|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาวเล, อูรักลาโว้ย, ชุมชน, การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,ภูเก็ต |
Author |
พชรวรรณ รุ่งแสงอโณทัย |
Title |
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล : กรณีศึกษากลุ่มอูรักลาโว้ย บริเวณแหลมตุ๊กแก ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อูรักลาโว้ย อูรักลาโวยจ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
99 |
Year |
2547 |
Source |
หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเอกภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
การศึกษามีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล กรณีศึกษากลุ่มอูรักลาโว้ย บริเวณแหลมตุ๊กแก ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาและคุณภาพ โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มอย่างมีระบบ ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยจำแนกตามตัวแปรต้น คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาที่อยู่ในชุมชน รายได้รวมของครอบครัวต่อเดือน ตัวแปรตาม คือ วัฒนธรรมการสร้างบ้านเรือน วัฒนธรรมการแต่งกาย และวัฒนธรรมการบริโภคผลการศึกษาพบว่าปัจจัยภายในและภายนอกมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ตลอดจนจัดทำแผนที่ข้อมูลประชากรของชุมชนชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย (หน้า 2) |
|
Theoretical Issues |
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล อูรักกลาโว้ยบริเวณแหลมตุ๊กแก ได้แก่
1.ประชากรเพศหญิงมีมากกว่าเพศชาย ซึ่งเพศหญิงมีบทบาทการตัดสินใจในครอบครัว จึงมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมมากกว่าเพศชาย
2.ชาวอูรักโว้ยส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาระดับประถม มีส่วนน้อยที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับประถม นำไปสู่การพัฒนาในด้านความคิด ทัศนคติ ค่านิยมและการปรับตัวไปสู่วิถีชีวิตสมัยใหม่
3.การใช้ชีวิตในชุมชนจากเดิมมีวัฒนธรรมแบบเร่ร่อนอาศัยอยู่บนเรือลอยน้ำมาเป็นปลูกสร้างบ้านเรือนบนบก ทำให้มีระยะเวลาอยู่ในชุมชนมากขึ้น จึงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
4.มีการปรับเปลี่ยนอาชีพจากชาวประมงมาเป็นคนงานรับจ้างและพ่อค้ามากขึ้น ทำให้มีการบริโภคอาหาร เสื้อผ้าตามสมัยนิยมมากขึ้น
5.การติดต่อสื่อสารคมนาคมสะดวกมากกว่าเดิม จึงมีการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้น
6.การรับรู้ข่าวสารจากสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ
7.ลักษณะกายภาพในการเข้าถึง เช่นจำนวนเส้นทางเข้าถึงชุมชน จำนวนเที่ยวรถโดยสารประจำทาง และยานพาหนะในครัวเรือน (หน้า 72 – 76) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ต้นกำเนิดของชาวเลในประเทศไทยนั้นไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่จากการค้นคว้าของนักวิชาการหลายท่าน ชี้ให้เห็นว่าชาวเลไม่ได้เป็นชนพื้นเมืองเดิมของเกาะต่างๆ ทางภาคใต้ของประเทศไทย แต่อพยพเร่ร่อนมาจากที่อื่น ที่อ้างตรงกันโดยมากมาจากทางแหลมมลายู เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการอพยพเร่ร่อน อาศัยไม่เป็นหลักแหล่งอยู่ในทะเลอาศัยตามเกาะ จึงถูกเรียกว่า “ยิปซีทะเล” (Sea Gypsy) (หน้า 8) ตามการศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยา (Ethnography) เผ่าพันธุ์ชาวเลจัดเข้าอยู่ในกลุ่มชนพวก เมลานีเซียน (Melanesian) ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่แถบหมู่เกาะทะเลใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกหรือหมู่เกาะเมลานีเซีย (เกาะของคนผิวดำ) ต่อมาได้โยกย้ายถิ่นฐานกระจายไปในหมู่เกาะทะเลใต้ พวกนี้มีรูปร่างลักษณะตัวค่อนข้างเล็ก ผิวดำ ตาดำ ผมหยิกหยอยเป็นกระจุก และมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง จากหลักฐานด้านประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์วิทยา สรุปได้ว่า ชาวเลเป็นชนกลุ่มน้อยและชนพื้นเมืองของภาคใต้ซึ่งได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานมาแล้ว อาศัยอยู่บริเวณเกาะทางภาคใต้ ในเขตจังหวัด ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง และสตูล วิถีการดำรงชีวิตแบบเร่ร่อน มีวัฒนธรรมและภาษาเป็นของตนเองและมีรูปร่างหน้าตาคล้ายชาวมาเลย์หรอชาวมุสลิมภาคใต้ของไทย (หน้า 9) มีการแบ่งกลุ่มชาวเลเป็นหลายกลุ่มซึ่งมีชื่อเรียกกลุ่มแตกต่างกันไป แต่สำหรับกลุ่มที่ศึกษาในงานวิจัยนี้ ชื่อว่ากลุ่มอูรักลาโว้ย ซึ่งตรงกับการแบ่งกลุ่มตามแนวคติชนวิทยา โดยอาศัยการบอกเล่าของชาวเลเป็นกลัก คือ ชาวเลในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1. กลุ่มมอเก็น (Moken) ประกอบด้วย มอเก็นบูเลา (สิงห์ทะเล) และมอเก็น ตามับ (สิงห์บก) 2. ชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย (หน้า 9) ชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ยในงานวิจัยนี้อพยพเร่ร่อนมาจากบริเวณหมู่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย และมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะสิเหร่ บริเวณแหลมตุ๊กแก จ.ภูเก็ต หน้า 12) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวเลมีวัฒนธรรมและภาษาเป็นของตนเอง แต่ยังขาดหลักฐานอ้างอิงที่แน่นอน ไม่มีภาษาเขียนในการสื่อความหมาย ทั้งนี้ ไม่มีการอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับด้านภาษาพูดของชาวเลอย่างชัดเจน แต่มีการกล่าวถึงเกี่ยวกับความหมายชื่อของเกาะที่อาศัยอยู่นี้ว่าเป็นภาษาชาวเล คือเกาะสิเหร่ ดังคำว่า “ปูเลาสิเหร่” เป็นภาษาชาวเลแปลว่า เกาะพลู กล่าวคือ เกาะสิเหร่ในอดีตมีต้นพลูขึ้นมากมาย (หน้า 9-11) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระบุแต่เพียงว่าใช้เวลาในการเก็บแบบสอบถามเป็นเวลา 1 เดือน ไม่ได้เก็บตลอดทั้งปี และทำการกำหนดระยะเวลาในการเก็บข้อมูล ออกเป็น 7 ครั้ง ครั้งละ 9 ชุด และวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงพรรณา จากการสำรวจและการสังเกต ประกอบกับข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ (หน้า 27 และ หน้า 77) |
|
History of the Group and Community |
เดิมทีบรรพบุรษของชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย อพยพเร่ร่อนมาจากหมู่เกาะลังกาวีของประเทศมาเลเซีย ในอดีตเกาะสิเหร่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย ได้เข้ามาพักพิงเป็นครั้งคราวเพื่อหลบพายุในทะเล หรือเพื่อมาเก็บหอยหรือพืชบางอย่าง ต่อมาได้พากันอพยพมาสร้างบ้านเรือนอยู่อย่างถาวร โดยขึ้นบกมาจับจองที่ดินบริเวณแหลมกลางของเกาะสิเหร่ก่อนเป็นแห่งแรก ต่อมาเกิดกรณีพิพาทเรื่องที่ดินบริเวณแหลมกลาง ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2502 จึงย้ายมาอยู่ที่แหลมตุ๊กแกของเกาะสิเหร่จนถึงปัจจุบันนี้ รวมแล้วชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเกาะสิเหร่เป็นเวลาประมาณ 150 ปีแต่ที่ดินบริเวณแหลมตุ๊กแกนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวจีนในจังหวัดภูเก็ตคนหนึ่ง (หน้า 11-12) |
|
Settlement Pattern |
เดิมทีชาวเลมีชีวิตที่เร่ร่อนไปตามเกาะต่างๆ ไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่ง เรือจึงถูกใช้ทำกิจกรรมต่างๆ แทนบ้าน มีการแบ่งส่วนของเรือออกเพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปตามความต้องการของเจ้าของเรือ ดังนั้น บ้านลอยน้ำหรือเรือชาวเลมีลักษณะเป็นเรือสำปั้นขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 3-3.45 เมตร กลางลำกว้าง 1.8-2 เมตร ตรงกลางซึ่งเป็นส่วนที่กว้างทำเป็นหลังคาโค้ง ตามลำเรือใช้ใบเตยทะเลหรือใบปาหนัน บางลำใช้ใบพ้อผูกกับไม้ไผ่เรียงกันเป็นตับมุงหลังคากันแดดกันฝน ใช้ไม้กระดานวางพาดกาบเรือเป็นพื้นเต็มช่วงหน้าและส่วนที่มุงหลังคาด้านหน้าของเรือทำเป็นที่กินอาหาร ส่วนที่อยู่ในชายคาด้านนอกสุดเป็นครัว ถัดมาเป็นส่วนที่กว้างก็ใช้นั่งทำงานจักสาน เลี้ยงเด็ก และเป็นห้องนอนไปในตัว ตรงกลางเรือส่วนที่ต่อกับหลังคาทำเป็นชั้นวางของ ของบางอย่างก็เสียบไว้แนวชายคา ภายในมีกล่องสังกะสีขนาดเท่าปี๊บเพื่อใช้เป็นที่ใส่เสื้อผ้าและของมีค่าต่างๆ บริเวณท้องเรือจะเก็บเครื่องมือเครื่องใช้และถังใส่น้ำจืด ช่องว่างข้างเรือเสียบกระบอกไม้ไผ่ทำคบเพลิง เรือแต่ละลำจะอยู่เพียงครอบครัวเดียว ซึ่งมีตั้งแต่ 7-12 คน (หน้า 13-14) รูปแบบบ้านของชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยในปัจจุบันมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า บ้านที่มีใต้ถุนจะสูงประมาณ 1 เมตร มีประตู 2 บาน อยู่บริเวณหน้าบ้านและหลังบ้าน บ้านที่มีใต้ถุนจะมีจำนวนขั้นบันไดเป็นเลขคี่ ภายในบ้านโล่งเป็นห้องเดียวไม่ค่อยกั้นห้องเป็นห้องต่างๆ สามารถนอนรวมกันได้ 5-8 คน ส่วนใต้ถุนบ้านใช้ทำกิจกรรม เช่น แกะหอย เล่นไพ่ เป็นต้น สำหรับห้องน้ำและห้องครัวไม่มี จัดได้ว่าเป็นบ้านแบบกึ่งถาวร (หน้า 14) |
|
Demography |
ปี พ.ศ. 2545 ชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ย บริเวณแหลมตุ๊กแก หมู่ 4 ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ประกอบด้วย 249 ครัวเรือน จำนวนประชากรประมาณ 1,600 คน เพศชาย 638 คน เพศหญิง 952 คน ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 31-40 ปี (หน้า 10,66,72) ในการศึกษาใช้ผลการคำนวณได้ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 63 ครัวเรือน |
|
Economy |
ชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก อันสืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ มีความคุ้นเคยและมีความชำนาญพิเศษเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในทะเลและการจับสัตว์น้ำทุกชนิด เช่น กุ้งก้ามกลาม ปูทะเล โดยจับสัตว์น้ำขายให้แก่พ่อค้าคนกลางที่เข้ามาซื้อสินค้าทะเลในหมู่บ้าน ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 300-500 บาท และเนื่องจากชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของเจ้าของที่ดิน คือ ต้องขายสัตว์น้ำที่จับมาได้ทั้งหมดให้กับเจ้าของที่ดิน ตลอดจนจะต้องซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากร้านชำของเจ้าของที่ดิน (หน้า 12,73) อาชีพนอกเหนือจากอาชีพประมง ได้แก่ อาชีพรับจ้าง เช่น รับจ้างแกะหอย พ่อค้าคนกลางรับซื้อในราคา 50 บาท อาชีพรับจ้างในโรงงานปลากระป๋อง ส่วนมากเป้นชาวเลหนุ่มสาวที่อายุ น้อยกว่า 30 ปี ได้ค่าแรงวันละประมาณ 150-200 บาทต่อคน อาชีพค้าขายเป็นอาชีพของกลุ่มชาวเลที่มีฐานะดีที่สุดในหมู่บ้าน เป็นการนำของทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก มุก เปลือกหอย และปะการัง ไปขายให้กับโรงแรมและพ่อค้าในตลาด บางรายไปขายเองในตลาด มีรายได้ 9,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป (หน้า 74) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน เมื่อหนุ่มสาวเกิดรักใคร่ชอบพอกันแล้ว ฝ่ายชายจะต้องบอกพ่อแม่ของตนให้ไปหาพ่อแม่ฝ่ายหญิง เพื่อทำการสู่ขอซึ่งจะกระทำกันถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกนั้นเป็นการให้คำตอบว่าขอคิดใคร่ครวญดูก่อน แล้วค่อยมาตกลงกันใหม่ การสู่ขอครั้งที่ 2 จะตอบว่าขอถามลูกสาวดูก่อน ค่อยกลับมาฟังข่าวใหม่ ส่วนครั้งที่ 3 จะเป็นการให้คำตอบว่าถ้าลูกสาวพอใจรักใคร่ก็ไม่ขัดข้อง ให้นำขันหมากมานัดวันแต่งงาน ก่อนแต่งงานจะมีพิธีหมั้นซึ่งจะเป็นแหวนอะไรก็ได้ ในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญาจะต้องมีการคืนแหวนและเสียค่าปรับด้วย แต่ถ้าแต่งแล้วหรือในกรณีหย่าร้างฝ่ายไหนอยากเลิกก็ต้องเสียค่าปรับตามที่ได้ตกลกันไว้ต่อหน้าผู้ใหญ่ในคืนวันเข้าพิธี (หน้า 16) ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาวเลเมื่อแต่งงานกันแล้วฝ่ายชายต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของฝ่ายหญิง ผู้ชายมีหน้าที่เพียงแต่ทำมาหาเงินมาเลี้ยงฝ่ายหญิงทั้งบ้าน ให้อำนาจการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ขึ้นอยู่กับฝ่ายหญิง วัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ทุกวันนี้เกิดการจากการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง โดยเพศหญิงผู้ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านจะเป็นผู้ส่งต่อวัฒนธรรมได้มากกว่าเพศชาย ระบบเครือญาติมีความสำคัญในกระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก (หน้า 72) มีการตั้งนามสกุลในหมู่ของชาวเลขึ้นโดยทางราชการ เนื่องจากต้องมีความเกี่ยวข้องกับทางราชการมากขึ้น เช่น การเกณฑ์เด็กเข้าเรียนในโรงเรียน เป็นต้น นามสกุลที่ใช้มากในชุมชนชาวเลเกาะสิเหร่ คือ ประโมงกิจ และเมื่อมีการแต่งงานกับคนในท้องถิ่นก็มีนามสกุลเพิ่มขึ้น ชาวเลบางกลุ่มมีการตั้งนามสกุลใหม่ขึ้นมาใช้เองบ้าง เช่น หาญทะเล ช้างน้ำ และวารี เป็นต้น (หน้า 12) |
|
Political Organization |
ชาวเลนับถือบรรพบุรุษที่เรียกว่า “โต๊ะหมอ” ซึ่งเป็นทั้งผู้นำและประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในกรณีที่มีโต๊ะหมอหลายคนแต่ละคนจะได้รับการยอมรับในบทบาทอย่างเท่าเทียมกัน แต่ปัจจุบันบทบาทของโต๊ะหมอเริ่มจะลดน้อยลงไป เพราะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสารวัตรกำนันมีบทบาทเด่นเข้ามาแทนที่ การใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง ชาวเลส่วนใหญ่จะมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเหมือนคนไทยทั่วไป การพิจารณาเลือกผู้แทนของชาวเลนั้นแล้วแต่ว่าผู้นำของตนจะเลือกใคร พวกเขาจะเลือกคนนั้นตาม (หน้า 13) |
|
Belief System |
ชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยมีความเชื่อเกี่ยวกับผีสางอย่างเหนียวแน่น ตลอดจนความเชื่อเรื่องโชคลาง ไสยศาสตร์ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้แทรกซึมเข้าไปในวิถีชีวิต เช่น ในการเกิด การทำมาหากิน การแต่งงาน การรักษาโรค ตลอดจนการตาย ซึ่งพิธีกรรมต่างๆ จะสัมพันธ์กับทะเลตามแบบสภาพวิถีชีวิต อาทิเช่น พิธีลอยเรืออันเป็นพิธีที่มีความสำคัญและมีความหมายอย่างมากต่อชาวเล โดยทำกันปีละ 2 ครั้ง ทุกคนจะต้องเข้าร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง เกิดจากพื้นฐานความเชื่อในเรื่องอิทธิพลของสิ่งที่นอกเหนือธรรมชาติ หรือ “เจ้าเกาะ” ที่มีอิทธิฤทธิ์ที่สามารถที่จะดลบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ พิธีจัดขึ้นเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลออกจากเกาะและขออำนาจให้เจ้าเกาะช่วยคุ้มครองพวกเขาให้รอดตลอดฤดูมรสุม ในด้านปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า เป็นต้น ชาวเลเชื่อว่าเป็นการลงโทษของผีสางและมีความเชื่อในเรื่องของวิญญาณเช่นกัน ดาวตกหรือผีพุ่งใต้นั้นเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ของผี ซึ่งเรียกว่า ผีชิน ตามความเชื่อนั้นว่า ผีชินมีอยู่ 7 จำพวก บ้างก็ให้คุณบ้างก็ให้โทษ ในการออกทะเลให้พึงระวังเวลาเห็นแสงโชติช่วงพวกเขาไม่กล้าพูดทักทาย นอกจากนี้ชาวเลมีความเชื่อเกี่ยวกับ “โต๊ะหมอ” ซึ่งเป็นทั้งผู้นำและเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ทำหน้าที่เป็นหมอเมื่อมีคนเจ็บป่วย เมื่อชาวเลเจ็บป่วยจะเชื่อว่านั้นคือผีกิน โต๊ะหมอจะทำการนั่งทางในและบริกรรมคาถาเพื่อให้น้ำมนต์ที่วางอยู่ด้านหน้าเกิดความขลัง พร้อมกับจุดเทียนออกชื่อผู้ป่วย และดูว่าไส้เทียนงอไปทิศใด โต๊ะหมอจะให้ผู้ป่วยสาบานว่าถ้าหายจากอาการแล้วจะต้องไปเซ่นบวงสรวงตามทิศที่ใส้เทียนงอไป (หน้า 15,16,17) ปัจจุบันเมื่อชาวเลมีการตั้งถิ่นฐานที่ถาวรขึ้นทำให้มีการรับเอาการเผยแพร่ของศาสนาต่างๆ มากขึ้น โดยมากชาวเลนับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปกับการนับถือผีสางเทวดาและวิญญาณของบรรพบุรุษ ชาวเลจะเชื่อและเลื่อมใสในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาก จนได้มีคำกล่าวที่ให้ชาวเลนั้นให้มีการสร้างศาลและไปรับส่วนบุญที่วัดตอนเดือนสิบ ดังนั้นเมื่อถึงงานทำบุญเดือนสิบของชาวไทยพุทธ จะเห็นพวกชาวเลทั้งผู้หญิงและเด็กเตรียมตระกร้า กระป๋อง ไปนั่งเรียงรายในวัดเพื่อรอข้าวปลาอาหารและขนมสำหรับทำบุญเดือนสิบของชาวบ้านที่มาทำบุญตามวัดต่างๆ (หน้า 15) |
|
Education and Socialization |
เดิมทีชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยเกือบร้อยเปอร์เซนต์ไม่รู้หนังสือ สภาพการดำเนินชีวิตมีวงจำกัดเฉพาะกลุ่มของตนเอง ชาวเลใช้วิธีการที่ไม่เป็นรูปแบบ อาจใช้วิธีบอกเล่า เลียนแบบ บางอย่างถ่ายทอดให้กันเฉพาะตัว การถ่ายทอดมักทำกันในวงแคบๆ ดังนั้นการศึกษาอบรมในหมู่ของชาวเลจึงเป็นลักษณะที่เรียนรู้จากครอบครัว โดยมีพ่อแม่หรือหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่ประการใด ซึ่งโดยมากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน เช่น การทำมาหากิน การสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย การรักษาผู้ป่วย ระเบียบประเพณีของกลุ่ม หน้าที่ของสามีภรรยาและครอบครัว ความประพฤตโดยทั่วไป ความเชื่อ ตลอดจนความมุ่งหมายของชีวิต (หน้า 13) ปัจจุบันชาวเลส่วนมากเกือบทุกครอบครัวเมื่อมีบุตรหลานถึงเกณฑ์เข้าเรียนก็จะส่งไปเรียนหนังสือ (หน้า 13) |
|
Health and Medicine |
ไม่ได้มีการระบุอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามในด้านเกี่ยวกับสุขภาพ หรือการรักษานั้นยังใช้ตามลักษณะพิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น การเสกน้ำมนต์แก้อาการป่วย หรือ การเสกน้ำให้เด็กแรกเกิดไว้ใช้ตบกระหม่อมทุกวัน เป็นต้น (หน้า 16) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของชาวเลแบบเดิมผู้ชายชอบนุ่งผ้าเตี่ยว ไม่สวมเสื้อ ส่วนผู้หญิงชอบนุ่งกระโจมอกคลุมถึงหัวเข่า ส่วนมากใช้ผ้าโสร่งหรือผ้าถุงไม่ค่อยสวมเสื้อเช่นกัน เพราะมีความเชื่อว่าการแตกเนื้อสาวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนหลังไม่น่าจะอายหรือปกปิดประการใด แต่ปัจจุบันการแต่งกายของชาวเลได้พัฒนาและเลียนแบบคนพื้นเมืองเป็นอันมาก คือ ส่วนมากผู้ชายจะนุ่งกางเกงจีนซึ่งประหยัด หาซื้อง่าย ราคาถูก แต่ไม่สวมเสื้อ ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงและสวมเสื้อ รู้จักซักเสื้อผ้าแต่ไม่รู้จักใช้เครื่องสำอางส่วนมากจะใช้แป้งผัดหน้า ใช้ทองคำเป็นเครื่องประดับเป็นส่วนใหญ่ ไม่นิยมใช้เบี้ยหอยหรือพวกมุกต่างๆ เป็นเครื่องประดับเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าสำหรับชาวเล แต่กลายเป็นของมีค่าสำหรับนำไปขายให้กับคนพื้นเมือง (หน้า 14) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ยมีนิสัยรักความสงบไม่สนใจกับเรื่องราวบ้านเมืองภายนอก อีกทั้งไม่มีปฏิกิริยาด้านก่อความไม่สงบหรือกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ สังคมชาวเลจึงเต็มไปด้วยความสงบ (หน้า 12) ปัจจุบันชาวเลอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ทำให้ประสบปัญหาถูกผูกขาดในการค้าขาย ซึ่งต้องยอมเพื่อให้สามารถอาศัยอยู่บนพื้นที่นี้ต่อไปได้ (หน้า 12) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากเดิมที่สังคมของชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ย มีวิถีชีวิตแบบร่ร่อนไปตามทะเลและพักพิงชั่วคราว แต่ปัจจุบันมีการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรบนบก ซึ่งสาเหตุนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพวิถีชีวิต ในการปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของคนบนบก เช่น เรื่องการเสียภาษีอากร การเกณฑ์ทหาร การตั้งนามสกุล การส่งบุตรหลานเข้าเรียนในระบบวัฒนธรรมการแต่งกาย (หน้า 8, 12, 13) จากการอภิปรายผลการศึกษาตามตัวแปรปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ได้แก่ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเล อูรักลาโว้ยบริเวณแหลมตุ๊กแก ได้แก่
1.ประชากรเพศหญิงมีมากกว่าเพศชาย ซึ่งเพศหญิงมีบทบาทการตัดสินใจในครอบครัว จึงมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมมากกว่าเพศชาย
2.ชาวอูรักโว้ยส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาระดับประถม มีส่วนน้อยที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับประถม นำไปสู่การพัฒนาในด้านความคิด ทัศนคติ ค่านิยมและการปรับตัวไปสู่วิถีชีวิตสมัยใหม่
3.การใช้ชีวิตในชุมชนจากเดิมมีวัฒนธรรมแบบเร่ร่อน อาศัยอยู่บนเรือลอยน้ำ มาเป็นปลูกสร้างบ้านเรือนบนบก ทำให้มีระยะเวลาอยู่ในชุมชนมากขึ้น ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
4.รายได้มีการปรับเปลี่ยนอาชีพจากชาวประมงมาเป็นคนงานรับจ้างและพ่อค้ามากขึ้น ทำให้มีการบริโภคอาหาร เสื้อผ้าตามสมัยนิยมมากขึ้น
5.การติดต่อสื่อสารคมนาคมสะดวกมากกว่าเดิม จึงมีการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้น
6.การรับรู้ข่าวสารจากสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ 7.ลักษณะกายภาพในการเข้าถึง เช่นจำนวนเส้นทางเข้าถึงชุมชน จำนวนเที่ยวรถโดยสารประจำทาง และยานพาหนะในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น จะพบว่าทุกปัจจัยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของชาวเล โดยเฉพาะในเรื่องระยะเวลาที่อยู่ในชุมชน มีระยะนานกว่า 40 ปี ที่ชาวเลได้ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งบริเวณเกาะสิเหร่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในด้านต่างๆ เมื่ออาศัยอยู่นานๆ ได้ยืมวัฒนธรรมของชาวภูเก็ตในด้านการสร้างบ้านเรือน การแต่งกาย การบริโภค และวัฒนธรรมอื่นๆ เข้าไปใช้ในชุมชนชาวเล (หน้า73, 72-76) |
|
|