|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เศรษฐกิจ,การเมือง,ไทลื้อ,สิบสองปันนา,จีน |
Author |
Leshan Tan |
Title |
Economic Change in Tailue Villages in Sipsong Panna 1950s-1980s |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
60 |
Year |
2534 |
Source |
A Thesis Presented to the Faculty of the Graduate School of Cornell University in Partial Fulfillment for the Degree of Doctor of Philosophy |
Abstract |
ไทลื้อในสิบสองปันนาเรียกตัวเองว่า “Lue” (Lu, Lü) มีภาษาของตนเอง สิบสองปันนาอยู่ทางใต้ของประเทศจีน ในจังหวัดยูนนาน ประวัติศาสตร์ของไทลื้อกล่าวไว้ว่าปี ค.ศ. 1180 Chao Phaya Choeng ได้ตั้งอาณาจักร Jinglong ในสิบสองปันนา ราชบัลลังก์ของ Chao Phaya ผลัดเปลี่ยนผู้ครอบครองถึง 39 รัชสมัย ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของจีนเล่าว่ากุบไลข่านได้เข้ามามีชัยเหนือยูนนาน กระทั่งมองโกลเข้ามาเอาชนะสิบสองปันนาได้ ไทลื้อประสบปัญหาการเติบโตของประชากรสูง อีกทั้งการเพิ่มจำนวนผู้อพยพคนจีนฮั่น สร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในหมู่บ้านไทลื้อเศรษฐกิจของหมู่บ้านก่อนปี ค.ศ. 1950 ไทลื้อปลูกข้าว แต่เดิมภูเขาและป่าในสิบสองปันนาเป็นของ Chao Pianling และแต่ละหัวเมืองมี Chao Meng ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัตินั้น ผืนดินเป็นสมบัติของหมู่บ้าน ไทลื้อปลูกข้าวโพด ผัก ถั่ว พืชหน่อ เพื่อบริโภคเอง พืชอื่นที่ทำรายได้ เช่น ชา การบูร ครั่ง ฝ้าย อ้อย และยาสูบ แต่ชา การบูร และครั่ง ไทลื้อเลี้ยงควาย วัว หมู และเป็ดไก่ บางบ้านเลี้ยงปลา ม้า หรือลา มีงานฝีมืออื่นๆ ได้แก่ งานตีเหล็ก ทำทอง ย้อมผ้า ทำกระดาษ ทำหม้อ หรือการบดอ้อย พ่อค้าจีนมีบทบาทหลักในเศรษฐกิจของไทลื้อในฐานะเป็นผู้รับซื้อและผู้ขาย ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในหมู่บ้าน รัฐบาลจีนได้เร่งเก็บภาษีเงินสดซึ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา ต้นปี ค.ศ. 1950 การรวมเศรษฐกิจสู่ระบอบคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้น บริษัทการค้าเอกชนควบคุมตลาดและการค้าท้องถิ่น และเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตะวันตกมีการก่อตั้งสาขาย่อยของธนาคารมหาชน และธนาคารเกษตร รัฐบาลสิบสองปันหันมาใช้ ‘renminbi’ เป็นเงินตราแลกเปลี่ยน รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และควมคุมธุรกิจเอกชน ระบบขนส่งระหว่างสิบสองปันนา รัฐบาลผูกขาดการซื้อขายและการตลาดของผลผลิตทางการเกษตร ข้าวเป็นรายได้หลักของหมู่บ้าน รองมาคือยางพาราและอ้อย ผลผลิตอื่น เช่น การปศุสัตว์ การประมง หรือการปลูกผลไม้ ก็ช่วยสร้างรายได้ให้ไทลื้อเช่นกัน อย่างไรก็ดีแม้ผลผลิตทางเกษตรจะเป็นรายได้หลัก แต่ก็เกิดความเสื่อมของสินค้าหัตถกรรมจากการขยายตัวเพิ่มขึ้นของการพาณิชย์ สิบสองปันนาตกอยู่ในอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งพยายามใช้นโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการชนะใจชนกลุ่มน้อยเพื่อสร้างอำนาจคอมมิวนิสต์ให้แข็งแกร่งตามชายแดน ในสิบสองปันนา คอมมิวนิสต์ได้แพร่เข้าไปยังหมู่บ้านต่างๆ โดยคนของรัฐบาลได้เข้าไปตีสนิทกับคนกลุ่มน้อย ภารกิจของรัฐบาลกลาง คือสำรวจและแพร่นโยบายคอมมิวนิสต์ รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนฮั่นกับชนกลุ่มน้อยในสิบสองปันนา รวมถึงให้ชนกลุ่มน้อยมีอิสระในการปกครอง สิบสองปันนาได้รับตั้งเป็นภูมิภาคอิสระ และรัฐได้เข้ามาปฏิรูปที่ดินปี ค.ศ. 1956 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างไร่นา และระบบเศรษฐกิจโดยทั่วไป |
|
Focus |
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของไทลื้อในสิบสองปันนา เช่น การผลิตข้าว งานหัตถกรรม การเกษตรกรรม รายได้ของไทลื้อ และการบริโภค ที่ได้รับผลจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของจีน (หน้า 10) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทลื้อในสิบสองปันนาที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของยูนนาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศพม่า ทางเหนือของประเทศไทย และทางตะวันตกเฉียงเหนือของลาว เรียกตัวเองว่า “Lue” (Lu, Lü) (หน้า 1) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
นักวิจัยศึกษาไทลื้อในยูนนานเมื่อปี ค.ศ. 1983-1987 (หน้า iii) ใน 5 หมู่บ้าน คือ Man Zhanzai, Man Feilong, Man Jingmeng, Man Nuandian และ Man Nan (หน้า 11) |
|
History of the Group and Community |
มีบันทึกเป็นภาษาจีนเกี่ยวกับคนไทสมัยราชวงศ์หยวนในปี ค.ศ. 1271-1368 แต่ประวัติศาสตร์ไทลื้อในสิบสองปันนาได้ถูกบันทึกจากรุ่นสู่รุ่นมาหลายศตวรรษด้วยภาษาของตนเอง เช่นบันทึก ‘Le Shi’ แปลจากภาษาไทลื้อเป็นภาษาจีนโดย ‘ Li o-yi’ ในปี ค.ศ. 1947 ตามบันทึกได้เล่าว่า ปี ค.ศ. 1180 Chao Phaya Choeng (พระยาเจือง) ได้ตั้งอาณาจักร Jinglong ในสิบสองปันนา ราชบัลลังก์ของพระยาเจืองผลัดเปลี่ยนผู้ครอบครองถึง 39 รัชสมัย ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของจีนเล่าว่ากุบไลข่านได้เข้ามามีชัยเหนือยูนนานในปี ค.ศ. 1235 กระทั่ง 43 ปีถัดมา มองโกลจึงเข้ามาเอาชนะสิบสองปันนาถึง ‘Pa-pai-his-fu’ (ปัจจุบันคือเชียงใหม่) จีนมองโกลได้สร้างอำนาจและระบบ ‘tusi’ (การปกครองของจีนแบบทางอ้อม โดยแต่งตั้งบุคคลหรือผู้นำท้องถิ่นปกครองกลุ่มชนของตนแทนจีน) ในสิบสองปันนา ระบบ ‘tusi’ มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) ระบบนี้ช่วยเพิ่มความสะดวกในการบริหาร เนื่องจากราชสำนักจีนไม่เข้มแข็งพอจะเสี่ยงบริหารในนอกพื้นที่ของฮั่น อย่างไรก็ดี ‘tusi’ ถูกยกเลิกสมัยราชวงศ์ชิง (ประมาณปีค.ศ. 1700-1720) มีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ราชสำนักชิงเริ่มเปลี่ยนแปลงระบบ ‘tusi’ ที่สืบทอดกันมาโดยแต่งตั้งเจ้าพนักงานปกครองในสิบสองปันนาเป็นคนจีนแทนผู้นำท้องถิ่น ในปี ค.ศ. 1729 ราชสำนักชิงแต่งตั้งเจ้าพนักงานปกครองและหน่วยบริหารในพื้นที่ทางตะวันออกของแม่น้ำโขงในสิบสองปันนา ระหว่างปี ค.ศ. 1908-1910 เกิดการขัดแย้งภายในระหว่างผู้นำไทลื้อ รัฐบาลจังหวัดยูนนานได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทหาร ‘Ke Shu-xun’ ปราบปราม หลังจากนั้นหน่วยบริหารทั่วไปแห่งชายแดน ‘Puer-Simao’ ถูกตั้งขึ้นใน Yunjinghong เป็นศูนย์กลางทางการเมืองของสิบสองปันนา มี ‘Ke Shu-xun’ เป็นผู้อำนวยงานสำนักงานและเป็นผู้นำชาวจีนฮั่นคนแรกในภูมิภาค เขาปรับเปลี่ยนนโยบายต่างๆ เช่น แต่งตั้งเจ้าพนักงานปกครองคนจีนได้โดยไม่ต้องเลิกการสืบทอดผู้นำกลุ่มท้องถิ่น เขาแบ่งสิบสองปันนาเป็น 11 อำเภอ ต่อมาลดเหลือเพียง 8 อำเภอ และได้กำหนดกฎหมายเพื่อบริหารสิบสองปันนาโดยนำแบบอย่างของอังกฤษที่ปกครอง ‘Keng Tung’ ในประเทศพม่า ในปี ค.ศ. 1927 สิบสองปันนาแบ่งออกเป็น 7 เขตการปกครองและมี 1 อำเภอหลัก ระบบ ‘tusi’ คงอยู่ถึง ค.ศ. 1953 เจ้าพนักงานปกครองจีนฮั่นถูกแต่งตั้งในระดับเขตการปกครอง ขณะที่หน่วยงานบริหารล่างลงมาเป็นไทลื้อ(หน้า 4-6) |
|
Demography |
ปี ค.ศ. 1982 มีประชากรรวม 646,445 คนในสิบสองปันนา ประกอบด้วยชนกลุ่มน้อย เช่น ฮานิ ‘Hani’, อาข่า 13,761 คน, ละหู่ 33, 353 คน, ยี ‘Yi’ หรือ โลโล ‘Lolo’ 22, 391 คน และ ‘Jinvo’ 11,912 คน ทั้งหมดล้วนแต่พูดภาษาตระกูลทิเบต-พม่า นอกจากนี้มีเย้า 10,958 คน และ แม้ว 892 คน ทั้งสองกลุ่มนี้พูดภาษาตระกูลแม้ว-เย้า มีปู้ลัง ‘Bulang’ 27,621 คน, ว้า 1,894 คน สองกลุ่มหลังพูดภาษาตระกูลมอญ-เขมรชาวเขาเหล่านี้มีมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรรวมในสิบสองปันนา ไทลื้อ เช่น ‘Tai Ne’ และไตหย่ามีจำนวนประชากร 225, 488 คน และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบ 34 แห่ง คนจีนฮั่นมี 185, 864 คน อาศัยอยู่ตามภูเขาและพื้นที่ราบลุ่มรวมทั้งตลาดในเมือง (หน้า 3-4) ไทลื้อประสบปัญหาการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการเพิ่มจำนวนผู้อพยพคนจีนฮั่น สร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในหมู่บ้านไทลื้อ จีนฮั่นอพยพเข้าไปในสิบสองปันนามาหลายศตวรรษแล้ว แต่เดิมเข้ามาค้าขาย ต่อมาจึงเข้ามาเปิดร้านและตั้งถิ่นฐานถาวร ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คนฮั่นข้ามแม่น้ำโขงมาทางทิศตะวันตก และตั้งถิ่นฐานตามเมืองในสิบสองปันนาเช่น Menghai และ Mengzha เป็นเมืองที่มีชุมชนจีนฮั่นมากที่สุด ในปี ค.ศ. 1950 มีจีนฮั่นน้อยกว่า 10,000 คน ต่างกระจัดกระจายอยู่ตามตลาดในเมืองและเส้นทางการค้า และทางตอนเหนือของภูมิภาค (หน้า 42-43) กล่าวได้ว่าจีนฮั่นอพยพเข้ามาในช่วงเกิดระบอบคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1950 พวกแรกเป็นคนจากหน่วยงานคอมมิวนิสต์ทั้งรัฐบาล ลูกจ้าง วิศวกร ช่างต่างๆ ในปี ค.ศ. 1956 รัฐบาลจีนตั้งฟาร์มของรัฐเพื่อผลิตยางและมีลูกจ้างหลายหมื่นคนจากพื้นที่หูหนานในปีค.ศ. 1958-1963 ในปี ค.ศ. 1968-1972 รัฐบาลได้ส่งเยาวชนที่มีการศึกษาจากเมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ Chongqing และคุณหมิง ไปยังฟาร์มในสิบสองปันนา ทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นจาก 149 คนในปี ค.ศ. 1956 เป็น 117,075 คนในปี ค.ศ. 1983 (ดูตารางที่ 1 หน้า 44) การเติบโตของประชากรทำให้พื้นที่ทำกินของไทลื้อลดลง (หน้า 44-46) (ดูตารางของหมู่บ้านไทลื้อ Man Zhanzai ที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม Jinghong ประกอบ แสดงให้เห็นจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นขณะที่พื้นที่ทำกินลดลงในระหว่างปีค.ศ. 1956-1986 (หน้า 45-46) |
|
Economy |
เศรษฐกิจของหมู่บ้านก่อนปี ค.ศ. 1950 ในอดีตไม่มีบันทึกว่าไทลื้อทำนาข้าว ก่อนปี ค.ศ. 1955 พื้นที่ภูเขาและป่าในสิบสองปันนาเป็นของ Chao Pianling และแต่ละหัวเมืองมี Chao Meng ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัตินั้น ผืนดินเป็นสมบัติของหมู่บ้าน ผืนดินในหมู่บ้านแบ่งได้เป็น 2 ส่วนคือ ‘na man’ เป็นที่ดินหมู่บ้าน และสมาชิกของหมู่บ้านมีสิทธิ์ที่จะใช้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า บางหมู่บ้านอาจมีการเก็บค่าเช่าเพื่อนำเงินมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือเพื่อตบรางวัลแก่หัวหน้าหมู่บ้าน ‘na chao’ คือ ผืนดินที่เป็นของหลวงหรือเป็นของ Chao Pianling หรือ Chao Meng และ ‘na polong’ เป็นผืนดินที่มอบแก่เจ้าหน้าที่รัฐเสมือนเงินเดือน ทั้ง ‘na chao’และ ‘na polong’ จะถูกแบ่งเท่าๆ กันสำหรับแต่ละครัวเรือน ซึ่งมีการจ่ายค่าเช่าให้แก่เจ้าของที่ดิน อัตราค่าเช่าอยู่ที่ 30 tiao ต่อ 100 นา (1 tiao=20-30 กิโลกรัม) (หน้า 13) หมู่บ้านไทลื้อมีการแบ่งชนชั้นศักดินา 3 ยศ ได้แก่ ‘Lulangdaopia’ เป็นยศสูงสุดและครองที่ดินส่วนใหญ่ใน ‘na chao’ และ ‘na polong’ ยศรองมาคือ ‘Tai Meng’ ครอบครองพื้นที่ของ ‘na man’ และมีหน้าที่บำรุงสาธารณูปโภค ยศสุดท้ายคือ ‘Lingnoy’ ส่วนใหญ่ได้แก่ข้าราชการ เป็นยศชั้นล่างสุด ได้รับที่ดินจาก Chao Meng หรือ Chao Pianling เป็น ‘na chao’ และ ‘na polong’ (หน้า 13-14) นอกจากนี้ยังมีที่ดินอีก 3 แบบในบางหมู่บ้าน ได้แก่ ‘na hagun’ คือ ที่ดินที่เป็นของสายตระกูลพ่อหรือแม่ ‘na wa’ ที่ดินของ Chao Pianling หรือ Chao Meng ที่ยกให้เป็นของสงฆ์ และ ‘na xin’ เป็นที่ดินเพียงไม่กี่แห่งและเป็นของครัวเรือน ที่ดินนี้เป็นที่ว่างรอบนาข้าว ผู้ครอบครองต้องจ่ายค่าธรรมเนียม และมีสิทธิ์ครอบครองได้ไม่เกิน 5 ปีจึงตกเป็นสมบัติชุมชน (หน้า 14-15) ผลผลิตข้าว ไทลื้อเพาะปลูกข้าวช่วงเดือนมิถุนายน และเก็บเกี่ยวเดือนพฤศจิกายน (หน้า 16) มีระบบชลประทานและมีการแลกเปลี่ยนแรงงานเพื่อช่วยเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว มีทั้งการลงแขกเกี่ยวข้าวและแรงงานจ้าง (หน้า 17-18) ผลผลิตอื่น นอกจากข้าว ไทลื้อปลูกข้าวโพด ผัก ถั่ว พืชหน่อ เพื่อบริโภคเอง พืชบางชนิดหาได้ในป่า พืชอื่นๆ ที่ทำรายได้ ได้แก่ ชา การบูร ครั่ง ฝ้าย อ้อย และยาสูบ แต่ชา การบูร และครั่งเป็นผลผลิตที่ส่งออกเป็นหลัก สิบสองปันนามีชื่อเสียงด้านการผลิตชา ‘Puer’ โดยไทลื้อเป็นผู้ปลูก ส่วนจีนฮั่นเป็นผู้ดำเนินการค้า (หน้า 18-19) ไทลื้อเลี้ยงควาย วัว หมู และเป็ดไก่ บางบ้านเลี้ยงปลา ม้า หรือลา ช้างถือเป็นสัตว์หลวง ส่วนงานฝีมืออื่นๆ ของไทลื้อได้แก่ งานตีเหล็ก ทำทอง ย้อมผ้า ทำกระดาษ ทำหม้อ หรือการบดอ้อย เหล่านี้เป็นงานสามัญประจำครัวเรือน ผู้ชายมีทักษะการทำเครื่องไม้เครื่องมือจากไม้ไผ่ ผู้หญิงจะทอผ้า (หน้า 20) ในสิบสองปันนามีตลาดกว่า 30 แห่ง และมี ‘Chao Ga’ เป็นหัวหน้าตลาดคอยเรียกเก็บภาษี เพื่อนำมาใช้ทำพิธีบูชาวิญญาณ ‘Diumula Ga’ เชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองตลาด การค้าขายในตลาดใช้เงินเหรียญเรียกว่า ‘bankai’ ในการซื้อขาย ซึ่งการทำเหรียญกษาปณ์มีรัฐบาลยูนนานเข้ามาควบคุม ในตลาดมีทั้งไทลื้อ คนภูเขา และจีนฮั่น จีนฮั่นเป็นพ่อค้าที่ชำนาญและค้าขายผลผลิตจากโรงงาน รวมทั้งรับซื้อของจากท้องถิ่น ชาวเขาเข้ามาตลาดเพื่อแลกเปลี่ยนผลผลิตจากภูเขากับสิ่งที่เขาต้องการ ส่วนไทลื้อขายเป็ดไก่ ลูกหมู พืชผัก ถั่ว รวมทั้งงานฝีมือ (หน้า 21-22) เศรษฐกิจหลักของไทลื้อมาจากการผลิตข้าว ข้าวเป็นส่วนสำคัญคือ เป็นอาหาร ของขวัญ เงินตรา และเครื่องเซ่น พ่อค้าจีนมีบทบาทหลักในเศรษฐกิจของไทลื้อในฐานะเป็นผู้รับซื้อและผู้ขาย ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในหมู่บ้าน รัฐบาลจีนได้เร่งเก็บภาษีเงินสดซึ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา (หน้า 22-24) การบูรณาการรวมเศรษฐกิจเป็นของรัฐ ต้นปี ค.ศ. 1950 การรวมเศรษฐกิจสู่ระบอบคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้น บริษัทการค้าเอกชนควบคุมตลาดและการค้าท้องถิ่น และเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตะวันตก มีการใช้ ‘bankai’ เป็นเงินตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ ‘renminbi’ (เงินตราของจีน) ยังไม่มีในตลาดท้องถิ่น ในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสู่รัฐ รัฐเริ่มตั้งหน่วยงานพาณิชย์ บริษัทพาณิชย์ของรัฐเริ่มก่อตั้งใน Fuhai (Menghai)ในปี ค.ศ. 1950 มีการก่อตั้งสาขาย่อยของธนาคารมหาชน และธนาคารเกษตรใน Fuhai, Jinghong และ Mengna ในปี ค.ศ. 1951 ปี ค.ศ. 1952 บริษัทพาณิชย์ที่รัฐเป็นเจ้าของมีมากกว่าบริษัทเอกชน สิ้นปี ค.ศ. 1953 รัฐบาลสิบสองปันนายกเลิกใช้เงิน ‘bankai’ แล้วหันมาใช้ ‘renminbi’ เป็นเงินตราแลกเปลี่ยน รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติและควมคุมธุรกิจเอกชน (หน้า 39) ระบบขนส่งระหว่างสิบสองปันนาและดินแดนภายในได้รับการพัฒนา มีการเปิดเส้นทางหลวงคุณหมิงถึง Jinghong และเส้นทาง Kun ถึง Luo การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทำให้สาขาต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐเข้าไปตั้งอยู่ทุกหนแห่ง (หน้า 40) รัฐบาลผูกขาดการซื้อขายและการตลาดของผลผลิตทางการเกษตร ยกตัวอย่างเช่น ข้าวที่เป็นผลผลิตของไทลื้อก็ได้รับการผูกขาดเช่นกัน แต่ปัจจุบันชาวนาสามารถเปิดตลาดได้เอง แต่มีข้อยกเว้นว่าพวกเขาต้องเสียภาษีทางเกษตรและขายโควตาข้าวให้รัฐบาลอย่างถูกต้องเสียก่อน สินค้าอื่นๆ ที่รัฐบาลผูกขาด ได้แก่ ชา ยาง และอ้อย นอกจากนี้รัฐยังเรียกเก็บภาษีเนื้อหมูสัตว์ปีก ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดเปิดทั่วไป รายได้หลักของไทลื้อจึงมาจากการขายข้าวให้กับรัฐบาล (หน้า 40) การเติบโตของธุรกิจพาณิชย์ของรัฐบาลทำให้เกิดการขยายตัวของผู้อพยพจีนฮั่น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ซื้อและขายสำคัญในตลาด (หน้า 41) การพัฒนาทางการเกษตร เมื่อประชากรมากขึ้นและการขยายตัวของฟาร์มรัฐ ผลผลิตข้าวที่เคยมีมากจึงเริ่มลดน้อยลง รัฐบาลจึงหาแนวทางต่างๆ มาช่วยเพิ่มผลผลิตในสิบสองปันนา โดยเริ่มตั้งแต่ปีค.ศ. 1958 มีการก่อสร้างแหล่งเก็บกักน้ำ และใช้เครื่องยนต์กลไกทันสมัย ทั้งยังมีการนำสารเคมีมาใช้เพิ่มผลผลิต (หน้า 47) อย่างไรก็ดีการนำเครื่องยนต์กลไกทางเกษตรมาใช้ในหมู่บ้าน เช่น ปั๊มน้ำ หรือโรงสี ก็ไม่ได้รับความสนใจจากคนไทลื้อมากนัก เพราะพวกเขาซ่อมแซมไม่เป็น และหาอะไหล่ยาก กอปรกับชาวไทลื้อยากจนและอุปกรณ์เหล่านี้ไม่เหมาะกับพื้นที่นาขนาดเล็ก มีนักวิทยาศาสตร์จีนได้คิดค้นพันธุ์ข้าวชื่อว่า ‘Sinsong Panna two’ ในปี ค.ศ. 1979 ซึ่งนิยมปลูกกันแพร่หลายมากเพราะใช้เวลาปลูกสั้น และมีการนำปุ๋ยเคมีมาใช้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1950 (หน้า 48-49) ไทลื้อในหมู่บ้าน Meng Zhazai เพิ่มผลผลิตข้าวและลดจำนวนประชากรลงตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1950 (ตารางที่ 3 หน้า 46 แสดงให้เห็นผลผลิตข้าวในปี ค.ศ. 1965-1986) แม้ว่าจำนวนประชากรจะยังเพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตข้าวไม่ได้ลดน้อยลง พื้นที่ทางตอนเหนือของสิบสองปันนา 10,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปลูกอ้อยเป็นพืชหลัก ส่วนพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปลูกยางพาราเป็นหลัก (หน้า 49-50) ในอดีต อ้อยปลูกเพื่อไว้บริโภคเอง แต่ปี ค.ศ. 1960 รัฐได้ตั้งโรงกลั่นน้ำตาลใน Puwan, Mengzhe และ Menghai ทำใหเกิดความต้องการอ้อย และกลายเป็นผลผลิตสำคัญอันดับสองรองจากข้าว (หน้า 50-51) ด้วยแรงสนับสนุนจากภาครัฐ ไทลื้อหันมาปลูกยางพาราในปี ค.ศ. 1960 การปลูกยางคืนกำไรให้เกษตรกรด้วยรายได้ดี (ในตารางที่ 4 หน้า 52 แสดงรายได้จากยางพาราและเปอร์เซนต์รวมของรายได้ในหมู่บ้านไทลื้อสองหมู่บ้าน คือ Man Feilong และ Man Jingmeng) (หน้า 52) ต้นปี ค.ศ. 1950 ไทลื้อมีผลผลิตสินค้าปลีกย่อยมากมาย มีช่างฝีมือที่ชำนาญ และมีรายได้เฉลี่ยจากสินค้าปลีกเช่นหัตถกรรมในปี ค.ศ. 1954 จาก 7 ครัวเรือนในพื้นที่ 7 แห่ง พบว่า 43.8% เป็นรายได้รวมจากพืชพันธุ์ ในปี ค.ศ. 1983 มีการสำรวจรายได้แต่ละครัวเรือนจาก 4 หมู่บ้าน พบว่ารายได้สินค้าปลีกย่อยมีถึง 12.7% ของรายได้รวม (ดูตารางที่ 5 หน้า 53) ปัจจุบันช่างศิลป์หายาก งานหัตกรรมเริ่มหายไป เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้มักทำมาจากโรงงานมากกว่าจะผลิตเองในครัวเรือน (หน้า 52-53) ปัจจัยหลัก 2 ปัจจัยที่บ่งชี้ถึงความเสื่อมของสินค้าหัตถกรรมคือ 1. นโยบายของรัฐบาลระหว่างปี ค.ศ. 1958-1978 โดยเฉพาะช่วยปฏิรูปทางวัฒนธรรม นโยบายของรัฐเอาแต่มุ่งเน้นการผลิดเมล็ดพืช 2. การขยายตัวเพิ่มขึ้นของการพาณิชย์ที่เข้ามาตั้งในสิบสองปันนา และการทะลักเข้ามของสินค้าอุตสาหกรรมของจีนเอง (หน้า 54) รายได้และการบริโภค ข้าวเป็นรายได้หลักของหมู่บ้าน รองมา ได้แก่ ยางพาราและอ้อย ไทลื้อในสิบสองปันนาจัดหาข้าวให้รัฐบาลตามกฎต่อไปนี้คือ 1. จ่ายภาษีเกษตร 5% ของผลผลิตข้าวทั้งหมด 2. ขายโควต้าข้าวส่วนเกินที่กำหนดโดยรัฐตามกำลังการผลิตของหมู่บ้าน และรัฐซื้อได้ในราคาต่ำกว่า 50% ของท้องตลาด 3. การขายข้าวส่วนตัวถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย นอกจากยางพาราและอ้อย ผลผลิตอื่นๆ เช่น การปศุสัตว์ การประมง หรือการปลูกผลไม้ ก็ช่วยสร้างรายได้ให้ไทลื้อเช่นกัน (หน้า 54-55) (ดูตารางรายได้ของไทลื้อใน 5 หมู่บ้าน ได้แก่ Man Zhanzai, Man Nuandian, Man Nan, Man Feilong และ Man Jingmeng หน้า 55-56) หลังจากนโยบายทางเกษตรแผนใหม่มีผลในสิบสองปันนาปี ค.ศ. 1983 ราคาซื้อขายผลผลิตเกษตรมีราคาแพงขึ้น ชาวนาได้รับอนุญาตให้ขายผลผลิตข้าวส่วนเกินได้หลังขายข้าวให้รัฐตามกำหนดแล้ว ดังนั้นชาวนาจึงมีรายได้เพิ่มขึ้นรวดเร็วในหมู่บ้านส่วนใหญ่ (ดูตารางที่ 8 หน้า 57 แสดงผลบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายในปี ค.ศ. 1984) (หน้า 56-57) |
|
Political Organization |
Chao Pianling เป็นผู้นำสูงสุดแห่งสิบสองปันนา และมี Chao Meng ปกครองหัวเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นอิสระต่อกันเนื่องจากการขาดการบริหารจากส่วนกลางที่ดี อย่างไรก็ตามองค์กรทางสังคมการเมืองนำโดยหัวหน้าหมู่บ้านที่ได้รับเลือกโดยชาวบ้านและมีตำแหน่งต่างๆ เช่น ‘phaya’, ‘tsa’, ‘Saen’ ที่ได้รับจาก Chao Meng หรือ Chao Pianling (หน้า 7-8) ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 กองกำลังก๊กมินตั๋งใน Meng Zhe ถูกทำลายราบคาบโดยกองทัพเสรีชน (People’s Liberation Army หรือ PLA) สิบสองปันนาตกอยู่ในอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party หรือ CCP) CCP จัดตั้งรัฐบาล 4 รัฐบาลใน Cheli (Jinghong), Fuhai (Menghai), Nanqiao (Mengzhe) และ Zhengyue CCP ใช้นโยบายแบบสหภาพโซเวียต ขณะเดียวกันก็ผสมลัทธิ Marxist-Lenisnist และกฎแบบจีน (หน้า 25) ปัจจัย 2 ประการที่เสริมสร้างนโยบายคอมมิวนิสต์ในจีนคือ 1. ชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายขอบของประเทศจีน ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติ 2. คนชายขอบเหล่านั้นมีสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับคนชาติพันธุ์เดียวกันที่อาศัยอยู่รอบนอกประเทศ (หน้า 25-26) หลังการตั้ง CCP ในยูนนาน CCP เผชิญกับสังคมและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งยังเผชิญหน้ากับการรุกรานของกองกำลังก๊กมินตั๋งที่หลงเหลืออยู่ในพม่าและคนที่ไม่ใช่ฮั่น อย่างไรก็ดี CCP พยายามใช้นโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการชนะใจชนกลุ่มน้อยเพื่อสร้างอำนาจคอมมิวนิสต์ให้แข็งแกร่งตามชายแดน (หน้า 26) ในสิบสองปันนา คอมมิวนิสต์ได้แพร่เข้าไปยังหมู่บ้านต่างๆ โดยคนของรัฐบาลได้เข้าไปตีสนิทกับคนกลุ่มน้อย คนชั้นสูงของไทลื้อเองก็ได้ถูกชักชวนให้ลดที่ดินเช่าลงด้วย ภารกิจของรัฐบาลกลาง (Central People’s Government) คือสำรวจและเผยแพร่นโยบายคอมมิวนิสต์ในคนกลุ่มน้อย รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนฮั่นกับชนกลุ่มน้อยในสิบสองปันนา แก่นนโยบายหลักของ CCP คือการให้ชนกลุ่มน้อยมีอิสระในการปกครองตนเอง ซึ่งนโยบายนี้เร่งใช้ในปี ค.ศ. 1941 โดยเริ่มจากคนมองโกลและ Hui ให้จัดการการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของพวกเขาเองได้เท่าเทียมกับจีนฮั่น ในปีค.ศ. 1955 สิบสองปันนาได้รับตั้งเป็นภูมิภาคอิสระมีชื่อว่า ‘Sipsong Panna Dai Autonomous Prefecture หรือ SPDAP’ ในปี ค.ศ. 1953 มีการจัดประชุมสภาใน Yun Jinghong เมืองหลวงของสิบสองปันนา โดยมี Chao cun-Xin ผู้นำสูงสุดของไทลื้อเป็นประธานรัฐบาลแห่งภูมิภาค นโยบายการให้ชนกลุ่มน้อยปกครองภูมิภาคอย่างอิสระก็เพื่อกำจัดปัญหาชนกลุ่มน้อย และให้สิทธิมนุษยชนในการมีอิสระในการีประเพณี ภาษา หรือความเชื่อของตัวเอง แม้คอมมิวนิสต์จะมองชนกลุ่มน้อยว่าเป็นผู้ล้าหลัง แต่การช่วยเหลือและสนับสนุนจาก CCP เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขามากเพื่อช่วยพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา (หน้า 26-27) CCP ช่วยจัดหากองทุนกู้ยืมให้ในพื้นที่ปกครองตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้รับผลประโยชน์จากกิจการในพื้นที่อิสระเหล่านี้ ในปี ค.ศ. 1953-1983 รัฐได้ผลประโยชน์ประมาณ 8 ล้านหยวน และมีรายได้ 10 ล้านหยวนจากฟาร์มในสิบสองปันนา (หน้า 28-29) การปฏิรูปที่ดินปี ค.ศ. 1956 CCP นำเอาทฤษฎีการปฏิรูปที่ดินมาใช้ให้เข้ากับระบบสังคมนิยม (หน้า 29) เริ่มจากการขยายการสำรวจเศรษฐกิจทางสังคมในปี ค.ศ. 1951-1955 CCP ได้ข้อสรุปว่าในการพัฒนาสังคมให้ยั่งยืนต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนระบบศักดินาของไทลื้อ เดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1955 สภาประชาชนแห่งสิบสองปันจึงเริ่มล้างระบบศักดินาที่ครอบครอบผืนดิน เริ่มจากการสร้างอำนาจระดับหมู่บ้านในการแบ่งสรรที่ดินแก่ชาวนาและระหว่างหมู่บ้าน และตั้งศาลลงโทษผู้ต่อต้านการปฏิรูปที่ดิน (หน้า 30-31) ในปี ค.ศ. 1956 คณะปฏิรูปที่ดินได้เข้าถึงหมู่บ้านไทลื้อ มีการเจรจาความเคลื่อนไหวในสิบสองปันนา ขั้นแรกคือการก่อตั้งคณะกรรมการจากตัวแทนชาวนาในแต่ละหมู่บ้าน ขั้นที่สองคือระบุสถานะของชาวบ้านให้ชัดเจน สถานะนี้จะถูกจัดจากกฎ 3 ข้อคือ 1. สัดส่วนจำนวนของผลประโยชน์ 2. จำนวนผืนที่ดิน 3. ไม่ว่าจะร่วมงานในไร่นาหรือไม่ ด้วยกฎนี้ทำให้แบ่งชนชั้นได้เป็น 3 ประเภทคือ เจ้าของที่ดิน ชาวนาผู้ร่ำรวย และชาวนาสามัญ (หน้า 31) เจ้าของที่ดินผู้เป็นเจ้าของ ‘na chao’, ‘na man’, ‘na xin’ และ ‘na hagun’ จะถูกเวนคืนที่ดินเพื่อเอามาจัดสรรใหม่ ชาวนาผู้ร่ำรวยได้รับอนุญาตให้เก็บที่ดินเขาไว้แบ่งกับชาวบ้านคนอื่นๆ ให้เท่าๆ กัน ขณะที่ที่ดินของชาวนาสามัญจะเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน ‘na wa’ ที่ดินวัดจะยังเป็นของวัดเหมือนเดิม (หน้า 31-32) แม้ว่าการปฏิรูปที่ดินเป็นการเปลี่ยนแปลงการครอบครองที่ดินแบบศักดินามาเป็นแบบชาวนา แต่จุดประสงค์ขอนโยบายนี้คือ CCP ต้องการเข้าควบคุมหมู่บ้านไทลื้อ (หน้า 32) การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างไร่นา หลังการปฏิรูปที่ดิน แต่ละครัวเรือนในหมู่บ้านต่างๆ เริ่มมีการร่วมมือกัน เกิดการร่วมมือทางการเกษตร ผืนดินของแต่ละครัวเรือนถูกนำมารวมกันก่อนแบ่งปันควาย และอุปกรณ์ทำไร่ไถนาถูกนำมาตั้งราคาและค่าเช่า ชาวนาสามารถเป็นอาสาสมัครและมีอิสระที่จะถอนตัวได้ แม้ว่าการร่วมมือทางการเกษตรเป็นเรื่องการเมืองของ CCP แต่ชาวไทลื้อก็แทบจะไม่ได้เข้าเป็นอาสาสมัครในทางปฏิบัติ กลุ่มชาวนาที่ปรับโครงสร้างการร่วมมือแบบก้าวหน้า โดยผืนดินและผลผลิตจะตกเป็นเจ้าของร่วมกัน การแบ่งผืนดินถูกยกเลิกแต่ใช้หลักความสามารถเป็นฐานสำคัญ ในที่สุดเมื่อผืนดิน สัตว์ และอุปกรณ์ทำมาหากินกลายเป็นทรัพย์สินของชุมชน มีการเริ่มนับแต้มการทำงานเพื่อระบุจำนวนและประสิทธิภาพของแรงงาน รวมทั้งจำนวนค่าจ้าง มีการแบ่งทีมการผลิต เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบบริหารแทนที่หน่วยบริหารแบบเดิมที่ประกอบด้วย ‘qu’ (อำเภอ) ‘xiang’ (เมือง) และ ‘She’ (ความร่วมมือ) ถูกแทนที่ด้วยระบบชุมชน (People’s Commune) คือมีคณะหรือทีม กระทั่งปี ค.ศ. 1960 CCP ได้เปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจระบบชุมชนถูกยกเลิก อำเภอ เมือง และความร่วมมือแบบเก่าได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง (หน้า 35-36) ในปี ค.ศ. 1964-1965 เกิดการฟื้นฟูทางการเมือง เศรษฐกิจ โครงสร้าง ความคิดในสิบสองปันนา เกิดการปฏิรูปวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1969 มีการจ่ายแต้มการทำงานเป็นค่าแรงและเป็นการแสดงออกทางการเมือง ผลผลิตของชาวบ้านเช่น งานหัตถกรรมพื้นบ้าน การเลี้ยงเป็ดไก่ หรือการปลูกผัก กลายเป็นข้อห้าม เพราะแสดงออกถึงการเป็นทุนนิยม (หน้า 37-38) ในปี ค.ศ. 1978 CCP เปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสมขึ้นโดยชาวนาได้รับการผ่อนปรนจากนโยบายทางเกษตรที่เคร่งครัด และได้รับอนุญาตให้ทำงานในบรรยากาศที่เป็นอิสระและผ่อนคลายขึ้น ในช่วงนี้ได้เกิดระบบโครงสร้างฟาร์มแบบใหม่ ซึ่งแต่ละบ้านจะเพาะปลูกในพื้นที่ดินของหมู่บ้านและจ่ายภาษีทางเกษตร รวมทั้งขายผลผลิตทางเกษตรให้รัฐ ชาวบ้านจ่ายค่าสวัสดิการให้หมู่บ้าน (หน้า 38) |
|
Belief System |
กล่าวถึงพิธีบูชาวิญญาณ ‘Diumula Ga’ เชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองตลาด (หน้า 21) และผี ‘Phi po’ ที่เป็นผีร้ายของไทลื้อ (หน้า 28) เพราะการเคลื่อนไหวทางการเมือง การปฏิบัติทางศาสนาถูกกีดกันและห้าม ในปี ค.ศ. 1980 รัฐบาลผ่อนปรนกฎ ทำให้วัดและพระพุทธรูปได้รับการปฏิสังขรณ์ พระสงฆ์เพิ่มขึ้นและมีการรื้อฟื้นพิธีกรรม (หน้า 58) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคเกิดขึ้น ในอดีตสินค้าบริโภคอุปโภค เช่น อาหาร เสื้อผ้า ยาสูบ ถ้วยชาม เครื่องประดับ และเครื่องไม้เครื่องมือ ล้วนผลิตเอง เว้นแต่สิ่งของที่หาไม่ได้ เช่น เกลือ น้ำมันตะเกียง และสบู่ ของที่ไทลื้อผลิตเองได้ถูกแทนที่ด้วยสินค้าจากโรงงานที่เข้ามาถึงตลาดท้องถิ่น ชาวบ้านเริ่มสนใจสินค้าใหม่ๆ เช่น นาฬิกา จักรยาน จักรเย็บผ้า วิทยุ เป็นต้น รายได้ที่เพิ่มขึ้นทำให้การจับจ่ายซื้อของของไทลื้อเริ่มเปลี่ยนไป (หน้า 57-58) |
|
Map/Illustration |
ตาราง 1 แสดงความเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากร (หน้า 44) ตาราง 2 แสดงประชากรใน Man Zhanzai และพื้นที่นา ค.ศ. 1956-1986 (หน้า 45) ตาราง 3 แสดงพื้นที่นาใน Man Zhanzai ค.ศ. 1965-1986 (หน้า 46) ตาราง 4 แสดงรายได้จากยางพารา และเปอร์เซนต์ของรายได้รวมต่อปีในสองหมู่บ้านไทลื้อ (หน้า 52) ตาราง 5 ตัวอย่างจากการสำรวจรายได้ของครัวเรือน ค.ศ. 1983 (หน้า 53) ตาราง 6 รายได้เน็ตของ 5 หมู่บ้านไทลื้อ ค.ศ. 1969-1983 (หน้า 55) ตาราง 7 รายได้เน็ตของ 5 หมู่บ้านไทลื้อ ค.ศ. 1969-1983 (หน้า 56) ตาราง 8 รายได้ในครัวเรือนและค่าใช้จ่าย ค.ศ. 1984 (หน้า 57) |
|
|