|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,กะเหรี่ยง,การใช้สารเคมี,สุขภาพ,เชียงใหม่ |
Author |
พรปริญญา สุขสวัฒนา, บุญถิ่น อินดาฤทธิ์ |
Title |
ศึกษาผลกระทบจากการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชของชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยง ณ ลุ่มแม่น้ำกลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
92 |
Year |
2537 |
Source |
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการศึกษาเรื่องการใช้สารเคมีและภาวะการใช้สารเคมี ผลกระทบต่อสุขภาพและปัญหาต่างๆของม้งและกะเหรี่ยง ที่อยู่ลุ่มน้ำแม่กลาง เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 180 ครอบครัวจากทั้งหมด 280 ครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่ จากการศึกษาพบว่าการใช้สารเคมีมีชาวเขาบางส่วนทำตามคำแนะนำที่อ่านในฉลากยาบางส่วนจะกะเอาโดยประมาณ การใช้สารเคมียังมีผู้ที่ปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องเช่น ไม่สวมหมวก หรือสวมหน้ากากป้องกันพิษไม่สวมถุงมือและรองเท้าหุ้มส้น เป็นต้น ส่วนผลกระทบด้านสุขภาพม้งและกะเหรี่ยงเคยพบปัญหาด้านสุขภาพเช่นเวียนหัว คลื่นไส้ ระคายผิว นอกจากนี้ม้งและกะเหรี่ยงยังมีการพัฒนาการใช้สารเคมีด้วยตนเองเพิ่มชนิดและปริมาณต่อไร่มากขึ้นขาดความรู้เรื่องความปลอดภัยและประมาทรวมทั้งขาดจิตสำนึกต่อผู้บริโภค |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้สารเคมีและภาวะการใช้สารเคมีผลกระทบและปัญหาการใช้สารเคมีของม้งและกะเหรี่ยง (หน้า 2,3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ประชากรในกรณีศึกษาเป็นม้ง หมู่บ้านขุนกลาง ตำบลบ้านกลาง จำนวน 72 ครอบครัว (หน้า 3,66) และกะเหรี่ยง 5 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านผาหมอน บ้านหนองหล่ม บ้านอ่างกาน้อย บ้านผาหมอนใหม่ บ้านท่าฝั่ง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 108 ครอบครัว (หน้า 3,67) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลใน พ.ศ. 2538 ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ (หน้า 30) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติม้งบ้านขุนกลาง ลุ่มน้ำแม่กลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มบ้านคือ “กลุ่มเลาหลึ” อพยพมาจากบ้านแม่เลา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ“กลุ่มเลาเจี๊ยะ” ส่วน“ กลุ่มหยงหั่ว” อพยพมาจากบ้านโป่งสมิต ตำบลแม่วิน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา (หน้า 4,5) ประวัติกะเหรี่ยง ลุ่มน้ำแม่กลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านของกะเหรี่ยงอยู่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หมู่บ้านกรณีศึกษาเป็นกะเหรี่ยงสะกอ ประกอบด้วยหมู่บ้านดังต่อไปนี้ หมู่บ้านผาหมอน หมู่บ้านหนองหล่ม หมู่บ้านท่าฝั่ง และหมู่บ้านอ่างกาน้อย (หน้า 5,6) ทั้ง 4 หมู่บ้านได้ก่อตั้งเมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมาในระยะแรกจะอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งหมู่บ้าน ในภายหลังจึงแยกออกเป็นหมู่บ้านต่างๆ อันเนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนประชากรและความขีดแย้งเรื่องการฝ่าฝืนจารีตประเพณี (หน้า 6) |
|
Demography |
ประชากรกรณีศึกษา ประกอบด้วยม้งและกะเหรี่ยง ที่อยู่ในพื้นที่ล่มน้ำแม่กลาง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ มีประชากรทั้งหมด 280 ครอบครัว ประชากรในการศึกษามี 180 ครอบครัวโดยอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ดังนี้ บ้านขุนกลาง(ม้ง) 72 ครอบครัว และกะเหรี่ยงในหมู่บ้านต่างๆคือบ้านผาหมอน 39 ครอบครัว บ้านหนองหล่ม 37 ครอบครัว บ้านอ่างน้อย 20 ครอบครัว บ้านผาหมอนใหม่ 7 ครอบครัว และบ้านท่าฝั่ง 5 ครอบครัว (บทคัดย่อ หน้า ข,27,30) |
|
Economy |
อาชีพของม้งบ้านขุนกลาง อาชีพหลักคือเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เช่น หมู ไก่ มา วัวและอื่นๆ สำหรับพืชที่ปลูกคือไม้ดอก (55.60 %) และพืชไร่ ( 40.30%) ทำนาข้าว ปลูกข้าวไร่และข้าวโพด ฝิ่น พืชยืนต้นจะปลูก ท้อ ละหุ่ง กาแฟ ฯลฯ ซึ่งได้ความรู้มาจากนักส่งเสริมของโครงการหลวง ฟังวิทยุและอ่านจากหนังสือพิมพ์ เมื่อปลูกได้ผลผลิตก็จะขายให้กับพ่อค้าและส่งจำหน่ายให้โครงการหลวง นอกจากนี้ก็ประกอบอาชีพอื่น เช่นค้าขาย ขับรถ หาของป่า เป็นต้น (บทคัดย่อ หน้า ข,5ตารางหน้า 35,67) อาชีพของกะเหรี่ยงลุ่มน้ำแม่กลาง อาชีพหลักคือทำไร่ (76.90%) ปลูกพืชเช่น ข้าว กาแฟ ฝิ่น พืชยืนต้นเช่น ขนุน มะม่วง และเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู ไว้เซ่นไหว้ผี เลี้ยงวัว ควาย เพื่อใช้แรงงาน สำหรับอาชีพอื่นได้แก่ หาของป่า รับจ้าง ค้าขาย รับราชการและอื่นๆ (บทคัดย่อ หน้า ข,6-7,67 ตารางหน้า 35) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของม้งบ้านขุนกลาง ตำบลบ้านกลาง ประชากรกรณีศึกษา 72 ครอบครัว ส่วนมากมีอายุระหว่าง 31-40 ปี (33.30 %) มีคนที่อ่านหนังสือออก 58.30 % ส่วนคนที่อ่านหนังสือไม่ออก มี 41.70 % (หน้า 66 ตารางหน้า 32) การศึกษาของกะเหรี่ยงลุ่มน้ำแม่กลาง ประชากรศึกษา 108 ครอบครัว ส่วนมากอายุระหว่าง 34-40 ปี(28.70%) มีคนที่อ่านหนังสือไม่ออกจำนวน 56.50 % ส่วนคนที่อ่านหนังสือออกมี 43.50 % (หน้า 67ตารางหน้า 32) |
|
Health and Medicine |
ผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพชาวเขา ม้ง พบว่าส่วนมากได้รับผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพเช่น มีอาการเวียนหัว ปวดหัว คิดเป็น 80.60 % มีอาการคลื่นไส้ 63.90 % ปวดเมื่อยตามร่างกาย 65.30 % ระคายเคืองตามผิวหนัง ตา คอ จมูก 56.90 % หายใจติดขัด 20.90 % ตาพร่าและเหงื่อออกมาก 18.10 % เป็นต้น (หน้า 70 ตารางหน้า 53) กะเหรี่ยง พบว่าส่วนมากมีผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพ เช่น มีอาการเวียนหัว ปวดหัว คิดเป็น 74.10 % ปวดเมื่อยตามร่างกาย 65.70 % คลื่นไส้ 43.50 % ระคายเคืองผิวหนัง ตา คอ จมูก 42.60 % เป็นต้น (หน้า 70 ตารางหน้า 54) ปัญหาการใช้สารเคมีของม้งและกะเหรี่ยงลุ่มน้ำแม่กลาง จากการศึกษาพบว่า ปัญหาทั่วไปที่ส่งผลให้เกิดปัญหาในการใช้สารเคมี เช่นปัญหาความเข้าใจกับภาษาบนฉลากสารเคมี ปัญหาความยากจนจึงทำให้มุ่งที่จะผลิตพืชผักต่างๆเพื่อขาย นอกจากนี้ก็พบปัญหาเรื่องแรงงานที่ม้งส่วนมากจะว่าจ้างแรงงานกะเหรี่ยงที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการใช้สารเคมี สำหรับปัญหาการใช้สารเคมีนั้นคือ ชาวเขาจะพัฒนาการใช้สารเคมีโดยจะเพิ่มชนิดและปริมาณด้วยตนเอง นอกจากนี้ก็ยังไม่มีความรู้เรื่องความปลอดภัยในการใช้สารเคมีอันเนื่องมาจากความประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สำหรับผลกระทบนอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพแล้วยังเกิดปัญหาสารพิษตกค้างในน้ำและดิน ทำให้มลภาวะทางอากาศเป็นพิษและอื่นๆ (หน้า 64,72) การรักษาพยาบาล ม้งและกะเหรี่ยงเมื่อเป็นไข้ไม่สบายจะไปรักษาตามสถานที่ต่างๆดังนี้ ไปรักษาที่สถานีอนามัย โดยคิดเป็นม้งที่ไปรักษา 75 % กะเหรี่ยง 81.50 % ไปโรงพยาบาล ม้ง 73.60 %และกะเหรี่ยง 72.20 % ซื้อยามากินเอง ม้ง 27.80 % และกะเหรี่ยง 30.60 % ไปคลินิค ม้ง 26.40 % กะเหรี่ยง 9.30 %รักษาพื้นบ้าน ม้ง 9.70 %และกะเหรี่ยง 6.50 % เป็นต้น (หน้า 55) วัตถุประสงค์ของการใช้สารเคมี จากการศึกษาระบุว่า ม้งได้บอกเหตุผลของการใช้สารเคมีดังนี้ กลุ่มตัวอย่าง 72 คน (100 %) บอกว่าใช้เพื่อป้องกันและกำจัดแมลง กะเหรี่ยง 95 คน (88 %) บอกว่าใช้เพื่อป้องกันและกำจัดแมลง ส่วนอีก 13 คน(12 %)ไม่ระบุเหตุผลของการใช้ (หน้า 39) ระยะการใช้สารเคมี พบว่าในกลุ่มม้ง 72 คน มีระยะเวลาในการใช้สารเคมีดังนี้ใช้น้อยกว่า 3 ปี 27 คน (37.60%) ใช้ 4-6 ปี 29 คน (40.20 %) ใช้ 7-9 ปี 9 คน ( 12.50 %) ใช้มากกว่า 10 มี 7 คน (9.80 %) กะเหรี่ยง 108 คน จำนวนมากที่สุด 47 คน (43.50 %)ใช้ต่ำกว่า 3ปี 29 คน (27 %)ใช้สารเคมี 4-6 ปี 12 คน (11.10 %) ใช้สารเคมี 7-9 ปี และใช้มากกว่า 10 ปีขึ้นไปมี 20 คน (18.40%)(หน้า 38) ลักษณะการใช้สารเคมี แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ 1) จำนวนสารเคมีที่เริ่มใช้นับถึงปัจจุบัน ม้ง 72 คนระบุว่า จำนวนสารเคมีที่ใช้ 1-2 ชนิด มี 27 คน (37.50%) 3-4 ชนิด 36 คน (50 %) 5-6 ชนิด 9 คน(12.50 %) กะเหรี่ยง 108 คนระบุว่า จำนวนสารเคมีที่ใช้ 1-2 ชนิดมี 60 คน(55.50%) ใช้ 3-4 ชนิด 34 คน(31.50%) ใช้ 5-6 ชนิด 14 คน(13 %) (หน้า 38) 2) 2 ) ปริมาณการใช้สารเคมี ม้งระบุว่า ปริมาณการใช้สารเคมีลดลง 10 คน (13.90%) ใช้เท่าเดิม 23 คน(31.90 %) ใช้เพิ่มขึ้น 39 คน(54.20%) กะเหรี่ยง ระบุว่าใช้ลดลง 10 คน (9.30 %)ใช้เท่าเดิม 26 คน(24.10 %) ใช้เพิ่มขึ้น 59 คน (54.60 %) ไม่ระบุ 13 คน(12 %) (หน้า 39) 3) ลักษณะด้านต่างๆของการใช้สารเคมี ม้งระบุว่า ใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว 25 คน (34.70 %) ใช้ผสม 46 คน(63.90 %) และไม่ระบุการใช้ 1 คน(1.40 %) กะเหรี่ยง ระบุว่า ใช้เพียงอย่างเดียว 28 คน(25.90 %) ใช้ผสม 66 คน(61.10 %) ไม่ระบุการใช้ 14 คน(13%) (หน้า 40) 4) จำนวนสารเคมีที่ผสม ม้งระบุว่าจำนวนสารเคมีผสม 2 อย่าง 32 คน(44.40 %) ผสม 3 อย่าง 17 คน(23.60%) ผสม 4 อย่าง 2 คน (2.80%)ผสมมากกว่า 4 อย่าง 21 คน(29.20 %) กะเหรี่ยง ระบุว่า ผสม 2 อย่าง 35 คน(32.40 %) ผสม 3 อย่าง 27 คน (25 %) ผสม 4 อย่าง 7 คน(6.50 % )ผสมมากกว่า 4 อย่าง 2 คน(1.90 %)และไม่ระบุจำนวนสารเคมีที่ผสม 37 คน( 34.30 %) (หน้า 40) 5) การอ่านฉลากก่อนใช้สารเคมี ม้งระบุว่า อ่าน 45คน(58.30 %)ไม่อ่าน 27 คน (41.70%) กะเหรี่ยง อ่าน47 คน(43.50 %)ไม่อ่าน 61 คน (56.50 %) (หน้า 41) 6) ความเข้าใจเมื่ออ่านฉลากสารเคมีจบแล้ว ม้งระบุว่า เข้าใจ 42 คน (58.30 %) ไม่เข้าใจ 30 คน (41.70 %) กะเหรี่ยงระบุว่า เข้าใจ 47 คน (43.50 %)ไม่เข้าใจ 61 คน (56.50 %) (หน้า 42) 7) การตวงสารเคมีเพื่อนำไปใช้ ม้งระบุว่า ตวงสารเคมีใส่ภาชนะตามที่กำหนดไว้บนฉลาก 34 คน (47.20 %) เทสารเคมีโดยประมาณ 20 คน(27.80 %) เทตามพอใจ 4 คน(5.60 %) อื่นๆ 14 คน(19.40 %) กะเหรี่ยงระบุว่า ตวงสารเคมีใส่ภาชนะตามที่กำหนดไว้บนฉลาก39 คน (36.10 %) เทสารเคมีโดยประมาณ 35 คน(32.50 %) เทตามความพอใจ 13 คน(12 %) อื่นๆ 8 คน(7.40 %) ไม่ตอบ 13 คน (12 %) (หน้า 42) 8) สิ่งของที่ใช้คนขณะผสมสารเคมี ม้ง ระบุว่า ใช้มือ 6 คน(8.30 %)ใช้ไม้ 66 คน (91.70 %) กะเหรี่ยง ระบุว่า ใช้มือ 9 คน(8.30 %) ใช้ไม้ 86 คน (79.70 %)และไม่ตอบ 13 คน(12 %)(หน้า 43) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
โครงการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีความเป็นมาดังนี้ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยได้เสด็จไปที่หมู่บ้านขุนกลาง บ้านอ่างกาน้อย บ้านผาหมอน ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง เมื่อทรงทราบปัญหาจึงมีพระราชกระแสรับสั่งต่อข้าราชการและผู้ที่เข้าเฝ้าว่าควรพัฒนาพื้นที่ทำกิน แก่ชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่อุทยานฯ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการซื้อขายพื้นที่ทำกิน ฯลฯ (หน้า 7) ดังนั้นเพื่อเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้นและคณะได้เดินทางไปตรวจราชการที่บ้านขุนกลาง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2522 จึงได้ออกคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2522 แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการฯ โดยโครงการได้เข้าไปพัฒนาและช่วยเหลือม้งและกะเหรี่ยง 3 ด้านคือ (หน้า 8) ด้านสังคมเช่นอบรมความรู้ด้านการเกษตร การเมือง การสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจเช่น ส่งเสริมให้ปลูกพืชตามโครงการฯ อาทิเช่น สตรอเบอรี่และพืชส่งเสริมต่างๆ และเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ความช่วยเหลืออื่นๆเช่น การปรับปรุงที่ดินทำกิน และให้คำแนะนำ ฯลฯ (หน้า 9) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
อายุของชาวเขา (หน้า 31) ความสามารถในการอ่านหนังสือของชาวเขา,จำนวน สมาชิกและแรงงานในครอบครัวของชาวเขา,จำแนกตามอายุ,จำแนกตามแรงงานเกษตร (หน้า 32,33) ความรู้ทางการเกษตรที่ชาวเขาได้รับ (หน้า 34) อาชีพหลักและอาชีพรอง (หน้า 35) ที่ดินที่ใช้ปลูกพืชจำแนกตามระยะเวลาที่ใช้,จำแนกตามชนิดของพืชที่ปลูก,ชนิดของพืชที่ปลูก,ที่มาของพื้นที่ที่ใช้ปลูก (หน้า35,36) ที่มาของทุนในการปลูกพืช,การจำหน่ายผลผลิต (หน้า 37) ระยะเวลาในการเริ่มใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช,จำนวนสารเคมีที่ชาวเขาเริ่มใช้นับถึงปัจจุบัน (หน้า 38) ปริมาณการใช้สารเคมี (หน้า 39) เหตุผลที่ใช้เคมี (หน้า 39) ลักษณะด้านต่างๆของการใช้สารเคมี (หน้า 40) จำนวนสารเคมีที่ชาวเขาผสม (หน้า40) การผสมสารเคมี ,การอ่านฉลากก่อนใช้สารเคมี (หน้า 41) ความเข้าใจของชาวเขาเมื่ออ่านฉลากสารเคมี,การตวงสารเคมีเพื่อนำไปใช้ (หน้า 42) สิ่งของที่ใช้คนขณะผสมสารเคมี,การแต่งกายก่อนทำการฉีดพ่นสารเคมีของม้ง,ของกะเหรี่ยง (หน้า43,44) ที่ยืนขณะฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 44) การสูบ,ไม่สูบบุหรี่ขณะฉีดสารเคมี,การปฏิบัติตัวของชาวเขาเมื่อถูกสารเคมีหกรดเสื้อผ้าขณะฉีดพ่นสารเคมี (หน้า45) การแก้ปัญหาเมื่อหัวฉีดอุดตัน (หน้า46) การแก้ปัญหาเมื่อสารเคมีเหลืออยู่ในถังฉีดหลังการฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 47) การทำความสะอาดหลังฉีดพ่นสารเคมี (หน้า48) สถานที่สำหรับทำความสะอาดร่างกาย,การเปลี่ยน, ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าของชาวเขาหลังฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 49) การซัก ,ไม่ซักเสื้อที่ใส่ขณะฉีดพ่นสารเคมีก่อนนำไปใช้ครั้งต่อไป,ที่ซักเสื้อผ้าที่ใช้สวมขณะพ่นสารเคมี (หน้า 50) สถานที่เก็บภาชนะบรรจุสารเคมี,วิธีการจัดการกับภาชนะบรรจุสารเคมี เช่นกระป๋อง ขวด (หน้า 51)การเว้นระยะหลังฉีดพ่นสารเคมี วันเก็บผลผลิต (หน้า 52) ผลกระทบจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพและอาการที่พบของม้ง,กะเหรี่ยง (หน้า 53,54) การรักษาพยาบาล (หน้า 55) อาการผิดปกติหลังฉีดพ่นสารเคมี ,แสดงอาการเคยไม่เคยแน่นหน้าอก อ่อนเพลียและอื่นๆหลังฉีดพ่นสารเคมี,หลังเก็บผักที่ฉีดพ่นสารเคมี (หน้า 56,57) แสดงอาการเคยเห็น ไม่เคยเห็นสัตว์กินน้ำตามแหล่งน้ำที่ไหลมาจากแปลงผักแล้วมีอาการผิดปกติ ,เคยพบหรือไม่พบสัตว์ตายในแปลงผักหรือบริเวณแปลงผัก (หน้า 58) แสดงอาการเคย ไม่เคยนำน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่เบื้องล่างแปลงผักไปใช้, การรับรู้ถึงอันตรายจากการใช้สารเคมี (หน้า 59) บุคคลที่เคยได้รับสารพิษ (หน้า 60) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านหนังสือกับการใช้,การคนสารเคมี ,ทิศทางการยืนพ่นสารเคมี,การสูบบุหรี่ของม้งกับกะเหรี่ยง (หน้า 61,62) ความสามารถในการอ่านหนังสือกับการเว้นระยะเวลาในการพ่นสารเคมี การเก็บผลผลิต (หน้า 63) |
|
|