สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,สตรี,ภาวะเจริญพันธุ์,การคุมกำเนิด,ลำปาง
Author ชลิดา เกษประดิษฐ
Title การศึกษาภาวะเจริญพันธุ์ของชาวเขาเผ่าเย้าในจังหวัดลำปาง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 101 Year 2536
Source หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยประชากรและสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

ผู้เขียนพรรณนาถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เช่น ที่ดินทำกิน ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา คำแนะนำด้านการวางแผนครอบครัว ความสามารถในการใช้ภาษาไทย จำนวนลูกตาย การคุมกำเนิด ว่าปัจจัยใดที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนลูกที่เกิดรอดชีวิต และจำนวนลูกที่ต้องการ หรือภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิงเย้ากลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 15 - 49 ปี จำนวน 528 คน ในพื้นที่จังหวัดลำปาง ผลการศึกษาผู้เขียนพบว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจและจำนวนบุตรเกิดไร้ชีพไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะเจริญพันธุ์ ความสามารถในการใช้ภาษาไทยและการคุมกำเนิดมีความสัมพันธ์ในทางลบกับภาวะเจริญพันธุ์ จำนวนบุตรตายมีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะเจริญพันธุ์ ส่วนการได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวมีความสัมพันธ์ในทางลบกับจำนวนบุตรที่ต้องการเท่านั้น สำหรับในเรื่องการคุมกำเนิดพบว่า สตรีเย้านิยมคุมกำเนิดน้อยมาก ส่วนใหญ่ไม่นิยมคุมกำเนิด ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุใดจะนิยมคุมกำเนิดเมื่อมีบุตรเพียงพอแล้วคือ 5 คนขึ้นไป (หน้า ก-ข,71-72,76)

Focus

ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจสังคมและประชากร กับการมีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์และศึกษาถึงพฤติกรรมการคุมกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับจำนวนบุตรที่มีชีวิตและจำนวนบุตรที่ต้องการ เพื่อดูความต้องการ การคุมกำเนิดของสตรีเย้าในจังหวัดลำปาง (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เย้า เรียกตนเองว่า “เมี่ยน” หมายถึง “คนหรือมนุษย์” เย้าอยู่ในกลุ่มมองโกลลอยด์ นักวิชาการบางส่วนจัดให้เย้ากับแม้วอยู่กลุ่ม เย้า – แม้ว – ปาเต็ง (Yao – Meo - Pateng) (หน้า 84) ในประเทศจีน เย้าแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะอาชีพ การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ความเชื่อ ตัวอย่างเช่น (ภาคผนวก หน้า 86) แพนเย้า (Pan Yao ) คือ กลุ่มที่ประกอบอาชีพสลักไม้ ฮุงเย้า (Hung Yao) คือ กลุ่มที่พันหัวด้วยผ้าสีแดง นานติงเย้า (Nan Ting Yao) คือกลุ่มที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีน้ำเงินล้วน สำหรับเย้าที่อยู่ในไทยมีเพียง ”ฮุงเย้า” กลุ่มเดียวเท่านั้น (ภาคผนวกหน้า 86)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาเย้า อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) เป็นภาษาที่มีเสียงสูง ต่ำ เนื่องจากได้รับอิทธิพลมาจากภาษาจีน ภาษาเป็นคำเดียวโดดๆ และไม่มีภาษาเขียน ตัวเขียนจะใช้อักษรจีน เมื่ออ่านจะอ่านเป็นภาษาเย้า ภาษาเย้าในแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกันไปทั้งหมด เช่น บางแห่งจะใช้ภาษาจีนฮ่อ ทั้งนี้เย้ามีความใกล้ชิดทางภาษากับภาษาแม้วมากกว่าภาษาของชาติพันธุ์อื่น แต่ถึงอย่างไรภาษาของทั้งสองภาษาก็ไม่เหมือนกันแต่ประการใด (ภาคผนวกหน้า 86)

Study Period (Data Collection)

พฤษภาคม - กันยายน 2530 (หน้า 20)

History of the Group and Community

สันนิษฐานว่า เมื่อก่อนนี้เย้ากับแม้วเคยตั้งรกรากอยู่ในมณฑลโกวเจา เย้าเป็นชาติพันธุ์ที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานไม่น้อยกว่า 2,500 ปี ทั้งนี้ตามจดหมายเหตุโบราณของจีนระบุว่า เย้าอาจจะเป็น “เย้า-เร็น”(Yao-Ren) ที่เป็นชนป่าเถื่อนที่อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำทั้ง 5 ในทางตอนใต้ของประเทศจีน ภายหลังได้อพยพมาอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 100 ปี (ภาคผนวกหน้า 84) ปัจจุบันมีเย้าในมณฑลกวางสี ภาคใต้ของมณฑลยูนนาน ในประเทศลาวและบริเวณอ่าวตังเกี๋ยของเวียดนาม สำหรับประเทศไทยเดิมเย้าอยู่ทางตอนเหนือและตะวันออกของเชียงราย ภายหลังอพยพเข้ามามากขึ้นและแยกย้ายไปอยู่บนภูเขาต่างๆ ในเชียงราย เชียงใหม่ น่าน และลำปาง (หน้า 84)

Settlement Pattern

บ้านเย้า การสร้างบ้าน จะสร้างคร่อมพื้นดิน โดยจะใช้พื้นดินเป็นพื้นบ้านไปในตัว อุปกรณ์สร้างบ้านจะเป็นวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น พื้นที่บ้านจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้า หลังคามุงหญ้าคา หรือใบหวาย กั้นฝาบ้านด้วยไม้เนื้ออ่อนใช้ขวานถากจนไม้เรียบเมื่อกั้นฝาจะกั้นในแนวตั้งกับตัวบ้าน บ้านบางหลังก็กั้นฝาบ้านด้วยไม้ไผ่ บางครั้งก็นำฟางมาผสมโคลนก่อเพื่อทำเป็นฝาบ้าน และจะกั้นห้องตามจำนวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ในบ้าน และด้านหลังบ้านจะสร้างประตูเอาไว้ (ภาคผนวกหน้า 86) ที่บริเวณด้านข้างของทั้งสองด้าน (หน้า 87) ด้านหน้าบ้านจะสร้างประตูผีเอาไว้หนึ่งประตู จะเปิดเมื่อไปส่งลูกสาวไปแต่งงานที่บ้านเจ้าบ่าวหรือพาสะใภ้เข้ามาอยู่ด้วยในบ้าน นอกจากนี้ยังเป็นทางที่ใช้ยกศพผู้เสียชีวิตออกจากบ้าน ทุกวันนี้บ้านเย้าบางแห่งจะสร้างหิ้งผีบรรพบุรุษไว้ที่ข้างฝาบ้าน ซึ่งจะอยู่ในระดับศีรษะ หิ้งนี้เย้าเรียก “เมี้ยนป้าย” บางหลังก็จะมีรูป ”ผีใหญ่ “ หรือ ” จุ๊ ซัง เมี้ยน” หรือหิ้งผีแบบที่ทำเป็นตู้ที่มีชื่อว่า ”เมี้ยน เที่ย หลง“ สำหรับเย้าที่มีฐานะร่ำรวย บางครั้งจะปลูกบ้านแบบใต้ถุนสูง หลังคามุงกระเบื้อง ไม้ และสังกะสี พื้นและฝาบ้านกั้นด้วยไม้กระดาน (ภาคผนวกหน้า 87,95 แผนผังบ้านหน้า 88)

Demography

ประชากรเย้าในประเทศไทย เย้ามีประชากรในประเทศไทยจำนวน 34,757 คน แบ่งออกเป็นผู้ชาย 17,297 คน และผู้หญิง 17,463 คน (สำรวจเมื่อ พ.ศ.2528-2531) จากยอดจำนวนประชากรชาวเขา 9 เผ่าหลักที่มีจำนวน 579,239 คน (หน้า 19,85) หรือคิดเป็น 6 % ของจำนวนชาวเขา (ภาคผนวกหน้า 84 ตารางหน้า 85) ประชากรเย้าในการศึกษา เป็นผู้หญิงเย้าที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว อายุ 15-49 ปี จำนวน 528 คน (หน้า 21,22) แบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้ กลุ่มอายุ 15-19 ปี จำนวน 53 คน กลุ่มอายุ 20-29 ปี จำนวน 213 คน กลุ่มอายุ 30-39 ปีจำนวน 177 คน และอายุ 40-49 ปี จำนวน 85 คน กลุ่มประชากรตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 30.2 ปี (ตารางหน้า 23)

Economy

ที่ดิน ในกลุ่มตัวอย่างมีที่ดินไม่เกิน 10 ไร่ จำนวน 173 คน (32.8%) มีที่ดิน 11-20 ไร่ จำนวน 162 คน (30.8%) และมีที่ดินตั้งแต่ 21 ไร่ขึ้นไป 192 คน (36.4%) ( หน้า 24 ตารางหน้า 23) ฐานะทางเศรษฐกิจมีฐานะต่ำ 156 คน (30.0%) ปานกลาง 188 คน (36.2%) ฐานะสูง 176 คน (33.8%) (หน้า 23) การผลิต อาชีพ ส่วนมากเย้าทำการเพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอย เช่น การปลูกข้าว เย้าจะปลูกข้าวในที่ดินแห่งนั้น 1 ปี จากนั้นจะปล่อยให้ดินฟื้นตัวเพื่อให้ดินเกิดความอุดมสมบูรณ์ ก็จะเปลี่ยนไปปลูกในที่ดินผืนอื่นต่อไปจนครบเวลา 5 ถึง 10 ปีก็จะหมุนเวียนมาเพาะปลูกบนที่ดินเดิมอีกครั้ง แต่ส่วนมากจะปลูกในที่ดินแห่งนั้นไม่เกิน 2 ปี (หน้า 19,93) ในอดีตเย้านิยมปลูกฝิ่นภายหลังเมื่อทางการสั่งห้ามปลูก เย้าจึงหันไปปลูกพืชชนิดอื่น นอกจากนี้ยังปลูกข้าวโพดเพื่อเอาไว้กินและเลี้ยงสัตว์ และเอาไว้ขาย สำหรับการเลี้ยงสัตว์จะเลี้ยง ม้า หมู ไก่ เพื่อเลี้ยงไว้ประกอบอาหารและเอาไว้ใช้แรงงานและเซ่นไหว้ในพิธีกรรมทางความเชื่อรวมทั้งเลี้ยงต้อนรับแขกเมื่อจัดงาน เช่น งานแต่งงาน (หน้า 93-94)

Social Organization

ครอบครัว ครอบครัวของเย้าเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว (Monogamy) แต่ก็มีข้อยกเว้นคือในกลุ่มที่มีฐานะร่ำรวย บางทีจะมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน ส่วนในกรณีที่ภรรยาคนแรกไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้ ก็จะแต่งงานมีภรรยาอีกคนเพราะต้องการจะมีลูกชาย ทั้งนี้เพราะว่าเย้าจะสืบสกุลฝ่ายพ่อ หญิงที่แต่งงานแล้วจะมาอยู่บ้านของสามี บางทีถ้าไม่มีลูกชายก็อาจแก้ปัญหาโดยซื้อเด็กผู้ชายจากชาติพันธุ์อื่นมาเลี้ยงดูเป็นลูก (หน้า 19, 89,90-91ภาคผนวกหน้า 89) การแต่งงาน เย้าไม่นิยมแต่งงานกับคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน เพราะถ้าแต่งงานกันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าระอายอย่างยิ่ง แต่ถ้าต้องแต่งงานกับคนในตระกูลเดียวกันก็ต้องเชิญผู้สูงอายุในตระกูลอื่นให้มาทำหน้าที่เป็นประธานแจกเงินเพื่อซื้อความอับอายที่เกิดขึ้นนั้น การแต่งงานลักษณะนี้ต้องใช้เงินทองใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก โดยทั่วไปแล้วเมื่อแต่งงานเจ้าบ่าวจะพาเจ้าสาวมาอยู่ที่บ้านด้วย เว้นแต่กรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ในการเสียค่าสินสอดถ้าฝ่ายหญิงมีลูกติดฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องจ่ายค่าสินสอดมากขึ้นเพราะต้องจ่ายค่าน้ำนมค่าเลี้ยงดูให้ฝ่ายหญิงด้วยเพราะถือว่าจะได้แรงงานมาช่วยงานในครอบครัวเพิ่มขึ้นด้วย (หน้า 91, ภาคผนวกหน้า 89,99) หนุ่มสาวเย้ามีความเป็นอิสระในการเลือกคู่ครอง การได้เสียกันก่อนแต่งงานไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย กรณีที่เกิดการตั้งครรภ์ก็จะจัดพิธีแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี แต่ถ้าฝ่ายชายไม่ยอมรับ ลูกที่เกิดมาฝ่ายหญิงก็จะเลี้ยงดูโดยจะให้นับถือบรรพบุรุษฝ่ายแม่ (หน้า 98) สำหรับการแต่งงานของเย้ามี 2 อย่าง คือ การแต่งงานเล็กและแต่งงานใหญ่ ในการจัดงานจะแตกต่างกันคือ การแต่งงานเล็กจะจัดพิธีที่บ้านฝ่ายหญิง จะเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน 1 มื้อ โดยฝ่ายหญิงจะเป็นเจ้าภาพออกค่าใช้จ่าย ส่วนการแต่งงานใหญ่จะจัดพิธีที่บ้านฝ่ายชาย การจัดเลี้ยงจะจัด 3 วัน 3 คืน ทำให้ต้องใช้เงินจัดงานเป็นจำนวนมาก เมื่อผู้หญิงแต่งงานต้องเดินออกทางประตูผี โดยจะขาดจากการนับถือผีของตระกูลตนเองเพื่อไปนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายสามีต่อไป (หน้า 99) สังคมเย้าถือว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่ถ้าเกิดการมีชู้ เช่นกรณีหญิงมีชู้ ผู้ชายต้องเสียเงินให้สามีเก่า แต่ถ้าชายคนนั้นรับผู้หญิงเป็นภรรยาก็ต้องจ่ายค่าสินสอดคืนให้กับสามีเก่าทั้งหมด (หน้า 100)

Political Organization

การปกครองหมู่บ้าน การปกครองอย่างเป็นทางการจะมีผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนันทำหน้าที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน หรือในบางครั้งในกลุ่มผู้นำหมู่บ้านจะมาจากแซ่หรือตระกูลที่เคยเป็นผู้นำแต่เดิมแล้วทำหน้าที่สืบทอดกันมาจนมาถึงยุครุ่นลูกหลาน สำหรับหน้าที่ของผู้นำหมู่บ้านของเย้าจะทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานราชการ และปกครองหมู่บ้านตัดสินคดีความหากลูกบ้านมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน และอื่นๆ (ภาคผนวกหน้า 92) บุคคลที่มีบทบาทในหมู่บ้านจะรวมถึงหมอผีซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของคนในหมู่บ้านตั้งแต่เกิดจนตาย ผู้มีอาวุโสเป็นผู้ได้รับความเคารพยกย่องของคนในหมู่บ้าน สามารถว่ากล่าวตักเตือนผู้ด้อยอาวุโสกว่าได้และหัวหน้าบ้านเป็นชายที่มีอาวุโสในสกุลหรือแซ่ เป็นผู้มีชื่อเสียงในบ้าน (หน้า 92-93)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อ ทุกวันนี้เย้านับถือศาสนาพุทธ,คริสต์และนับถือผี เย้าเชื่อว่าผีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เช่น ผีภูเขา ผีต้นไม้ ผีบ้าน ผีป่า ผีน้ำ การแบ่งผีแบ่งเป็นผีดี และผีร้ายที่อาจทำร้ายคนให้เจ็บป่วย เย้านับถือผีใหญ่ “จุ๊ซ้ง เมี้ยน” มากกว่าผีอื่นๆ ผีใหญ่จะมีทั้งหมด 18 ตน และมีผีใหญ่ที่นับถือสูงสุด 3 ตน เรียกว่า “ฟามซิ้งหรือสามด๋าว” ภาพของผีใหญ่เย้าจะวาดแล้วม้วนเก็บไว้และจะนำออกมาเมื่อมีงานพิธีสำคัญ ได้แก่ งานบวช งานศพ สำหรับผีที่เย้าเซ่นไหว้อยู่ประจำคือผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษ จะทำหิ้งไว้ในบ้าน การเซ่นไหว้จะทำเมื่อมีงานพิธีสำคัญ เช่น งานกินข้าวใหม่ งานปีใหม่ งานศพ และเมื่อคนในบ้านเป็นไข้ไม่สบาย (หน้า 95-96ภาคผนวกหน้า 95) ขวัญและการเรียกขวัญ เย้าเชื่อว่าในร่างกายของคนมีขวัญอยู่ 11 ขวัญ ขวัญจะออกจากร่างกายเมื่อเป็นไข้ไม่สบาย ได้รับอันตรายหรือตกใจ หากขวัญออกจากร่าง ถ้ามีผีร้ายเข้าไปอยู่ในร่างกายก็จะทำให้ไม่สบาย เมื่อเจ็บไข้ไม่สบายก็หมอผีมาทำพิธีรักษาโดยจะทำพิธีเรียกขวัญ โดยจะเชิญผีใหญ่ ผีบรรพบุรุษให้มาไล่ผีร้ายให้ออกจากร่างกายพร้อมทั้งตามหาขวัญให้กลับมา ซึ่งถ้าเรียกขวัญกลับมาได้สำเร็จก็เชื่อว่าจะสามารถรักษาผู้ป่วยคนนั้นให้หายจากการเจ็บป่วยได้ (หน้า 95) สำหรับผีที่เชิญมานั้นมี 2 อย่างคือ ผีครู ซึ่งเป็นครูที่ให้ความรู้กับหมอผี และผีปู่ผีย่าตายาย ของคนที่ไม่สบาย หลังจากที่หมอผีทำพิธีเรียกขวัญกลับมาแล้วก็จะรักษาด้วยยากลางบ้านต่อไป (หน้า96) ในหมู่บ้านจะมีหมอผีเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เย้าเรียกว่า ”ซิปเมี้ยนเมี่ยน” ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม เช่น พิธีหมั้น พิธีแต่งงาน งานศพ การบวช งานขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ และการรักษาเมื่อมีคนเป็นไข้ไม่สบาย หมอผีจะมีคัมภีร์ที่เขียนเป็นภาษาจีนและมีไม้เสี่ยงทายคู่หนึ่งคล้ายเขาควายผ่าซีกเพื่อใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ เช่น เมื่อกล่าวคำเชิญวิญญาณจะโยนไม้เสี่ยงทายลงพื้นหน้าแท่นบูชา ถ้าคว่ำ 1 อัน หงาย 1 อัน แสดงว่าวิญญาณที่เชิญกำลังมา ถ้าหงายทั้งสองอันแสดงว่าผีมาแล้ว ถ้าค่ำทั้งคู่แสดงว่าผียังไม่มา เป็นต้น (หน้า 92,95) การนับถือศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2508 เมื่อกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ได้สนับสนุนและอุปถัมภ์คณะสงฆ์เพื่อเข้าไปเผยแพร่ศาสนาในกลุ่มชาวเขา ส่วนศาสนาคริสต์นั้นงานเขียนระบุว่าไม่ทราบปีที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาที่ชัดเจน (หน้า 96) สำหรับสถิติการนับถือศาสนาของเย้าในจังหวัดลำปาง มีดังนี้ นับถือศาสนาพุทธ 17.9 % ศาสนาคริสต์ 10.4 % นับถือศาสนาพุทธและผี 36.7 % นับถือผี 34.6 % และนับถือศาสนาอิสลาม 0.3% (หน้า 96)

Education and Socialization

ชาวเขาส่วนใหญ่เรียนหนังสือน้อยหรือไม่ได้เรียนเลย สามารถพูดภาษาไทยได้แต่เขียนได้น้อย ตัวอย่างของเย้าในจังหวัดลำปาง สามารถพูดภาษาไทยจำนวน 90.37 % อ่านได้ 34.2 % และเขียนได้จำนวน 33.26 % (หน้า 9)

Health and Medicine

วิเคราะห์การคุมกำเนิดของผู้หญิงเย้า ผู้หญิงเย้าส่วนใหญ่จะไม่คุมกำเนิด สำหรับอัตราการไม่คุมกำเนิดถ้าแบ่งตามช่วงอายุของกลุ่มผู้หญิงเย้าในกลุ่มตัวอย่างมีดังนี้ กลุ่มอายุ 15-19 ปี ไม่คุมกำเนิดสูงที่สุดคิดเป็น 82 % เพราะว่าอยู่ในช่วงต้นของวัยเจริญพันธุ์ และยังต้องการมีลูกเพิ่มอีก และอันดับสองอยู่ในกลุ่มที่มีอายุ 40-49 ปี เพราะว่ากลุ่มนี้อายุมากและบางคนก็ไม่พร้อมที่จะมีลูกเพิ่ม กลุ่ม 15-19 ปีจะมีลูกรอดชีวิดไม่เกิน 2 คน และในกลุ่มที่มีอายุ 20-29 ปี จะมีลูกเกิดรอด 1-2 คน หรือคิดเป็น 18.8 % และในกลุ่มที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปส่วนมากจะมีลูกมีชีวิตรอดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป แม้จะคุมกำเนิดหรือไม่คุมกำเนิดก็ตาม (หน้า 45, 65,76) สำหรับความต้องการมีลูกพบว่า กลุ่มที่อายุ 15-19 ปี ทุกฐานะโดยมากต้องการมีลูก 2 คน (69.2%) ส่วนกลุ่มอายุ 20 - 29 ปีต้องการมีลูก 1 - 2 คน และ 3 - 4 คน ส่วนกลุ่มที่อายุ 30-39 ปีและกลุ่มอายุ 40-49 ปี ทุกฐานะต้องการมีลูกตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป (หน้า 52,56)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภูมิ กรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ภาวะเจริญพันธ์ (หน้า 13) ตาราง ประชากร จำนวนครัวเรือนในกลุ่มชาวเขา จำแนกตามเผ่า จังหวัดลำปาง (หน้า 3) จำนวนและร้อยละของสตรีเย้าแยกตามลักษณะประชากรเศรษฐกิจและสังคม (หน้า 23,26) ร้อยละของสตรีกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอายุมารดาจำนวนบุตรเกิดรอด (หน้า 28) จำแนกตามขนาดที่ดินทำกินและจำนวนบุตรเกิดรอดและอายุมารดา (หน้า 29,31) จำแนกตามฐานะเศรษฐกิจและบุตรเกิดรอด และอายุมารดา (หน้า 32,34) จำแนกตามคำแนะนำเรื่องการวางแผนครอบครัว,จำนวนบุตรเกิดรอดและอายุมารดา (หน้า 35,36) จำแนกตามความสามารถในการใช้ภาษาไทย จำแนกตามจำนวนบุตรเกิดรอด,อายุมารดา (หน้า 37,38) จำแนกตามจำนวนบุตรเกิดไร้ชีพและจำนวนบุตรเกิดรอด,อายุมารดา (หน้า 40,41) ร้อยละของสตรีกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามจำนวนบุตรที่ตายและจำนวนบุตรเกิดรอด, อายุมารดา (หน้า 42,43) การคุมกำเนิดและบุตรเกิดรอด (หน้า 45) การคุมกำเนิดจำนวนบุตรเกิดรอดและอายุมารดา (หน้า 46) อายุมารดาและจำนวนบุตรที่ต้องการ (หน้า 48) ขนาดที่ดินทำกินและจำนวนบุตรที่ต้องการ,อายุมารดา (หน้า 49,50) ฐานะทางเศรษฐกิจและจำนวนบุตรที่ต้องการ, อายุมารดา (หน้า 51,52) คำแนะนำเรื่องการวางแผนครอบครัวและจำนวนบุตรที่ต้องการ, อายุมารดา (หน้า 54,55) ความสามารถในการใช้ภาษาไทยและจำนวนบุตรที่ต้องการ, อายุมารดา (หน้า 56,57) จำนวนบุตรไร้ชีพและจำนวนบุตรที่ต้องการ (หน้า 58) ร้อยละของสตรีกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามจำนวนบุตรที่ตายและจำนวนบุตรที่ต้องการและอายุมารดา (หน้า 59) จำนวนบุตรที่ตายและจำนวนบุตรที่ต้องการ, อายุมารดา (หน้า 60, 61) การคุมกำเนิดและจำนวนบุตรที่ต้องการ, อายุมารดา (หน้า 62, 63) อายุมารดาและการคุมกำเนิด (หน้า 65) จำนวนบุตรมีชีวิตแบะการคุมกำเนิด,อายุมารดา (หน้า 66,67) จำนวนบุตรที่ต้องการและการคุมกำเนิด, อายุมารดา (หน้า 69) สรุปการทดสอบความสัมพันธ์ด้วย ไค-สแควร์ระหว่างปัจจัยด้านเศรษฐกิจสังคมและประชากรที่มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุตรเกิดรอด, จำนวนบุตรที่ต้องการ (หน้า 71,72) สรุปการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอายุมารดา จำนวนบุตรมีชีวิตและจำนวนบุตรที่ต้องการกับการคุมกำเนิด (หน้า 73)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 25 ก.ค. 2559
TAG เย้า, สตรี, ภาวะเจริญพันธุ์, การคุมกำเนิด, ลำปาง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง