|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,ชนกลุ่มน้อย,นโยบาย,พื้นที่ป่า,พรมแดน,กรมป่าไม้,การจัดการทรัพยากร,สิบสองปันนา,จีน,ไทย |
Author |
Janet C. Sturgeon |
Title |
Claiming and Naming Resources on the Border of the State : Akha Strategies in China and Thailand |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
14 |
Year |
2540 |
Source |
Asia Pacific Viewpoint. Vol. 38 No.2, August 1997 |
Abstract |
สถานะของความสัมพันธ์ด้านการจัดการทรัพย์สินและการใช้ผืนดินในหมู่บ้านชาวเขา เผ่าอาข่า สะท้อนถึงผลลัพธ์ของรัฐที่แตกต่างตามแนวทางของการจัดการป่าในหมู่ชนกลุ่มน้อย ในประเทศจีนชาติพันธุ์ชั้นสองหรือชนกลุ่มน้อยซึ่งทำไร่เลื่อนลอยถือเป็นพลเมืองโดยปริยาย โดยทั่วไปพวกเขาถูก “รวมเข้าไว้” ในนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวนาในถิ่นอื่นของประเทศ ซึ่งรวมถึงเรื่องของแนวทางการสะสมและการกระจายผลผลิตทางการเกษตรตามนโยบาย อันเป็นผลมาจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง การจัดการพื้นที่ป่าไม้สู่หมู่บ้านและครัวเรือน แม้จะมีการทำไร่เลื่อนลอยในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งครัวเรือนบนฐานด้านประชากร 15 ปีต่อมาโปรแกรมที่ส่งเสริมชาวนาให้เปลี่ยนจากระบบการเพาะปลูกข้าวบนพื้นที่สูง สู่การปลูกผลไม้ ชา และพืชเงินสดอื่น ๆ ในแปลง อย่างไรก็ดี แม้พวกอาข่าในแถบพญาไพรจะได้รับบัตรประจำตัวชาวเขา แต่พวกเขายังไม่ได้รับสิทธิให้ถือครองที่ดินที่พวกเขาบริหารจัดการ ในขณะที่มีกลุ่มที่เข้ามาครอบงำพื้นที่เพาะปลูกเพื่อฟื้นฟูป่าของรัฐ ทำให้คนหนุ่มสาวต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้านกันเกือบหมด อาข่าบางส่วนจากพญาไพรและจากที่อื่นย้ายเข้ามาขนยาเสพติดและค้าประเวณี เมื่อตลาดแรงงานถูกกฎหมายจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาน้อยกว่าพลเมืองไทย อาข่าจึงยังคงเป็นชนชั้นชายขอบต่อไปในรูปแบบความสัมพันธ์ที่รัฐมักไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก (หน้า 143) |
|
Focus |
เน้นศึกษาเปรียบเทียบนโยบายและแนวทางของรัฐไทยและจีน เกี่ยวกับป่าและ ชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยในบริเวณพรมแดนไทยว่ามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร และ ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงและการใช้ทรัพยากรของชาวอาข่าในไทย และคนไทในจีน อย่างไรบ้าง |
|
Ethnic Group in the Focus |
เน้นศึกษาอาข่าในไทยและในสิบสองปันนาของจีน ซึ่งแบ่งออกเป็น อูโลอาข่าและ โลมีอาข่า (Loimi) และกลุ่ม “คนไท” (Dai) ในจีน (หน้า 132) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในประเทศจีน จาก ค.ศ.1938 – 1950 กองกำลังก๊กมินตั๋งได้เข้ามาตั้งฐานที่ Mengsong ซึ่งจากความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเพราะถูกริบ ข้าวปลาอาหารและถูกเกณฑ์แรงงานคนให้ขนกระสุนปืนและอาหารไปพม่า จนต้อง หลบหนีเข้าป่าไป จนกระทั่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้เข้ามาตีกองกำลังก๊กมินตั๋ง ให้ถอยร่นไปถึงชายแดนจีน-พม่า ชาวบ้านจึงกลับมาใช้ชีวิตทำไร่ตามปกติ แต่พอ ค.ศ. 1958 ก็ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นระบบ “นารวม” จนกระทั่งปี ค.ศ. 1980 ชาวบ้านก็ ลำบากไปอีกแบบเพราะข้าวไม่พอกินเกือบทุกปี ในช่วงเวลาดังกล่าวชาวบ้านถูกบังคับ ให้ตัดต้นไม้ใหญ่ใกล้หมู่บ้านเพื่อนนำไปใช้และปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นตามนโยบายของ รัฐบาล ชาวบ้านเหล่านั้นบอกว่าต้นไม้มีหลากหลายพันธุ์และมีขนาดใหญ่มาก ในปี ค.ศ.1983 มีการจัดสรรที่ดินและต้นไม้ให้กับครัวเรือนต่าง ๆ ส่วนผืนป่าใกล้หมู่บ้านก็คง อยู่ในความดูแลของหมู่บ้าน ซึ่งจะให้ครัวเรือนต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ได้ตามข้อกำหนดของ หมู่บ้าน และตั้งแต่ ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา ชาวบ้านก็เลิกทำข้าวไร่ หันไปทำนาและทำ เหมืองดีบุกซึ่งมีรายได้ดี (หน้า 138 – 139) |
|
Demography |
ในประเทศจีน Dai มีจำนวนประชากร 3 ใน 4 ส่วน ในเขตสิบสองปันนา หรือมีจำนวนต่ำกว่า 140,000 คน ในปี 1935 รายงานจำนวนชาวฮั่นที่เป็นตัวเลขในปี 1940 และ 1950 มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึง 2,000 – 3,000 คน นับว่าเป็นประชากรที่มีสัดส่วนค่อนข้างน้อย ในปี 1988 เมื่อประชากรทั้งหมดขึ้นไปถึง 700,000 คน 1 ใน 3 เป็นชาวฮั่น เท่ากับจำนวนของคน Dai ทั้งที่บริเวณดินแดนสิบสองปันนายังเป็นจังหวัดของพวก Dai หมายความว่าคน Dai ได้ลดฐานะจากการเป็นประชากรส่วนใหญ่ไปเป็นประชากรส่วนน้อยและพวกฮั่นแข็งแกร่งมากกว่า (หน้า 133) ในอนาคต บางทีพื้นที่หลายแห่งภายในป่าชุมชนพญาไพรอาจได้รับสิทธิให้ปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่กว้างกว่าจะปลูกชาและค่อนข้างได้รับการดูแลอย่างดี นอกจากนี้ หมู่บ้าน ยังมีรายได้จากการปลูกชาในทางที่ส่งผล นโยบายส่งเสริมการปลูกป่าในพื้นที่ที่ถูก เรียกขาน เช่น พื้นที่ป่าพญาไพรเป็นเหตุให้เกิดการลดลงของผืนป่าในพื้นที่ ซึ่งตาม แผนที่แล้วจัดเป็นป่าในพื้นที่หลัก (หน้า 142) |
|
Economy |
พื้นที่เนินเขาในดินแดนแถบสิบสองปันนา เคยถูกใช้ประโยชน์จากกลุ่มชาวเขาปลูก ยางมานานเกินกว่า 3 ทศวรรษ ในเขตป่าชุมชนและการทำไร่เลื่อนลอยหรือมีการใช้ ปลูกพืชหมุนเวียนในปี 1890 กรุงเทพฯ เข้ามามีบทบาทครอบครองพื้นที่ ในดินแดนแถบล้านนารวมถึงป่าไม้สักภายในพื้นที่ หลังจากมีการกำหนดเขตแดน ให้ประเทศสยาม พื้นที่ที่ยังไม่ได้ถูกครอบครองทั้งหมดภายในประเทศก็ได้รับการ ปฏิรูปเสียใหม่ ชนกลุ่มน้อยบนเขาจำนวนมากได้เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศซึ่งเป็น พื้นที่สูงตามหุบเขาจากรุ่นสู่รุ่น (หน้า 134) เมื่อมีการปฏิรูปผืนป่ากรมป่าไม้ได้ปลูกป่า และต้นสนไว้เป็นทิวแถวตาทุ่งนา (หน้า 141) จนกระทั่งมีการปลูกข้าวและข้าวโพด บนพื้นที่สูง ชาวบ้านในหมู่บ้านสามารถปลูกข้าวบนพื้นที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง และ ปลูกกล้าไม้โดยต้องจ่ายเงิน 100 บาทต่อไร่ต่อปี เพื่อปกป้องดูแลป่า แต่เมื่อไม้เติบโต เป็นไม้ใหญ่ในที่ดิน ต้นไม้ทุกต้นกลับเป็นของกรมป่าไม้และพื้นที่ตลอดแนวพรมแดน มีการหว่านพืชทั้งพื้นที่ในแถบอูโลและโลมีอาข่า (Loimi) แต่การสูญเสียส่งผลต่ออูโลอย่างหนัก นับแต่ โลมีอาข่า (Loimi) บุกเบิกพื้นที่ปลูกข้าวเมื่อช่วงต้น พื้นที่บางแห่งของอูโลไม่ได้ปลูกข้าวและถูกผลักดันให้หันไปปลูกชา หรือเป็นแรงงานรับจ้างทั้งภายในและภายนอกหมู่บ้านในบางโอกาสเพื่อให้พวกเขาสามารถซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวได้ (หน้า 142) สำหรับเรื่องการใช้ที่ดินมีชาวบ้านเข้ามาตัดไม้ทำฟืนมากตามความจำเป็น เริ่มจากในพื้นที่ที่จับจองกันอยู่อย่างเป็นอิสระ แผ่ขยายพื้นที่เขตป่าสงวนเท่าที่จำเป็น ต้นไม้ที่ใช้สร้างบ้านนำมาจากพื้นที่ป่าสงวนเป็นไม้ที่นำเข้ามาจากพม่า ในอนาคตการปลูกไม้ของ แต่ละครัวเรือนในพื้นที่อิสระน่าจะลดลงชาวบ้านที่แผ้วถางพื้นที่เพื่อทำนาปลูกข้าว ในบริเวณที่ได้รับการจัดสรรให้เพาะปลูก และไม่นานมานี้มีการบุกเบิกทำถนน สร้างทางจากพื้นที่ราบต่ำที่เป็นทุ่งนาสู่หมู่บ้าน โดยของบประมาณจากหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อสร้างสะพานและทำถนนให้เสร็จสมบูรณ์ แต่เมื่อจะขออนุญาตเปิดใช้ ชาวบ้านกลับตอบเหมือนกันหมดว่า พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตได้เพียงงบค่าจ้างแรงงานสำหรับการสร้างสะพาน (หน้า 139) การใช้ประโยชน์จากผืนดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จนกระทั่ง ในปี 1973 เมื่อ โลมีอาข่า (Loimi) เริ่มอพยพเข้าสู่หมู่บ้าน โลมีอาข่า (Loimi) เป็นกลุ่มที่อยู่กันมาหลายชั่วรุ่นใกล้กับภูเขาในพม่า ไม่ใช่เพิ่งอพยพกันเข้ามาจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังจัดตั้งกลุ่มของตัวเองเพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำไร่ไถนา แต่ละครัวเรือนในหุบเขารอบพญาไพร จากที่เคยเป็นหมู่บ้านอูโลอาข่ามาแต่ก่อนก็เปลี่ยนมาตั้งครัวเรือน บุกเบิกพื้นที่ทำไร่ ทำนาของตนเอง ทำให้พื้นที่หุบเขาส่วนใหญ่ค่อย ๆ หมดไป เมื่อมีความขัดแย้งระหว่าง อาข่าสองกลุ่มเหนือพื้นที่ ซึ่งแต่แรกเริ่มอูโลแสดงให้พวกโลมีอาข่า (Loimi) เห็นว่าพื้นที่นี้สามารถเพาะปลูกได้ภายในระยะเวลา 2 – 3 ปี พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ของพวกอูโลและพวก โลมีอาข่า (Loimi) ซึ่งเป็นที่รับทราบกันชัดเจนในหมู่ชาวบ้าน (หน้า 140) เหตุการณ์ถัดมาที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ คือการเริ่มตั้งบริษัทชาจากกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพวกไต้หวัน นักบุกเบิกทางธุรกิจนำเข้าชาหลากหลายชนิดจากไต้หวัน ปลูกในพื้นที่ป่าพญาไพร ชาเหล่านี้ขายกันที่ 1,000 บาทต่อกิโล และถูกจัดส่งไปยังปลายทางหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทชาสอนให้คนท้องถิ่นปลูกชาซึ่งเติบโตได้ดีในป่า ประชาชนก็เก็บใบชาไว้ใช้มาเป็นเวลานาน และรู้ว่าจะพัฒนาเมล็ดพันธุ์และจัดการ ชาได้อย่างไร คนท้องถิ่นปลูกชาในป่าชุมชนแบบขั้นบันไดและปลูกชาท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ชาไต้หวันยังมีราคาไม่แพงและชาท้องถิ่นก็เป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านหลายหมู่บ้านในปัจจุบัน (หน้า 140 – 141) การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเนื่องจาก มีการเพาะปลูกในเขตป่าใกล้หมู่บ้านของพวกเขา ในแต่ละครัวเรือนจึงไม่ได้มีแต่ ต้นชาเท่านั้น แต่ยังเพาะปลูกในที่ของพวกเขาด้วย ปัจจุบันครัวเรือนเหล่านี้จะตัดฟืนและตัดไม้ไปปลูกสร้างบ้านบนพื้นที่ปลูกชา หากต้องการต้นไม้มากกว่านี้ พวกเขา ก็ขอให้ตัดต้นไม้ออกจากพื้นที่ปลูกชาของครัวเรือนออกอีก 2 – 3 ต้น หากมีคนไปตัด ไม้ในไร่ชาของเพื่อนบ้านก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากปลูกชาแล้วได้รับความเสียหายเมื่อ นำออกมาจากต้น คนที่ตัดต้องจ่ายเงิน 5 บาทเป็นค่าชดเชยให้แก่เจ้าของ การปลูก และการเก็บใบชา ผู้หญิงได้รับค่าจ้าง 50 บาทต่อวัน ผู้ชายได้รับค่าจ้าง 60 บาทต่อ คน/วัน คนงานส่วนใหญ่เป็นอาข่าที่ข้ามพรมแดนพม่า บริษัทชาไม่จัดสรรผลกำไร ลงสู่ระดับท้องถิ่นเป็นเงินยังชีพ ชาวบ้านจะได้เงินที่ใกล้เคียงกับเงินเดือน (หน้า 141) วาทกรรมการทำลายผู้ที่เพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งในสภาพความเป็นจริงถือเป็นเรื่องสากล แต่ในบางประเทศยังตามสนองนโยบายที่นิยมการเรียกร้องต่อต้านการทำไร่เลื่อนลอยเพื่อฟื้นฟูป่า เจ้าหน้าที่ของจีนอนุญาตให้มีหมู่บ้านและครัวเรือนในพื้นที่ป่าเพราะความเชื่อในการจัดการที่ว่า คนท้องถิ่นน่าจะยอมตามการจัดการโดยรัฐเป็นผู้จัดการด้านที่ดินอสังหาริมทรัพย์และตรวจสอบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เหล่านี้ สิ่งที่อาข่ามักจะทำแสดงให้เห็นผ่านกรณีศึกษา คือ การปรับผืนดินใหม่ไว้ใช้งานตามที่จะหามาได้ และมีการจัดการด้านทรัพยากรอย่างเข้มข้นโดยมองเห็นถึงคุณค่า ตัวอย่างเช่น ในจีนพวกอาข่าใน Sianfeng เลิกปลูกข้าวในพื้นที่สูง หันมาปลูกข้าวในพื้นที่ลุ่มแล้วย้ายไปทำเหมืองแร่ดีบุก โดยใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและให้ผลตอบแทนบนผืนดินสูงสุด ในขณะเดียวกันก็มีการแผ้วถางเผาทำลายในแต่ละปีเพื่อปล่อยให้สัตว์กินหญ้าในทุ่งเพิ่มจำนวนปศุสัตว์ แม้รัฐจะได้รับอนุญาตให้ออกกฎและให้สัมปทานที่ ก็ยังมีการถกเถียงกับชาวบ้านเพื่อเปิดเผยความเข้าใจที่เคลือบคลุมเกี่ยวกับภูมิทัศน์ตามความจำเป็น ทุ่งหญ้ากลายเป็นพื้นที่หว่าน พื้นที่หว่านกลายเป็นป่า และป่ากลายเป็นทุ่งนา ในมุมมองของชาวบ้านค่อนข้างจะยืดหยุ่นกว่า และมีบริบทแวดล้อมมากกว่า เป็นไปตามมุมมองของสถานีป่าไม้ในท้องที่ซึ่งต้องการให้ชาวบ้านเดินตามกฎ ในประเทศไทย Ulo อาข่าเรียนรู้การเพาะปลูกข้าวในที่ลุ่มมาเพียง 25 ปีและเรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกชาและตลาดส่งชา กลยุทธ์ในตอนนี้คือ คนหนุ่มสาวออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน ขณะที่ครอบครัวพึ่งพิงรายได้หลักจากการปลูกชาและตลาดส่งชา ทั้งยังทำงานเท่าที่มีอยู่ในท้องถิ่น หนุ่มสาวชาวอาข่าเห็นคุณค่าของเงินเดือน และสินค้าที่หามาได้ในเมืองใหญ่และ เมืองหลวง ขณะที่อาข่าเข้าถึงพื้นที่และมีแนวโน้มจะเข้ารุกพื้นที่ป่าซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นอีกด้วย แผนการของพวกเขาสำหรับการเรียกร้องทรัพยากรจะค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปสู่ป่าด้วยเช่นกัน (หน้า 143) |
|
Political Organization |
ตามประวัติศาสตร์รัฐจีนประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ หลากหลายเชื้อชาติไม่ว่า ที่อยู่ภายในหรืออยู่บริเวณพรมแดนชายขอบที่ผสมกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรมของ พวกฮั่น ตามแนวทางการปฏิวัติจีนปี 1949 รัฐจีนใหม่ริเริ่มนโยบายซึ่งได้เปลี่ยนรูปแบบรากเหง้าวัฒนธรรมที่เคยยึดถือกันมาเป็นศตวรรษ ด้วยการวมชาติพันธุ์ชั้นสองหรือชนกลุ่มน้อยเข้ามารวมกันไว้ กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดนี้จึงถือเป็นพลเมืองของจีนใหม่ไปโดยปริยาย และในการรณรงค์ครั้งใหญ่ที่เริ่มขึ้นในปี 1950 ชาติพันธุ์ชั้นสองถูกจัดประเภทว่าเป็นพวก “มินซู” หรือ เชื้อชาติหนึ่งหรือเป็น “ren” (ประชาชน) ถ้าพวกเขาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือมีลักษณะเฉพาะที่มิได้แตกต่างไปจากมินซูกลุ่มอื่น ๆ (Wu 1990) ในปัจจุบันที่เป็นทางการรัฐจีนมีประชากร 56 เชื้อชาติ รวมถึงพวก Hanzu ตามการแต่งตั้งหรือการเรียกขาน ชนชาติทั้งหมดนี้ถูกจัดลำดับตามโมเดลของพวกที่นิยมสตาลิน บนพื้นฐานการพัฒนาหน่วยการผลิตยุคดั้งเดิมไปจนถึงยุคล่าอาณานิคม ยุคฟิวดัล ทุนนิยมและสุดท้ายคือการผลิตแบบสังคมนิยม หลังจากมีการทำแผนสำหรับมินซูแต่ละกลุ่ม เพื่อจะชูโหมดการผลิตแบบสังคมนิยมขึ้นมาเพื่อเข้าสู่อารยธรรมแบบทันสมัย (หน้า 132) หลังจากปี 1949 พื้นที่ทั้งหมดถูกเรียกร้องกรรมสิทธิ์โดยรัฐ รวมถึงพื้นที่ป่าด้วยพื้นที่ ป่าหมดไปอย่างรวดเร็ว ตามการนำกลับมานิยามใหม่ของกรรมสิทธิ์ในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในระดับการจัดการ นับแต่ปี 1949 ในพื้นที่ปฏิรูปต้นปี1950 ประมาณ 2 ใน 3 ของพื้นที่ป่าทั้งหมดได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างครัวเรือนได้ตามใจชอบ ปลายปี 1950 พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ได้ซึมซับเอาแนวทางสหกรณ์การเกษตรเป็นครั้งแรกและได้ ขยายเข้าสู่ระบบคอมมูนในเวลาต่อมา ในต้นปี 1980 การปฏิรูปเศรษฐกิจและการอนุญาตให้ปลูกสร้างครัวเรือนในพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ป่าได้ถูกนำมาจัดสรรเกิดเป็นหมู่บ้าน ภายใต้ความหลากหลายในการจัดแบ่งสิทธิถือครองคณะมนตรีของรัฐ จัดทำ ร่างนโยบายรัฐชาติ ซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสิทธิในการถือครองและการจัดระบบการปกครอง เพื่อที่จะลดปริมาณและคุณภาพพื้นที่ป่าปกคลุม นโยบายทางตรงที่เจาะจงว่าสิทธิในทรัพยากรป่าไม้ควรมีเสถียรภาพเพื่อที่จะจัดสรร การปกป้องและปลูกป่า รัฐสามารถตัดสินใจได้เองว่า นโยบายควรจะนำมาปรับใช้ในระดับหมู่บ้านอย่างไร (หน้า 133) ขณะที่สิบสองปันนายังคงอยู่ในเขตปกครองตนเองอิสระ อิทธิพลของกลุ่มชนเผ่าอื่น ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มหลัก ๆ ของจีนค่อนข้างแข็งแกร่งมากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมาในแนวทางนโยบาย “การรวมชาติ” บนพื้นฐานการพิจารณาเชิงกลยุทธ์ (หน้า 133) เมื่อมีการร่างนโยบายเกี่ยวกับพื้นที่ป่า ในอาณาบริเวณที่ยังไม่มีใครจับจองเป็นเจ้าของ แรกเริ่มมีการแสวงหาแนวทางที่จะปกป้องป่าไม้สักผ่านการร่างกฎหมายคุ้มครองโดยระบุสายพันธุ์ที่ชัดเจน โดยกำหนดพื้นที่ตามหมายที่ระบุไว้ กลุ่มที่พักอาศัยแบบพึ่งพิงป่าไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ของกรมป่าไม้ การนำเรื่องรัฐพรมแดนและกรมป่าไม้เข้ามาปรับใช้ เพื่อรับผิดชอบเขตพื้นที่ที่ไม่ได้มีเจ้าของเป็นตัวแทนการเปลี่ยนผ่าน หรือเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์หรือวาทกรรมว่ารัฐมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของพื้นที่ ทรัพยากรและผู้คนได้อย่างไร (หน้า 134 – 135) ขณะที่รัฐบาลในกรุงเทพฯ ตระหนักว่าความจำเป็นในเรื่องของพรมแดนและกรมป่าไม้ ที่ถูกป้องกันจากภัยคุกคามของอังกฤษ ผู้ออกกฎอาจไม่เข้าใจการสื่อความหมายใน เรื่องของข้อยกเว้นเชิงนโยบายเกี่ยวกับป่า ไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องที่พวกเขาถูกมองว่าได้เวลาที่จะต้องแยกคนออกจากป่า และการเข้าไปรุกพื้นที่ป่า ผู้ออกกฎไม่เข้าใจแม้แต่ เรื่องการเรียกร้องอาณาเขตที่ยังไม่ผู้ครอบครองพื้นที่ป่า ที่วางอยู่บนนโยบายข้อยกเว้นที่เพิ่งออกมาในภายหลัง (หน้า 135) ชาติพันธุ์ชายขอบที่ต้องการครอบครองพื้นที่ป่า จะต้องรายงานภายใน 180 วันหรือสูญเสียสิทธิในการครอบครอง คนเหล่านี้ได้รับโฉนด ใบอนุญาตให้ทำงานชั่วคราว ตามกฎแล้วจะค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การใช้โฉนดและได้เป็นเจ้าของโฉนดในเวลาต่อมา ผู้ที่อาศัยอยู่ในป่าส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่องความต้องการครอบครองพื้นที่ป่าหรือไม่รู้แม้แต่เรื่องของการจดทะเบียน ในปี 1967 ส.ค.1 ถูกยกเลิกและผู้ที่อาศัยอยู่ในป่าจำเป็นต้องมีโฉนดอ้างอิง แต่พวกที่อาศัยอยู่ตามภูเขาส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักในเรื่องนี้ กลุ่มชาวเขาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยยังคงไม่ได้เป็นพลเมืองของประเทศและยังคงครอบครองพื้นที่ผิดกฎหมาย (หน้า 135) จวบจนปัจจุบัน กรมป่าไม้อนุญาตให้มีการจับจองพื้นที่ทั้งหมดในบริเวณ ซึ่งต่อมาอยู่ในอาณาเขตประเทศไทยการครอบครองป่าของชาวเขาและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น อาข่าซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่กรมป่าไม้อย่างเป็นทางการ ในหมู่บ้านที่ศึกษามีเพียงหัวหน้าหมู่บ้าน 3 แห่งซึ่งได้รับบัตรประชาชนตามปกติ ส่วนที่อื่น ๆ ทั้งหมดจะได้บัตรประจำตัวบ่งว่าเป็นชาวเขาและไม่มีสิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการจัดการที่ดิน คำอธิบายส่วนใหญ่อ้างอิงถึงสิทธิในการเข้าถึงอย่างไม่เป็นทางการ และเพื่อที่จะเปลี่ยนอิทธิพลในการเข้าถึงทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น (หน้า 140) |
|
Education and Socialization |
อาข่าในจีนค่อนข้างจะมีสถานภาพที่มั่นคงกว่า ด้วยการเคารพสิทธิในทรัพย์สินและเข้าถึงบริการภาครัฐ เด็กของพวกเขาได้เรียนในโรงเรียนซึ่งอาข่าเด็กชาวเขากลุ่มอื่น ๆ ถูกส่งกลับ (หน้า 143) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในประเทศไทย คนหนุ่มสาวอาข่าทุกวันนี้หางานนอกเขตหมู่บ้านตราบใดที่ยังมีระบบการแบ่งลำดับชั้นทางสังคมใช้กันอยู่ พวกเขาสามารถสร้างงานและแรงงานอื่น ๆ ใน แถบแม่จันและ อ.เมือง จ. เชียงราย แต่เนื่องจากพวกเขาถือบัตรชาวเขา จ่ายน้อยกว่าการได้รับบัตรประจำตัวประชาชนไทยไว้เพื่อใช้ทำงาน หมู่บ้านอาข่าทั้งหมดในพื้นที่ บริเวณรอบ ๆ พญาไพรต่างก็สูญเสียพื้นที่เพาะปลูกเพื่อโครงการฟื้นสภาพป่าแบบเดียวกัน ระหว่างหมู่บ้านเหล่านี้ พญาไพรน่าจะมีสถานภาพที่ดีกว่าหรือดีที่สุด เพราะปลูกชา หมู่บ้านอื่น ๆ ที่ปลูกข้าวบนพื้นที่สูงได้รับความเสียหาย เมื่อมองไม่เห็นทางเลือกอื่นก็ส่งคนออกไปหางานทำนอกพื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในรอบศตวรรษ ชาวเขา ที่มีบัตรประจำตัวจะย้ายเข้ามาในเมืองเพื่อหางานและสร้างรายได้ (หน้า 142) |
|
Text Analyst |
ศมน ศรีทับทิม |
Date of Report |
19 เม.ย 2564 |
TAG |
อาข่า, ชนกลุ่มน้อย, นโยบาย, พื้นที่ป่า, พรมแดน, กรมป่าไม้, การจัดการทรัพยากร, สิบสองปันนา, จีน, ไทย, |
Translator |
Chalermchai Chaichompoo |
|