขา,จำนวน สมาชิกและแรงงานในครอบครัวของชาวเขา,จำแนกตามอายุ,จำแนกตามแรงงานเกษตร (หน้า 32,33) ความรู้ทางการเกษตรที่ชาวเขาได้รับ (หน้า 34) อาชีพหลักและอาชีพรอง (หน้า 35) ที่ดินที่ใช้ปลูกพืชจำแนกตามระยะเวลาที่ใช้,จำแนกตามชนิดของพืชที่ปลูก,ชนิดของพืชที่ปลูก,ที่มาของพื้นที่ที่ใช้ปลูก (หน้า35,36) ที่มาของทุนในการปลูกพืช,การจำหน่ายผลผลิต (หน้า 37) ระยะเวลาในการเริ่มใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช,จำนวนสารเคมีที่ชาวเขาเริ่มใช้นับถึงปัจจุบัน (หน้า 38) ปริมาณการใช้สารเคมี (หน้า 39) เหตุผลที่ใช้เคมี (หน้า 39) ลักษณะด้านต่างๆของการใช้สารเคมี (หน้า 40) จำนวนสารเคมีที่ชาวเขาผสม (หน้า40) การผสมสารเคมี ,การอ่านฉลากก่อนใช้สารเคมี (หน้า 41) ความเข้าใจของชาวเขาเมื่ออ่านฉลากสารเคมี,การตวงสารเคมีเพื่อนำไปใช้ (หน้า 42) สิ่งของที่ใช้คนขณะผสมสารเคมี,การแต่งกายก่อนทำการฉีดพ่นสารเคมีของม้ง,ของกะเหรี่ยง (หน้า43,44) ที่ยืนขณะฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 44) การสูบ,ไม่สูบบุหรี่ขณะฉีดสารเคมี,การปฏิบัติตัวของชาวเขาเมื่อถูกสารเคมีหกรดเสื้อผ้าขณะฉีดพ่นสารเคมี (หน้า45) การแก้ปัญหาเมื่อหัวฉีดอุดตัน (หน้า46) การแก้ปัญหาเมื่อสารเคมีเหลืออยู่ในถังฉีดหลังการฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 47) การทำความสะอาดหลังฉีดพ่นสารเคมี (หน้า48) สถานที่สำหรับทำความสะอาดร่างกาย,การเปลี่ยน, ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าของชาวเขาหลังฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 49) การซัก ,ไม่ซักเสื้อที่ใส่ขณะฉีดพ่นสารเคมีก่อนนำไปใช้ครั้งต่อไป,ที่ซักเสื้อผ้าที่ใช้สวมขณะพ่นสารเคมี (หน้า 50) สถานที่เก็บภาชนะบรรจุสารเคมี,วิธีการจัดการกับภาชนะบรรจุสารเคมี เช่นกระป๋อง ขวด (หน้า 51)การเว้นระยะหลังฉีดพ่นสารเคมี วันเก็บผลผลิต (หน้า 52) ผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพและอาการที่พบของม้ง,กะเหรี่ยง (หน้า 53,54) การรักษาพยาบาล (หน้า 55) อาการผิดปกติหลังฉีดพ่นสารเคมี ,แสดงอาการเคยไม่เคยแน่นหน้าอก อ่อนเพลียและอื่นๆหลังฉีดพ่นสารเคมี,หลังเก็บผักที่ฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 56,57) แสดงอาการเคยเห็น ไม่เคยเห็นสัตว์กินน้ำตามแหล่งน้ำที่ไหลมาจากแปลงผักแล้วมีอาการผิดปกติ ,เคยพบหรือไม่พบสัตว์ตายในแปลงผักหรือบริเวณแปลงผัก (หน้า 58) แสดงอาการเคย ไม่เคยนำน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่เบื้องล่างแปลงผักไปใช้, การรับรู้ถึงอันตรายจากการใช้สารเคมี (หน้า 59) บุคคลที่เคยได้รับสารพิษ (หน้า 60) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านหนังสือกับการใช้,การคนสารเคมี ,ทิศทางการยืนพ่นสารเคมี,การสูบบุหรี่ของม้งกับกะเหรี่ยง (หน้า 61,62) ความสามารถในการอ่านหนังสือกับการเว้นระยะเวลาในการพ่นสารเคมี การเก็บผลผลิต (หน้า 63)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 30 ม.ค. 2560
TAG ม้ง, กะเหรี่ยง, การใช้สารเคมี, สุขภาพ, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง