|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยมุสลิม,พัฒนา,อ่างทอง |
Author |
สถาพร ชุมอุปการ |
Title |
ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของชาวไทยมุสลิมในการพัฒนาชุมชน ในจังหวัดอ่างทอง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
213 |
Year |
2537 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Abstract |
การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของชาวไทยมุสลิม ตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง พิจารณาจากการมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนทั้ง 4 ด้าน คือ งานสร้างเสริมรายได้ งานส่งเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต งานพัฒนาสิ่งแวดล้อม และงานพัฒนาจิตใจ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาดังกล่าว อยู่ในระดับปานกลาง งานที่ชาวมุสลิมร่วมมากคือ งานพัฒนาจิตใจ ส่วนงานพัฒนาสิ่งแวดล้อมและงานสร้างเสริมรายได้มีส่วนร่วมในระดับปานกลาง งานส่งเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิตเป็นงานที่ไทยมุสลิมมีส่วนร่วมน้อย จากการศึกษาปัจจัยต่างๆ พบว่า เพศชายมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากว่าเพศหญิง อายุต่างกันมีผลต่อการมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนไม่แตกต่างกัน ด้านอาชีพ แบ่งออกเป็นอาชีพหลักและอาชีพรอง ด้านอาชีพหลักพบว่าผู้ประกอบอาชีพหลักเกษตรกรรมมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนสูงกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพรับจ้าง ด้านอาชีพรองพบว่าผู้ที่มีอาชีพรองมีส่วนร่วม ในงานพัฒนาชุมชนมากกว่าผู้ที่ไม่มีอาชีพรอง ด้านการศึกษาแบ่งออกเป็นการศึกษาสายสามัญ และการศึกษาด้านศาสนาพบว่าการศึกษาสายสามัญที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในงานพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกัน และผู้ที่ศึกษาด้านศาสนาสูงกว่า ป.4 (ฟัรดูอีน) ขึ้นไป มีส่วนร่วมในงานการพัฒนาชุมชนสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ด้านความเคร่งครัดทางศาสนา โดยการพิจารณาจากการปฏิบัติศาสนกิจและการดำเนินชีวิตประจำวัน พบว่าผู้ที่เคร่งครัดมากมักมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่า ปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการมีส่วนร่วมของชาวไทยมุสลิมในการพัฒนาชุมชนในจังหวัดอ่างทอง ได้แก่ ปัญหาด้านการมีภาระในการประกอบอาชีพ การขาดแคลนการประชาสัมพันธ์ ปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย และปัญหามีภาระครอบครัวไม่มีเวลาเข้าร่วมโครงการ (หน้า 203 – 206) จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของชาวไทยมุสลิม ในตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองนั้น มีได้หลายปัจจัยด้วยกัน แตกต่างจากปัจจัยโดยทั่วไปเพราะลักษณะความต่างในการนับถือศาสนา การศึกษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งต่างจากกลุ่มของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลถึงการมีส่วนร่วมของชาวไทยมุสลิมในการพัฒนาชุมชน จังหวัดอ่างทอง และศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ต่อการมีส่วนร่วมดังกล่าว |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวไทยมุสลิม หมายถึงคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จะตั้งถิ่นฐานอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ด้วยความแตกต่างกันในเรื่องของพื้นฐานความเป็นมาในประวัติศาสตร์ จึงทำให้ชาวไทยมุสลิมในภูมิภาคต่างๆ แตกต่างกันออกไป โดยในกรณีศึกษาจังหวัดอ่างทอง มีประวัติความเป็นมาแบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ พวกแรกเป็นพวกที่เก่าแก่ที่สุด ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและธนบุรี ต่อมาคือพวกที่อพยพมาจากหัวเมืองประเทศราชทางภาคใต้ และพวกสุดท้ายคือพวกที่อยู่ในบังคับต่างชาติ (หน้า 9) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวไทยมุสลิมบริเวณพื้นที่ศึกษา ในตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ภาษาพูดใช้ภาษาไทยภาคกลางทั้งหมด (หน้า 11) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ศึกษา เป็นชาวไทยมุสลิมพวกแรกที่อพยพมาจากภาคใต้ มีประวัติความเป็นมาจากพ่อค้าชาวชวา ซึ่งตั้งถิ่นฐานในจังหวัดปัตตานีปัจจุบัน ได้มาค้าขายในสมัยกรุงศรีอยุธยา 2 กลุ่ม กลุ่มแรกตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีกกลุ่มโดยการนำของโต๊ะกีไว หรือโต๊ะกีสุเหร่า ได้มาค้าขายทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงอ่างทอง จึงได้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินที่หมู่บ้านชะไว ซึ่งก็คือ ตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ในปัจจุบัน (หน้า 10) |
|
Settlement Pattern |
ไทยมุสลิมตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง มีการตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มอย่างหนาแน่นติดกันบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา และกระจายห่างกันในบริเวณห่างจากแม่น้ำ บ้านไทยมุสลิมตำบลชะไวมีรูปทรงสองแบบ คือ 1. บ้านไม้ทรงไทย ยกพื้น ชั้นล่างปล่อยโล่ง ชั้นบนกั้นห้อง 1-2 ห้อง นอกนั้นเป็นชานบ้านและห้องโถง หลังคาส่วนใหญ่เป็นสังกะสี 2. บ้านไม้เรือนไทย ทรงปันหยา ยกพื้นเช่นเดียวกับบ้านไทยพุทธ เรื่องจากป้องกันน้ำท่วมและเลี้ยงวัว ควายไว้ไต้ถุนบ้าน ทำให้เกิดน้ำขังเป็นจำนวนมาก (หน้า 11) |
|
Demography |
ปัจจุบันชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ศึกษา คือ ตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ในปัจจุบันมีจำนวนชาวไทยมุสลิมหนาแน่นที่สุดในจังหวัดอ่างทอง มีประชากร 456 ครัวเรือน จำนวน 2,900 คน เป็นชาย 1,416 คน หญิง 1,484 คน เป็นตำบลเดียวของจังหวัดอ่างทองที่มีชาวไทยมุสลิมอยู่พื้นที่ถึง 99.34% มีชาวไทยพุทธเพียง 3 ครัวเรือน (หน้า 1 0) |
|
Economy |
ชาวไทยมุสลิมในบริเวณพื้นที่ศึกษาประกอบทั้งอาชีพหลักและอาชีพรองควบคู่กันไป โดยอาชีพหลักที่ชาวไทยมุสลิมยึดถือ คือการค้าขาย เป็นอาชีพที่เชื่อมโยงจากประวัติศาสตร์ในอดีต โดยการนำของโต๊ะสุเหร่าที่ได้อพยพมาจากจังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน เข้ามาอาศัยและค้าขายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนมาตั้งรกรากที่บ้านชะไว จังหวัดอ่างทองในปัจจุบัน ทำให้ชาวมุสลิมยึดอาชีพค้าขายเป็นหลัก (หน้า10-11) อาชีพรองคือ รับจ้างชำแหละเนื้อสัตว์ และทำการเกษตร เช่น ทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ตลอดจนประกอบอาชีพทั่วไป เช่น ข้าราชการ ลูกจ้าง/พนักงานบริษัท (หน้า 35) |
|
Social Organization |
ศาสนิกชนในแต่ละศาสนาย่อมมีแนวทางในการประพฤติ ปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไปตามความเชื่อในแต่ละศาสนา กลายเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ของตนที่สืบเนื่องต่อมาอย่างยาวนาน ปรากฏในรูปแบบของ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต จารีต และแนวทางปฏิบัติในศาสนกิจ สำหรับวัฒนธรรมอิสลามเรียกได้ว่า ศาสนาอิสลามเป็นระบบการดำเนินชีวิตของมุสลิมตั้งแต่เกิดจนตาย ดังที่ปรากฏใน อัล-กุรอาน โดยถือว่าอิสลามจะแทรกอยู่ในทุกขั้นทุกตอนทั้งทางโลกและทางธรรม เช่น สังคม การเมือง และกฎหมาย เป็นต้น โดยชาวไทยมุสลิมจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนเรียก กำปงหรือหมู่บ้าน มีมัสยิดไว้ประกอบศาสนกิจและศึกษาเล่าเรียนของเยาวชน โดยมีอิหม่ามที่ชาวบ้านเลือกขึ้นเป็นผู้นำในหมู่บ้านหรือชุมชน ( หน้า 4-9) |
|
Political Organization |
รูปแบบการปกครองของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่กรณีศึกษาคือ ในตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองนั้น จัดระบบการปกครองคล้ายกับการปกครองในราชอาณาจักรไทยทั่วไป แบ่งการปกครองออกเป็น 3 หมู่บ้าน มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการสภาตำบล และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นชาวไทยมุสลิมทั้งหมด จึงเสมือนว่าเป็นการปกครองโดยมุสลิมด้วยกันเอง โดยมีวัฒนธรรมอิสลามเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิต (หน้า 10-11) |
|
Belief System |
เนื่องจากสังคมอิสลามเป็นสังคมที่มีรูปแบบเฉพาะดังนั้นวัฒนธรรมความเชื่อทางศาสนาของชาวไทยมุสลิม จึงมีความแตกต่างอย่างเด่นชัดกับความเชื่อของชาวไทยกลุ่มอื่น โดยมุสลิมเชื่อว่าครรลอง และวิถีแห่งชีวิตนั้นได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และจะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งได้ปรากฎในคัมภีร์อัล-กุรอาน และซุนนะห อันเป็นคำสอนของศาสดามุฮาหมัด ( ค็อล ฯ) ดังพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮ (ซุนห์ฯ) ได้ประทานโองการไว้ โดยหลักปฏิบัติตามความเชื่อจะอยู่ที่การนอบน้อมตนต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเพื่อความสันติสุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า และด้วยที่ศาสนาอิสลามไม่ได้แยกอาณาจักร ออกจากศาสนจักร อิสลามจึงไม่มีสถาบันนักบวช มุสลิมทุกคนจึงต้องมีทั้งหลักศรัทธาและการปฏิบัติ และมุสลิมยังถือว่ามุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกันทั่วโลก (หน้า 3-7) |
|
Education and Socialization |
สำหรับการศึกษาของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ ในตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองนั้น จัดการศึกษาออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นการจัดการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนทั้งในและนอกระบบ อีกส่วนเป็นการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนา โดยมุสลิมในพื้นที่ศึกษามักจะส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียนบ้านชะไว 1 แห่ง โรงเรียนมัธยมราชสถิตยวิทยาในบริเวณใกล้เคียง และโรงเรียนสอนศาสนาซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อีก 2 แห่ง (หน้า 11,14 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เนื่องจากบ้านเรือนไทยมุสลิมในตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองนั้น ตั้งอยู่กระจายบริเวณพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำทำให้รูปแบบบ้านของชาวไทยมุสลิมแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบแรกเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกพื้น ชั้นล่างปล่อยโล่ง ชั้นบนกั้นห้อง 1-2 ห้องนอกนั้นเป็นชานบ้านและห้องโถง หลังคาเป็นสังกะสี แบบที่สองเป็นบ้านไม้เรือนไทยทรงปั้นหยา ยกพื้นเพื่อป้องกันน้ำท่วม และยังมีมัสยิดที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สำหรับการแต่งการนั้นชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จะแต่งกายเหมือนชาวไทยพุทธทั่วไป แต่ในหมู่บ้านยังนิยมนุ่งโสร่งทั้งชายและหญิง ส่วนเสื้อมักใส่ทรงสากลทั่วไป หากมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็จะแต่งแบบชาวไทยมุสลิมทั่วไป (หน้า 11) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เนื่องด้วยลักษณะสังคมมุสลิมเป็นสังคมที่ถูกยึดเหนี่ยวกันไว้ด้วยระบบความสัมพันธ์แห่งความเป็นอุมมะฮ คือ ความเป็นประชาชาติเดียวกัน ใช้คัมภีร์ อัล-กุรอาน เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเช่นเดียวกัน และยังถือว่ามุสลิมเป็นพี่น้องกันทั่วโลก ดังนั้นหากเกิดความขัดแย้งขึ้นกับมุสลิมส่วนหนึ่งส่วนใดก็จะส่งผลถึงชาวมุสลิมทั่วไปด้วย โดยเฉพาะมุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยกับชาวไทยพุทธที่มีเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งประเพณี ภาษา ศาสนา ความเชื่อ รวมถึงความสำนึกในประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเสี่ยงที่จะมีความขัดแย้งกันเสมอ ( หน้า 6-7) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เนื่องด้วยชาวไทยมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ แต่สำหรับใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับเป็นคนส่วนใหญ่ของพื้นที่ และด้วยความแตกต่างใน เอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งประเพณี ภาษา ศาสนา ความเชื่อ รวมถึงความสำนึกในประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเสี่ยงที่จะมีความขัดแย้งกันเสมอ จึงก่อให้เกิดปัญหาในด้านความมั่นคงขึ้น เพราะมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยากที่จะถูกผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมต่างไปจากมุสลิมในภูมิภาคอื่นที่มักจะถูกผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมเสมอภายใต้เวลาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็นับว่าน้อยมากหากเทียบกับชาติพันธุ์อื่นๆ (หน้า 6-9 ) |
|
Other Issues |
การมีส่วนร่วมในการพัฒนา ชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ศึกษา คือ ในตำบลชะไว อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองนั้น แม้เป็นคนส่วนน้อยของประเทศแต่ก็เป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่สามารถดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ในระดับค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างกันไปตามสภาพภูมิศาสตร์และท้องที่เช่นกัน (หน้า 3-5) ดังนั้นจึงก่อให้เกิดความมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนที่ต่างกันไปด้วย โดยนอกจากความเป็นอิสลามแล้วยังมีปัจจัยในด้านต่างๆ ที่ส่งผลกระทบเช่น เพศ อายุ และระดับการศึกษา ความเคร่งครัดในความเชื่อเป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ดังกล่าวก็ยังสามารถดำรงเอกลักษณ์ในชุมชนและสังคมของตนไว้ได้ ท่ามกลางวัฒนธรรมที่แตกต่างและกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป (หน้า 202-211) งานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาถึงการมีส่วนร่วมในงานส่งเสริมการพัฒนาของไทยมุสลิมในด้านการส่งเสริมรายได้ การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาจิตใจ ของชุมชน โดยไทยมุสลิมในตำบลชะไวมีส่วนร่วมในการคิด วางแผน เสนอแนะ แก้ไขปัญหา และการตัดสินใจ แต่กลับมีส่วนร่วมในระดับการลงมือปฏิบัติที่น้อย (หน้า 39-46) ซึ่งสามารถจำแนกระดับการมีส่วนร่วมตามปัจจัยต่างๆ ได้ดังนี้ 1. เพศ การส่งเสริมรายได้ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาจิตใจ เพศต่างกันการมีส่วนร่วมแตกต่างกัน โดยเพศชายมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่าเพศหญิง แต่ในการสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต เพศต่างกันการมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกัน (หน้า 47-55) 2. อายุ อายุต่างกันการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนในการส่งเสริมรายได้ การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาจิตใจ ไม่แตกต่างกัน (หน้า 56-67) 3. การประกอบอาชีพ 3.1 อาชีพหลัก ต่างกันการมีผลต่อส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนด้านการส่งเสริมรายได้ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม แตกต่างกัน อาชีพเกษตรกรรมมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่าอาชีพรับจ้างและค้าขาย แต่การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิตและการพัฒนาจิตใจ อาชีพหลักถึงจะแตกต่างกันแต่การมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกัน (หน้า 67-88) 3.2 ผู้มีอาชีพรอง การส่งเสริมรายได้ การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ผู้มีอาชีพรองมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนแตกต่างกับผู้ไม่มีอาชีพรอง โดยผู้มีอาชีพรองมีส่วนร่วมมากกว่าผู้ไม่มีอาชีพรอง แต่การพัฒนาจิตใจ ผู้มีอาชีพรองมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกับผู้ไม่มีอาชีพรอง (หน้า 89-97) 4. การศึกษาสายสามัญกับด้านศาสนา การศึกษาสายสามัญและการศึกษาด้านศาสนามีผลต่อส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนด้านการส่งเสริมรายได้ การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต และการพัฒนาจิตใจที่ไม่แตกต่างกัน แต่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การศึกษาสายสามัญและการศึกษาด้านศาสนามีส่วนร่วมแตกต่างกัน (หน้า 98-110) 5. ศาสนา การศึกษาด้านศาสนาต่างกันทำให้การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมรายได้ การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต การพัฒนาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาจิตใจแตกต่างกัน โดยมุสลิมที่มีการศึกษาด้านศาสนาสูงกว่า ป.4 (ฟัรดูอีน) ขึ้นไป มีส่วนร่วมสูงกว่าไทยมุสลิมที่ไม่ได้รับการศึกษาด้านศาสนา (หน้า 111-135) 6. ผู้ที่มีความเคร่งครัดทางศาสนา 6.1 การปฏิบัติศาสนกิจ การปฏิบัติศาสนกิจแตกต่างกันทำให้การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมรายได้ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาจิตใจแตกต่างกัน โดยชาวไทยมุสลิมที่ปฏิบัติศาสนกิจเคร่งครัดมากมีส่วนร่วมมากกว่าผู้ที่เคร่งครัดน้อย แต่การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต การปฏิบัติศาสนกิจแตกต่างกันไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมที่แตกต่างกัน (หน้า 135-159) 6.2 การดำเนินชีวิตประจำวัน การเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตประจำวันแตกต่างกันทำให้การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมรายได้ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาจิตใจแตกต่างกัน โดยชาวไทยมุสลิมที่เคร่งครัดในการดำเนินชีวิตประจำวันมากมีส่วนร่วมมากกว่าผู้ที่เคร่งครัดน้อย โดยการเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตประจำวันแตกต่างกันทำให้การมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิตไม่แตกต่างกัน (หน้า 160-168) 7. ปัญหา อุปสรรค์ ในการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมรายได้ การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาจิตใจ คือ ชาวไทยมุสลิมมีภาระในการประกอบอาชีพอยู่แล้ว ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการและการขาดการประชาสัมพันธ์จากผู้นำท้องถิ่นทำให้ไม่ทราบข่าวการดำเนินโครงการ ความสำคัญและประโยชน์ที่จะได้รับ และปัญหาด้านสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเท่าที่ควรเนื่องจากปัจจัยด้านอายุแลผลจากการประกอบอาชีพ (หน้า 169-176) 8. แนวทางแก้ไข ในการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมรายได้ การสร้างเสริมการออมทรัพย์เพื่อการผลิต การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาจิตใจ คือ ควรประชาสัมพันธ์ให้เห็นประโยชน์ของโครงการที่จะนำมาส่งเสริมอาชีพ ทำให้เกิดความเข้าใจก่อนการดำเนินการ ควรจัดให้มีเงินทุนในการส่งเสริมอาชีพ เพื่อสร้างรายได้หลังจากการดำเนินโครงการ ควรปรับปรุงออมทรัพย์ให้สมาชิกได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น ควรให้ราษฎรได้เข้าไปมีส่วนร่วม และรับฟังข้อเสนอแนะของราษฎรในการพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น (หน้า 169-176) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางสถิติในการอธิบายข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้ในการประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเล่ม |
|
|