สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทยพุทธ,มุสลิม,สุขภาพ,ผู้สูงอายุ,ระนอง
Author ณัฐพงศ์ อนุวัตรยรรยง
Title การเปรียบเทียบการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ตอนบน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 139 Year 2540
Source หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

การเปรียบเทียบการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ตอนบน ได้เลือกพื้นที่ศึกษาในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เป็นชาวไทยพุทธ จำนวน 232 ราย และชาวไทยมุสลิม จำนวน 120 ราย และทำการวิเคราะห์ด้วยระบบสถิติ โดยผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างผู้สูงอายุทั้ง 2 กลุ่มศาสนา แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ลักษณะทางประชากรและภาวะสุขภาพ การเปรียบเทียบโครงสร้างของเครือข่ายการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการเปรียบเทียบการได้รับการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในเชิงหน้าที่ตามการรับรู้ของผู้สูงอายุ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การนับถือศาสนาที่แตกต่างกันในสังคมภาคใต้ตอนบนไม่มีผลต่อการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ แม้ว่าจะมีวิธีและหลักการปฏิบัติที่แตกต่างกัน เนื่องจากทั้ง 2 กลุ่มศาสนาสอนให้บุตรหลานให้ความสำคัญต่อผู้สูงอายุไม่แตกต่างกัน ในด้านเครือข่ายทางสังคมของผู้สูงอายุที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ขนาดเครือข่ายทางสังคมของผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิมมีขนาดใหญ่กว่าชาวไทยพุทธ เครือข่ายในครอบครัวและเครือญาติของผู้สูงอายุ ทั้ง 2 กลุ่มศาสนา ได้รับการสนับสนุนทางสังคมจากบุตรหลานเพศหญิงมากกว่าเพศชาย บุตรที่อยู่ในจังหวัดอื่นของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธกลับมาเยี่ยมผู้สูงอายุมากกว่าบุตรของผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิม และผู้สูงอายุได้รับการสนับสนุนทางสังคมในเครือข่ายกลุ่มเพื่อนบ้านจากบุคคลที่มีอายุน้อยกว่าหรือรุ่นราวคราวเดียวกันที่รู้จักกันมานาน และมีฐานะทางครอบครัวในระดับใกล้เคียงกับครอบครัวของผู้สูงอายุ

Focus

การศึกษาเปรียบเทียบการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีความแตกต่างกันในการนับถือศาสนา คือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ทั้งในเชิงโครงสร้างของเครือข่ายและในเชิงหน้าที่ของการสนับสนุนทางสังคม (หน้า 6)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา ได้แก่ ผู้สูงอายุชาวไทยพุทธ และผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิม ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง (หน้า 63 – 64)

Language and Linguistic Affiliations

ผู้วิจัยได้เลือกกลุ่มตัวอย่างจากผู้สูงอายุที่สามารถพูดภาษาไทยได้ ส่วนความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ กลุ่มชาวไทยพุทธสามารถอ่านออกเขียนได้เฉพาะภาษาไทยเท่านั้น ส่วนกลุ่มชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้ทั้งภาษาไทย ภาษาอาหรับ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถอ่านออกเขียนได้เฉพาะภาษาอาหรับ เนื่องจากชาวไทยมุสลิมใช้ภาษามาลายูหรือภาษายาวีในชีวิตประจำวัน และต้องศึกษาหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่พิมพ์ด้วยภาษาอาหรับ (หน้า 123)

Study Period (Data Collection)

ไม่ปรากฏ

History of the Group and Community

ไม่ปรากฏ

Settlement Pattern

ผู้วิจัยได้กล่าวถึงลักษณะการตั้งบ้านเรือนของชาวไทยพุทธว่ามีที่ตั้งอยู่ในเขตชุมชนและพื้นที่ราบเชิงเขา ซึ่งเหมาะแก่การเกษตรกรรม แต่ชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่ตั้งบ้านเรือนแถบชายทะเล เป็นทำเลที่มีความเหมาะสมกับการประมง (หน้า 124)

Demography

ผู้วิจัยได้กล่าวถึงข้อมูลทางด้านประชากรของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา จากตัวอย่างจำนวน 352 ราย เป็นชาวไทยพุทธ 232 ราย และชาวไทยมุสลิม 120 ราย โดยจำแนกตามกลุ่มของการนับถือศาสนา ในด้านเพศ อายุ และจำนวนและเพศของบุตรของผู้สูงอายุ ดังนี้ ผู้สูงอายุชาวไทยพุทธ เพศชาย ร้อยละ 47.8 เพศหญิง ร้อยละ 52.2 อายุ 60 – 69 ปี ร้อยละ 63.4 อายุ 70 – 79 ปี ร้อยละ 27.6 อายุ 80 ปีขึ้นไป ร้อยละ 9 เพศชายไม่มีบุตร ร้อยละ 12.6 มีบุตร 1 – 2 คน ร้อยละ 48.4 มีบุตร 3 – 4 คน ร้อยละ 27.4 มีบุตร 5 คนขึ้นไป ร้อยละ 11.6 เพศหญิงไม่มีบุตร ร้อยละ 10.2 มีบุตร 1 – 2 คน ร้อยละ 46.5 มีบุตร 3 – 4 คน ร้อยละ 29.3 มีบุตร 5 คนขึ้นไป ร้อยละ 14.0 ผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิม เพศชาย ร้อยละ 56.7 เพศหญิง ร้อยละ 43.3 อายุ 60 – 69 ปี ร้อยละ 56.7 อายุ 70 – 79 ปี ร้อยละ 32.5 อายุ 80 ปีขึ้นไป ร้อยละ 10.8 เพศชายไม่มีบุตร ร้อยละ 6.3 มีบุตร 1 – 2 คน ร้อยละ 44.2 มีบุตร 3 – 4 คน ร้อยละ 35.1 มีบุตร 5 คนขึ้นไป ร้อยละ 14.4 เพศหญิงไม่มีบุตร ร้อยละ 7.2 มีบุตร 1 – 2 คน ร้อยละ 47.8 มีบุตร 3 – 4 คน ร้อยละ 30.6 มีบุตร 5 คนขึ้นไป ร้อยละ 14.4 (หน้า 73, 90)

Economy

ผู้วิจัยได้กล่าวถึงข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างผู้สูงอายุชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในด้านอาชีพและรายได้ ซึ่งอาชีพของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธช่วงก่อนอายุ 60 ปี ประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 57.3 รับจ้าง ค้าขาย เหมืองแร่ และร่อนแร่ รับราชการ และประมง ร้อยละ 30.2 ไม่มีอาชีพ ร้อยละ 12.5 ส่วนชาวไทยมุสลิม ประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 35.8 รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ ร้อยละ 16.7 ประมง ร้อยละ 35.8 ไม่มีอาชีพ ร้อยละ 11.7 แต่เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป ชาวไทยพุทธไม่ได้ประกอบอาชีพ ร้อยละ 47.7 ทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 39.7 รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ และประมง ร้อยละ 13.1 ส่วนชาวไทยมุสลิมประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 24.2 รับจ้าง ค้าขาย ร้อยละ 14.2 และประมง ร้อยละ 13.3 ไม่มีอาชีพ ร้อยละ 48.3 (หน้า 75 – 77) ในด้านรายได้ของผู้สูงอายุต่อเดือน ชาวไทยพุทธที่มีรายได้ต่ำกว่า 1,000 บาท ร้อยละ 56.7 รายได้ตั้งแต่ 1,001 – 2,000 บาท ร้อยละ 20.3 และรายได้ตั้งแต่ 2,001 บาทขึ้นไป ร้อยละ 23 ส่วนชาวไทยมุสลิมที่มีรายได้ต่ำกว่า 1,000 บาท ร้อยละ 57.9 รายได้ตั้งแต่ 1,001 – 2,000 บาท ร้อยละ 26.3 และรายได้ตั้งแต่ 2,001 บาทขึ้นไป ร้อยละ 15.8 (หน้า 78)

Social Organization

งานวิจัยนี้ได้กล่าวถึงขนาดครอบครัวของผู้สูงอายุ ทั้ง 2 กลุ่มศาสนา ที่ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ คู่สมรส และบุตร ผลของการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุชาวไทยพุทธอยู่คนเดียว ร้อยละ 4.3 มีสมาชิกในครอบครัว 5–7 คน ร้อยละ 39.2 และมีสมาชิกมากที่สุด 13 คน ส่วนชาวไทยมุสลิม อยู่คนเดียว ร้อยละ 1.7 มีสมาชิกในครอบครัว 8 คนขึ้นไป ร้อยละ 43.3 และมีสมาชิกมากที่สุด 14 คน นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่อาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวผู้สูงอายุทั้ง 2 กลุ่มศาสนาเฉลี่ยครอบครัวละ 2 คน ดังนั้นชาวไทยมุสลิมจึงมีขนาดเครือข่ายทางสังคมในครอบครัวที่ใหญ่กว่าชาวไทยพุทธอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (หน้า 96 – 98)

Political Organization

ไม่ปรากฏ

Belief System

ผู้วิจัยได้ศึกษาถึงหลักความเชื่อทางศาสนาที่มีความแตกต่างกัน คือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม เพื่อเปรียบเทียบการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุ ผลการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุได้รับการสนับสนุนทางสังคมไม่แตกต่างกันทั้ง 2 ศาสนา แม้ว่าจะมีหลักคำสอนหรือกลวิธีที่ต่างกัน โดยศาสนาพุทธสอนให้บุตรหลานมีความกตัญญูต่อบิดามารดา ส่วนศาสนาอิสลามสอนให้บุตรหลานให้ความสำคัญกับบิดามารดาในระดับสูงต้องทดแทนพระคุณ เสมือนการทำความดีต่อพระผู้เป็นเจ้า (หน้า 136 – 137)

Education and Socialization

งานวิจัยนี้ได้เปรียบเทียบระดับการศึกษาของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธและชาวมุสลิมที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง พบว่าจากจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด มีผู้สูงอายุที่ได้รับการศึกษาในโรงเรียน ร้อยละ 68.2 เป็นชาวไทยพุทธ ร้อยละ 74.6 เป็นชาวไทยมุสลิม ร้อยละ 55.8 และชาวไทยพุทธมีระยะเวลาในการศึกษาในโรงเรียนมากกว่าชาวไทยมุสลิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนความสามารถในการอ่านออกเขียนได้นั้น มีผู้สูงอายุที่อ่านหนังสือไม่ได้ ร้อยละ 27.2 เขียนหนังสือไม่ได้ ร้อยละ 31.8 ชาวไทยพุทธที่สามารถอ่านหนังสือได้เฉพาะภาษาไทย ร้อยละ 74.2 และสามารถเขียนภาษาไทยได้ ร้อยละ 72.4 ชาวไทยมุสลิมที่ไม่สามารถอ่านหนังสือได้ ร้อยละ 55.0 อ่านหนังสือได้เฉพาะภาษาไทย ร้อยละ 35 เขียนได้เฉพาะภาษไทย ร้อยละ 35 อ่านภาษาไทยและภาษาอาหรับได้ ร้อยละ 15 เขียนภาษาไทยและภาษาอาหรับได้ ร้อยละ 9.2 อ่านได้เฉพาะภาษาอาหรับ ร้อยละ 20 และเขียนได้เฉพาะภาษาอาหรับ ร้อยละ 15 (หน้า 72 – 75)

Health and Medicine

การศึกษาเปรียบเทียบการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม พบว่าผู้สูงอายุทั้ง 2 กลุ่มศาสนา มีภาวะสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง โดยผู้สูงอายุชาวไทยพุทธมีสุขภาพในระดับที่ดีกว่าชาวไทยมุสลิม ในด้านของความเจ็บป่วยพบว่าผู้สูงอายุชาวไทยพุทธ อันดับแรก คือ โรคระบบทางเดินหายใจ อันดับที่ 2 คือ โรคกระเพาะอาหาร อันดับที่ 3 คือ โรคความดันโลหิตสูง ส่วนผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิม อันดับแรก คือ โรคกระเพาะอาหาร อันดับที่ 2 คือ โรคระบบทางเดินหายใจ อันดับที่ 3 คือ โรคความดันโลหิตสูง ภาวะความเจ็บป่วยเหล่านี้มีสาเหตุหลักมาจากสมรรถภาพทางร่างกายที่อ่อนแอลง และสภาพภูมิอากาศที่มีความชื้นสูง ฝนตกชุก อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย นอกจากนี้ยังมีการเจ็บป่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน คือ อาการปวดเมื่อย เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง ที่ต้องใช้งานระบบกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างมาก (หน้า 126) การได้รับการสนับสนุนทางสังคมจากเครือข่ายทางสังคมด้านสุขภาพ ได้แก่ ครอบครัว และเพื่อนบ้าน ของผู้สูงอายุชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมทั้ง 2 กลุ่มศาสนาพบว่า บุตรสาวหรือบุตรสะใภ้จะให้ความช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน บุตรชายหรือบุตรเขยจะให้ความช่วยเหลือในขณะที่เจ็บป่วยอย่างกะทันหัน ส่วนคู่สมรส ซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับผู้สูงอายุและให้ความช่วยเหลือด้านการจัดหาและเตรียมอาหาร เสื้อผ้า ทำความสะอาดบ้าน เป็นต้น (หน้า 102) นอกจากนี้ เพื่อนบ้านจะให้ความช่วยเหลือในยามที่เจ็บป่วยอย่างกะทันหัน ซึ่งเพื่อนบ้านผู้ที่ให้ความช่วยเหลือจะเป็นเพศเดียวกับผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่า โดยการพาไปหาหมอ หรือเพื่อนบ้านที่อายุรุ่นเดียวกัน จะให้ความช่วยเหลือโดยให้คำปรึกษา มีฐานะใกล้เคียงกัน รู้จักกันมาเป็นเวลานาน เฉลี่ยมากกว่า 20 ปี และให้ความช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ (หน้า 108) การเข้ารับบริการดูแลรักษาสุขภาพของผู้สูงอายุจากสถานบริการสาธารณสุข เป็นการได้รับการบริการจากภาครัฐในรูปแบบบัตรรักษาพยาบาลผู้สูงอายุ ร้อยละ 80 ซึ่งชาวไทยพุทธที่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเองโดยไม่สามารถเบิกได้มีจำนวนน้อยกว่าชาวไทยมุสลิม ความช่วยเหลือในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นๆ มาจากบุคคลในครอบครัว ซึ่งบุตรหญิงจะให้เงินแก่ผู้สูงอายุเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าบุตรชาย (หน้า 109) ส่วนสวัสดิการข้าราชการบำนาญ มีผู้สูงอายุชาวไทยพุทธได้รับ ร้อยละ 1.30 เท่านั้น (หน้า 111) จากการศึกษาวิจัยนี้พบว่าประมาณร้อยละ 50 ของผู้สูงอายุทั้ง 2 กลุ่มศาสนา ได้รับการสนับสนุนทางสังคมด้านสุขภาพในระดับสูง รองลงมาได้รับการสนับสนุนทางสังคมในระดับปานกลาง ส่วนที่ได้รับการสนับสนุนในระดับต่ำมีน้อยมาก ซึ่งผู้สูงอายุชาวไทยมุสลิมได้รับการสนับสนุนทางสังคมด้านสุขภาพมากกว่าผู้สูงอายุชาวไทยพุทธเพียงเล็กน้อย (หน้า 114)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ปรากฏ

Folklore

ไม่ปรากฏ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ปรากฏ

Social Cultural and Identity Change

ไม่ปรากฏ

Other Issues

ไม่ปรากฏ

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้แสดงข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้จากการศึกษาในรูปแบบของตารางที่มีการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้สูงอายุชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ที่เป็นการอธิบายถึงลักษณะของประชากร ภาวะสุขภาพ และโครงสร้างของการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังได้มีการอธิบายด้วยภาพ ได้แก่ ระยะต่างๆของเครือข่ายทางสังคม (หน้า 41) สรุปภาพรวมการสนับสนุนทางสังคม (หน้า 46) และกรอบแนวคิดในการศึกษา (หน้า 62)

Text Analyst ภัทรวรรณ พงศ์ศิลป์ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG ไทยพุทธ, มุสลิม, สุขภาพ, ผู้สูงอายุ, ระนอง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง