|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,รัฐ,นโยบายการศึกษา,จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
สมพงษ์ ปานเกล้า |
Title |
นโยบายการจัดการศึกษาของรัฐในชุมชนไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ.2475-2535) |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุด ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
224 |
Year |
2541 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ศึกษานโยบายการพัฒนาการศึกษาของรัฐบาล 3 ช่วงเวลา คือ ในช่วงปี พ.ศ. 2475-2502, 2502-2516, 2516-2535 และศึกษาวิเคราะห์ นโยบายด้านการจัดการศึกษาสำหรับชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้แนวคิดเรื่องไตรลักษณ์รัฐเป็นกรอบวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่าสังคมมุสลิมภาคใต้มีเอกลักษณ์พิเศษทั้งในด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม การมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งทำให้มีพลังต่อรองทางการเมืองกับรัฐไทย แม้ว่านโยบายการจัดการศึกษาจะอยู่บนหลักการของรัฐที่ว่าด้วย “มิติความมั่นคง” แต่ก็จำต้องเป็นที่ต้องให้หักการ “มิติการพัฒนา” และ “มิติการมีส่วนร่วม” เข้ามามีบทบาทร่วม ในช่วงปี พ.ศ. 2475-2502 (หน้า ง,จ) และมีบทบาทนำในช่วงปี 2502-2535ในการกำหนดและดำเนินนโยบายดังกล่าว และเมื่อสถาบันสูงสุดเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาทำให้หลักการพัฒนาของรัฐเป็นที่ยอมรับในของชาวไทยมุสลิมภาคใต้และช่วยเกาะเกี่ยวหลักการของรัฐให้เข้าสู่ความเป็นไตรลักษณ์รัฐ |
|
Focus |
นโยบายด้านการพัฒนาการศึกษาของรัฐบาลและการศึกษาวิเคราะห์ นโยบายด้านการจัดการศึกษาสำหรับชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 8) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูในการติดต่อสื่อสาร (หน้า 44) แต่ภาษาไทยกลายเป็นภาษาราชการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย และยังมีการจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาไทยในโรงเรียนสอนศาสนา เช่น ปอเนาะ ทำให้เกิดความขัดแย้งและความไม่พอใจขึ้น (หน้า 157,194) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
สำหรับถิ่นฐานของชุมชนมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งประกอบไปด้วยจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาสนั้น สันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรลังกาสุกะมาก่อน มีเมืองสำคัญเมืองหนึ่งชื่อ โกตามะลิมัย มีกษัตริย์ปกครองถึง 4 พระองค์ ต่อมาสมัยของพญาอินทรา หรือพญาตูอันตรา ช่วง พ.ศ.2012-2057 ก็ถูกทิ้งร้างไป เพราะพญาอินทราหันไปสร้างเมืองใหม่เรียก ปตานีดาลักชาลา หรือตานี โดยเมืองโกตามะลิมัยเป็นเมืองที่พระพุทธศาสนาได้รับการเผยแผ่และเป็นที่ศรัทธามาก่อน ต่อมาเมื่อพญาอินทราเข้านับถือศาสนาอิสลามก็เปลี่ยนพระนามเป็น สุลต่านอิสมาอีลชาห์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักร ปัตตานี ช่วงหลังปกครองโดยเจ้าหญิงในราชวงศ์ศรีวังษา จนมาสิ้นสุดในสมัยของรานีกูนิล เพราะไม่มีเชื้อพระวงศ์จะสืบราชบัลลังค์ต่อ จึงได้รายาบากัล มาปกครองซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์รัฐกลันตัน จึงเรียกราชวงส์นี้ว่าราชวงส์ กลันตัน หลังสิ้นสุดราชวงศ์นี้ปี พ.ศ. 2272 เมืองปัตตานีได้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง เกิดการแย่งชิงอำนาจของขุนนาง เพราะไม่มีกษัตริย์ปกครอง ทำให้ค่อยๆ ตกมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม หลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. 2310 ปัตตานีได้ตั้งตนเป็นอิสระ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ส่งทัพเรือลงมาตีเมืองปัตตานีไว้ได้ใน พ.ศ. 2329 แล้วแต่งตั้งระดูปักกะหลั่นหรือปะกาลันเป็นเจ้าเมืองปกครองปัตตานีซึ่งก็ยังคิดแยกตัวเป็นอิสระโดยใน พ.ศ.2332 เจ้าเมืองปัตตานีได้ส่งสาสน์ถึงกษัตริย์ญวนให้ร่วมโจมตีสยามแต่กษัตริย์ญวนไม่ร่วมด้วย ในปี พ.ศ.2334 เจ้าเมืองปัตตานีได้ร่วมกับสลัดมลายูและโต๊ะสาหยัด ผู้อ้างตัวเป็นผู้วิเศษโจมตีเมืองสงขลา พระยาสงขลาและพระยานครจึงร่วมกันต่อสู้จนสามารถยึดเมืองปัตตานีได้ รัชกาลที่ 1 จึงได้จัดระบบการปกครองเมืองปัตตานีให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยการส่งคนจากส่วนกลางไปปกครองพื้นที่ชายแดนภาคใต้โดยตรง และโปรดเกล้าฯ ให้อพยพราษฎรไทยในเมืองสงขลา พัทลุง และเมืองจะนะ ลงไปอยู่ในปัตตานี ประมาณ 500 ครอบครัว และได้แบ่งปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง ต่อมาปี พ.ศ.2374-2375 เมืองไทรบุรีเกิดความวุ่นวายและทำให้เกิดความไม่สงบใน 7 หัวเมืองด้วย รัชกาลที่ 3 ได้ส่งทัพไปปราบแล้วให้เปลี่ยนตัวเจ้าเมืองทั้ง 7 หัวเมืองแล้วแต่งตั้งคนไทยหรือคนมลายูที่ยอมสวามิภักดิ์เป็นเจ้าเมืองแทน นำการปกครองจากส่วนกลางไปใช้มากขึ้น และอพยพราษฎร 7 หัวเมืองที่มีเชื้อสายมลายูจำนวน 4,000 คน ขึ้นไปอยู่ในภาคกลาง แล้วอพยพคนไทยจากภาคต่างๆ ลงไปแทนที่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องด้วยเหตุผลจาการถูกคุกคามจากอิทธิพลตะวันตก จึงได้มีการดำเนินโยบายการปกครอง บริเวณ 7 หัวเมือง โดยการจำกัดอำนาจ และตัดทอนผลประโยชน์เจ้าเมืองทั้ง 7 ลง ทำให้เจ้าเมืองทั้งหลายไม่พอใจมากขึ้นและร่วมกันคัดค้านกฎข้อบังคับต่างๆ จึงถูกปลดในที่สุด ต่อมาปี พ.ศ. 2474 ได้ประกาศยกเลิกมณฑลปัตตานี และรวมเป็นเขตการปกครองในส่วนจังหวัด ประกอบด้วย 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส (หน้า 29-36) |
|
Demography |
จังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่ศึกษาได้แก่จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล และสงขลา ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม (ยกเว้นสงขลา) โดยร้อยละ 75 เป็นกลุ่มมุสลิมเชื้อสายมลายูเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 2) |
|
Economy |
เนื่องจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ดังกล่าวประสบปัญหาด้านความมั่นคง ซึ่งเกิดสืบเนื่องมาจากประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งทั้งในด้านชนชาติ ศาสนา เป็นลักษณะปัญหาพิเศษแตกต่างไปจากภาคอื่น ดังนั้นจึงมีการกำหนดหลักนโยบายแก้ไขปัญหาด้านต่างๆไว้เพื่อลดปัญหาความมั่นคง โดยส่วนหนึ่งก็คือแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ ในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้น (หน้า120-123) นับเป็นก้าวแรกในการเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจโดยหนึ่งในการดำเนินงานดังกล่าวคือ ส่งเสริมฐานะราษฏร ให้มีการตั้งนิคมสร้างตนเอง โดยตั้งโรงงานทำ สวนยาง เหมืองแร่ขึ้น และย้ายคนจากภูมิภาคอื่นเข้าไปทำงานยังภูมิภาคดังกล่าว และทำการจัดสรรที่ดินแก่ราษฏร (หน้า 123-125) จากนั้นเมื่อมีแผนพัฒนาภาคใต้ขึ้นอาชีพของราษฏรจึงเริ่มมีการส่งเสริมอย่างเด่นชัด เช่น ส่งเสริมการทำการเกษตร เหมืองแร่ สวนยาง การทำปศุสัตว์ (หน้า 130) |
|
Political Organization |
ชุมชนคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีรูปแบบวัฒนธรรมประเพณีที่ต่างออกไปจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบกับมีปัญหาด้านความมั่นคงจึงถูกภาครัฐเพ่งเล็งมาตลอด ประกอบกับนโยบายการแก้ปัญหาอย่างแข็งเกล้าของภาครัฐที่เน้นการปรับเปลี่ยนโดยไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตคนในพื้นที่ และไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์ทำให้เกิดการต่อต้านหลายครั้ง ตลอดจนการแก้ไขปัญหาในด้านการศึกษาของรัฐที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และยังมีปัญหาทางด้านภาษาและรูปแบบการจัดการศึกษาแบบเดิมเป็นอุปสรรค การเข้าถึงประชาชนจึงล้มเหลวและสั่งสมเป็นปัญหาในด้านต่างๆ ถึงปัจจุบัน (หน้า196-224) |
|
Belief System |
จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเคยเป็นมณฑลปัตตานีในอดีต ได้แก่จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล และสงขลา ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม (ยกเว้นสงขลา) ดังนั้นจึงมีความเชื่อและโครงสร้างทางสังคมต่างจากภาคอื่น (หน้า 2) โดยวัฒนธรรมอิสลามจะมีกระบวนการขัดเกลาทางสังคมสำหรับชาวไทยมุสลิมโดยเฉพาะ ทั้งในด้านการศึกษา ศาสนา ความเชื่อและการประพฤติ ปฏิบัติ มุสลิมจึงไม่สามารถแยกชีวิตประจำวันออกจากศาสนาได้ หรือเรียกได้ว่าศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมุสลิมเลยทีเดียว ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของวัฒนธรรมความเชื่อ และการปฏิบัติ ค่านิยม ความคิด หรือแม้แต่มุมมองทางการเมือง ศาสนาอิสลามถูกจัดอยู่ในประเภท เอกเทวนิยม (Monotheism) คือนับถือพระเจ้าองค์เดียว มีบทกำหนดความเชื่อและการปฏิบัติเกือบทุกแง่มุม มีคำสอนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ จริยศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ฯลฯ มีคำสอนทั้งในนโยบายทั่วไปและการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มีคำสอนเกี่ยวกับโลกนี้และโลกหน้า ทำให้มุสลิมไม่สามารถแยกชีวิตออกจากอิสลามแต่กลายเป็นระบอบในการดำเนินชีวิตอิสลามประกอบด้วย 4 ประการคือ องค์มติ คือเชื่อว่า อัลลอฮ. คือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นและศาสดามูฮัมมัดคือ ศาสนทูตจากพระองค์ ความศรัทธาดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของมุสลิมทั้ง องค์การ องค์พิธีกรรม และองค์วัตถุ วัฒนธรรมอิสลามจึงมีที่มาจาก 2 ประการคือ 1. พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งพระองค์อัลลอฮ. (ซุลฮาฯ) ได้ประทานให้มนุษยชาติ ผ่านท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อลฯ) 2. มาจากซุนนะห (วจนะหรือคำพูด การปฏิบัติหรือจริยวัตร และคำชี้แจง) ของท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อลฯ) ดังนั้นมุสลิมต้องปฏิบัติตามวัฒนธรรมที่ปรากฏในอัล-กุรอานและซุนนะห หลักศรัทธาในอิสลามต้องศรัทธาและเชื่อมั่นอย่างบริสุทธิ์ใจมี 6 ประการ คือ 1. ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า อัลลอฮ. (ซุบฮาฯ ) 2. ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ 3. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ 4. ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต 5. ศรัทธาในวันพิพากษา ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์ หลักการปฏิบัติมี 5 ประการ คือ 1. การปฏิบัติตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮและว่ามุหัมมัดเป็นรสูลขอลอัลลอฮ 2. การดำรงนมาซ 3. การจ่ายซะกาฮ 4. การประกอบพิธีหัจญ์ 5. การถือศีลอดในเดือนเราะมะฏอน ซึ่งชาวไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยกระบวนการขัดเกลาของศาสนาอิสลามมุ่งหวังให้สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสังคม และเป็นผู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จากรุ่นสู่รุ่น โดยมีศูนย์กลางเดียวกันคือ ภาวะเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งกระบวนการขัดเกลาดังกล่าวประกอบด้วยลักษณะสำคัญคือ 1. จุดหมายคือสร้างมุสลิมให้มีลักษณะครบถ้วนทั้งทางโลกและทางธรรม โดยการแสวงหาความรู้ มีความเชื่อในหลักศรัทธา และยึดมั่นในหลักปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้ทั้งสมองและจิตใจมีความสมดุลกัน ซึ่งจุดมุ่งหมายได้มีความสัมพันธ์กับปัญหาสังคมในด้านต่างๆ เช่น การอยู่ร่วมกันโดยไม่แบ่งแยก มีความเท่าเทียมกันทุกคน โดยมีรัฐเป็นองค์ประกอบหนึ่ง 2. ผู้ทำหน้าที่ ทุกคนในสังคมเป็นผู้ทำหน้าที่ในการหล่อหลอม พ่อแม่จะเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด 3. เนื้อหา ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ความศรัทธา และการปฏิบัติตามบทบัญญัติในคัมภีร์อัล-กุรอ่านและซุนนะห 4. วิธีการ ในทั้งวิธีการในระบอบโรงเรียนซึ่งมีหลักสูตรชัดเจน และรูปแบบนอกโรงเรียน ซึ่งไม่มีหลักสูตรที่แน่นอน เป็นไปตามความเห็นของผู้ทำหน้าที่ขัดเกลา ระยะเวลาเรียนขึ้นอยู่กับความสารถของแตเละบุคคล ได้แก่ ปอเนาะ (หน้า 36-42) |
|
Education and Socialization |
ด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องวัฒนธรรม ความเชื่อและศาสนา ประกอบกับปัญหาทางด้านความมั่นคงซึ่งเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ในพื้นที่จึงทำให้ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษจากรัฐและผู้มีอำนาจในรัฐที่ต้องการจะผนวก และผสานกลืนวัฒนธรรมในท้องที่ให้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัฒนธรรมหลักด้วยเชื่อว่าจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมาอย่างยาวนานได้ โดยไม่เลือกวิธีการ ทั้งกระทำอย่างละมุนละม่อม บีบบังคับ ไปจนถึงการใช้กำลัง หลายครั้งที่ทำให้เกิดการต่อต้าน และปะทะกับคนในท้องถิ่น รัฐจึงได้แสวงหาวิธีการต่างๆ เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว หนึ่งในนั้นก็คือการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการจัดการกับปัญหาโดยใช้เป็นเครื่องมือมาตั้งแต่ในอดีต แต่ด้วยความไม่เข้าใจในรูปแบบวิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณีของคนในท้องถิ่น การจัดการศึกษาในรูปแบบบังคับนี้กลับถูกต่อต้านจากคนในท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งแทนที่จะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหากลับเป็นเงื่อนไขที่จะสร้างปัญหาและความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เช่น แทนที่พ่อแม่เด็กจะให้เด็กเข้ารับการศึกษาจากสถาบันของรัฐที่จัดขึ้นกลับพาเด็กเข้าศึกษาในโรงเรียนปอเนาะเช่นเดิม เพราะสถานศึกษาของรัฐนั้นไม่ได้จัดการเรียนการสอนในเรื่องศาสนาซึ่งถือว่าเป็นวิถีชีวิตของอิสลามไว้ ประกอบกับกฎเกณฑ์บางเรื่องไม่เหมาะสมเช่นให้เด็กชายหญิงเรียนร่วมกันเป็นต้น ทำให้เกิดความขัดแย้งและแข็งขืนกับคนในชุมชนขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องไดรับความเข้าใจและความเคารพจากรัฐอย่างจริงจังเสียก่อน (หน้า71-79) ประกอบกับปัญหาในด้านต่างๆ เช่น ความแตกต่างทางภาษา ความขาดแคลนครูและอุปกรณ์การเรียนการสอน ความผันผวนทางนโยบายและความไม่ต่อเนื่องของผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรม ตลอดจนการจัดการศึกษาที่ขาดการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการพัฒนาการศึกษาในภูมิภาคนี้ทั้งสิ้น (หน้า 196-218) นโยบายการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 1.นโยบายการศึกษาก่อน พ.ศ.2475 ผลจากการปฏิรูปการปกครองระบบบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 5 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะการศึกษาแบบเก่ามาสู่การศึกษาระบบโรงเรียน โดยรัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย วิธีการ เนื้อหาหลักสูตร และเป้าหมายที่สอดคล้องกับความต้องการของรัฐและสังคม ทำให้เกิดการเริ่มจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในวัดทั้งในกรุงและหัวเมือง เป็นการขยายให้การศึกษามีแบบแผนและยังให้เอกชนเข้ามามีส่วนช่วยในการจัดการศึกษาด้วย ในปี พ.ศ. 2441 มีการขยายการศึกษาสู่หัวเมืองมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีความรับผิดชอบและเพื่อการประกอบอาชีพ โดยในปี พ.ศ. 2443 มีการตั้งโรงเรียนขึ้นในบริเวณ 7 หัวเมือง แต่ในระยะแรกได้พบอุปสรรคด้านการขาดแคลนครูผู้สอน ขาดแคลนสถานที่เรียนและอุปกรณ์ ปัญหาความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม เนื่องจากรัฐบาลกำหนดให้สอนภาษาไทยภาคกลาง ใช้ตำราหลวง สอนในวัดโดยมีพระเป็นผู้สอน ทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วย การจัดการศึกษาในช่วงระยะเวลานั้นจึงอยู่ภายใต้เหตุผลของรัฐ การจัดการศึกษาในหัวเมืองจึงพยายามสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของชาติทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน ดังนั้นในปี พ.ศ. 2445 ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโดยให้สอนวิชาความรู้มากขึ้น ให้ทั่วถึง และเพียงพอ เพื่อสามารถประกอบกิจการงานตามสมควรและการค้า การทำมาหากิน และให้กระทรวงมหาดไทยและคณะสงฆ์ร่วมกันจัดการศึกษาตามหัวเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 ได้มีการมอบอำนาจให้ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบการศึกษาของมณฑลปัตตานี แต่แม้รัฐบาลจะพยายามปรับแนวคิด และกุศโลบายในการจัดการศึกษาในมณฑลปัตตานีแล้วก็ตาม โรงเรียนที่จัดขึ้นในมณฑลปัตตานียังมีจำนวนน้อยและไม่ค่อยมีเด็กเข้ามาเรียนมากนัก ต่อมารัฐบาลปรับแผนการศึกษาให้สามารถอ่านออกเขียนได้และประกอบอาชีพได้ เป็นแบบมูลศึกษา 3 ปี ประถมศึกษา 3 ปี มัธยมศึกษา 3 ปี และอุดมศึกษา 3 ปี เป็นแผนการศึกษาแรกที่มีถึงอุดมศึกษา นโยบายการศึกษาในรัชกาลที่ 6 มีนโยบายให้ประชาชนสามารถอ่านออกเขียนและพูดภาษาไทยได้ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จและพยายามให้มีการสอนภาษาไทยในโรงเรียนมลายู ทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว แต่กลับสนับสนุนการศึกษาตามแบบอิสลาม เพราะการสอนโดยรัฐขัดต่อหลักปฏิบัติของอิสลาม โดยให้ชายและหญิงเรียนร่วมกัน เนื้อหามีแต่ภาษาไทย มีคำสอนของพุทธศาสนา มีรูปบูชา ทำให้รัฐบาลต้องมีนโยบายผ่อนผันมากขึ้น และปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา (หน้า 44-63) 2. นโยบายการศึกษาสมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ.2468-2478) ได้มีนโยบายการศึกษาเน้นการศึกษาไม่รวบรัด เน้นคุณภาพทำให้การจัดการศึกษามณฑลปัตตานี ไม่ได้มีการเร่งรัดเพื่อที่จะให้เด็กมุสลิมพูดภาษาไทยให้ได้ ไม่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าฝ่าฝืนศาสนาบัญญัติ และวัฒนธรรมท้องถิ่น การศึกษาในโรงเรียนเป็นการเปิดรับความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมของประชาชนในมณฑลปัตตานี โดยยอมให้มีการสอนภาษามลายูควบคู่ไปกับภาษาไทยในโรงเรียน ยอมรับการศึกษาแบบวัฒนธรรมอิสลาม หรือปอเนาะโดยไม่ถือว่าเป็นการผิดพระราชบัญญัติและได้ทดลองเปิดโรงเรียนสำหรับเด็กมุสลิมผู้หญิงขึ้นด้วย (หน้า 64-69) 3. นโยบายการศึกษา พ.ศ. 2475-2502 การจัดการศึกษาในช่วง พ.ศ. 2475-2481 หลังจากการปฏิรูปการปกครองโดยคณะราษฎร รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาโดยการขยายการศึกษาภาคบังคับออกไปจาก 5 ปี เป็น 6 ปี จัดให้มีการศึกษาอย่างเสมอภาคระหว่างชายหญิง จุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ประชาชนในมณฑลปัตตานีที่นับถือศาสนาอิสลามและใช้ภาษามลายูได้เรียนรู้ภาษาไทยอย่างน้อยให้สามารถพูดภาษาไทยได้ ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลังจากการต่อต้านของคนในท้องถิ่นเนื่องจากการบังคับให้หญิงชายเรียนร่วมกัน โรงเรียนอยู่ในวัด มีพระเป็นผู้สอน การเก็บเงินค่าศึกษา ทำให้มีมติการจัดการศึกษาให้เกณฑ์เด็กตั้งแต่ 7 ปี แต่เด็กชายและเด็กหญิงเรียนแยกกัน จัดการศึกษาให้เด็กอิสลามควรให้เรียนทั้งหนังสือไทยและมลายู รวมทั้งเรียนศาสนาอิสลามด้วย โดยโต๊ะอิหม่านมาเป็นผู้สอนหนังสือมลายู และศาสนาในโรงเรียนประชาบาล รวมถึงให้หยุดโรงเรียนในเวลาถือบวชด้วย แต่การสอนภาษามลายูในโรงเรียนได้ถูกยกเลิกไปพร้อมกับการยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ. 2476 ผู้ปกครองส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงไม่นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนของรัฐ เมื่อจบการศึกษาภาคบังคับแล้วก็มักส่งไปเรียนใน ปอเนาะ มัสยิด หรือบ้านผู้รู้ทางศาสนา เพื่อเรียนภาษามลายู อ่านคัมภีร์อันกุรอาน และเรียนหลักธรรมทางศาสนาอิสลาม ทำให้การกำหนดนโยบายการจัดการศึกษาสำหรับมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องตระหนักถึงความละเอียดอ่อน ปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพสังคมวัฒนธรรมและความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อถือและศรัทธาในนโยบายของรัฐบาลเพราะประชาชนมองว่าการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไม่มีความจริงจังโดยยังยึดติดกับเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นหลัก (หน้า 70-79) การจัดการศึกษาในช่วง พ.ศ. 2482-2487 โดยภาพรวมมุ่งให้ประชาชนได้รับการศึกษาอบรมเกี่ยวกับการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แต่ด้วยปัญหาจากที่รัฐบาลมีแนวคิดรัฐนิยม การเรียกชื่อชาวไทย การใช้ภาษาไทยและหนังสือไทยเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาชาติ การกำหนดการแต่งกายของประชาชน ส่งผลต่อความรู้สึกพวกตนไม่ใช่คนไทย รู้สึกแตกแยกทางจิตใจของกลุ่มเชื้อชาติมาเลย์มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยทั่วกัน เป็นการตอกย้ำความรู้สึกแตกแยกที่มีอยู่เดิมว่าตนไม่ใช่คนไทยมากขึ้นไปอีก (หน้า 79-85) การจัดการศึกษาในช่วง พ.ศ. 2488-2502 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศหลายครั้งนั้น การจัดการการศึกษาสำหรับชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงไม่มีแนวทางการจัดการที่ชัดเจนมากนัก แต่มีการปรับเปลี่ยนท่าที มีความระมัดระวังในการใช้อำนาจทางการเมือง นโยบายที่ผ่อนปรนมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2489 ได้มีการอนุญาตให้โต๊ะครูสอนภาษามลายู ภาษาอาหรับ และศาสนาอิสลามได้โดยไม่ถือว่าขัดกับลักษณะการสอนในโรงเรียนราษฎร์ มีการสอนภาษามลายูในโรงเรียนโดยสอนสัปดาห์ละ 5 ชม. ในปี พ.ศ. 2491 จัดให้มีการสอนภาษามลายูและการศาสนาในโรงเรียนระดับชั้นประถม และมีการปรับปรุงหลักสูตรทั้งในสามัญศึกษาและอาชีวศึกษา โดยให้เวลาเรียนภาษามลายูเท่ากับภาษาไทย สามารถนำเอาเวลาเรียนภาษามลายูไปใช้สอนศาสนาได้แต่ไม่เกิดสัปดาห์ละ 2 ชม. ให้ผู้แทนราษฎรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมเป็นคณะกรรมการแก้ไขปัญหาในการจัดการศึกษา แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปรับปรุงการศึกษาเพียงใด แต่ยังไม่ประสพผลมากนัก (หน้า 85-119) 4. นโยบายการศึกษา พ.ศ. 2502-2516 ในปี พ.ศ. 2502 รัฐบาลได้จัดตั้งสภาการศึกษาแห่งชาติเพื่อวางโครงการศึกษาของชาติทุกระดับ ส่วนการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้รัฐบาลได้มุ่งหวังให้ชาวไทยมุสลิมสำนึกความเป็นพลเมืองไทยอย่างแท้จริง มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาไทย มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามขั้นพื้นฐานเป็นอย่างน้อย ยกระดับการศึกษาทางด้านสามัญและอาชีพให้สูงขึ้น สามารถประกอบอาชีพในสังคมได้ พัฒนาความรู้สึกนึกคิดให้คิดว่าตนเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อพื้นที่ชายแดนภาคใต้อันเป็นพื้นที่ที่มีความแตกต่างพิเศษไปจากภาคอื่น และเกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงแห่งชาติ รัฐบาลจึงใช้วิธีการพัฒนาพื้นที่และการศึกษาไปพร้อมๆ กันทำให้เกิดโครงการส่งเสริมด้านการศึกษาชั้นสูง การศึกษาพระคัมภีร์กุรอาน การส่งเสริมความรู้เรื่องเมืองไทย การส่งเสริมความรู้วิชาภาษามลายูแก้ข้าราชการ การทดลองสอนภาษาไทยด้วยวิธีพิเศษ การให้ทุนการศึกษา การปรับปรุงจัดระเบียบปอเนาะเพื่อให้มาอยู่ในการดูแลของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดแบบเดียวกับโรงเรียนราษฎร์มีการเรียนการสอนวิชาสามัญ นอกจากนี้รัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาการศึกษาเพื่อความมั่นคงโดยเน้นความเป็นไทยกับเอกลักษณ์ทางเชื้อชาติ ภาษามลายู เอกลักษณ์ของระบบการศึกษาในวัฒนธรรมอิสลาม เป็นเป็นการควบคุมและส่งเสริมการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีประสิทธิผลมากขึ้น แต่ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีความรู้สึกไม่พอใจเนื่องจากมองว่าเป็นเหตุให้มาตรฐานการศึกษาด้านศาสนาอิสลามลดลง (หน้า 120-160) 5. นโยบายการศึกษา พ.ศ. 2516-2535 การจัดการศึกษาในช่วง พ.ศ. 2516-2535 จากปัญหาความวุ่นวายทางด้านการเมืองการจัดการศึกษาอย่างไม่เป็นรูปธรรมและจริงจังเท่าใดนัก นโยบายทางการศึกษาเป็นการส่งเสริมและจัดการศึกษาให้สอดคล้องและตระหนักในคุณค่าของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเอกลักษณ์ชาติ ช่วงนี้รัฐบาลได้พยายามศึกษาหาจุดอ่อนและทบทวนนโยบายที่ผ่านมาพร้อมกับแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก ส่วนนโยบายอื่นเป็นนโยบายย่อยรองรับ (หน้า 161-169) การจัดการศึกษาในช่วง พ.ศ. 2523-2534 รัฐบาลมีนโยบายจัดการศึกษาโดยเน้นรากฐานของการปกครอง ประกอบอาชีพ และพัฒนาชนบท โดยการประสานงานการศึกษาทั้งระดับนโยบายและการบริหารการปรับปรุงการเรียนการสอน จัดสรรทรัพยากร ทำให้เกิดการโอนการศึกษาประชาบาล จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ด้านการจัดการศึกษาสำหรับชาวไทยมุสลิมภาคใต้ยังคงให้การสนับสนุนภายใต้นโยบายความมั่นคงและโครงการเดิมๆ ที่มีอยู่ โดยเน้นหนักในการแสวงหาวิธีการส่งเสริมให้เยาวชนไทยมุสลิมได้ใช้ภาษาไทยด้วยการอ่าน การพูด การเขียนและการฟังให้แพร่หลายยิ่งขึ้น จนสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับสูงอย่างทั่วถึง ซึ่งมีทบวงมหาลัยได้ร่วมมือในการดำเนินงานตามโครงการต่างๆ ด้วย ช่วงเวลาการบริหารราชการช่วงเวลานี้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น จึงต้องมีการแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยควบคู่กับการส่งเสริมการศึกษา (หน้า 161-179) การจัดการศึกษาในช่วง พ.ศ. 2534-2535 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงและรุนแรงทางการเมือง ทำให้รัฐบาลต้องคงเรื่องความมั่นคงโดยใช้การเมืองนำทหาร นโยบายการจัดการศึกษาจึงเป็นไปในรูปแบบเพื่อความมั่นคง โดยรัฐยอมรับความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิมมากขึ้น จะเห็นได้ว่าการจัดการศึกษาในแต่ละช่วงเวลามีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับนโยบายทางการเมือง เนื่องจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความอ่อนไหวต่อความมันคงของชาติ (หน้า 179-195) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เนื่องด้วยประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหลักในพื้นที่ ศาสนาอิสลามจึงเข้ามามีบทบาทในส่วนของการดำรงชีวิต พิธีกรรม ตลอดจนความเชื่อ และเข้ามามีบทบาทในการกำหนดรูปแบบการดำรงชีวิตในแง่มุมต่างๆ ด้วย เช่น การจัดการศึกษา ศิลปศาสตร์ จริยศาสตร์ กฎหมาย อีกทั้งแขนงวิชาอื่นในทางปฎิบัติไว้ด้วย มุสลิมจึงไม่อาจปฎิเสธที่จะรับเอาศาสนาอิสลามมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้กลายเป็นอัตลักษณ์ของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปในที่สุด (หน้า 36-44) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีประวัติความเป็นมาทางชาติพันธุ์อย่างยาวนาน ตลอดจนมีรูปแบบของเอกลักษณ์วัฒนธรรมของตนสืบต่อเนื่องกันมาอย่างไม่ขาดสายก่อให้เกิดอัตลักษณ์ในกลุ่มชาติพันธุ์ของตนขึ้น ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาทางด้านความมั่นคงขึ้น รัฐบาลและผู้มีอำนาจในทุกยุคสมัยต่างพยายามจะเปลี่ยนแปลงคติความเชื่อดังกล่าวทั้งใช้วิธีการแบบละมุนละม่อมและการบีบบังคับ ตั้งแต่ในด้านการศึกษา สังคม วัฒนธรรมความเชื่อ แต่ก็มิอาจต้านทานกระแสความเชื่อและเอกลักษณ์อันยึดถือสืบต่อกันมาอย่างยาวนานได้ จนบางครั้งเกิดความขัดแย้งขึ้นจนปะทะกันด้วยกำลัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายของฝ่ายรัฐ กลายเป็นผลสืบต่อมากลายเป็นรากเหง้าของปัญหาในปัจจุบัน (หน้า 143-160) |
|
|