|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยงสะกอ,ชีวิตความเป็นอยู่,ความเชื่อประเพณี,วัฒนธรรม,ประเทศไทย |
Author |
สุริยา รัตนกุล, สมทรง บุรุษพัฒน์ |
Title |
สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงสะกอ |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
58 |
Year |
2538 |
Source |
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท |
Abstract |
พรรณนาถึงการดำรงชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสังคม ของกะเหรี่ยงสะกอ ตั้งแต่ชาติพันธุ์ รูปร่างลักษณะ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรสยาม การตั้งถิ่นฐาน จำนวนประชากร กะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ ในประเทศไทย ภาษา ศาสนาพิธีกรรมและความเชื่อ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของการนับถือผสมผสานระหว่างการนับถือผี ศาสนาพุทธ และศานาคริสต์ การแต่งกาย อาหารการกิน รูปแบบลักษณะหมู่บ้านและบ้าน การสันทนาการ โครงสร้างทางสังคม ความเชื่อเรื่องโชคลาง และอธิบายถึงข้อห้าม ข้อนิยม ในเรื่องต่างๆเหล่านั้น เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและเกิดความเป็นสิริมงคล |
|
Focus |
ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัยเกี่ยวกับอัตลักษณ์ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงสะกอเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิต ประเพณี ความเชื่อของกะเหรี่ยงสะกอ ให้เป็นที่รู้จักกันอย่างถูกต้องและกว้างขวาง |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง เป็นคำที่คนทั่วไปใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่หนาแน่นในแถบภาคเหนือ และภาคตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งเป็นการเรียกตามแบบมอญ ที่มาจาก คำว่า “กะเรง” แต่สำหรับกลุ่มชนนี้แล้วนั้น (ยกเว้นตองสู) จะเรียกตัวเองว่า “ปกากญอ” ซึ่งแปลว่า “คน” ส่วนในภาคตะวันตกนั้น จะใช้คำว่า “กะหร่าง” เป็นคำสำหรับเรียกกลุ่มชนนี้ ภาคเหนือของไทยและรัฐฉานของพม่า (ไทใหญ่) รู้จักกันในชื่อ “ยาง” และพม่าเรียกกะเหรี่ยงว่า “คะหยิ่น” (หมายถึงกะเหรี่ยงสะกอและโป) (หน้า 1) กะเหรี่ยงสะกอหรือยางขาว เป็นกะเหรี่ยงกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกเช่น ยางกะเลอ ยางป่า ยางเปียง ส่วนกระเหรี่ยงสะกอจะเรียกตนเองว่า “จกอ” มีจำนวนประมาณ 500,000 คน อาศัยอยู่ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อำเภอแม่สระเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดราชบุรี และทั่วไปแถบชายแดนไทย-พม่า (หน้า 4) อย่างไรก็ตามนอกจากกลุ่มของกะเหรี่ยงสะกอแล้ว ยังมีกะเหรี่งกลุ่มต่างๆ อีก 3 กลุ่ม คือ 1.กะเหรี่ยงโป ( Pwo Karen ) คนไทยในภาคเหนือ เรียกว่า “พล่อ” หรือ “โพล่ง” หรือ “ยางเด๊าะแด้” “ยางบ้าน” มีประชากรมากเป็นอันดับสองรองจากกะเหรี่ยงสะกอ มีจำนวนประมาณ 70,000 คน อาศัยอยู่แถบจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ ตาก อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 4 ) 2.กะเหรี่ยงคะยา (Kayah) แบร(Bre) หรือ บเว(Bwe) คนไทยภาคเหนือและไทยใหญ่ เรียกกะเหรี่ยง “คะยา” ว่า “ยางแดง” ตามการแต่งกายของหญิงที่แต่งงานแล้ว ซึ่งมักนิยมใส่เสื้อและนุ่งซิ่นซึ่งทอแซมด้วยสีแดง กะเหรี่ยงคะยามีจำนวนน้อยประมาณ 1,500 คน อาศัยอยู่แถบ จ. แม่ฮ่องสอน (หน้า 4) 3.กะเหรี่ยงตองสูง/ตองตู (Taungthu) หรือ ปาโอ/พะโอ (Pa-o) ชาวพม่าและชาวไทยใหญ่ เรียกขานชนกลุ่มนี้ว่า ตองสูง ซึ่งแปลว่า ชาวเขา ผู้หญิงกะเหรี่ยงตองสูงมักใส่ชุดสีดำ ทำให้มีอีกชื่อหนึ่งว่า กะเหรี่ยงดำ (Black Karen) มีจำนวนประมาณ 600 คน อาศัยอยู่ในเขต จ.แม่ฮ่องสอน นอกจากนี้แล้วยังมีกะเหรี่ยงกลุ่มเล็กๆที่เพิ่งอพยพเข้ามา คือ “ปาดอง” (กะเหรี่ยงคอยาว) และ “กะยอ” (กะเหรี่ยงหูยาว) (หน้า 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของกะเหรี่ยงจัดอยู่ในภาษาตระกูลจีน ทิเบต (Sino-Tibetan) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ตองสู-โป และ บเว-สะกอ ในส่วนของภาษาสะกอโดยโครงสร้างพยางค์จะไม่มีตัวสะกด และไม่มีความแตกต่างของสระสั้นยาวที่มีนัยสำคัญ ทำให้คำมีความหมายเปลี่ยนแปลงไป และไม่มีสระประสม แต่จะมีเสียงวรรณยุกต์ 6 เสียง นอกจากภาษากะเหรี่ยงที่ใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถพูดภาษาถิ่นเหนือได้ด้วย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ(หน้า 6-7) |
|
Study Period (Data Collection) |
ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2517 – 2531 ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2532- 2534 |
|
History of the Group and Community |
พื้นเพของกะเหรี่ยงเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วนั้น มีถิ่นฐานอยู่แถบมองโกเลีย แต่เนื่องจากว่ามีการอพยพหนีภัยสงคราม จึงย้ายไปอยู่ที่ทิเบต แต่ก็ถูกรุกรานจากจีน ทำให้มีการถอยร่นลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดี และ สิตตัง โดยอาศัยอยู่หนาแน่นแถบเทือกเขาที่กั้นพรหมแดนระหว่างไทยกับพม่า ตั้งแต่เหนือสุดของเมืองตองยี จนถึงบริเวณคอคอดกระ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 1) สำหรับกะเหรี่ยงในไทยนั้น เป็นกะเหรี่ยงที่อพยพมาจากพม่า โดยในสมัยแรกของการอพยพนั้น ตรงกับสมัยของพระเจ้า อลองพญา ทำสงครามกับพวกมอญ และในปีพ.ศ. 2428 เมื่ออังกฤษเข้ายึดพม่า ซึ่งในการอพยพนั้นไม่มีหลักฐานที่แน่นอน แต่อาจสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะในหนังสือไทยรบพม่าของกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งพระนเรศวรมหาราช ทรงยกทัพไปตีเมืองตองอู มีแม่ทัพคนหนึ่งเป็นกะเหรี่ยง และจำนวนของกะเหรี่ยงได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 (หน้า 2) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงสะกอ มักจะตั้งถิ่นฐานอยู่ตามหุบเขาที่มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน เพื่อที่จะหาพื้นที่ให้เหมาะแก่การเพาะปลูก มีการต่อท่อไม้ไผ่หรือท่อพลาสติกนำน้ำมาใช้ในชุมชนด้วย ลักษณะบ้านของกะเหรี่ยงนั้น มักสร้างจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เสาทำมาจากไม้เนื้อแข็ง ฝาบ้านและพื้นบ้านใช้ไม้ไผ่สับเป็นฟาก หลังคามุงด้วยหญ้าคาแห้งเย็บเป็นตับ หรือมุงด้วยใบตองตึง บ้านมีลักษณะยกพื้นสูง มีห้องเดี่ยวเป็นห้องอเนกประสงค์ ใช้เป็นห้องรับแขก ห้องครัว ห้องอาหาร และห้องประกอบพิธีกรรม หากครอบครัวใดมีลูกสาวที่โตแล้ว ก็จะกั้นห้องให้นอนต่างหาก กลางบ้านจะมีเตาไฟตั้งอยู่บนกระบะดิน มีก้อนหิน 3 ก้อน หรือเหล็กสามขาไว้สำหรับวางหม้อหรือกาน้ำ เหนือกระบะดินใช้เป็นที่วางของ เช่น ข้าวเปลือก เครื่องปรุงอาหาร เป็นต้น โดยข้างเตาไฟนี้ใช้เป็นที่รับประทานอาหารในหมู่สมาชิกของครอบครัวหรือญาติสนิท ห้องเอนกประสงค์มีประตูบ้านทำด้วยฟากใช้สำหรับเปิดปิด ถัดจากประตูจะเป็นชานบ้านด้านใน ซึ่งอยู่ภายในชายคาบ้าน พื้นชานปูด้วยฟาก มีระดับเดียวกับห้องนอน จะมีแสงสว่างพอสำหรับการทอผ้า เย็บผ้า สานกระบุง เป็นที่นั่งเล่นที่พักผ่อน และต้อนรับแขกในเวลากลางวัน เป็นที่เตรียมอาหาร และรับประทานในบางครั้ง และใช้เป็นที่นอนของลูกชายที่โตแล้ว ชานในมีบันไดลงบ้านเล็กๆ อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับบันไดหลัก ถัดจากชานในจะเป็นชานนอก จะอยู่ต่ำกว่าประมาณ 1 คืบ บันไดหลักของบ้านจะอยู่ที่ชานนอก และมีเรือนน้ำใช้วางภาชนะที่ใส่น้ำ เป็นบริเวณล้างข้าวของภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ รวมไปถึงเป็นที่ล้างหน้า ล้างมือ สระผม ใต้ถุนบ้านจะใช้เป็นที่เก็บฟืน และคอกสัตว์เลี้ยง ด้านข้างที่มีหลังคาคลุมถึงจะมีครกกระเดื่องสำหรับตำข้าว ข้างบ้านจะปลูกผักสวนครัวหรือพืชให้ผล และยังนิยมปลูกยาสูบสำหรับทำบุหรี่ด้วย หลังคาบ้านจะสร้างให้หลุบลงต่ำ เพื่อป้องกันลมหนาว และไม่ให้ลมพัดเข้ามามากเกินไป (หน้า 12-15) |
|
Demography |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุข้อมูลประชากรเรื่องความหนาแน่น อัตราการเกิดและอัตราการตายไว้ แต่ได้กล่าวถึงเรื่องจำนวนประชากรว่า ประชากรของกะเหรี่ยง เป็นกลุ่มชาวเขาที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 62.68 โดยตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายแดนด้านตะวันตก ในเขต 15 จังหวัด ได้แก่ ตาก เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง สุโขทัย แพร่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ อุทัยธานี และกำแพงเพชร รวมมีประชากรทั้งสิ้น 274,399 คน (หน้า 2) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงมีอาชีพหลัก คือ การปลูกข้าวในนาดำแบบขั้นบันได และไร่ข้าวแบบหมุนเวียน โดยจะทำเพียง 1 ปี แล้วจะย้ายไปที่อื่น เพื่อให้ดินได้ฟื้นตัว หลังจากนั้นอีก 5 ปี จึงจะย้อนกลับมาทำไร่ตรงที่เดิม และมีการปลูกพืชผักสวนครัวผสมอยู่ในการปลูกข้าวด้วย ปกติแล้วกะเหรี่ยงจะไม่ปลูกฝิ่น นอกจากบางหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับม้งเท่านั้น จึงมีการเลียนแบบการปลูกฝิ่น นอกจากทำนาข้าวแล้ว ยังมีอาชีพหาของป่า เช่น เก็บลูกก่อ เปลือกไม้ และสัตว์ป่า นำมาขาย และมีการรับจ้างทั่วไป เช่น การทอเสื้อ ทอย่าม ขายเป็นรายได้เสริม (หน้า 16 ) อาหารการกินหลัก คือ ข้าวจ้าวกับพริกและเกลือ โดยจะนิยมบริโภคอาหารเผ็ด กับข้าวทุกชนิดต้องใส่พริก ซึ่งน้ำพริกและแกงถือเป็นอาหารหลักของกะเหรี่ยง ส่วนพืชผักที่นิยมนำมาประกอบอาหาร ก็เช่น เห็ด สาหร่าย ตะไคร่น้ำ เเมงดา ตัวอ่อนของแมงปอ และผึ้ง เป็นต้น กะเหรี่ยงสะกอจะไม่มีของหวานหลังอาหาร แต่จะกินในพิธีกรรม เช่น ข้าวปุ๊กและข้ามต้ม ในงานมัดมือปีใหม่ หรืองานขึ้นบ้านใหม่ ส่วนเครื่องดื่มประเภทสุรานั้น เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทำจากข้าวเจ้า ข้าวเหนียว และข้าวโพด โดยนิยมเหล้าข้าวเจ้ามากที่สุด เพราะมีความแรงน้อย การดื่มเหล้านั้น ถือว่าการได้ดื่มร่วมกันนั้น จะทำให้สามัคคีกัน แม้ตายไปชาติหน้าก็จะได้พบกันอีก แต่จะต้องไม่ดื่มจนเสียสติ ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับไหม (หน้า17-19) ความเชื่อและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหาร กะเหรี่ยงในสมัยก่อนจะไม่กินเนื้อวัวควาย แต่ในปัจจุบันความเชื่อเรื่องดังกล่าวได้เปลี่ยนไป เพราะวัวควายให้เนื้อมากกว่าหมู และจากความนิยมกินอาหารแบบคนเมือง โดยเนื้อควายเป็นที่นิยมมากกว่าเพราะเชื่อว่าเนื้อวัวมีพยาธิ เด็กกะเหรี่ยงอายุ 2-3 ขวบ จะไม่กินเนื้อไก่เพราะเชื่อว่ามีพยาธิ คนเป็นโรคบางโรคไม่ควรกินไก่ป่าเพราะมีกลิ่นสาบ โดยหากยิงไก่ป่าได้และต้องการกินในป่าและกินกับพี่น้องได้เท่านั้น แต่หากนำมากินในหมู่บ้านจะให้ใครกินก็ได้ กะเหรี่ยงบางคนเชื่อว่าเลือดค่างสดทำให้มีกำลัง เปลือกลิ่นหรือนิ่มช่วยรักษาโรคนิ่วและแก้ขัดเบาได้ สัตว์ที่ถูกเสือกัดจะไม่นำมากินเพราะเชื่อว่าเสือมีพิษ เด็กกะเหรี่ยงจะกินแมงทับไม่ได้กินได้เฉพาะผู้ใหญ่มากๆ เชื่อว่าเลือดที่ออกจากเขากวางอ่อนทำให้แข็งแรงมีอายุยืนและถ้าดูดเลือดที่เขาข้างที่ล้มถูกดินจะดีกว่าข้างที่ไม่ถูกดิน การกินอาหารป่ามากๆ ไม่ดี ล่าสัตว์แต่พอควร ส่วนพืชผักกะเหรี่ยงเชื่อว่ากลอยเป็นพืชพิษ มะแว้ง ยอดอ่อนของต้นชุมเห็ดและยางของต้น “สะเหล่” ใช้รักษาโรคกลากได้ กะเหรี่ยงไม่กินเห็ดปนกับเนื้อสัตว์และอาหารรมควัน (หน้า 20-21) |
|
Social Organization |
ครอบครัวกะเหรี่ยงมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว แต่ยังคงมีรูปแบบครอบครัวขยายบ้าง มีการนับถือญาติทางฝ่ายมารดา โดยเมื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะไปอยู่บ้านของฝ่ายหญิง จะอาศัยอยู่ 1 ปี หรือเมื่อน้องสาวแต่งงาน ครอบครัวของพี่สาวก็จะแยกบ้านออกไป แต่ในกรณีลูกสาวคนสุดท้ายจะต้องอยู่กับพ่อแม่ไปตลอดแม้แต่งงานแล้วก็ตาม และจะเป็นผู้ที่ได้รับมรดกมากกว่าพี่ๆ เพราะเป็นผู้เลี้ยงดูพ่อแม่ ถ้าไม่มีลูกสาว ลูกชายก็ทำหน้าที่แทน สำหรับครอบครัวที่แม่บ้านตายลง ต้องรื้อบ้านทิ้ง เพื่อให้ลูกสาวที่แต่งงานแล้วจะได้ทำพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษได้ การแต่งงานของกะเหรี่ยงจะไม่นิยมแต่งงานกับนอกกลุ่ม หนุ่มสาวมีอิสระในการเลือกคู่ครอง สังคมกะเหรี่ยงสะกอมีความเคร่งครัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง การได้เสียกันก่อนแต่งงานถือเป็นความผิดจะถูกลงโทษโดยการปรับไหม ส่วนการมีชู้มีโทษถึงไล่ออกจากหมู่บ้าน เมื่อแต่งงานแล้วจะอยู่แบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดไป ทำให้การหย่าร้างแทบไม่ปรากฏในสังคมกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงสะกอที่เป็นหม้ายน้อยมากที่จะแต่งงานใหม่ กะเหรี่ยงสืบเชื้อสายฝ่ายมารดา แต่ยังคงเคารพต่อบิดามารดาของฝ่ายชาย กะเหรี่ยงไม่มีนามสกุล แต่ในปัจจุบัน เริ่มมีการขอนามสกุล โดยจะใช้นามสกุลของบิดา ส่วนการตั้งชื่อนั้น มักจะตั้งโดยพ่อแม่หรือผู้อาวุโสในบ้าน ซึ่งก็คือ พ่อแม่ของฝ่ายหญิงเป็นคนตั้งชื่อให้ ซึ่งหากเป็นหญิงมักมีคำว่า หน่อ และชาย จะมีคำว่า พะ หรือ จอ ลักษณะของกะเหรี่ยงมีลักษณะประนีประนอม และเสมอภาคกันอย่างมาก เจ้าของบ้านทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นปรึกษาในเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะผู้อาวุโสทุกคน จะได้รับการนับถือจากชาวบ้านทุกคน (หน้า 9, 25) |
|
Political Organization |
ลักษณะการปกครองในหมู่บ้าน จะมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ชาย เรียกว่า ฮี-โข่ แปลว่า หมู่บ้าน –หัว โดยจะเป็นผู้สร้างทัศนคติแก่กะเหรี่ยงทุกคน หากฮี-โข่ เห็นว่า ดี หรือ ถูก การยอมรับ หรือการขับไล่ จะกำหนดโดยฮี-โข่ ทั้งสิ้น นอกจากนั้น ฮี-โข่ ยังเป็นผู้นำทางพิธีกรรม เป็นผู้พิทักษ์รักษาจารีต ประเพณีอีกด้วย การสืบทอดตำแหน่งนั้น เมื่อหัวหน้าเสียชีวิต ลูกชายจะรับตำแหน่งต่อ และมีการย้ายหมู่บ้านทั้งหมดไปอยู่ยังอีกฟากของลำห้วยหรือไหล่เขา ตามแต่หัวหน้าคนใหม่จะกำหนด ปัจจุบันพบว่าบางหมู่บ้านไม่มีฮี-โข่ เพราะลูกชายไม่สืบทอดอำนาจ และคนอื่นที่ไม่ใช่สายเลือดก็ไม่สามรถรับตำแหน่งได้ ดังนั้นในบางหมู่บ้านจึงอาจมีผู้ใหญ่บ้านหรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับแต่งตั้งจากทางการ สำหรับผู้อาวุโส ในหมู่บ้านก็ยังมีบทบาทและมีความสำคัญต่อสังคมกะเหรี่ยง (หน้า 26) |
|
Belief System |
ศาสนา กะเหรี่ยงสะกอมีทั้งที่นับถือผี นับถือศาสนาพุทธและนับถือศาสนาคริสต์ แต่เกือบละร้อยละเก้าสิบนับถือผี โดยเชื่อกันว่า ผีมีอยู่ทุกแห่งในป่าในไร่ ในลำธาร ผีที่กะเหรี่ยงสะกอนับถือ คือ ผีบ้านและผีเรือน ซึ่งผีบ้านเป็นผีเจ้าที่ที่คอยปกป้องดูแลหมู่บ้าน ผีเรือนเป็นผีดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งคอยปกปักรักษาลูกหลานตัวเองด้วยความห่วงใย นอกจากนี้ยังมีผีประจำไร่นา ซึ่งจะช่วยทำให้ผลผลิตของไร่นาเจริญงอกงาม ดังนั้นก่อนการปลูกข้าวหรือทำไร่จึงมีการเลี้ยงผีก่อน คนกะเหรี่ยงมีความเกรงกลัวต่อผีป่า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผีร้าย คอยทำร้ายผู้คน มี 2 จำพวก คือ 1.ผีป่าบก ได้แก่ ผีป่า ผีเขา ผีเจ้าบ้าน ผีเจ้าเมือง ผีเจ้าที่ ผีหลวง และผีฟ้า 2.ผีป่าน้ำ ได้แก่ผีที่สิงสถิตตามลำห้วย ลำธาร บึง หนองน้ำ(หน้า 26-27) พิธีกรรม กะเหรี่ยงสะกอมีพิธีกรรมที่สำคัญอยู่ด้วยกันหลายพิธี ได้แก่ การเลี้ยงผี มีหลายวิธีและต่างวาระกันไป เช่น การฉลองโชคชัย การขอขมาลาโทษ การย้ายหมู่บ้านเป็นต้น ในที่นี้ผู้เขียนนำมากล่าวไว้ 2 ตัวอย่าง คือ การเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษ จะทำกันเพียงปีละหนึ่งครั้ง หลังจากการเก็บเกี่ยว ก่อนคืนวันพิธีลูกหลานจะต้องมาค้างคืนที่บ้านกันอย่างพร้อมเพรียง หากไม่สามารถมาร่วมพิธีได้ จะมีการเก็บข้าวในส่วนที่คนนั้นจะต้องกินไว้ จะนำไปย่างให้กินเมื่อกลับมา หรือส่งไปให้ ในพิธีจะนิยมใส่เสื้ออย่างกะเหรี่ยง ทุกคนจะต้องสำรวมกิริยา วาจา มิฉะนั้นต้องล้มเลิกพิธี ระหว่างนั้นจะมีข้อปฏิบัติหลายอย่าง เช่น ต้องกินข้าวในโตกเดียวกัน ต้องหุงข้าวหม้อเดียว ถ้ายังมีคนกินข้าวไม่เสร็จ คนอื่นๆจะลงจากบ้านไม่ได้ เป็นต้น การทำพิธีเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษมี 2 แบบ คือ แบบไม่มัดมือ และแบบมัดมือ ซึ่งไม่มีการใช้เหล้าในการประกอบพิธี การเลี้ยงผีบรรพบุรุษนี้ก็เพื่อขอให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครองบุตรหลาน ผลิตผล ตลอดจนสัตว์เลี้ยงให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่เจ็บไม่ป่วย และทำมาหากินอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ เมื่อสมาชิกเจ็บป่วยไม่สบาย ก็จะมีการเลี้ยงผีเรือนผีบรรพบุรุษ แต่จะมีพิธีการมากมาย และใช้เหล้าในพิธี รวมทั้งทำข้าวเหนียวต้มด้วย มีการเชิญหมอผีมาทำพิธี เชิญแขกมาร่วมกินข้าวด้วย (หน้า 28-29) พิธีเลี้ยงผีน้ำ จะมีพิธีเมื่อมีคนเจ็บป่วยภายในบ้าน เพราะเชื่อว่าความเจ็บป่วยมาจากการที่ถูกผีทำร้าย หรือผีทำให้ขวัญตกใจ ดังนั้นการเลี้ยงผีจึงมีจุดประสงค์เพื่อให้ผีพอใจและขอขมาลาโทษ ซึ่งพิธีมีทั้งเล็กและใหญ่ ต้องมีผู้ร่วมพิธีเป็นเลขคี่เสมอ มีขั้นตอนเริ่มด้วยให้ผู้ป่วยมานั่งที่ตีนบันไดบ้าน ผู้ทำพิธีนำชะลอมไก่ กระบุงใส่ของทำพิธีมาแตะคนป่วย สวดมนต์ขอให้ความเจ็บป่วยออกจากตัวผู้ป่วยตามไปกับข้าวของที่นำไปเลี้ยงผี พอสวดมนต์เสร็จผู้ป่วยก็ถุยน้ำลายใส่ชะลอมไก่ นำใบไม้ 1 กิ่งมาปัดตัวผู้ป่วยไปที่กระทงสี่เหลี่ยม สวดมนต์ ผู้ป่วยถุยน้ำลายใส่กระทง จากนั้นเดินทางไปยังตาน้ำ สร้างศาลเพียงตาเล็กๆ นำชะลอมไก่แขวนที่ศาล วางใบตองที่ใส่ของทำพิธีไว้ข้างๆ ศาล จากนั้นผู้ทำพิธีสวดมนต์เชิญผีมารับเลี้ยง ผู้มาร่วมพิธีจะล้อมลงประนมมือ แล้วดื่มเหล้า ทานข้าวร่วมกัน จนกว่าเหล้าจะหมดขวด ก่อนกลับผู้ทำพิธีจะเอาไม่ไผ่ยาวไปแคะและสวดมนต์ที่ศาลเป็น 2 จังหวะ ก่อนเข้าบ้านผู้ทำพิธีจะเอาไม้เคาะหัวบันไดพร้อมสวดมนต์ จากนั้นนำของไหว้มาสวดมนต์เชิญขวัญทั้งหลายมากินอาหารและกลับมาอยู่ในตัวผู้ป่วย แล้วนำด้ายขวัญผูกมือคนป่วย (หน้า 30) พิธีมัดมือปีใหม่หรืองานทำขวัญประจำปี (กิจึ๊) จัดขึ้นประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนของทุกปี หากกลุ่มใดมีหมอผี 2 คน งานมัดมือจะมี 2 งาน เนื่องจากหมอผีกำหนดวันจะไม่ตรงกัน พิธีนี้มีเพื่อเลี้ยงฉลองหลังจากที่สิ้นสุดงานในไร่ และเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มฤดูกาลใหม่สำหรับการเพาะปลูก ก่อนวันพิธีจะมีการทำข้าวเหนียวต้มเตรียมไว้ ภายในวันพิธีจะมีการฆ่าควาย เพื่อนำเอาเนื้อมารับประทานร่วมกัน พิธีเริ่มด้วยพ่อบ้านนำตะกร้าใส่สิ่งของต่างๆ ของแม่บ้าน ของทำขวัญอื่นๆ ไปวางที่หัวบันได ใช้ไม้คนหม้อข้าวเคาะพร้อมสวดมนต์ที่หัวบันได จากนั้นเคาะสวดมนต์ด้านหัวนอนของพ่อบ้านและแม่บ้าน จัดอาหารลงโตก เอาเส้นฝ้ายยาว 14-15 นิ้วจำนวนเท่ากับสมาชิกในบ้านวางพาดบนโตก จากนั้นพ่อบ้านทำการเรียกขวัญมากินอาหารและจะนำเอาด้ายผูกมือให้ลูกๆ หรือเด็กๆ ทุกคน รวมไปถึงผูกให้กันเองระหว่างพ่อบ้านและแม่บ้านด้วย มีการดื่มเหล้าเพื่อขอให้ผีป้องกันภัยให้กับสมาชิกในครอบครัว ให้ทำมาหากินสะดวก และปลูกพืชผลได้ผลตอบแทนที่ดี ตอนกลางคืนจะมีการดื่มเหล้าและร้องเพลงกัน ซึ่งการร้องและดื่มนี้จะต้องเวียนไปให้ครบทุกบ้าน (หน้า 31-32) พิธีแต่งงาน เริ่มจากการถามความสมัครใจของฝ่ายเจ้าสาว และนำไปสู่การสู่ขอ ซึ่งการแต่งงานจะมีภายใน 9 วันหลังจากการสู่ขอ และจะต้องเป็นวันคี่เท่านั้น โดยจะใช้วิธีปักกระดูกไก่ดูฤกษ์ยาม เมื่อได้วันแล้วก็จะบอกกล่าวไปยังญาติมิตร เพื่อจะได้เตรียมของมาช่วยเหลือ วันแต่งงานจะมีการร้องรำอย่างสนุกสนาน และทุกคนแต่งกายแบบกะเหรี่ยง งานพิธีนั้นมักจะจัดกัน 2 วัน วันแรกจะจัดที่บ้านเจ้าสาว ส่วนวันที่สองจัดที่บ้านของเจ้าบ่าว โดยในวันแรกนั้นเจ้าสาวจะยังคงใส่ชุดขาว ที่แสดงความเป็นพรหมจรรย์ แต่วันที่สองจะต้องเปลี่ยนไปนุ่งผ้าซิ่นและเสื้อสำหรับหญิงที่มีครอบครัวแล้ว ในพิธีแต่งงานนั้นเจ้าสาวจะต้องแสดงฝีมือในการกลั่นเหล้าให้พ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าวดื่ม โดยเมื่อต้มกลั่นสุราแล้ว จะต้องนอนค้างที่บ้านสามีอีกหนึ่งคืน ก่อนจะกลับไปอยู่บ้านเจ้าสาวซึ่งถือเป็นอันเสร็จพิธีที่แต่งงานที่สมบูรณ์ของกะเหรี่ยงสะกอ(หน้า 35) พิธีงานศพ เป็นงานที่ทุกคนจะไปร่วมพิธี โดยเฉพาะหนุ่มสาว จะได้มีโอกาสทำความรู้จักกัน หรือแสดงความรักต่อกัน กะเหรี่ยงที่มีฐานะดีจะเก็บศพไว้นาน ศพจะถูกบรรจุในโลงและประดับประดาอย่างดี และมีการทำบุญกันอย่างเต็มที่ หากฐานะไม่ดีก็จะนำเสื้อมาห่อศพแล้วเอาด้ายดิบพันรอบ นำไปฝังหรือเผา ในงานศพจะมีการฉีกทำลายเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ของผู้ตายทั้งหมด แล้วนำไปทิ้งป่าช้า ตอนกลางคืนจะมีการร้องรำทำเพลงรอบศพ ตลอดทั้งคืน มีการผลัดเปลี่ยนเวรกันเฝ้าศพ (หน้า 35) กะเหรี่ยงสะกอมีข้อห้ามต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะข้อห้ามระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว เนื่องจากกะเหรี่ยงเป็นสังคมที่เข้มงวดในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก เช่น ห้ามผู้หญิงที่แต่งงานแล้วใส่ชุดขาว เพราะถือว่าเป็นการดูถูกความบริสุทธิ์ ห้ามให้เสื้อผ้าชุดขาวกับพี่น้อง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ไม่ได้แต่งงาน ห้ามตีเด็ก เพราะจะทำให้ขวัญออกจากตัว เป็นต้น อีกทั้งมีข้อห้ามต่างๆเกี่ยวกับอาหารการกิน เช่น ห้ามทำน้ำพริกในงานเลี้ยง เพราะเป็นเพียงอาหารพื้นๆที่กินกันในครอบครัว ห้ามกินตำถั่วเปล่าๆ เพราะจะทำให้ไม่สบาย แน่นหน้าอก คลื่นไส้ ต้องกินกับข้าว ห้ามกินอาหารที่รมควันเพราะจะทำให้เจ็บคอ ห้ามเด็กๆกินเนื้อไก่ เพราะไก่มีพยาธิ ห้ามนำสัตว์ที่ถูกเสือกัดมากินเพราะเชื่อว่าเสือมีพิษ ห้ามแกงเห็ดใส่เนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้เจ็บป่วย ห้ามเด็กๆ กินแมงทับเพราะเชื่อว่าจะทำให้หนังตายื่นลงมาปิดตา เป็นต้น ความเชื่อต่างๆนั้น บางเรื่องสามารถอธิบายได้แต่บางเรื่องไม่สามารถให้เหตุผลเพื่ออธิบายได้ เพียงแต่อ้างว่ากระทำตามบรรพบุรุษที่ได้ทำกันมา ซึ่งก็เป็นไปเพื่อให้ได้รับความพึงพอใจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความปลอดภัย เพื่อสุขภาพ และความสมบูรณ์แก่ผลผลิตและทรัพย์สิน ของชาวกะเหรี่ยงสะกอนั่นเอง (หน้า 20-21) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล เมื่อมีการเจ็บป่วย จะมีการเสี่ยงทายถึงสาเหตุ โดยหมอผีจะปักกระดูกไก่หรือจับข้าวสารเสี่ยงทายดู ว่าไปถูกผีที่ไหนทำร้าย เมื่อกระดูกไก่แจ้งตรงกับตำราว่าถูกผีทำ ก็จะตามไปเลี้ยงผีตรงนั้น ถ้าอาการป่วยยังไม่ดีขึ้น ก็จะปักกระดูกไก่ ถามอีกครั้งว่าถูกผีป่าหรือผีน้ำทำร้าย และจะถามว่าเป็นผีกินไก่ กินหมู กินเป็ดคู่ หรือเป็ดเดี่ยว เมื่อกระดูกไก่บอกอย่างไรก็จะไปเลี้ยงผีตรงนั้น (หน้า 27) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้ชายจะนิยมแต่งกายเหมือนคนไทยทั่วไป แต่ส่วนใหญ่ยังคงมีเสื้อสีแดง สำหรับไว้ใส่ในโอกาสที่สำคัญ เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาย เป็นสัญลักษณ์ของความอดทนเข้มแข็ง ลักษณะเสื้อจะเป็นทรงกระบอก คอเสื้อเป็นรูปตัววี ตรงชายเสื้อจะติดพู่ห้อยลงมา หากยังเป็นหนุ่มโสดพู่จะยาวเลยชายเสื้อ แต่ถ้าหากแต่งงานแล้วพู่จะเสมอชายเสื้อ นอกจากนี้ยังโพกศีรษะด้วยผ้าที่ปักด้วยลวดลายปักสีแดง และถุงย่ามสีแดง ซึ่งของใช้เหล่านี้เจ้าสาวจะเตรียมไว้ให้เจ้าบ่าวในวันแต่งงาน ผู้หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะใส่ชุดทอด้วยมือทรงกระสอบสีขาว ยาวกรอมเท้า เรียกว่า ชุด ”เช้ว้า” จะใส่ตั้งแต่เด็กจนถึงวันแต่งงานจึงจะเปลี่ยนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และสาวโสดจะใช้ผ้าโพกศีรษะด้วย (หน้า 9-10) ผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่แต่งงานแล้ว จะสวมเสื้อประดับด้วยลูกเดือยและฝ้ายสี โดยลวดลายและการใช้สีสันนั้น จะสังเกตและคิดค้นจากสิ่งรอบตัว เสื้อของหญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องมีลายปักเพราะเชื่อว่าถ้าไม่มีจะทำให้ไม่มีลูก เสื้อมีลักษณะเป็นทรงกระสอบ ตัวเสื้อสั้นเลยเอว คอเป็นรูปตัววี แขนในตัว สั้นเลยไหล่ เสื้อลักษณะนี้ เรียกว่า “เช้ชุ” และจะสวมผ้าซิ่น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ เป็นสัญลักษณ์ของการมีเจ้าของแล้ว และเนื่องจากว่ากระเหรี่ยงมีทั้งที่นับถือผี นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ การปักลูกเดือยบนเสื้อเพราะเชื่อว่ากันผีได้ ในกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์จะนิยมทอลายผ้าลงไปแทน ไม่ใช้วิธีปักด้วยมือ ส่วนผ้าซิ่นก็จะไม่มีลายกี่ เชื่อกันว่าป้องกันอันตรายได้ ส่วนหญิงสะกอคนที่ถือผีจะใส่เสื้อที่ปักลูกเดือยและใส่ผ้าซิ่นมีลายกี่ ซึ่งลวดลายที่ทอนั้น จะแสดงให้เห็นถึงความขยันหมั่นเพียรของผู้ทำ การทอผ้าของกะเหรี่ยงจะทอผ้าด้วยมือ แบบ Back strap ซึ่งมีลักษณะเป็นด้ายที่ขึงกับไม้คาน 2 อัน ในแนวนอน คานด้านหนึ่งผูกติดกับหลัก ส่วนคานอีกด้านหนึ่ง ผู้ทอจะใช้สายหนังคล้องหัวท้าย ติดกับเอวของตน ความตึงของด้ายจึงไม่คงที่ ผู้ทอสามารถบังคับให้ด้ายยืน ตึงหรือหย่อนได้ตามต้องการ ซึ่งทำให้เกิดผลดี คือ เนื้อผ้ามีความเรียบและแน่น สม่ำเสมอ ผู้ทอจะโน้มตัวไปข้างหน้าเมื่อต้องการให้ด้ายยืนหย่อน และเอนตัวไปข้างหลังเมื่อต้องการให้ด้ายยืนตึง (หน้า 10-12) การย้อมสีของผ้า จะใช้วัสดุจากธรรมชาติ ได้แก่ เปลือกไม้สัก ไม้แดง ไม้ประดู่ เป็นต้น ผู้ชายจะเป็นฝ่ายหาหามาให้ ส่วนต้นไม้ที่ใช้ย้อมสี ได้แก่ ต้นคราม ต้นแสดหรือเงาะป่า เป็นต้น ปัจจุบันนิยมเสื้อด้ายสำเร็จรูปมาทอ เพราะผลผลิตจากไร่ไม่เพียงพอ อีกทั้งกรรมวิธีการผลิตเส้นด้ายเองนั้น ก็ต้องใช้เวลานานมาก (หน้า 12) สำหรับศิลปะการแสดงมีเครื่องดนตรีที่ใช้กันในหมู่กะเหรี่ยง คือ พิณ 6 สาย อีกทั้งกะเหรี่ยงสะกอมีความสามารถในการร้องเพลง เพลงที่ใช้ร้องจะมีแบบแผน และจะกำหนดชนิดของเพลงว่าร้องในโอกาสใด ซึ่งโดยทั่วไปสังคมของกะเหรี่ยงค่อนข้างจะเคร่งครัดเรื่องการติดต่อระหว่างคนหนุ่มสาว ดังนั้นโอกาสที่จะได้เจอกัน คือ งานศพและงานแต่งงาน โดยในงานแต่งงานนั้นจะไม่มีการร้องรำหรือร้องเพลงที่เป็นทำนองไพเราะ แต่เพลงเหล่านี้จะอยู่ในงานศพ ซึ่งมีหลายแบบดังนี้ เพลงงานศพ หรือ เพลงทา ปลือ เนื้อหาของเพลงจะเกี่ยวกับผี วิญญาณ การอาลัยผู้ตาย ช่วงหัวค่ำจะเป็นเพลงโศกเศร้าถึงผู้ตาย แต่ตกดึกจะเป็นเพลงของหนุ่มสาวใช้โต้ตอบกัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความตายเลย แต่ก็ไม่ได้เจาะจงสำหรับใช้เกี้ยวพาราสีกัน ส่วนคนเฒ่าคนแก่จะร้องเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขึ้นลงต้นไม้ ซึ่งเปรียบเหมือนกับการเวียนว่ายตายเกิด เป็นการเตือนไม่ให้หลงระเริงและโลภโมโทสัน เพราะในที่สุดทุกคนก็จะต้องตาย เพลงคนเฒ่าคนแก่ร้องสั่งสอนหนุ่มสาว หรือ “ทาซะปฬ่า” นอกจากร้องเพลงในงานศพแล้ว อาจจะนำไปร้องในงานขึ้นบ้านใหม่ งานมัดมือผูกขวัญ เนื้อเพลงจะสั่งสอนเด็กหนุ่มสาวให้รู้จักระมัดระวังในการใช้ชีวิต จะทำอะไรก็ให้มีความรอบคอบ เพลงหนุ่มสาวแสดงความรักความคิดถึงกัน เพลงชนิดนี้นิยมมาก มีจำนวนมากกว่าร้อยเพลง ใช้ร้องในโอกาสต่างๆ แสดงความรัก ความคิดถึง อยากอยู่ใกล้ชิดกับคนรัก โดยเปรียบเทียบกับธรรมชาติที่สวยงาม เพลงเบ็ดเตล็ดที่ใช้ในงานมงคล ใช้ร้องแสดงความร่าเริง เช่น งานขึ้นปีใหม่ เมื่อเก็บเกี่ยวของในไร่แล้วเสร็จ งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่ง เป็นต้น เนื้อเพลงจะเป็นการสั่งสอนให้สามัคคีกัน เพลงกล่อมเด็ก ถือเป็นเพลงเก่าแก่ของกะเหรี่ยง ยกเว้นกะเหรี่ยงที่เป็นคริสต์เตียน การร้องเพลงกล่อมเด็กนี้ บิดาหรือญาติทั้งชายหญิง สามารถร้องได้ เนื้อเพลงไม่มีแบบแผน แต่มักจะอิงนิทานเข้าไปด้วย เพลงที่แต่งขึ้นใหม่ ใช้เนื้อเพลงภาษาไทยปนกับภาษากะเหรี่ยง เนื้อความของทั้งสองภาษาจะซ้ำกัน ทำนองเป็นสากล ใช้กีตาร์ประกอบ เนื้อเพลงจะใช้ถ้อยคำง่ายๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน (หน้า 22-24) |
|
Folklore |
มีตำนานเกี่ยวกับเรื่องกลอยว่า กลอยเป็นอาหารที่ใช้กินแทนข้าว ให้แรงเหมือนกินข้าว เพราะกลอยเกิดมาจกน้ำนมของ ซวา ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกของโลก ก่อนออกไปทำไร่นางได้บีบน้ำนมไว้ให้ลูกกิน ภายหลังน้ำนมแข็งกลายเป้นกลอย (หน้า 21) นอกจากนี้ยังมีบทเพลงเป็นมุขปาฐะที่นำมาใช้สอน ใช้ถ่ายทอดกระบวนการขัดเขลาในสังคม (ดู Art and Craft and Clothing) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงติดต่อกับคนพื้นราบ เพื่อแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายผลิตผล หรือการรับจ้าง ค่าตอบแทนอาจจะเป็นเงินหรือข้าว ทำให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่าที่มีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปัจจุบันมีโครงการพัฒนาเกิดขึ้นมากมาย มีเส้นทางคมนาคมที่ดีขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์กับคนพื้นราบก็มีมากขึ้นด้วย ส่วนความสัมพันธ์กับชาวเขาเผ่าอื่น ก็มีกับพวกม้งในลักษณะนายจ้างกับลูกจ้าง และในลักษณะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เนื่องจากม้งมีการเคลื่อนย้ายที่ทำมาหากิน จึงทำให้มีโอกาสที่จะสัมพันธ์และค้าขายกับคนนอกกลุ่มได้ดี จึงทำให้ม้งมีฐานะร่ำรวยและมีอำนาจทางเศรษฐกิจ และการปกครอง เศรษฐกิจของกะเหรี่ยงจึงขึ้นกับม้ง กะเหรี่ยงได้ค่าจ้างจากม้ง ขณะที่ม้งก็ได้แรงงานจากกะเหรี่ยงเช่นกัน(หน้า 36) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันนี้กะเหรี่ยงสะกอมีการดำรงชีวิตหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษ ตัวอย่างสังคมวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงสะกอที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เช่น ระบบโครงสร้างการปกครองที่เปลี่ยนจากฮี-โข่มาเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐ การทอผ้าที่เริ่มมีการใช้กี่กระตุกแทนการทอแบบดั้งเดิม การใช้เส้นด้ายจากตลาด บทเพลงที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับร้องรำ ที่นำเอาเครื่องดนตรีสากลเข้าไปผสม การแต่งกายที่เหมือนกับคนเมืองพื้นราบ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป มีการเปิดรับความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนที่ และภาพถ่าย เพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพที่ชัดเจน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ - แผนที่เส้นทางการอพยพของชาวกูย (หน้า 4,5) - แผนที่แสดงการกระจายตัวของประชากรกะเหรี่ยง (หน้า 3) ส่วนภาพถ่ายจะนำเสนอเกี่ยวกับ
1. ลักษณะหมู่บ้านกะเหรี่ยงสะกอ บ้านแม่ริดป่าแก่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า5)
2. สาวกะเหรี่ยงสะกอที่ยังโสด จะใส่ชุดขาวทรงกระสอบผ้าที่ทอเองด้วยมือ (หน้า 8)
3. แม่เฒ่ากะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 8)
4. การแต่งกายของผู้หญิงและผู้ชายกะเหรี่ยงสะกอที่มีครอบครัวแล้ว (หน้า 9)
5. หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่มีเรือนแล้วกำลังฝัดข้าว ส่วนหญิงสาวและเด็กหญิงกะเหรี่ยง กำลังตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง ณ บริเวณด้านข้างของบ้าน (หน้า 10)
6. การทอผ้าแบบ back trap ของกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 11)
7. สภาพหมู่บ้านของกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 12)
8. ลักษณะเฉพาะของบ้านกะเหรี่ยงสะกอหลังคาหลุบต่ำ (หน้า 13)
9. ภายในบ้านกะเหรี่ยงสะกอ มีห้องใหญ่อยู่ห้องเดียว เป็นห้องเอนกประสงค์ (หน้า 14)
10. ใต้ถุนบ้านกะหรี่ยง ใช้เป็นที่เก็บฟืนและเลี้ยงสัตว์ (หน้า 15)
11. กะเหรี่ยงสะกอกินข้าวโดยนั่งกันเป็นวงรอบขันโตก ชามกับข้าววางไว้ตรงกลาง ส่วนข้าวกองไว้โดยรอบกับข้าวนั้น(หน้า 17)
12. การต้มเหล้าในพิธีมัดมือีใหม่ของกะหรี่ยงสะกอ การต้มเหล้านี้ได้รับอนุญาตจากทางการ โดยผู้ต้มต้องจ่ายเงินให้ทางการตามที่กำหนด (หน้า 19)
13. ครัวของกะเหรี่ยง(หน้า 21)
14. กลอง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ เครื่องดนตรีที่ให้ความบันเทิงในช่วงฉลองปีใหม่ของกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 22)
15. พ่อกะเหรี่ยงสะกอกำลังผูกข้อมือให้ลูกสาวเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนออกเดินทางนอกหมู่บ้าน(หน้า 27)
16. การผูกด้ายขวัญในพิธีเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 28)
17. การทำข้าวเหนียวต้มเพื่อใช้ในพิธีไหว้ผีเรือนและผีบรรพบุรุษ (หน้า 29)
18. พ่อบ้านกำลังสวดมนต์ทำพิธีที่หัวบันไดบ้านในพิธีมัดมือปีใหม่ของกะเหรี่ยงสะกอ(หน้า 31)
19. พ่อกำลังผูกด้ายขวัญให้ลูกๆในพิธีปีใหม่ (หน้า 32)
20. พิธีแต่งงานของกะเหรี่ยงสะกอที่นับถือศาสนาคริสต์ พ่อกำลังนำลูกสาวไปมอบให้เจ้าบ่าว(หน้า 34) |
|
|