สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ม้ง,เศรษฐกิจ,เกษตรกรรม,สิ่งแวดล้อม,เชียงใหม่
Author อุดม เจริญนิยมไพร, จันทนี พิเชษฐ์กุลสัมพันธ์, วิลาวัลย์ ธาราวโรดม
Title การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนตามจารีตประเพณีของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย : กรณีศึกษาชุมชนม้งและกะเหรี่ยง
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 119 Year 2549
Source สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย(IMPECT)
Abstract

กล่าวถึงองค์ความรู้และการปฏิบัติตามจารีตประเพณีต่างๆและการปรับตัวจากหลักปฏิบัติและนโยบายต่างๆของม้งในพื้นที่กรณีศึกษาบ้านแม่ยะน้อย หมู่ 18 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทองและบ้านแม่สะงะ หมู่ 14 ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่มจังหวัดเชียงใหม่ และกะเหรี่ยงบ้านแม่ปอนในที่ประกอบด้วย 3 หย่อมบ้าน คือบ้านสันดินแดง บ้านห้วยวอก บ้านกลาง หมู่ 15 ตำบลบ้านหลวง และบ้านขุนยะ หมู่ 19 อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์ทรัพยากรต่างๆที่อยู่ในชุมชน

Focus

ศึกษาองค์ความรู้และการปฏิบัติตามจารีตประเพณีของม้งและกะเหรี่ยง รวมทั้งการปรับตัวในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพในเชิงอนุรักษ์ อันเกิดจากข้อกฎหมาย นโยบายและกระบวนการพัฒนา สร้างความตระหนักและส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน นำเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะรณรงค์เผยแพร่และผลักดันสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระดับนโยบายที่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ มาตราที่ 10(คC) (หน้า 14,15)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง จะเรียกตนเองว่า ”ปกาเกอะญอ” คนไทยพื้นราบเรียกว่า ”กะเหรี่ยง” คนภาคเหนือเรียกว่า “ยาง” ส่วนชาวยุโรปเรียกกะเหรี่ยงว่า “Karen” กะเหรี่ยงแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยดังนี้ 1) สกอ (Skaw) กลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” (Pgaz K’Nyau) หมายถึง”คน”กลุ่มสกอเป็นกะเหรี่ยงที่มีประชากรมากกว่ากลุ่มอื่นๆ 2) โปว์ (Pwo) กลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า “โผล่ง” 3) บเว (B’ghwe) จะเรียกตนเองว่ากะยา (Ka-Ya) 4) ตองอู กลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่าปะโอ (Pa o) จะตั้งที่อยู่อาศัยในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 13,25) สำหรับประชากรศึกษาเป็นกะเหรี่ยงสกออยู่ใน 2 หมู่บ้านคือ บ้านแม่ปอนใน ประกอบด้วย 3 หย่อมบ้านได้แก่ สันดินแดง บ้านห้วยวอก บ้านกลางหมู่ที่ 15 และบ้านขุนยะ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 15,16,25) ม้ง (Hmong) อยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต แต่เดิมม้งมีถิ่นฐานอยู่ในประเทศจีนโดยอยู่ที่มณฑลฮูนานในเขตล่มน้ำฮวงโหกับแยงซีเกียงต่อมาได้ถูกคนจีนรุกรานจึงอพยพมาอยู่ทางทิศใต้แล้วอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศเวียดนาม ลาว พม่าและไทย การอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอยู่ระหว่าง พ.ศ.2383 - 2413 สำหรับม้งในประเทศไทยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยดังนี้ (หน้า 30) 1) ม้งจั๊ว (Hmoob ntsuab) ม้งเขียวหรือม้งน้ำเงินเนื่องจากผู้หญิงจะสวมกระโปรงสีน้ำเงินออกเขียว (หน้า 30) 2) ม้งเด๊อะ (Hmoob dawb) ม้งขาวเอกลักษณ์ก็คือผู้หญิงจะสวมกระโปรงสีขาวล้วน 3) ม้งกั่วบ๊า(Hmoob quas npab) ม้งแขนปล้องหรือม้งแขนลาย (หน้า 31) ประชากรม้งในการศึกษาอยู่ที่บ้านแม่ยะน้อย หมู่ 18 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทองและบ้านแม่สะงะ หมู่ 14 ตำบลนาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 16)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยง แต่ละกลุ่มจะมีภาษาไม่เหมือนกัน กะเหรี่ยงสะกอ โปว์ กับ บเว มีภาษาคล้ายกันแต่สื่อสารกันไม่เข้าใจ สันนิษฐานว่าภาษาของกะเหรี่ยงสะกอกับกะเหรี่ยงโปว์ ได้รับอิทธิพลจากภาษาในตระกูลมอญ-เขมร(Mon-Khmer) สำหรับภาษากะเหรี่ยงคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2493 ภาษาเขียนของกะเหรี่ยงมี 2 แบบคือ ตัวอักษร “หลิ วา” เป็นตัวหนังสือแบบพม่าจะใช้กันมากในกลุ่มที่นับศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ตัวอักษร “หลิ โร เหม่” จะใช้กันมากในกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (หน้า 25,26) ภาษาม้ง อยู่ในตระกูลภาษามอญ – เขมร (ออสโตรเอเชียติค) ไท ซีนนีติค (Sinitic) นักวิชาการบางส่วนถือว่าภาษาม้งเป็นภาษาที่อยู่ในสาขาของภาษาตระกูลจีน -ธิเบต ลักษณะภาษาม้งมีลักษณะเสียงก้องเป็นคำโดดๆ คำศัพท์หลายคำนำมาจากภาษาจีน ไทย ลาวและอื่นๆ สำหรับม้งที่อยู่ในไทยลักษณะภาษาจะมีความใกล้เคียงกับภาษาม้งที่อยู่ในประเทศจีนทางภาคใต้ (หน้า 31)

Study Period (Data Collection)

ตุลาคม 2547-มีนาคม 2548 (หน้า 17)

History of the Group and Community

บ้านขุนยะ(กะเหรี่ยง) ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 16) เชื่อว่าบริเวณนี้แต่เดิมเคยเป็นหมู่บ้านลัวะเนื่องจากได้ขุดพบข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถ้วย เครื่องปั้นดินเผา สร้อยลูกปัดและอื่นๆ ซึ่งบริเวณที่พบกะเหรี่ยงจะเรียกว่า “เกอะ หว่า โล” หมายถึง ”สุสานลัวะ”กระทั่งเมื่อ 200 ปีที่แล้วกะเหรี่ยงได้เข้ามาตั้งหมู่บ้านในบริเวณที่เรียกว่า “แด ลอ โหน่ ลอ ซิ” ซึ่งไกลจากหมู่บ้านปัจจุบันประมาณ 5 กิโลเมตร ต่อมาได้เกิดโรคฝีดาษทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้นกะเหรี่ยงจึงออกจากบริเวณนั้นโดยไปตั้งหมู่บ้านในหลายพื้นที่ถึง 4 แห่งด้วยกันโดยในแต่ละที่ที่ไปอยู่เรียกว่า “แดลอ” หมายถึง ”หมู่บ้าน” ได้แก่หมู่บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงทุกวันนี้เช่น แดลอเส่ฉี่เด แดลอเกวะสะมุ แดลอเส่ฉี่ และหญะ สิ บึ คี ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านทุกวันนี้ (หน้า 33 ภาพชุมชนขุนยะหน้า 34) บ้านแม่ปอนในหรือแหม่ โปะ คี(กะเหรี่ยง) หมู่ที่ 15 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 15) เชื่อว่าบริเวณนี้เคยเป็นชุมชนลัวะมาก่อนเพราะพบซากเครื่องปั้นดินเผาโดยจะเรียกพื้นที่นี้ว่า “เกอะ หว่า โล” แปลว่า ”สุสานลัวะ” กะเหรี่ยงได้อพยพเข้ามาอยู่ในชุมชนเมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้วมาอยู่ที่ ”ที มึ โกล๊ะ” ซึ่งทุกวันนี้คือบ้านกลาง กะเหรี่ยงยุคบุกเบิกหมู่บ้านได้ย้ายที่อยู่มาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนกับบ้านปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แยกย้ายกันไปตั้งหมู่บ้านที่ ”แดลอถ่า” กับ “แดลอพอซุยเด๊าะ” ภายหลังจึงโยกย้ายอีกครั้งออกเป็น 3 หย่อมบ้านคือ บ้านสันดินแดง บ้านห้วยวอก และบ้านกลาง (หน้า 36) บ้านแม่ยะน้อย (ม้ง) หมู่ 18 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านก่อตั้งเมื่อประมาณ พ.ศ.2482 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ม้งในหมู่บ้านเมื่อก่อนอยู่ที่บ้านห้วยทราย อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายต่อมาได้อพยพมาอยู่ที่บ้านแรด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่อยู่ที่นั่นประมาณ 3 ปี จึงอพยพมาอยู่ที่บ้านแม่ยะน้อย เมื่ออยู่ได้ประมาณ 3ถึง 4 ปี ผู้นำหมู่บ้านได้ถูกโจรฆ่าตายดังนั้นชาวบ้านจึงย้ายไปอยู่บ้านกลางกับบ้านแรดซึ่งมีคนอยู่หนาแน่นกว่า เมื่อย้ายได้ 7 ปี จน พ.ศ.2492 ม้งจึงย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านแม่ยะน้อยอีกครั้งโดยได้มาตั้งหมู่บ้านห่างจากที่ตั้งเดิมมาทางด้านซ้าย 1 กิโลเมตร ภายหลังจึงมีคนจากหมู่บ้านอื่นๆ ย้ายเข้ามาอยู่สมทบ เมื่อก่อนนี้บ้านแม่ยะน้อยเป็นหมู่บ้านบริวารของบ้านแม่ยะหลวง (กะเหรี่ยง) จน พ.ศ.2536 บ้านแม่ยะน้อยจึงแยกออกมาเป็นหมู่ที่ 18 จนถึงทุกวันนี้ (หน้า 16,38 ภาพหมู่บ้านแม่ยะน้อย หน้า 39) บ้านแม่สะงะ(ม้ง) หมู่ 14 ตำบลนาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านได้ก่อตั้งช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2482 โดยได้ย้ายมาจากเขตแม่แจ่มตรงข้ามเสาแดง ตำบลแม่แจ่ม ซึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชุมชนได้แยกกันอยู่หลายแห่งจนได้กลับมารวมกันอยู่ที่บ้านแม่สะงะอีกครั้งเมื่อ พ.ศ.2524 แต่ในเวลานั้นยังไม่ได้จัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ กระทั่งพ.ศ.2539 เมื่อได้รับการจัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการจึงมีผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 16, 40)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

กะเหรี่ยงในประเทศไทย จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ.2545 ระบุว่าในประเทศไทยมีกะเหรี่ยงทั้งหมด 437,131 คน หรือ 47.54 % ของจำนวนประชากรชาวเขาแบ่งเป็นผู้ชาย 151,186 คนผู้หญิง 147,168 คน เด็กชาย 70,193 คนและเด็กหญิง 69,584 คน อยู่ใน 1,912 หมู่บ้าน มีจำนวนหลังคาเรือน 87,628 หลังคาเรือน 95,088 ครอบครัวอาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ 15 จังหวัด โดยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มากที่สุดอันดับสองคือจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดตา (หน้า 26) ม้งในประเทศไทย มีจำนวนทั้งหมด 153,955 คน มีจำนวนหลังคาเรือน 19,287 คน ใน 253 หมู่บ้านใน 13 จังหวัดโดยอยู่จังหวัดตากมากที่สุดอันดับสองคืจังหวัดน่านและเชียงใหม่ เชียงราย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พะเยา เป็นต้น (หน้า 31) บ้านขุนยะ(กะเหรี่ยง ) มีประชากรทั้งหมด 358 คน เป็นผู้ชาย 195 คนและผู้หญิง 163 คนมีจำนวนหลังคาเรือน 78 หลังคาเรือน (หน้า 34) บ้านแม่ปอนในหรือแหม่ โปะ คี(กะเหรี่ยง) ใน 3 หย่อมบ้านแบ่งเป็นประชากรดังนี้ บ้านสันดินแดง มีจำนวน 27 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 122 คน เป็นผู้หญิง 60 คนและผู้ชาย 62 คน, บ้านห้วยวอกมี 8 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 43 คนเป็นผู้หญิง 14 คนและผู้ชาย 29 คน , บ้านกลาง มีจำนวน 19 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 94 คน เป็นผู้หญิง 38 คนและผู้ชาย 56 คน (หน้า 36) บ้านแม่ยะน้อย (ม้ง) ไม่ระบุจำนวนประชากร บ้านแม่สะงะ(ม้ง) ไม่ระบุจำนวนประชากร

Economy

บ้านขุนยะ(กะเหรี่ยง) ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบพึ่งพาธรรมชาติ กะเหรี่ยงมีอาชีพหลักคือทำการเกษตรเพาะปลูกแบบยังชีพและเลี้ยงสัตว์โดยจะปลูกพืชผักเอาไว้กินในครัวเรือนพืชที่ปลูกเช่น กล้วย อ้อย มะม่วง ขนุน ส่วนพืชเศรษฐกิจที่ปลูกเช่น กะหล่ำปลี เผือก ถั่วลิสง จะปลูกไว้ขาย ส่วนผักส่วนครัวเช่นข้าวโพด ผักกาด พริก มะเขือจะปลูกไว้กินในครัวเรือน ส่วนการเลี้ยงสัตว์จะเลี้ยงวัวควายเอาไว้ใช้แรงงานและขายและจะเลี้ยง หมู เป็ด ไก่ ไว้กินและใช้ในพิธีเซ่นไหว้ต่างๆ (หน้า 35) บ้านแม่ปอนในหรือแหม่ โปะ คี(กะเหรี่ยง) เศรษฐกิจเป็นแบบปลูกพืชหมุนเวียนมุ่งปลูกเพื่อขาย พืชที่ปลูกเช่นข้าวและอื่นๆ โดยจะปลูกแบบหมุนเวียน 3 ปีถึง 5 ปี โดยปลูกที่นากับที่ไร่ สำหรับไม้ผลที่ปลูกเช่น ขนุน มะม่วง กล้วย มะละกอ ฯลฯ นอกจากนี้ก็จะเลี้ยงสัตว์ได้แก่หมู ไก่ วัว ควาย เก็บของป่าเช่น เห็ด หน่อไม้ เป็นต้น (หน้า 37,38) บ้านแม่ยะน้อย (ม้ง) ม้งทำการเกษตรเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นที่เคยปลูกในอดีต ในหมู่บ้านมีโครงการเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นของรัฐบาล สำหรับพืชเศรษฐกิจที่ปลูกได้แก่ กะหล่ำปลี สลัด ผักกาดขาว มะเขือเทศ พริกหยวก และอื่นๆ สำหรับไม้ผลเมืองหนาวที่ปลูกได้แก่ลิ้นจี่ พลับ ส้ม สาลี่ บ๊วย กาแฟ ท้อ เป็นต้น ส่วนพืชพื้นบ้านที่ปลูกเช่น ฟักทอง ฟักเขียว แตงกวา พริก มะระ บวบและอื่นๆ นอกจากนี้ม้งยังเลี้ยงสัตว์เช่น วัว แพะ หมู เป็ดไก่ (หน้า 39) บ้านแม่สะงะ(ม้ง) ทำการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองทุกวันนี้ม้งได้ปลูกพืชในโครงการปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นในอดีตที่รัฐบาลให้การสนับสนุนพืชผักผลไม้ที่ปลูกได้แก่ สลัด กระเทียม ผักกาดขาว หอมญี่ปุ่น แครอท พลับ บ๊วย อาโวกะโด ท้อ ส้ม ลิ้นจี่ ฯลฯ นอกจากนี้ยังปลูกพืชพื้นบ้าน เช่น ข้าวไร่ ข้าวนา ฟักทอง ฟักเขียว แตงกวา มะระ บวบเป็นต้นและเลี้ยงสัตว์เช่น วัว แพะ หมู เป็ด ไก่ (หน้า 40,41)

Social Organization

สังคมกะเหรี่ยง ครอบครัวกะเหรี่ยงเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว (nucleus family) การสืบสายตระกูลจะเป็นทางฝ่ายหญิง โดยถือว่าบ้านเป็นของฝ่ายหญิง หากแม่เสียชีวิตต้องรื้อบ้านสร้างใหม่ สำหรับการเลี้ยงบ้าน (auf qai) ซึ่งเป็นการเลี้ยงผีบรรพบุรุษคนที่เข้าร่วมพิธีจะต้องเป็นลูกหลานของฝ่ายหญิง สำหรับการแบ่งมรดกพ่อแม่จะแบ่งให้ลูกเท่ากัน แต่ถ้าลูกคนใดไม่สนใจครอบครัวหรือไม่ขยันทำงานก็จะได้น้อยกว่าคนอื่น สำหรับลูกที่รับเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อแก่ชราก็จะได้รับส่วนแบ่งของมรดกมากกว่าลูกทุกคน ส่วนการแต่งงานจะเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว เมื่อแต่งงานแล้วผู้ชายจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง การหย่าร้างของกะเหรี่ยงจะไม่ค่อยมี กรณีผัวหรือเมียเสียชีวิตกะเหรี่ยงก็มักไม่แต่งงานใหม่หรือหากตายในช่วง 3 ปีแรก กะเหรี่ยงจะไม่แต่งงานในช่วงนี้เพราะเชื่อว่าเป็นการไม่ให้เกียรติคู่สมรสที่ตายไปซึ่งจะทำให้วิญญาณอยู่อย่างไม่สงบสุข (หน้า 29) สังคมม้ง ครอบครัวของม้งพ่อหรือหัวหน้าครอบครัวจะทำหน้าที่ตัดสินใจทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการเลือกพื้นที่เพาะปลูก ทำไร่หรือปลูกพืชต่างๆและดูแลอบรมลูกหลาน สำหรับแม่จะช่วยทำงานเพาะปลูก ทำงานบ้านและเลี้ยงลูก ส่วนในระดับเครือญาติหรือแซ่ตระกูลเดียวกันม้งจะนำพิธีกรรมจารีตประเพณีเข้ามาดูแลหรือควบคุมพฤติกรรมความเป็นอยู่เพื่อให้คนในตระกูลเดียวกันและคนในหมู่บ้านอยู่อย่างมีความสุข เนื่องจากสังคมม้งจะให้ความเคารพรับถือผู้สูงอายุและมีความผูกพันกับญาติพี่น้อง (หน้า 32)

Political Organization

บ้านขุนยะ(กะเหรี่ยง ) การปกครองจะมีผู้นำอย่างเป็นทางการคือผู้ใหญ่บ้านและผู้นำทางจารีตประเพณีเรียกว่า ”ฮีโข่” ในหมู่บ้านมีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล 2 คนมีคณะกรรมการ 7 คน นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีกลุ่มกิจกรรมต่างๆเช่นกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน เป็นต้น (หน้า 34) บ้านแม่ปอนในหรือแหม่ โปะ คี(กะเหรี่ยง) ทั้ง 3 หย่อมบ้านคือ บ้านกลาง บ้านสันดินแดง และบ้านห้วยวอกอยู่ในการปกครองของบ้านแม่ปอนนอก หมู่ 15 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านจะเป็นผู้ใหญ่บ้านแม่ปอนนอก ส่วนบ้านกลางจะมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 1 คนและบ้านวันดินแดงจะมีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลจำนวน 1 คน ส่วนผู้นำด้านจารีตประเพณีจะอยู่ที่บ้านสันดินแดงกับบ้านห้วยวอกหมู่บ้านละ 1 คน (หน้า 37) บ้านแม่ยะน้อย (ม้ง) ก่อตั้งหมู่บ้านมา 66 ปี เมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านบริวารของบ้านแม่ยะหลวง(กะเหรี่ยง) ได้แยกจากหมู่ที่ 5 เป็นหมู่ที่ 18 เมื่อ พ.ศ.2536 การปกครองอย่างเป็นทางการมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ (หน้า 38) บ้านแม่สะงะ(ม้ง) เข้ามาอยู่ในพื้นที่เมื่อประมาณ พ.ศ.2482 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ยังแยกกันอยู่หลายแห่งกระทั่งมารวมตัวเป็นหมู่บ้านเมื่อ พ.ศ.2524 แต่ยังไม่มีผู้ใหญ่บ้านมีเพียงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งทำหน้าที่ดูแลบ้านแม่สะงะกับบ้านแม่มุ(กะเหรี่ยง) กระทั่งได้มีการจัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการจึงมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ(หน้า 40)

Belief System

ศาสนาของกะเหรี่ยง แบ่งออกเป็นการนับถือผีบรรพบุรุษกับนับถือศาสนา สำหรับการนับถือผีบรรพบุรุษคือการนับถือวิญญาณของปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปแล้วโดยจะทำหน้าที่คุ้มครองลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่สำหรับพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษมีชื่อว่า ”เอาะแค” (auf qai) ในการประกอบพิธีในหนึ่งปีจะทำพิธีหลายครั้ง การเซ่นไหว้ของกะเหรี่ยงจะแบ่งออกเป็น กลุ่มได้ดังนี้ 1) กลุ่มเลี้ยงผีบรรพบุรุษ (เอาะแค) กลุ่มนี้ทุกวันนี้จะยังเหลือเพียงจำนวนเล็กน้อยการทำพิธีเซ่นไหว้ จะใช้ไก่หรือหมูในการทำพิธีเพื่อบนบานขอให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครองดูแลให้อยู่ดีมีสุข (หน้า 29) 2) กลุ่มเลิกการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ(แชะ เตอะ สี่) กลุ่มนี้สมาชิกทุกคนในบ้านจะสักว่านลงบนร่างกายเพื่อที่จะไม่ต้องประกอบพิธีไหว้ผีบรรพบุรุษแต่การเลี้ยงผีไร่ผีนาหรือสะเดาะเคราะห์ก็ยังคงทำตามปกติ (หน้า 29,30) ศาสนาของม้ง ส่วนมากยังคงนับถือศาสนาดั้งเดิมและนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประกอบด้วยผีและสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ เช่น ผีบ้าน ผีเรือน (Dab khua hauv vaj tse) ผีบรรพบุรุษ (Puj yawm txwv koob) หมอผี (Txiv neeb,เน้ง) และผีชนิดอื่นๆ , เทพพระเจ้าที่มีอำนาจทำลาย(Yawm txwg nyoog)เทพผู้ให้กำเนิดหรือสร้าง (Yawm saub) สำหรับความเชื่อเรื่องการนับถือผีนั้นเป็นที่มาของการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งจะไม่เหมือนกันในแต่ละตระกูลหรือเครือญาติแต่พิธีกรรมนั้นมีหลักการอันเดียวกัน (หน้า 32) บ้านขุนยะ(กะเหรี่ยง ) มีความหลากหลายในการนับถือศาสนาโดยแบ่งตามการนับถือศาสนาได้ดังนี้ ศาสนาพุทธและศาสนาดั้งเดิม แบ่งออกเป็น 1) กลุ่มที่เลี้ยงผีบรรพบุรุษ(เอาะแค) มี 5 หลังคาเรือน 2) กลุ่มที่ตัดผีบรรพบุรุษ(แชะ เตอะ สี่) มี 53 หลังคาเรือน ศาสนาคริสต์ แบ่งออกเป็นกลุ่มที่นับถือนิกายโปรเตสแตนส์ 10 หลังคาเรือนนิกายนี้เข้ามาเผยแผ่ในหมู่บ้านใน พ.ศ.2529 กลุ่มที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก มี 17 หลังคาเรือน นิกายนี้เข้ามาเผยแผ่ศาสนาเมื่อ พ.ศ.2519 (หน้า 35) บ้านแม่ปอนในหรือแหม่ โปะ คี(กะเหรี่ยง) มีทั้งที่นับถือศาสนาแบบดั้งเดิมและนับถือศาสนาคริสต์ โดยในแต่ละกลุ่มบ้านแบ่งตามการนับถือศาสนาได้ดังนี้ บ้านสันดินแดง นับถือศาสนาคริสต์ 11 หลังคาเรือน นับถือผีบรรพบุรุษศาสนาดั้งเดิม 10 หลังคาเรือน, บ้านห้วยวอก กะเหรี่ยงทั้งหมดนับถือผีบรรพบุรุษ,บ้านกลาง นับถือศาสนาคริสต์ 4 หลังคาเรือน นับถือผีบรรพบุรุษศาสนาดั้งเดิม 14 หลังคาเรือน (หน้า 37) บ้านแม่ยะน้อย (ม้ง) นับถือศาสนาแบบดั้งเดิมหรือ”อัว ด๊า คัว” ม้งในหมู่บ้านนับถือผีบรรพบุรุษและรักษาวัฒนธรรมของตนเองอย่างเหนียงแน่น (หน้า 39) บ้านแม่สะงะ(ม้ง) ม้งในหมู่บ้านนับถือศาสนาแบบดั้งเดิมหรือ”อัว ด๊า คัว” และนับถือผีบรรพบุรุษ นอกจากนี้ยังมีม้งส่วนหนึ่งที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ทั้งนิกายคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนท์ (หน้า 40)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

การใช้สมุนไพรรักษาโรคของม้ง ม้งได้ใช้สมุนไพรรักษาโรคต่างต่างๆ ดังนี้ จัวฮาหญง รักษาเมื่อกระดูกหักกับเส้นเอ็นขาด จีกัวย่าเต๊ รักษาโรคนิ่ว พลับพลึง ตือ ซา รักษาอาการฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก ต้นกล้วยอ่อน กินเพื่อแก้เวลากินเห็ดมีพิษ เลือดเลียงผา,ไซ ใช้รักษาเมื่อตกจากต้นไม้ กระเพาะเม่น รักษาเมื่อปวดท้อง ตัวร้อน ฯลฯ (หน้า 58) การใช้สมุนไพรรักษาโรคของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงได้ใช้สมุนไพรเพื่อรักษาโรค ป้องกันโรคบำรุงกำลัง ห้ามเลือด พืชที่ใช้เช่น ผักกูด หน่อชอโพกุ้ย รากมะเขือ เป็นต้น ส่วนสมุนไพรที่ได้จากสัตว์ป่าเช่น เขากระทิงนำมาเผาไฟรักษาโรคดีซ่าน ดีหมี ดี เลือด เนื้อค่าง เป็นยาบำรุงกำลังและอื่นๆ (หน้า 78)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของกะเหรี่ยง เด็กสาว สวมเสื้อทรงกระสอบไม่มีแขนสีขาวยาวกรอมข้อเท้าผ่าคอตรงกลางเป็นรูปตัววี(V)บริเวณเอวและคอเสื้อประดับด้วยริ้วผ้าชายกระโปรงเป็นริ้ว หญิงมีครอบครัว สวมเสื้อสีไม่มีแขนผ่าคอตรงกลางเป็นรูปตัววีคอเสื้อและชายเสื้อประดับด้วยลายผ้าหลากสี เสื้อยาวถึงเอว สวมผ้าถุงลายขวาง ผู้ชาย สวมเสื้อสีไม่มีแขนผ่าคอเสื้อตรงกลางเป็นรูปตัววีเอาไว้สวม ลายเสื้อเป็นลายตั้งบริเวณกลางลำตัวประดับเป็นลายทางด้านขวางคอเสื้อและตรงกลางเสื้อประดับด้วยริ้วผ้าหลากสี สวมกางเกงตามสมัยนิยมแบบคนเมือง (จากภาพหน้า 27) การแต่งกายของม้ง 1) ม้งจั๊ว (Hmoob ntsuab) ม้งเขียวหรือม้งน้ำเงิน ผู้หญิง สวมกระโปรงสีน้ำเงินออกเขียว ผู้ชาย สวมกางเกงขายาวสีดำที่ปลายขากางเกงประดับด้วยลายปัก คาดเอวด้วยผ้าสีครามบริเวณปลายผ้าประดับด้วยลายปัก สวมเสื้อแขนยาวบริวณปลายแขนและด้านล่างของตัวเสื้อประดับด้วยลายปักเช่นกันเมื่อสวมเสื้อบริเวณด้านขวาจะทับทางด้านซ้าย (หน้า 30,31) 2) ม้งเด๊อะ (Hmoob dawb) ม้งขาวเอกลักษณ์ก็คือ ผู้หญิง สวมกระโปรงสีขาวล้วนหรือสีดำล้วนหรือสวมกางเกง ผู้ชาย สวมกางเกงที่มีลักษณะเป้าสั้นขากระบอก 3) ม้งกั่วบ๊า (Hmoob quas npab) ม้งแขนปล้องหรือม้งแขนลาย ผู้หญิงสวมเสื้อโดยมีผ้าเย็บเป็นลายปล้อง ผู้ชายจะแต่งตัวเหมือนม้งเด๊อะ (หน้า 31)

Folklore

นิทานต้นไม้กับเสือ (นิทานม้ง) เนิ่นนานมาแล้วมีผู้ชายม้งคนหนึ่งซึ่งเป็นคนติดยาได้เดินทางไปท่องเที่ยวในป่า เมื่อใกล้ค่ำจึงเดินไปหาที่ค้างแรม ซึ่งตามความเชื่อของม้งถ้าจะนอนในป่าต้องนอนบริเวณที่มีรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบจึงจะรอดพ้นจากอันตรายของสัตว์ป่าและสิ่งไม่ดีต่างๆ ขณะที่เดินหาที่ค้างแรมอยู่นั้นจึงได้พบเถ้าแก่คนจีนผู้หนึ่งจึงขอพักค้างคืนในบริเวณรั้วไม้ไผ่นั้นด้วยแต่เถ้าแก่คนนั้นไม่ยอมให้พักด้วย ดังนั้นชายม้งคนนั้นจึงไปนอนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ นั้น ก่อนจะนอนก็ได้สูบยาและก่อกองไฟ ใส่ยาสูบเข้าไปในกองไฟเพื่อให้ต้นไม้ได้สูบยาด้วย โดยใช้ปลายไม้ดีดใส่ต้นไม้ วนเวียนทำอยู่เช่นนี้จนนอนหลับ (หน้า 87) ครั้นดึกดื่นเสือได้เดินมาที่ต้นไม้และขอต้นไม้กินชายม้งที่นอนอยู่ ต้นไม้ได้ปฏิเสธและบอกเสือว่าชายม้งคนนี้ใจดีมากที่ให้สูบยา แต่เสือได้ขอร้องอีกครั้งและบอกว่าหิวมาก ต้นไม้เลยบอกให้ไปกินลูกจ้างของเถ้าแก่จีนที่นอนอยู่ภายในรั้วไม้ไผ่ เสือเลยบอกว่าต้องรอให้สว่างก่อนถึงจะกินได้ ต้นไม้จึงบอกเคล็ดลับว่า (หน้า 87)ให้เสือไปบอกให้นกร้อง (เดรียเชา Nrias tshau หมายถึง “นกแซงแซว”) เมื่อเสือรู้จึงทำตาม นกตัวนั้นจึงช่วยเหลือ เมื่อได้ยินเสียงนกร้องดังกังวาน เถ้าแก่จีนจึงปลุกลูกน้องให้ตื่นหุงข้าว เมื่อลูกจ้างเดินออกมานอกรั้วไม้ไผ่ เสือจึงตะครุบกินเป็นอาหาร (หน้า 88) ตำนานกะเหรี่ยงเรื่องงูน้ำ มีเรื่องเล่าว่า หากใครถูกงูน้ำกัดจะไม่ถูกงูชนิดอื่นกัดอีก กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในครั้งนั้นงูเหลือมยังมีพิษร้ายกาจ กระทั่งถึงวันหนึ่งงูเหลือมได้กัดคนเสียชีวิต เมื่อญาติพี่น้องของคนตายร้องไห้จึงทำให้งูเหลือมเศร้าใจ ดังนั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษงูเหลือมจึงคายพิษออกจากร่างกายจนหมด ต่อมาจึงมีงูและสัตว์ชนิดต่างๆ มากินพิษที่งูเหลือมคายทิ้งไว้ เช่น งูจงอาง งูเห่า ตะขาบ และสัตว์อื่นๆ จึงทำให้สัตว์ที่กินพิษงูเหลือมเข้าไปนั้นมีพิษ สำหรับงูน้ำซึ่งเป็นสัตว์ที่กินพิษเป็นตัวแรกรู้สึกดีใจเป็นที่สุดที่ตนเองมีพิษมากเพราะได้กินพิษก่อนสัตว์ชนิดอื่นระหว่างที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจอยู่นั้นก็เลื้อยไปตามกระบอกไม้ไผ่จนเกิดอุบัติเหตุพลัดตกลงน้ำ จึงทำให้พิษทั้งหมดที่ได้ตกหายวับไปในสายน้ำ ด้วยความน้อยใจงูน้ำจึงกล่าวว่า “ถ้าได้กัดคนแล้วงูชนิดอื่นก็จะไม่ได้กัดอีก” นับจากนั้นเรื่องงูน้ำกะเหรี่ยงจึงเล่าต่อกันเรื่อยมา (หน้า 100)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

แนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมของม้งและกะเหรี่ยง ม้ง แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ คือ ป่า สัตว์ป่า ดิน น้ำ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ป่า มี 4 อย่างคือ ป่าตามระดับความสูง ได้แก่ ป่าแบบที่1 ตร๊ง ต้อ เชี๊ย (roob toj siab หมายถึง “ดอยสูง”)ตร๊ง ฮาหญง ดุ๊ (roob hav zoov หมายถึง ” ดอยป่าดำ” )หรือ ตร๊ง ฮาหญง จั๊ว (roob hav zoov ntsuab หมายถึง “ดอยป่าเขียว”) เป็นป่าแบบดิบเขาอยู่บนดอยสูง สภาพอากาศหนาวเย็นมีความชุ่มชื้นตลอดทั้งปีลักษณะต้นไม้สูงใหญ่ ใบกว้างเปลือกหนาสัตว์ป่าที่พบเช่น เสือ ชะนี ลิง นกเปล้า สภาพดินเป็นดินร่วนซุย (หน้า 52) ป่าแบบที่ 2 ตร๊ง ด๋า ต้อ (roob ntav toj) หรือ ตร๊ง ด๋า ต้อ เต๊ (roob ntav toj) เป็นป่าที่อยู่ถัดมาจากป่าแบบที่ 1 จะผสมกันระหว่างป่าผลัดใบกับป่าไม่ผลัดใบ ในหน้าฝนป่าจะเขียวแต่ในหน้าแล้งป่าจะมีลักษณะเขียวปนเหลืองต้นไม้จะปรับตัวเพื่อลดการคายน้ำ ต้นไม้ที่พบเช่น ตองตึง เหียง ต้นยาง และไผ่ มีสัตว์ป่าเช่น เต่า แลน นก ไก่ป่า และอื่นๆ ลักษณะดินเป็นดินดำและดินปนกรวด ปลูกข้าวไร่ได้ดี ป่าแบบที่3 เตอ ต้อ (taw toj หมายถึง “ตีนดอย”)เป็นป่าเบญจพรรณมีต้นไม้หลายชนิดเช่น ตองตึง เหียง สัก ผักหวานและอื่นๆ สภาพดินเป็นดินหินกรวดขาดความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 52) ป่าแบบที่ 4 เต๊ เตี๊ย (teb tiaj) ตรั๊ว เตีย (ruab tiag) ตรั๊ว ตรา (ruab Nrag) คือป่าที่อยู่ในที่ราบ น้ำท่วมถึงบางพื้นที่ในหน้าฝนจะกลายเป็นหนองน้ำพืชที่พบจะเป็น บอน ดินเป็นดินเหนียวมีความอุดมสมบูรณ์ ทำนาได้ดี สำหรับหมู่บ้านกรณีศึกษา ที่บ้านแม่ยะน้อยกับบ้านแม่สะงะรอบหมู่บ้านจะเป็นป่าแบบที่ 1 ส่วนป่าแบบที่ 2 จะอยู่ด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้านแม่สะงะกับด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านแม่ยะน้อย (หน้า 52,53) ป่าตามลักษณะความอุดมสมบูรณ์ ได้แก่ 1) ฮาหญง เชีย (Hav zoov txiag หมายถึง “ป่าเย็น” ) หรือ ฮาหญง จั๊ว (Hav zoov ntsuab หมายถึง “ป่าเขียว” ) คือป่าดิบชื้นประกอบด้วยพืชประเภท มอส ตะใคร่น้ำ เถาวัลย์ เต่าร้าง ไม้หนังช้าง ไม้เนื้ออ่อนไม่ผลัดใบ ฯลฯ มีสัตว์ป่าเกือบทุกประเภท เช่นลิง ชะนี งู เป็นต้น (หน้า 53) 2) ฮาหญง เชน (Hav zoov nuj txeeg) คือป่าแบบดั้งเดิมที่ประกอบด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่พันด้วยเถาวัลย์ มีสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก 3) ฮาจี เหย่ง (Hav txiv yeem) คือป่าที่กำลังฟืนตัวเพื่อไปสู่ป่าที่อุดมสมบูรณ์แบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภทคือป่าที่มีสภาพเกือบเข้าสู่ป่าดงดิบเป็นป่าทิ้งไว้ประมาณ 10 ปี ต้นไม้ส่วนมากจะมีขนาดเท่าขาคน กับป่าที่ทิ้งไว้เป็นเวลา 4-10 ปีจะพบสัตว์เช่น เก้ง หมูป่า ไก่ป่า เป็นต้น 4) หา มอ ซะ (Hav moj sab) คือป่าที่อยู่ระหว่างที่ราบกับเชิงเขาป่าจะเป็นแบบต้นไม้ผสมกับหญ้า ต้นไม้ที่พบได้แก่ ไม้ยาง ไม้ตึง ไม้เหียง ไผ่ ฯลฯสัตว์ที่พบเช่น เต่า แลน และอื่นๆ 5) ฮา กู๊ เต๊ (Hav qub หมายถึง ”ไร่เหล่า”) เป็นพื้นที่รกร้างไม่มีการใช้พื้นที่เพาะปลูกใดๆ พืชส่วนใหญ่จะเป็นหญ้าเนื้อดินแน่นมีความแห้งแล้ง สัตว์ที่พบเช่น กระต่าย นกคุ้ม งู และอื่นๆ (หน้า 54 ภาพหน้า 55) ป่าตามความเชื่อ ได้แก่ 1) ป่าดงเซ้ง คือป่าที่เกี่ยวกับพิธีกรรมความเชื่อเพื่อมุ่งหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองคนในหมู่บ้านให้มีความสงบร่มเย็น ปกป้องป่าและสัตว์ป่าทั้งหลาย (หน้า55) 2) ป่าต้นน้ำ หรือ เต่ง เฮ้า เด้ หมายถึง “การบนเทพต้นน้ำ”คือป่าที่ทำพิธีเซ่นไหว้เทพต้นน้ำที่ช่วยให้มีน้ำในการเพาะปลูกและช่วยรักษาป่าและแหล่งน้ำ 3) ป่าบริเวณที่เป็นสุสาน ฝังศพวิญญาณของบรรพบุรุษ ป่าชนิดนี้ห่ามตัดไม้ ล่าสัตว์หรือเข้าไปทำประโยชน์หากไม่เชื่อม้งก็จะทำให้มีเคราะห์ 4) ป่าบริเวณที่มีดอยสามม่อนหรือดอยสามง่าม ห้ามเพาะปลูกหรือสร้างบ้านเรือนเพราะเป็นเจ้าที่ที่ดูแลพื้นที่นี้มีอำนาจมาก 5) ป่าบริเวณกิ่วดอย คือป่าที่อยู่ระหว่างกลางเขาสองลูกมาชนกัน บริเวณนี้ห้ามเพาะปลูกหรือสร้างบ้านเรือนเพราะเชื่อว่าเป็นทางผ่านของผีถ้าอยู่ผีจะรบกวนให้ได้รับความเดือดร้อนต่างๆ นานา (หน้า 55) 6) ป่าที่มีเถาวัลย์ขึ้นพันไปทางซ้ายของต้นไม้ ไม่ให้เพาะปลูกหรือสร้างบ้านเพราะเชื่อว่ามีผีร้ายอยู่ที่นี่ (หน้า 56) 7) บริเวณหน้าผาหรือถ้ำ (Qhov tsua, pob tsua) ห้ามเข้าไปขับถ่ายหรือทำเรื่องไม่ดีเพราะถือว่าจะเป็นการไม่ให้ความเคารพเจ้าที่หากไม่เชื่อฟังก็จะมีเคราะห์ 8) บริเวณที่เป็นหน้าดินพังทลาย (Tsa toj pob) เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของผีร้ายห้ามหญิงมีครรภ์หรือคนขวัญอ่อนเข้ามาบริเวณนี้เพราะจะทำให้แท้งลูกหรือเจ็บไข้ 9) บริเวณเขาแทงกัน (Roob sib nyom) คือเขาสองลูกชนกัน ภูเขาอีกลูกจะขวางแล้วมีภูเขาอีกลูกแทงเข้ามา ห้ามเพาะปลูกหรือสร้างบ้านเพราะเชื่อว่าเจ้าที่ทะเลาะกันถ้าคนอยู่ก็จะเดือดร้อน (หน้า 56) ป่าตามลักษณะเด่นของพืชหลัก เช่น ฮาเจ๊อว(hav tsawbหมายถึง“ป่ากล้วย”) ฮาซย้ง (hav xyoob หมายถึง “ป่าไผ่”) ฮาเฆ้ง(hav qheeb หมายถึง “ป่าหญ้าคา” ) ฮาม่าหมุ (hav maj mum หมายถึง “ป่าทะโล้”) ฮาถู(hav thuv หมายถึง “ป่าสน”)(หน้า 56) สัตว์ป่า ตามความเชื่อของม้งเชื่อว่าสัตว์ป่ามีสางศักดิ์สิทธิ์คุ้งครองก่อนล่าต้องทำพิธีบอกกล่าวกับเจ้าที่เพื่อขออนุญาติล่าสัตว์ สำหรับความเชื่อเรื่องการล่าสัตว์มีดังนี้ ถ้าเห็นสัตว์ที่ไม่เคยเห็นก็ไม่ให้ฆ่าเพราะเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วกลับมาหา หากสัตว์ร้องก็ไม่ควรฆ่าเพราะเชื่อว่าสัตว์ขอชีวิต เป็นต้น (หน้า 57-60) ดิน ม้งเชื่อว่าทุกหนทุกแห่งมีเจ้าที่การเข้าไปใช้ประโยชน์บนที่ดินนั้นต้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์การเลือกพื้นที่ที่ดีอยู่อาศัยหรือเพาะปลูกจะทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า หากเลือกพื้นที่ไม่ดีชีวิตก็จะอัปโชค เป็นต้น (หน้า 61-64) น้ำ ม้งในหมู่บ้านกรณีศึกษามีการใช้น้ำในการเพาะปลูกเป็นแหล่งอาหารและประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเพื่อเป็นการอนุรักษ์แหล่งน้ำ เช่นไม่ให้สร้างบ้านในบริเวณที่เป็นลำห้วยเพราะจะทำให้ชีวิตไม่เจริญก้าวหน้าและเพื่อการป้องกันไม่ให้ลำห้วยเกิดตื้นเขินจนขาดแคลนน้ำ (หน้า 64-66) กะเหรี่ยง แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ คือ ป่า สัตว์ป่า ดิน น้ำ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ป่า แยกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ (หน้า 66) ป่าตามระดับความสูงของภูมิประเทศกับสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ 1) เกอะ เนอ หมื่อ หรือป่าดงดิบ ป่าส่วนใหญ่เป็นป่าต้นน้ำมีความอุดมสมบูรณ์มีต้นไม้จำนวนมาก ดินชุ่มชื้นอยู่ในพื้นที่ที่สูงที่สุดของยอดเขาทั้งปีอากาศจะหนาว ในป่าจะมีพืชเช่น มอร์ส เฟิร์น เถาวัลย์ กล้วยป่าและอื่นๆ (หน้า 67) 2) เกอะ เนอ พา หรือป่าเบญจพรรณ ในป่าประกอบด้วยไผ่และต้นสนดินดีมีหน่อไม้ เห็ด เป็นต้น ป่าชนิดนี้อยู่ในหมู่บ้านกรณีศึกษา บ้านกลางและบ้านสันดินแดง(บ้านแม่ปอนใน)(หน้า 67) 3) ก่อ เบ โข่ หรือป่าเต็งรัง ประกอบด้วยพืชและต้นไม้ ได้แก่ ผักหวาน เห็ด ไผ่ ไม้เต็ง ไม้รัง และอื่นๆ (หน้า 67,68) ป่าตามความเชื่อได้แก่ 1) ปก่า ต่า ดึ (Pgai taj duf) คือป่าต้องห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปเพาะปลุกหรือสร้างบ้านเรือนเพราะว่ามีผีเจ้าที่หรือ “ต่า มือ ต่าข่า”(Taj muf taj qaf) ที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาป่า ป่าต้องห้ามมีหลายอย่างเช่น เช่น ที่ชุ่มน้ำ ล้อมรอบภูเขาลักษณะเหมือนหลังเต่าหรือเกาะ บริเวณที่มีน้ำขังตลอดปี ป่าที่มีน้ำผุดซึ่งเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของผีน้ำ ที่ฝังหรือเผาศพ และพื้นที่ป่าที่ใช้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ เป็นต้น (หน้า 68,69) 2) ดูตะหรือป่าผีแรง คือป่าที่ชาวบ้านเคยเข้าไปเพาะปลูกพืชและพบเรื่องไม่ดีหากครอบครัวอื่นเข้าไปทำกินในที่ดินดังกล่าวอีกก็จะได้รับความเดือดร้อนต่างๆนานาบางครั้งอาจถึงขั้นเสียชีวิต (หน้า 69,70) 3) ดูปก่า หรือพื้นที่ป่าสำหรับการปกป้องคุ้มครองรักษา(Doo pgai) เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ คนในชุมชนช่วยกันรักษาไว้สามารถหาของป่ามากินในครอบครัวแต่จะไม่ให้ตัดต้นไม้ ป่าประเภทนี้รวมทั้งป่าประเภทที่เป็นความเชื่อและเป็นป่าต้นน้ำ (หน้า 70,71) สัตว์ป่า กล่าวถึงสัตว์ป่า โดยแบ่งออกเป็นประเภทเช่นสัตว์ป่าที่มีศักดิ์สูง ได้แก่เสือ เก้ง ไก่ป่า กบภูเขา จะห้ามล่าในระหว่างที่มีการประกอบพิธีกรรมในชุมชนหรือครอบครัวและสัตว์ป่าประเภททั่วไปที่ไม่ใช่กลุ่มที่มีศักดิ์สูง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความเชื่อเรื่องการล่าสัตว์ เช่นไม่ให้ไปล่าสัตว์ในวันพระเพราะจะทำให้เป็นอันตรายเจ้าที่จะไม่ให้ความคุ้มครอง ห้ามล่าชะนีและนกกกเพราะว่าเป็นสัตว์ที่มีความรักต่อกันหากคู่ของตัวเองตายก็จะร้องได้ยินไปไกลจนถึงภูเขาเจ็ดยอด และอื่นๆ (หน้า 72-79) ดิน กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากดินคือใช้เป็นที่เพาะปลุกและเป็นที่สร้างบ้านเรือน(หน้า 79-82) น้ำ กล่าวถึงระบบนิเวศน์น้ำ เช่นแม่น้ำ ลำธาร บึงประเภทของน้ำตามความเชื่อิธีกรรมเกี่วกับน้ำเช่นพิธีเลี้ยงผีฝายเพื่อให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ก่อนการปลุกข้าวและการใช้ในการประกอบอาหาร เป็นต้น (หน้า 82-86) สิทธิด้านความหลากหลายทางชีวภาพความสัมพันธ์ของนโยบายและกรอบการทำงานที่ถูกต้องตามกฏหมาย กล่าวถึงการใช้รวมทั้งการอนุรักษ์เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนและคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ที่บุคคลหรือหน่วยงานทั้งหลายได้นำเข้ามาในชุมชน (หน้า 102-115)

Map/Illustration

ภาพ การสำรวจพิกัดตำแหน่งพื้นที่โดยเครื่อง GPS,เจ้าหน้าที่กับชาวบ้านร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (หน้า16) ล่มน้ำแม่ยะ ,ลุ่มน้ำแม่ปอนและดอยหัวเสือ (หน้า 22) การแต่งกาบของเด็กสาวกะเหรี่ยง ,แม่บ้านกะเหรี่ยง,ผู้ชายกะเหรี่ยง (หน้า 27) การทำนาขั้นบันไดของกะเหรี่ยงแม่ปอน ,การเลี้ยงสัตว์ของชาวบ้านแม่ปอนใน (หน้า 28) การแต่งกายหนุ่มสาวม้งเขียว,เด็กสาวม้งขาว (หน้า 31) การปลูกข้าวไร่ในสวนลิ้นจี่ของชาวม้งบ้านแม่ยะน้อย (หน้า 33) บ้านขุนยะใหม่,บ้านขุนยะเก่า (หน้า 34) การปล่อยสัตว์เลี้ยงในพื้นที่นาหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวของบ้านขุนยะ (หน้า 35) บ้านแม่ปอนใน(สันดินแดง) (หน้า 36) ชุมชนแม่ยะน้อย (หน้า 39) ชุมชนแม่สะงะ ,เศรษฐกิจ (หน้า 41) พื้นที่ป่าตร๊องต้อเสียะ ,ป่าตร๊องทาต้อ ,ป่าฮาหญงเซีย (หน้า 53) ไร่เหล่าบ้านแม่สะงะ (หน้า 55) สภาพบริเวณพังทลาย (หน้า 56) การเลี้ยงไก่แจ้,หมู (หน้า 57) ตัวอย่างจ๊วะชี,ตะกร้าใส่ไก่แจ้ (หน้า 58) ภาพจำลองการจำแนกประเภทป่าตามระดับความสูง (หน้า 68) ป่าเกอะเนอหมื่อ,ป่าก่อเบโข่ (หน้า 70) การแบ่งขอบเขตพื้นที่แต่ละประเภท (หน้า 72) พื้นที่น้ำออกรู (หน้า 85) ป้ายแบ่งเขตป่า,ป่าต้นน้ำ (หน้า 86) ม้งประกอบพิธีดงเซ้ง,พิธีเต้งเฮ้าเด้ (หน้า 91) ชาวบ้านแม่ปอนในเรียกขวัญข้าว,ชาวบ้านขุนยะเรียกขวัญผู้อาวุโสของชุมชน (หน้า 101) แผนที่ ที่ตั้งการจัดทำแผนที่ชุมชนและกรณีศึกษาวิจัยในเขตลุ่มน้ำ (หน้า 21) ชุมชนวิจัยยกเว้นบ้านแม่สะงะ (หน้า 23) ชุมชนวิจัยจากภาพถ่าย IKONOS (หน้า 24) การใช้ที่ดินชุมชนบ้านแม่ยะ (หน้า 42) การใช้ที่ดินบ้านแม่ปอนใน (หน้า 45) การใช้ที่ดินบ้านแม่ยะน้อย (หน้า 49) แผนผัง ชุมชนบ้านขุนยะป่ากล้วยใหม่ (หน้า 43) ชุมชนบ้านขุนยะป่ากล้วยเก่า (หน้า 44) บ้านห้วยวอก (หน้า 46) บ้านกลาง (หน้า 47) บ้านสันดินแดง (หน้า 48) บ้านแม่ยะน้อย (หน้า 50)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ม้ง, เศรษฐกิจ, เกษตรกรรม, สิ่งแวดล้อม, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง