สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ทฤษฎีปฏิบัติการ,การปรับตัว,ความเชื่อ,ผี,ภาคเหนือ
Author Christina Lammert Fink
Title Imposing Communities: Pwo Karen Experiences in Northern Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 296 Year 2537
Source Graduate Division of the University of California at Berekley
Abstract

งานศึกษานี้ได้สำรวจประสบการณ์ของกะเหรี่ยงโปว์บางส่วนในภาคเหนือของไทยซึ่งอยู่ในกระบวนการบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยที่กำหนดให้ชุมชนขนาดเล็กเป็นสมาชิกของชุมชนที่ใหญ่กว่าอย่างรัฐ-ชาติ(ไทย) พบว่าชาวกะเหรี่ยงที่เผชิญกับการแทรกแซงของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นๆ ในท้องถิ่นได้กำหนดว่า พวกเขาและชุมชนท้องถิ่นของพวกเขามีความสัมพันธ์กับรัฐไทยอย่างมีพลวัตคือ จากการศึกษากะเหรี่ยงในบริเวณ Ti Buh Ri นั้น พวกเขาสร้างความสัมพันธ์กับรัฐไทยในลักษณะของการกระทำที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและ การกระทำในทางที่ต่อต้านขัดขืนหรือการแปลงแนวนโยบายของรัฐบาลให้เป็นเครื่องมือของท้องถิ่น ประเด็นที่เป็นข้อพิจารณาของชาติพันธุ์วรรณนานี้อยู่ที่ว่าชุมชนต่างๆ เป็นทั้งสิ่งที่กำหนดจากชาวบ้านและสิ่งที่กำหนดให้ชาวบ้าน จากกรณีของกะเหรี่ยงนั้นพบว่ามีข้อแตกต่างระหว่างชุมชนท้องถิ่นของกะเหรี่ยงที่มีความพยายามควบคุมพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยที่พยายามที่จะกำหนดรูปแบบของชุมชนและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงขึ้นใหม่ โดยกะเหรี่ยงในบริเวณ Ti Buh Ri ได้พยายามหลีกเลี่ยงจากอิทธิพลและการกลมกลืนเข้ากับผู้อื่น (หน้า 1-2)

Focus

ศึกษาประสบการณ์ของกะเหรี่ยงโปว์ในชุมชนเล็กๆของภาคเหนือในประเทศไทยที่ต้องตกอยู่ภายใต้โครงสร้างรัฐไทยซึ่งเข้ามามีบทบาทและแทรกแซงวิถีชีวิตในชุมชน ทำให้กะเหรี่ยงโปว์ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงแนวทางความเข้าใจและความผูกพันกับชุมชนของตัวเอง (หน้า 1-2)

Theoretical Issues

ผู้เขียนกล่าวว่าการวิเคราะห์ชุมชนกะเหรี่ยงในภาคเหนือของไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีการปฏิบัติ (practice theory) ซึ่งเน้นที่การกระทำของปัจเจกบุคคลที่ตอบสนองต่อโครงสร้างสังคมที่บีบรัดตนโดยกระบวนการทางยุทธศาสตร์และการสร้างทางเลือกเกี่ยวกับการดำรงชีวิตในโครงสร้างทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจที่มีลักษณะซับซ้อนและเปลี่ยนรูป (transform) โดยมีความหมายหลายนัยยะซึ่งในงานชาติพันธุ์นิพนธ์ของผู้เขียนได้ใช้ทฤษฎีการปฏิบัติเพื่อสำรวจรูปแบบความสัมพันธ์ของสังคมท้องถิ่นกับโครงสร้างการเมืองผ่านการกระทำของกลุ่มปัจเจกบุคคลในท้องถิ่นที่ยอมรับและต่อต้านนโยบายและโครงการพัฒนาของ(รัฐ)ไทย (หน้า 17-19)

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงโปว์

Language and Linguistic Affiliations

กะเหรี่ยงไม่มีภาษาเขียนของตนเองจนกระทั่งมิชชันนารีชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์ตัวเขียนสำหรับกะเหรี่ยงสกอว์ (Sgaw) และกะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) จากภาษาพม่าในทศวรรษ 1830 และจนกระทั่งทศวรรษ1990 มีกะเหรี่ยงในไทยน้อยมากที่สามารถอ่านเขียนตัวเขียนชนิดนี้ได้ (หน้า 36) สำหรับกะเหรี่ยงในไทยมีอยู่2กลุ่มภาษาถิ่น ได้แก่ กะเหรี่ยงสกอว์และกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 4) ในงานศึกษานี้ Fink ได้ชี้ให้เห็นว่าในพื้นที่ศึกษาคือบริเวณติบุรีมีครูของโรงเรียนที่สอนภาษาไทยให้แก่เด็กและผู้ใหญ่ โดยชาวบ้าน(กะเหรี่ยงโปว์)ส่วนมากเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อความสะดวกในการติดต่อกับคนไทยในตลาดและข้าราชการในตำบล อย่างไรก็ตามพวกผู้ชายในหมู่บ้านอ่านภาษาไทยไม่ได้และส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาไทยดีพอ (หน้า 201-204)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1992 [พ.ศ.2535]-เดือนกันยายน ค.ศ.1993 [พ.ศ.2536] (หน้า5)

History of the Group and Community

กะเหรี่ยงโปว์ในพื้นที่ Ti Buh Ri อาศัยอยู่ในพื้นที่มาแล้วอย่างน้อยประมาณ150-200ปีไม่ใช่พวกที่เพิ่งมาใหม่ และเป็นไปได้ที่กะเหรี่ยงเหล่านี้จะหนีปัญหาความไม่สงบในพม่าเข้ามา (หน้า 5) ตามบันทึกของชาวไทยและบันทึกของชาวตะวันตกระบุว่ากะเหรี่ยงได้อยู่อาศัยในประเทศไทยมากว่า 200ปี โดยอพยพมาจากพม่าเพื่อหนีภัยสงคราม เข้ามาตั้งถิ่นฐานในหุบเขาในเชียงใหม่และตามภูเขาในภาคเหนือของไทย และในคริสต์ศตวรรษที่17ได้มีกะเหรี่ยงอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในภาคตะวันตกของไทยด้วย (หน้า 37) สำหรับประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงฉบับทางการที่เขียนโดยคณะกรรมการกลางของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงใน “คาวทูไล” ประเทศพม่า (The Central Committee of the Karen National Union in Kawthoolei ,Burma) ในนามของรัฐกะเหรี่ยงซึ่งจัดทำเพื่อให้นักข่าวชาวต่างชาติและผู้มาเยือนกลุ่มอื่นๆ ได้ทราบถึงประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยงโดยเริ่มด้วยการเดินทางลงใต้ที่ยาวไกลจากมองโกเลียมาถึงเตอร์กิสถานตะวันออกต่อมายังทิเบต ยูนนานทางใต้ของจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามลำดับ ตามด้วยสงครามแองโกล-พม่าครั้งแรกที่อังกฤษได้ครอบครองรัฐอะระกันและเทนาสซาริม (Tenessarim-ตะนาวศรี) สงครามแองโกล-พม่าครั้งที่ 2 ที่อังกฤษเข้ายึดคองรัฐพะโค จบด้วยการก่อตั้งสมาพันธ์แห่งชาติกะเหรี่ยง โดยส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพงศาวดารของการการอพยพย้ายถิ่นของกะเหรี่ยงอยู่ที่การเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกล่าวว่ากะเหรี่ยงเข้ามาถึงดินแดนพม่าก่อนชาวพม่าและมีนัยยะว่าพวกเขามีสิทธิที่จะเป็นรัฐอิสระมีดินแดนของตนเอง เพราะพวกเขาเป็นพวกแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนพม่า (หน้า 49-51) ในส่วนของกะเหรี่ยงในไทยนั้นทุกวันนี้(พวก)ผู้นำกะเหรี่ยงในพม่ายอมรับความจริงว่ากะเหรี่ยงในไทยละเลยหรือลืมประวัติศาสตร์ของตนเองและไม่ใช่พวกที่จะร่วมต่อสู้เพื่อรัฐอิสระจากพม่า (หน้า 54) ส่วนในประวัติศาสตร์ไทยนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกะเหรี่ยงโดยสับสนระหว่างกะเหรี่ยงกับกลุ่มชาติพันุ์อื่นๆ ที่อพยพเข้ามาในไทยซึ่งถูกเรียกรวมๆ ว่า “ชาวเขา” ตามลักษณะภูมิศาสตร์ที่อยู่อาศัยโดยจัดให้กะเหรี่ยงอยู่ในกลุ่มเดียวกับอีก5กลุ่มชาติพันธุ์คือ ม้ง (Hmong) ลีซอ (Lisu) ลาหู่ (Lahu) อาข่า (Akha) และเมี่ยน (Mian) ซึ่งเป็นพวกที่เริ่มอพยพเข้ามาในไทยเมื่อ100 ปี ที่แล้วและส่วนมากจะเข้ามาเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่กะเหรี่ยงส่วนใหญ่อยู่ในไทยมานานกว่า 200 ปี โดยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของไทยไม่ตระหนักว่ากะเหรี่ยงอยู่อาศัยในไทยมาอย่างยาวนาน ได้แก่ หนังสือที่พิมพ์โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (the National Security Council of Thailand) โดยในส่วนบทนำของหนังสือเล่มหนึ่งที่จัดพิมพ์โดยหน่วยงานนี้ได้กล่าวว่าชาวเขาในไทยแบ่งเป็น2กลุ่มใหญ่ๆคือกลุ่มที่อยู่ในประเทศไทยก่อนคนไทย (ลัวะ ขมุ ถิ่น และผีตองเหลือง) และกลุ่มที่เข้ามาอยู่ในไทยในช่วง100 ปีที่ผ่านมา (กะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ลาหู่ อาข่า และเมี่ยน ) ในขณะที่ตอนหนึ่งของหนังสือเล่มเดียวกันกลับแสดงถึงความสับสนและขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกะเหรี่ยงในไทยโดยกล่าวว่าตามข้อเท็จจริงมีกะเหรี่ยงบางส่วนที่เข้ามาอยู่ในไทยก่อนคนไทย ตลอดจนหนังสือเล่มดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักฐานอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ไทยซึ่งยืนยันถึงความเป็นมาที่ยาวนานของกะเหรี่ยงในไทยและความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์กับพวกกะเหรี่ยงที่เป็นผู้นำท้องถิ่นในช่วงทศวรรษ 1800 (หน้า 54-56)

Settlement Pattern

ชุมชนกะเหรี่ยงโดยทั่วไปสามารถจำแนกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่ หมู่บ้านที่ตั้งโดดๆ บนภูเขา หมู่บ้าชนบทบนหุบเขา และเมืองเล็กบนหุบเขา(valley town) สำหรับบริเวณ Ti Buh Ri และหมู่บ้านที่อยู่รายรอจัดเป็นหมู่บ้านที่อยู่โดดๆ บนภูเขาโดยมีจำนวนบ้านในหมู่บ้านราว17-55หลังต่อหมู่บ้าน แต่กะเหรี่ยงใน Ti Buh Ri มีข้อต่างจากกะเหรี่ยงหมู่บ้าน อื่นตรงที่พวกเขาตั้งหมู่บ้านอยู่ห่างจากถนนและหมู่บ้านอื่น (หน้า 7) ในส่วนของรูปแบบบ้านเรือนนั้น บ้านทุกหลังในบริเวณ Ti Buh Ri สร้างด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าแฝก เพื่อความสะดวกในการขยับขยายบ้านเมื่อสมาชิกครอบครัวเพิ่มขึ้นและการรื้อเมื่อผู้อาศัยต้องการย้าย โดยการเคลื่อนย้ายหมู่บ้านครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อ “เร็นกู” (rengu)ผู้นำทางพิธีกรรมของหมู่บ้านเสียชีวิต เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดปัญหาความอดอยากขั้นรุนแรงหรือภัยธรรมชาติ ประกอบกับครอบครัวต่างๆไม่อยากจะลงทุนไปกับวัสดุสร้างบ้านเนื่องจากบ้านจะเป็นของผู้หญิงที่อาวุโสที่สุดที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นและโครงสร้างทั้งหมดของบ้านจะถูกรื้อทำลายเมื่อหญิงผู้นั้นตายไป แต่ปัจจุบันกะเหรี่ยงที่มีฐานะร่ำรวยจะสร้างบ้านด้วยไม้ หลังคาสังกะสี ในลักษณะที่เป็นบ้านถาวร เนื่องจากโอกาสที่จะย้ายบ้านมีน้อยลงและพวกเขามีเงินสดสำหรับซื้อวัสดุก่อสร้างที่จำเป็น ตลอดจนรัฐบาลไทยมีคำสั่งไม่ให้ชาวบ้านเคลื่อนย้ายหมู่บ้านและได้สร้างสาธารณูปโภคเพื่อให้กลุ่มคนที่อยู่บนที่สูงอยู่ในพื้นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ รวมถึง “เร็นกู” ใน Ti Buh Ri ได้ประกาศให้ชาวบ้านทราบว่าไม่ต้องย้ายหมู่บ้านหลังจากที่เร็นกูตายเพราะผีเข้าใจและจะไม่ลงโทษชาวบ้าน (หน้า 69-70)

Demography

ตลอดแนวภูเขาและแม่น้ำตามชายแดนระหว่างไทยและพม่ามีกะเหรี่ยงในประเทศไทยราวๆ 300,000 คนและอยู่ในพม่าราว 4ล้านคน ในไทยนั้นจะพบกะเหรี่ยงที่ภาคเหนือตลอดลงมาตามแนวชายแดนภาคตะวันตกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนในพม่ากะเหรี่ยงจะมีมากตามภูเขาต่างๆ และแม่น้ำตามเนินเขาในภาคตะวันออกและบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ (the delta area) (หน้า 3-4) สำหรับบริเวณติบุรีในหมู่บ้านที่ Fink ลงภาคสนามมีบ้านอยู่45หลังคาเรือนและผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านราว 230 คน (หน้า 7)

Economy

กิจกรรมทางเศรษฐกิจแต่ดั้งเดิมของกะเหรี่ยงในบริเวณ Ti Buh Ri คือการเกษตรกรรม ทุกคนจะปลูกข้าวพันธุ์ข้าวไร่ (upland rice) ในที่ซึ่งแผ้วถางและเผาต้นไม้ขนาดเล็กและกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่ได้ตัดไว้ก่อนแล้วเพื่อเตรียมที่เพาะปลูก(swidden field) และมีบางคนที่ปลุกข้าวในที่นา (paddy field) ด้วย นอกจากนี้ยังมีการปลูกข้าวโพด ยาสูบ พริก พริกไทย พืชใต้ดิน(tubers) รวมทั้งผักหลายชนิดสำหรับริโภคภายในหมู่บ้าน และในอดีตเมื่อ30ปีก่อนมีการปลูกฝิ่นซึ่งเป็นพืชทำเงินทั่วไปในบริเวณ Ti Buh Ri แต่ขณะนี้หาฝิ่นได้ยากเนื่องจากทหารไทยเข้ามาตัดทิ้งและชาวบ้านส่วนใหญ่หยุดปลูกฝิ่น โดยที่ลักษณะทางเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงใน Ti Buh Ri ช่วงที่การปลูกฝิ่นยังเป็นที่แพร่หลายนั้น กะเหรี่ยงหลายคนมีเงินใช้จ่าย บางคนมีที่ดินมากกว่าที่สมาชิกในครอบครัวจะดูแลจัดการเองได้ก็จะจ้างคนอื่นๆ มาทำงานในนาข้าวหรือไร่ฝิ่นของตนด้วยเงินหรือข้าวส่วนเกินจากบริโภคหรือฝิ่นที่ผลิตได้ ในขณะที่ครอบครัวที่ฐานะไม่ร่ำรวยแต่มีสมาชิกที่เป็นวัยรุ่นร่างกายแข็งแรงพอก็จะให้วัยรุ่นที่แข็งแรงนั้นเป็นแรงงานทั้งในนาข้าวและไร่ฝิ่น ส่วนครอบครัวที่ยากจนมีนาข้าวหรือไร่ฝิ่นขนาดเล็กจะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเสียเปรียบ (หน้า7) ตั้งแต่ทหารเข้ามาทำลายไร่ฝิ่นในปีค.ศ.1991 กะเหรี่ยงหลายครอบครัวสูญเสียรายได้จึงลดการซื้อขายสินค้าราคาแพง กระนั้นก็ตามบางส่วนยังคงเป็นเจ้าของวัวหรือความจำนวนหนึ่งและทำการซื้อขายวัวควายเพื่อเตรียมการสำหรับการเดินทางที่สร้างเกียรติและกำไรคือการหาซื้อช้างหรือเป็นเจ้าของร่วมของช้างตัวหนึ่ง เพื่อหารายได้จากการให้เช่าช้างเพื่อเคลื่อนย้ายข้าวและลากซุง ซึ่งนอกจากจะได้เงินแล้วการเป็นเจ้าของช้างยังทำให้เจ้าของช้างได้รับความนับถือทั้งด้วยฐานะและด้วยทักษะความรู้ในการบังคับช้าง หรือการเดินทางไปค้าขายสินค้าในเมือง (หน้า97) ซึ่งพบว่าชาวบ้านส่วนมากจะเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อสะดวกในการติดต่อกับคนไทยในตลาด (หน้า202)

Social Organization

ในครอบครัวกะเหรี่ยงโปว์นั้นผู้หญิงจะเป็นเจ้าบ้าน (householder) เนื่องจากผีเรือนที่เรียกว่า “เครย์” (the Kray) อยู่กับฝ่ายหญิง เมื่อภรรยาตายบ้านหลังที่ครอบครัวอยู่จะถูกรื้อทำลาย (หน้า69) โดยที่การแต่งงานระหว่างชาย-หญิงจะเริ่มจากการที่ชายย้ายไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง โดยบ้านของคู่สามีภรรยาจะตั้งอยู่ถัดจากบ้านพ่อตาแม่ยาย และจะแยกครอบครัวออกมาได้เมื่อพวกเขามีลูกคนแรก ส่วนรูปแบบครอบครัวของกะ เหรี่ยงเป็นการแต่งงานแบผัวเดียวเมียเดียว ไม่มีการหย่าร้างและไม่มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ซึ่งในกรณีชายหรือหญิงที่เป็นม่ายจากการตายของคู่ชีวิตอาจจะอยู่กับลูกที่โตแล้วแต่พบบ่อยมากที่พ่อม่ายหรือแม่ม่ายจะอยู่คนเดียวลำพัง ในแง่ของการแบ่งงานกันทำในสังคมกะเหรี่ยง ทั้งชายและหญิงจะทำงานในนาข้าว หาปลาและของป่า แต่ผู้หญิงมีความผูกพันใกล้ชิดกับบ้านมากกว่าผู้ชายเนื่องจากเป็นเจ้าบ้านและเลี้ยงหมูและไก่ที่ใช้ในพิธีกรรมของบ้านและที่เลี้ยงไว้ขาย รวมทั้งต้มเหล้าของครอบครัวและทอผ้าสำหรับคนในครอบครัว สำหรับการจัดองค์กรในระดับที่ใหญ่ขึ้นไปคือในระดับชุมชนนั้น พวก(หญิง)เจ้าบ้านจะรวมเป็นกลุ่มภายในวงศ์ตระกูลของตน (kin groups) และเมื่อพ้นจากหมู่บ้านออกไปพวก(หญิง)เจ้าบ้านสมารถเชื่อมต่อกับพวกญาติจากการแต่งงาน (in laws) รวมทั้งชุมชนต่างๆ จะจัดความสัมพันธ์ภายในชุมชนแบบเป็นมิตรมีการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจต่อสมาชิกของชุมชนในลักษณะของชุมชนทางศีลธรรม (moral communities) ที่สมาชิกสัมพันธ์กันภายใต้อำนาจของผี (หน้า71-73)

Political Organization

ในส่วนที่เป็นการแนะนำผู้ให้ข้อมูล ผู้เขียนได้กล่าวถึงบุคคล6คนซึ่งมี3คนที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในโครงสร้างการเมืองการปกครองภายในชุมชน ได้แก่ หัวหน้าชุมชนที่ชื่อโตบุย ผู้ช่วยหัวหน้าชุมชนที่ชื่อเสาเร และผู้นำทางพิธีกรรมของหมู่บ้านที่เรียกว่า “เร็นกู” (หน้า 29-31) โดยที่ Fink ได้อธิบายประเด็นโครงสร้างการปกครองของชุมชนในอีกที่หนึ่งว่ากะเหรี่ยงโปว์หรือ ”โพล่ง” มีการจัดรูปแบบขององค์ประกอบภายในชุมชนขึ้นใหม่ (internal reconfiguration) อย่างมีปฏิสัมพันธ์กับโครงการของรัฐบาลไทยเพื่อการเลือกและกำหนดแนวทางของสังคมพวกเขาที่ได้เปลี่ยนรูปไป(โดยโครงการของรัฐบาลไทย) โดยในบริเวณ Ti Buh Ri ตำแหน่งหัวหน้าและผู้ช่วยหัวหน้าของชุมชนจะเป็นของคนท้องถิ่นรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงทางการเมือง ซึ่งแม้ว่าบ่อยครั้งจะต่อต้านนโยบายการเก็บภาษีของรัฐแต่ก็เป็นพวกที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและมีการติดต่อกับพวกข้าราชการรวมทั้งให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย (หน้า 217) รัฐบาลไทยได้มีการกำหนดโครงสร้างการบริหารกะเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่สูงในลักษณะเดียวกับที่ใช้กับพื้นที่ส่วนอื่นๆของประเทศคือนำเอาโครงสร้างของระบบราชการมาใช้พร้อมกับการดึงเอาพวกผู้นำท้องถิ่นมาเป็นตัวแทนของรัฐและให้เด็กๆศึกษาในแบบของคนไทยส่วนกลาง สำหรับพื้นที่ Ti Buh Ri นั้นในระยะแรกหมู่บ้านหลายแห่งได้ถูกจับรวมเข้าเป็นหน่วยการปกครองเดียวกันโดยให้มีหัวหน้าคนหนึ่งดูแลหมู่บ้าน3หมู่บ้านเนื่องจากแต่ละหมู่บ้านมีขนาดเล็กและรัฐบาลยังมีการติดต่อกับชาวบ้านในพื้นที่น้อยมาก อย่างไรก็ตามด้วยเหตุที่หมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างไกลกันทำให้ผู้เป็นหัวหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐทำหน้าที่ได้เฉพาะในชุมชนที่ตนอยู่ ในเวลาต่อมาได้มีการแบ่งเขตการบริหารหมู่บ้านขึ้นใหม่และเจ้าหน้าที่อำเภอได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่เพื่อจัดทำทะเบียนบ้านตลอดจนออกใบรับรองสถานะพลเมืองไทยแก่ชาวบ้านที่เข้าเกณฑ์ในช่วง ค.ศ.1992-1993 (หน้า218-219) นอกจากนี้ยังพบว่ารัฐไทยได้ใช้การเลือกตั้งแห่งชาติ (National elections) ในฐานะพิธีกรรมทางการเมืองที่ยืนยันถึงอำนาจของรัฐเหนือกะเหรี่ยงในพื้นที่ Ti Buh Ri โดยข้าราชการจะจัดทำเอกสารแสดงสถานะพลเมืองของไทย (citizenship cards) ให้แก่ชาวบ้านที่ไม่มีเอกสารการอาศัยในประเทศ เพื่อให้ชาวบ้านมีสิทธิในกระบวนการเลือกตั้งซึ่งเป็นการทำให้ “โพล่ง” รู้ว่าระบบการเมืองของไทยเป็นอย่างไรและได้เข้าร่วมในกระบวนการทางการเมืองของรัฐไทย (หน้า191-195)

Belief System

ใน Ti Buh Ri ไม่มีชาวบ้านที่เป็นคริสเตียนหรือนับถือพุทธศาสนา (หน้า11) กะเหรี่ยงในพื้นที่ยังคงปฏิบัติตามความเชื่อเรื่องผีและอำนาจธรรมชาติ (animism) ที่ว่าคนแต่ละคนมีวิญญาณ/ขวัญอยู่32แห่งซึ่งอาจถูกล่อออกจากร่างทำให้เจ็บป่วย (หน้า9) เร็นกู ผู้นำทางพิธีกรรมของหมู่บ้านจึงเป็นผู้ที่มีความสำคัญโดยทำหน้าที่ปลอบโยนผีวิญญาณในเขตหมู่บ้าน จัดหาวันทำพิธีประจำปี2ครั้งของหมู่บ้านและเป็นประธานในพิธีแต่งงานของคนในหมู่บ้าน ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเร็นกูจะอยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิตโดยสืบทอดตำแหน่งกันในวงศ์ผู้ชายที่เป็นเชื้อสายของชายผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน (หน้า 74) ลักษณะสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างผีกับคนในสังคมกะเหรี่ยงอยู่ที่ว่าผีไม่จำเป็นจะต้องลงโทษผู้ที่ทำให้ผีโกรธทุกครั้งแต่อาจจะลงโทษบุคคลอื่นได้ ดังกรณีหนึ่งที่ความสัมพันธ์ทางเพศที่ผิดจารีตระหว่างพ่อผัวกับลูกสะใภ้เชื่อว่าเป็นเหตุให้เด็กทารก2คนเสียชีวิตและวัยรุ่นและผู้ใหญ่หลายคนป่วยหนัก หรือกรณีการจัดพิธีประจำปีของหมู่บ้านเพื่อให้ได้ข้าวและพืชพันธุ์ที่ดี (พิธีอันเลเคา)ซึ่งเร็นกูจัดการไม่เหมาะสมเป็นเหตุให้ทั้งหมดในหมู่บ้านเว้นแต่เจ้าบ้าน4คนประสบกับฤดูเก็บเกี่ยวที่ได้ผลผลิตไม่ดี (หน้า 75) สำหรับพิธีกรรมของกะเหรี่ยงที่ผู้เขียนกล่าวถึงได้แก่ พิธีแต่งงานของกะเหรี่ยงโปว์ซึ่งถ้าเป็นการแต่งงานของคู่ที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน พิธีจะทำอย่างย่นย่อในหมู่ญาติมิตรและพรรคพวก(parties)ของทั้ง2ฝ่ายและเป็นที่ยอมรับของผีในหมู่บ้าน ส่วนการแต่งงานของคู่หนุ่มสาวที่อยู่คนละหมู่บ้านนั้น พิธีจะมีขึ้นที่หมู่บ้านทั้ง2แห่งและสมาชิกของทั้ง2หมู่บ้านต้องมีส่วนร่วม โดยงานเลี้ยงจะเริ่มที่หมู่บ้านของเจ้าสาวซึ่งคณะใหญ่จากหมู่บ้านของเจ้าสาวจะติดตามบ่าวสาวไปยังหมู่บ้านของเจ้าบ่าวซึ่งเป็นที่ที่งานแต่งงานจะจบลงและครอบครัวรวมทั้งคนในหมู่บ้านบางส่วนจะติดตามไปส่งเจ้าบ่าวที่หมู่บ้านของเจ้าสาวโดยผู้นำทางพิธีกรรมจะทำการแนะนำเจ้าบ่าวให้ผีประจำหมู่บ้านรู้จัก (หน้า107) อีกพิธีหนึ่งได้แก่พิธีศพ ซึ่งสำหรับกะเหรี่ยงที่นับถือผีและธรรมชาติทั้งกะเหรี่ยงสกอว์และกะเหรี่ยงโปว์แล้วพิธีศพเป็นจุดสำคัญสำหรับชีวิตของพวกวัยรุ่น พวกวัยรุ่นจะมาที่พิธีศพโดยจับคู่มากับวัยรุ่นเพศตรงข้ามเพื่อใช้เวลาตลอดคืนร้องเพลงรักที่แสดงถึงความรู้สึกแห่งรักในแบบการอุปมาอุปมัยเชิงกวีภายหลังจากที่พวกชายชราได้ร้องเพลงเพื่อให้พรแก่ผู้ตายและพวกชายหนุ่มได้ร้องเพลงบอกเล่าถึงช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนของชีวิตและส่งผู้ตายไปสู่ปรภพแล้ว (หน้า 119-120) นอกจากนี้ Fink ยังได้เล่าถึงงานเลี้ยงที่เธอจัดขึ้นเมื่อเธอจะออกจากหมู่บ้านเพื่อขอบคุณพวกชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านได้ฆ่าและย่างหมูเพื่อกินในงานและหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน ลุงราโจลูกเขยของเร็นกู พวกชายหนุ่ม ครูโจซูและเจ้าหน้าที่การเกษตร(ของรัฐบาล)ประจำหมู่บ้านได้ผูกข้อมือให้แก่เธอ (หน้า 274-279)

Education and Socialization

ตามโครงการพัฒนาของรัฐไทยได้มีการตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่งโดยพวกครูสอนทั้งภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยให้แก่เด็กๆ ”โพล่ง” รวมไปถึงพวกผู้ใหญ่ด้วย ซึ่งสิ่งที่พวกครูสอนในโรงเรียนเป็นการกันวิถีปฏิบัติของท้องถิ่นที่รัฐเห็นว่าเป็นสิ่งต้องห้ามและชักชวนให้ชาวบ้านทำในสิ่งที่เป็นการร่วมมือกับรัฐบาล ตลอดจนมีความภักดีต่อรัฐ ดังที่ในคู่มือประมวลผลการเรียนที่จัดให้พวกครูได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนให้ปลูกฝัง “ความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และ “รู้คุณค่าของความเป็นไทยและมีความภูมิใจที่เกิดบนแผ่นดินไทย” ให้แก่นักเรียน รวมทั้งให้นักเรียนอุทิศ “จิตใจ ร่างกาย และทรัพยากรของพวกเขาเพื่อการพัฒนาและความมั่นคงของประเทศ” แต่ในส่วนของชาวบ้านพบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ย้ำเพื่อขอร้องให้สร้างโรงเรียนในที่ที่ห่างจากหมู่บ้านในระยะที่เหมาะสมถึงแม้ว่าพวกครูชอบที่จะให้โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้ๆชาวบ้านเพื่อความสะดวกในการเรียกชาวบ้านเข้าเรียนหรือการประชุม โดยท่าทีของพวกชาวบ้านมาจากการที่พวกเขาต้องการระยะห่างจากโรงเรียนและอิทธิพลของรัฐบาลที่ทำให้สามารถละเลยจากอิทธิพลของรัฐบาลหรือการเรียกประชุมตอนเย็นที่โรงเรียนซึ่งอ้างได้ว่าโรงเรียนอยู่ไกลกว่าที่จะไปได้ท่ามกลางความมืด นอกจากนี้ยังพบอีกว่าก่อนหน้าที่จะมีการตั้งโรงเรียนขึ้นในบริเวณ Ti Buh Ri นั้นชาวบ้านได้มีการประชุมที่จัดขึ้นที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ก่อนแล้วและมีอยู่จนถึงช่วง2-3เดือนหลังจากโรงเรียนสร้างเสร็จซึ่งการประชุมนี้เป็นการประชุมที่หัวหน้าหมู่บ้านสามารถควบคุมวาระ(agenda)ของการประชุมได้ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนที่ประชุมเป็นที่โรงเรียนซึ่งทำให้หัวหน้าหมู่บ้านสูญเสียอำนาจในการควบคุมวาระการประชุมของชาวบ้านไป (หน้า 201-203) การประชุมประจำเดือนที่จัดขึ้นที่โรงเรียนได้กลายเป็นที่สำหรับพวกครูและเจ้าหน้าที่การเกษตรใช้ในการขัดเกลาทางสังคมต่อพวกชาวบ้านซึ่งถูกจัดให้นั่งอยู่กับที่ที่เก้าอี้ ในขณะที่พวกครูและเจ้าหน้าที่เคลื่อนไปมาได้อย่างอิสระและเขียนสิ่งที่เป็นเป้าหมายในการประชุมลงบนกระดานดำโดยบ่อยครั้งที่การประชุมไม่ใช่การอภิปรายระหว่างพวกครูและเจ้าหน้าที่การเกษตรกับพวกชาวบ้านแต่เป็นการประกาศเรื่องการฝึกอบรมที่จะมีขึ้นและระบุจำนวนของชาวบ้านที่ต้องการให้เข้าร่วม (หน้า203-204) อย่างไรก็ดีมีหลายกรณีที่แม้ว่าชาวบ้านจะเห็นด้วยกับที่พวกครูและเจ้าหน้าที่เสนอ แต่ที่สุดแล้วพวกชาวบ้านที่เข้าประชุมจะเปลี่ยนใจหรือปฏิเสธหลังจากที่มีการตัดสินใจร่วมกันภายในครอบครัวโดยเฉพาะการปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าภรรยาของพวกเขาไม่เห็นด้วย (หน้า 204-205)

Health and Medicine

โพล่งเข้าใจความเจ็บไข้ได้ป่วยในฐานะความสัมพันธ์ที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างปัจเจกบุคคลกับสมาชิกคนอื่นภายในชุมชนหรือระหว่างปัจเจกบุคคลกับผี โดยบ่อยครั้งที่ปัจเจกบุคคลไม่สามารถเยียวยาความเจ็บป่วยของตัวเองแต่ต้องเรียกผู้พยากรณ์(diviner) มาวินิจฉัยหาสาเหตุของความเจ็บป่วย ถ้าทำพิธีการรักษาแล้วและผู้ป่วยไม่ดีขึ้นจะมีการปรึกษากับผู้พยากรณ์อีกคนหนึ่ง โดยที่อาการเจ็บป่วยหลายอย่างจะถูกอ้างเหตุผลเชิงกล่าวโทษว่ามีที่มาจากเวทมนต์คาถา ซึ่งการกล่าวโทษนี้ได้ถูกใช้ในฐานะตัวแทนทางศีลธรรมเพื่อประณามปัจเจกบุคคลที่ใจคับแคบและโลภมากเกินไป อีกทั้งพวกที่ต่อสู้เพื่ออำนาจทางการเมืองได้ใช้การกล่าวโทษนี้ในการบั่นทอนคู่ต่อสู้ นอกจากนี้ความเจ็บป่วยยังสร้างความได้เปรียบ (provides opportunities for gain)ให้แก่สมาชิกในชุมชนหลายๆคนโดยผู้รักษาได้รับสิ่งตอบแทนจากการให้บริการ คนที่เกียจคร้านแสร้งป่วยทำให้ได้พักผ่อน (หน้า 152-153) ในส่วนของการเยียวยาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นจากงานเขียนเกี่ยวกับการป่วยและความสัมพันธ์กับผีในหมู่กะเหรี่ยงที่เขียนโดยนักมานุษยวิทยาได้เน้นว่าพิธีกรรมที่ทำเพื่อรักษาความเจ็บป่วยได้ฟื้นฟูความปรองดองและระเบียบของชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง โดยพวกคนจนจะพบข้อเท็จจริงที่ยุติธรรมว่าในสายตาของผีแล้วมนุษย์ทุกคนเหมือนกัน คนรวยถูกลงโทษผ่านความเจ็บป่วยเช่นเดียวกับคนจน และเนื่องจากความเจ็บป่วยหรือภับพิบัติที่เป็นการลงโทษของผีอาจจะเคลื่อนไปสู่หรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ส่วนรวมได้ฉะนั้นทุกคนมีความรับผิดชอบร่วมกันในการทำให้ผีพอใจโดยการทำพิธีที่จำเป็นหลายๆพิธีและการละเว้นจากการละเมิดบรรทัดฐานของชุมชนหรือสิ่งที่ตนได้รับมอบหมายให้ทำ (หน้า 174)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้เขียนได้ให้ข้อมูลด้านสถาปัตยกรรมของกะเหรี่ยงโปว์ในบริเวณ Ti Buh Ri คือข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบบ้านที่ปรากฏว่าบ้านทุกหลังในบริเวณติบุรีสร้างด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าแฝก โดยที่ในปัจจุบันกะเหรี่ยงที่มีฐานะร่ำรวยจะสร้างบ้านด้วยไม้ หลังคาสังกะสี ด้านพื้นที่ภายในบ้านนั้นมีการแบ่งส่วนพื้นที่สำหรับนอนโดยจัดให้สมาชิกครอบครัวที่เป็นชายและอยู่ในช่วงวัยรุ่นนอนที่ระเบียงหรือเฉลียงและภายในบ้านเป็นที่นอนของพวกลูกสาวที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือคู่แต่งงานใหม่ ขณะที่บริเวณเตาหุงหาอาหารถือเป็นหน้าตาของเจ้าบ้าน แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเสื้อผ้า การแต่งกายของกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า70)

Folklore

กะเหรี่ยงใน Ti Buh Ri มีนิทานเกี่ยวกับกะเหรี่ยงกำพร้าซึ่งยากจนและซื่อสัตย์แต่ถูกพวกคนไทยที่ร่ำรวยเอาเปรียบโดยลูกกำพร้าชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งได้รับคำสั่งจากเจ้าชายชาวไทยคนหนึ่งให้เข้าไปในป่าแล้วนำเงินและสิ่งของต่างๆมาให้เจ้าชายซึ่งการเดินทางแต่ละเที่ยวเต็มไปด้วยความยากลำบากแต่กะเหรี่ยงผู้นั้นก็ทำด้วยความอุตสาหะ มื่องานเสร็จแล้วเจ้าชายผู้โหดร้ายได้สั่งให้คนของพระองค์ตรึงเขาไว้ที่ต้นไม้และทิ้งกะเหรี่ยงไว้ที่นั่น แต่มีเทวดาองค์หนึ่งสงสารและได้บอกให้พระเจ้าปล่อยกะเหรี่ยงเป็นอิสระ เมื่อเจ้าชายพบว่าลูกกำพร้าชาวกะเหรี่ยงเป็นอิสระได้ให้คนของพระองค์ตรึงเขาไว้ที่ต้นไม้อีกครั้ง คราวนี้ลูกกำพร้าได้บอกพระเจ้าไม่ให้ปล่อยเขาเพราะเขาเป็นคนเลว ดังนั้นเขาจึงถูกปล่อยให้ตายที่ต้นไม้ต้นนั้น โดยนิทานเรื่องนี้กะเหรี่ยงมักจะเปรียบตัวเองกับลูกกำพร้าผู้ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังหรือถูกหลอกลวงและกะเหรี่ยงในบริเวณ Ti Buh Ri โยงนิทานเรื่องนี้กับตำแหน่งแห่งที่ของคนชายขอบในประเทศไทยในปัจจุบันที่พวกเขารู้สึกว่าถูกกระทำทารุณโดยพวกเจ้าหน้าที่และพ่อค้าชาวไทย (หน้า 42) อีกทั้งกะเหรี่ยงโปว์ใน Ti Buh Ri ก็เหมือนกับกะเหรี่ยงในที่อื่นๆที่เล่าเรื่องของพี่น้องสามคนซึ่งพี่ชายคนโตคือ(คน)กะเหรี่ยง พี่ชายคนกลางคือ(คน)ไทย และน้องชายคนเล็กคือคนขาว ซึ่งพระเจ้าต้องการให้พี่น้องแต่ละคนมีคู่มือสำหรับการใช้ชีวิตที่เหมาะสมจึงให้หนังสือปกหนังสัตว์แก่พี่ชายคนโต หนังสือปกเงินแก่พี่ชายคนกลาง หนังสือปกทองแก่น้องชายคนเล็ก ซึ่งพี่ชายคนโตเป็นคนไม่ระมัดระวังและโง่จึงทิ้งหนังสือไว้ในนาและถูก ไก่และหมูกินหนังสือ อันเป็นเหตุให้กะเหรี่ยงใช้ไก่และหมูเซ่นในงานพิธีเพราะสัตว์เหล่านี้กลืนเอาความรู้ของพระเจ้าเข้าไป ส่วนคนไทยฉลาดกว่าและดูแลหนังสืออย่างดีทำให้มีการศึกษาและมีอำนาจมากกว่ากะเหรี่ยง ขณะที่คนขาว(คนตะวันตก)ได้หนังสือที่ดีที่สุดและดูแลอย่างดีเยี่ยมจึงมีการศึกษาและมีอำนาจมากที่สุด (หน้า 42-43)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยงในประเทศไทยซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มภาษาถิ่น คือ กะเหรี่ยงสกอว์และกะเหรี่ยงโปว์ ได้บูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยอย่างไม่มีการต่อต้านเท่าไรนัก โดยกะเหรี่ยงโปว์จะเรียกตัวเองว่า “โพล่ง” ซึ่งแปลว่าคน ส่วนกะเหรี่ยงสกอว์เรียกตัวเองว่า ปกาเกอญอ (หน้า 4) ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงกับเจ้าหน้าที่ของไทยนั้นเจ้าหน้าที่ส่วนมากเข้าใจว่าคนไทยเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยยาวนานกว่ากะเหรี่ยงและปฏิบัติต่อกะเหรี่ยงในทิศทางเดียวกับที่ปฏิบัติกับชาวเขากลุ่มอื่นโดยพิจารณาว่าชาวเขาทั้งหมดเป็นปัญหา เช่น การไม่ศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการเกษตรแบบแผ้วถางและเผาเพื่อเตรียมที่เพาะปลูก (slash-and-burn) ของกะเหรี่ยงและโยกย้ายกะเหรี่ยงออกจากพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษืป่า ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วกะเหรี่ยงได้ปกป้องสัตว์ป่าในหลายพื้นที่ ในขณะที่นายพรานและพวกทำป่าไม้ชาวไทยทำให้ป่าเกิดความเสียหายอย่างหนัก (หน้า 59-60) สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านทางภาคเหนือของไทยทั้งไทยและลัวะกับกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนบ้านมาเป็นเวลานาน โดยกะเหรี่ยงจะเข้าไปในเมืองเพื่อขายของป่าในราคาไม่แพงและซื้อเกลือ หม้อ และสินค้าอื่นๆ ส่วนคนไทยเหนือและลัวะจะซื้อของจากกะเหรี่ยงโดยเพิ่มราคาให้และขายวัวควาย โดยในบางกรณีกะเหรี่ยงได้เช่าที่ดินจากลัวะโดยมีข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย และในอดีตที่มาตรฐานการใช้ชีวิตของคนไทยเหนือและลัวะยังไม่สูงกว่ากะเหรี่ยงนั้นพวกเขาทำการเกษตรและทำพิธีกรรมอย่างเดียวกัน การแต่งงานระหว่างหญิงกะเหรี่ยงกับชายไทยเหนือหรือชายลัวะเป็นเรื่องปกติ (หน้า 61)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงโปว์หรือโพล่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสัมพันธ์กับรัฐบาลและนโยบายของรัฐบาลไทย ดังพบว่าการปลูกฝิ่นแทบหมดไปและหาได้ยากหลังจากที่ทหารไทยเข้าไปทำลายทุ่งฝิ่น (หน้า 7, 97) หรือการที่ชาวบ้านที่มีฐานะร่ำรวยและได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาต่างๆ กลายเป็นกลุ่มชนชั้นนำรุ่นใหม่ของชุมชนที่(จะ)ได้เป็นหัวหน้าหรือผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า 217) ตลอดจนการที่ชาวบ้านได้รับคำสั่งจากรัฐบาลไม่ให้ย้ายชุมชนดังที่เคยเป็นมาภายหลังการตายของเร็นกูหรือปัญหาความอดอยากขั้นร้ายแรง และรัฐบาลได้สร้างถนน โรงเรียน และระบบชลประทานเพื่อให้ชาวบ้านอาศัยในชุมชนอย่างถาวร (หน้า 69-70)

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ผู้เขียนได้แสดงแผนที่ประกอบการศึกษาได้แก่ แผนที่แสดงบริเวณที่มีกะเหรี่ยงอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทยและประเทศพม่า(หน้า 2) แผนที่ของบริเวณติบุรี (หน้า 6) และภาพประกอบ ได้แก่ ภาพวาดติบุรีที่วาดโดยเด็กหญิงวัย 12 ปีลูกสาวของผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า 8)

Text Analyst โดม ไกรปกรณ์ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ทฤษฎีปฏิบัติการ, การปรับตัว, ความเชื่อ, ผี, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง