|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ถิ่น,ขมุ,จารีตประเพณี,สังคม,พฤติกรรมทางเพศ,โรคเอดส์,น่าน |
Author |
นิพัทธเวช สืบแสง |
Title |
วัฒนธรรมกับพฤติกรรมทางเพศและสถานการณ์การเผยแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ในชุมชนชาวเขาเผ่าถิ่นและเผ่าขมุ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
68 |
Year |
2541 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
เนื้อหาของงานศึกษาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในชุมชนถิ่นและขมุในพื้นที่จังหวัดน่าน นอกจากนี้ยังศึกษาวัฒนธรรมที่มีส่วนกำหนดพฤติกรรมทางเพศของขมุและถิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเคร่งครัดในเรื่องเพศ โดยจะไม่ยอมให้หนุ่มสาวมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการป้องกันและการแก้ปัญหาเรื่องพฤติกรรมทางเพศที่เกิดขึ้นในชุมชน เช่น การให้ความช่วยเหลือแม่หม้ายซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่เคยมีสามีมาก่อน เพราะการช่วยเหลือนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้แม่หม้ายกับคนหนุ่มมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกันอันจะทำให้สังคมถิ่นและขมุเกิดความวุ่นวาย รวมทั้งจารีตประเพณีต่างๆ ในชุมชนก็มีส่วนในการป้องกันการมีพฤติกรรมทางเพศในทางที่ผิดอันจะส่งผลทำให้เกิดการระบาดของโรคเอดส์ในชุมชน |
|
Focus |
เพื่อให้เข้าใจถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในชุมชนชาติพันธุ์ถิ่นและขมุ ที่เชื่อมโยงถึงการแพร่ระบาดของโรคในสังคมไทย และเข้าใจถึงองค์ประกอบทางวัฒนธรรม พฤติกรรมทางเพศ และการใช้ภูมิปัญญาหรือวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ในการปรับตัวเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ในชุมชนถิ่นและขมุ (หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของถิ่นและขมุ เป็นตระกูลภาษาในกลุ่มภาษาออสโตรเอเชียติค เป็นภาษาไม่มีระบบเสียงวรรณยุกต์ ทั้งถิ่นและขมุจะใช้ภาษาควบคู่กันคือภาษาของตนเองกับภาษาไทยเหนือ (คำเมือง) ผู้ใหญ่ในกลุ่มชาติพันธุ์ถิ่นและจะขมุจะสอนเด็กๆ ให้พูดภาษาของตนเองและภาษาไทย ดังนั้นจึงไม่มีอุปสรรคด้านภาษาเมื่อสนทนากับคนนอกชุมชน (หน้า 34) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาทำการวิจัยมี 2 ปี ดังนี้ ปีที่ 1 ตุลาคม 2538 - กันยายน 2539 ทำวิจัยทางมานุษยวิทยา ปีที่ 2 ตุลาคม 2539 - กันยายน 2539 ทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ของขมุ ในพงศาวดารล้านช้างระบุว่า ขมุเคยมีอาณาจักรของตนเองในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16 โดยมีที่ตั้งอยู่ ในแขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว (หน้า 30) ประวัติศาสตร์ของถิ่น ถิ่นเป็นชาวพื้นเมืองของจังหวัดน่าน ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมากในเขตอำเภอบ่อเกลือ (หน้า 30) |
|
Demography |
จากการศึกษาของโครงการโรคเอดส์ สภากาชาดไทย และมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2537 ศึกษาในกลุ่มชาติพันธุ์ 9 กลุ่มได้แก่ แม้ว อีก้อ ลีซอ ลัวะ ชาติพันธุ์ละ 160 คน เย้า 80 คน ถิ่น 80 คน ปะหล่อง 40 คน ช่วงอายุ 15-45 ปี ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จาก 27 หมู่บ้าน ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน สำหรับประชากรที่ศึกษามีจำนวน 1,080 คน แบ่งเป็นเพศชายและเพศหญิงกลุ่มละ 540 คน พบว่ามีผู้ติดเชื้อเอดส์จำนวน 33 คน ( 2.13%) (หน้า 7) ส่วนการสำรวจการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มชาวเขา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534-มีนาคม 2538 พบว่า มีผู้ป่วยจำนวน 3,920 คน โดยแบ่งออกเป็น มูเซอ 1,720 คน อีก้อ 992 คน เย้า 432 คน กะเหรี่ยง 384 คน ลีซอ 320 คน แม้ว 72 คน จากจำนวนประชากรชาวเขาทั้ง 6 เผ่า 670,008 คน หรือคิดเป็นจำนวน 0.58 % ของจำนวนประชากร (หน้า 7) |
|
Economy |
ในระหว่าง พ.ศ.2510-2523 กองกำลังฝ่ายรัฐบาลได้สู้รบกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในพื้นที่จังหวัดน่าน ชุมชนของถิ่นและขมุที่อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเป็นพื้นที่ที่เป็นฐานที่ตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ฯ จึงมีการสู้รบกันอย่างหนัก ดังนั้นทางการจึงเร่งพัฒนาพื้นที่ชนบทที่อยู่พื้นที่ที่มีการต่อสู้และตัดถนนไปยังหมู่บ้านดังกล่าว แต่หมู่บ้านในกรณีศึกษาทั้งสองไม่อยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์จึงไม่มีการตัดถนนผ่าน แต่ผลของการพัฒนาของทางการก็ทำให้คนในหมู่บ้านทั้งสองแห่งปลูกข้าวโพดและฝ้ายขายให้ตลาด ดังนั้นจึงทำให้ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากทั้งค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าสารเคมี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการลงทุนเป็นจำนวนมาก (หน้า 35) |
|
Social Organization |
สังคมถิ่น เป็นสังคมที่สืบเชื้อสายทางฝ่ายหญิง เมื่อหนุ่มสาวแต่งงานกันฝ่ายชายจะต้องเปลี่ยนมานับถือผีของตระกูลฝ่ายภรรยา และลูกที่เกิดมาต้องนับถือผีฝ่ายภรรยาด้วยเช่นกัน ในสังคมของถิ่นคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกันจะแต่งงานกันไม่ได้เพราะถือว่าเป็นพี่น้องกัน ทั้งนี้ในหมู่บ้านกรณีศึกษากลุ่มถิ่นประกอบด้วย 4 สายตระกูลที่สำคัญ (หน้า 34) สังคมขมุ ลักษณะสังคมใกล้เคียงกับสังคมถิ่นคือ มีการสืบเชื้อสายทางฝ่ายผู้หญิง เมื่อแต่งงานผู้ชายจะต้องเข้ามาถือผีฝ่ายภรรยาและลูกที่เกิดมาจะต้องถือผีฝ่ายแม่ การอยู่ร่วมกันในสังคมจะอยู่รวมกลุ่มกันแบบเครือญาติ ซึ่งในหมู่บ้านที่เป็นกรณีศึกษาประกอบด้วย 6 กลุ่มเครือญาติ (หน้า 34) พฤติกรรมทางเพศในสังคมชาวเขา ในงานเขียนได้แบ่งพฤติกรรมทางเพศในสังคมชาวเขาในประเทศไทยออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1 ) สังคมที่อนุญาตให้หนุ่มสาวมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนการแต่งงาน เช่นในกลุ่มชาติพันธุ์ แม้ว เย้า มูเซอ ลีซอ อีก้อ สำหรับสังคมชาวเขาแบบนี้จะเป็นสังคมที่เป็นแบบกลุ่มที่ตั้งถิ่นที่อยู่ไม่ถาวร หรือเคยเป็นกลุ่มที่ตั้งที่อยู่ไม่ถาวรมาก่อน และเคยทำการเพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอย มีลักษณะแบบครอบครัวพหุภรรยา (polygamy) หรือผัวมีเมียได้มากกว่าหนึ่งคน (หน้า 8,29) 2 ) สังคมที่ไม่อนุญาตให้หนุ่มสาวมีความสัมพันธุ์ทางเพศก่อนการแต่งงาน เช่น ในกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง ลัวะ ถิ่น ขมุ ส่วนใหญ่สังคมแบบนี้ จะเป็นสังคมที่ตั้งที่อยู่อาศัยแบบถาวร ทำการเพาะปลุกแบบทำไร่หมุนเวียน ส่วนครอบครัวจะเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) (หน้า 8,29) การมีสัมพันธ์ทางเพศจะมีเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์และผู้ใหญ่จะไม่อบรมสั่งสอนลูกหลานในเรื่องเพศแต่จะให้เรียนรู้เองเมื่อแต่งงานมีครอบครัว (41,43) การเลือกคู่ครองของถิ่นและขมุ ถิ่นและขมุจะมีวิธีป้องกันการล่วงเกินทางเพศในระหว่างช่วงการเลือกคู่ครองของคนหนุ่มสาวคือ หนุ่มจะไปคุยกับสาวที่บ้านของสาวที่ชอบพอในตอนหัวค่ำ ตอนที่ไปพูดคุยด้วยนั้นเริ่มแรกพ่อ แม่ ของผู้หญิงจะมาคุยด้วยหากถูกใจหนุ่มคนดังกล่าวว่าจะมาเป็นลูกเขยที่ดีต่อไปในวันหน้า ก็จะให้โอกาสโดยจะเลี่ยงไปนอนและแอบฟังเสียงดูเงียบๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายผิดจารีตประเพณี แต่ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ชอบก็จะนั่งคุยอยู่ด้วยโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดคุยกันตามลำพัง (หน้า 44) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านกรณีศึกษาทั้งสองหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ปกครองเพียงหนึ่งคน แม้ว่าจะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมภาษาและเชื้อชาติก็ตาม (หน้า 33) |
|
Belief System |
ความเชื่อของถิ่นและขมุ ถิ่นและขมุมีความเชื่อเรื่องผีและเรื่องขวัญ ผี ถิ่นจะเรียกผีว่า “ปรอง” และขมุ เรียกผีว่า “โฮร่ย” โดยเชื่อว่าทั้งคนผีและทุกสิ่งอย่างในธรรมชาติอยู่บนโลกด้วยกัน ผีจะมีอำนาจมากกว่าคนและสามารถให้ทั้งคุณและโทษกับคน สำหรับผีมีหลายชนิดด้วยกันอาทิเช่น ผีเรือน หรือผีบรรพบุรุษ ผีหมู่บ้าน ผีเจ้าที่ ผีหลวง ผีที่อยู่ในป่าซึ่งเป็นผีที่ร้ายกาจชอบทำร้ายคน (หน้า 37) ขวัญ เชื่อว่าขวัญมีความสำคัญต่อการมีชีวิต แต่ยังมีความคิดเห็นที่ไม่แน่นอนว่าขวัญมีจำนวนเท่าใดในร่างกาย โดยเชื่อว่าขวัญจะอยู่ในร่างกายคนตั้งแต่ 5 -32 ขวัญ เมื่อเจ็บไข้ไม่สบายก็เชื่อว่าเป็นเพราะขวัญออกจากร่างกาย ถ้าขวัญออกจากตัวมากก็ยิ่งป่วยมากบางครั้งอาจรุนแรงถึงตาย สำหรับสาเหตุที่ทำให้ขวัญออกจากร่างกายคนก็มาจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้ เช่นเมื่อตกใจมากๆ ลื่นล้ม ฝันร้าย ได้รับอุบัติเหตุ เป็นต้น เมื่อขวัญออกจากร่างกายก็จะทำให้ไม่สบาย สำหรับการรักษาเมื่อเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากขวัญออกจากร่างกายก็คือ การทำพิธีมัดขวัญ เรียกขวัญให้กลับเข้าร่าง (หน้า 37) ทั้งนี้ความเชื่อเรื่องผีและขวัญ มีข้อดีสำหรับสังคมถิ่นและขมุก็คือ ทำให้คนที่อยู่ในสังคมปฏิบัติตามจารีตประเพณี และให้คนเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น (หน้า 38) ทัศนคติเรื่องเพศของถิ่นและขมุ ถิ่นและขมุต่างเห็นว่าอวัยวะเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ สกปรกและเป็นอัปมงคล ตัวอย่างเช่นกรณีการทะเลาะกันในสังคมถิ่นระหว่างชายหญิงคู่หนึ่ง เมื่อฝ่ายหญิงด่าทอสู้ผู้ชายไม่ได้ จึงเปิดอวัยวะเพศให้ผู้ชายดูเพื่อประชด จนทำให้ผู้ชายแค้นเคืองใช้ปืนยิงจนกระทั่งผู้หญิงได้รับบาดเจ็บ และผู้ชายคนนั้นต้องได้รับโทษติดคุก (หน้า 39) ความเชื่อเกี่ยวกับแม่หม้าย ในสังคมถิ่นและขมุเชื่อว่าแม่หม้ายมีความศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างเช่น หากแม่หม้ายโกรธหรือแช่งด่าผู้ใด คำแช่งด่านั้นมักจะเป็นความจริง ในสังคมขมุถ้าเด็กเกิดใหม่ตาเข ก็จะรักษาโดยให้แม่หม้ายเอาฝาปิดไหนึ่งข้าวมาโบกที่ตาที่พิการนั้น ตาก็จะหายเข (หน้า 45) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ปัญหาโรคเอดส์ จากการสำรวจยอดจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ในกลุ่มชาวเขายังไม่มีความชัดเจน เพราะยังมีการสำรวจที่ค่อนข้างจำกัดและไม่แยกว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด สำหรับการสำรวจของกองโรคเอดส์ กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าจากการสำรวจผู้ติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มชาวเขาในภาคเหนือตอนบน (ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2534) ระบุว่ามีชาวเขาติดเชื้อเอดส์ 175 คน ในจังหวัดต่างๆ ดังนี้ เชียงใหม่ 78 คน เชียงราย 67 คน จำนวนของผู้ติดเชื้อเอดส์ของทั้งสองจังหวัดคิดเป็น 85 % ของผู้ติดเชื้อชาวเขาที่อยู่ภาคเหนือตอนบน (หน้า 6-7) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ตะแหลวแม่หม้าย คือเครื่องรางทำจากไม้ไผ่สานเป็นรูปตารางแปดเหลี่ยม ส่วนมากจะปักเอาไว้ที่ไร่เมื่อทำพิธีเซ่นไหว้ผีไร่ การทำเช่นนี้ก็เพื่อคุ้มกันผีร้ายจะมารังคราญขวัญข้าวกระทั่งทำให้ปลูกข้าวให้ผลิตน้อย สำหรับที่มาของการปักตะแหลวไว้ที่ไร่ก็มาจากที่ชาวบ้านสังเกตว่าไร่แม่หม้ายไม่เคยมีผีป่าหรือสัตว์ป่ามากวนในไร่ จึงไปแอบดูจึงรู้ว่าแม่หม้ายปักตะแหลวไว้ในไร่ จึงให้แม่หม้ายทำตะแหลวมาปักที่ไร่ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของชื่อ ”ตะแหลวแม่หม้าย” (หน้า 45) |
|
Folklore |
นิทานการให้ความช่วยเหลือแม่หม้ายของถิ่นและขมุ นิทานเรื่องนี้มีที่มาคือการให้ความช่วยเหลือแม่หม้ายเพื่อป้องกันการปฏิบัติที่ผิดจารีตประเพณีในสังคมเนื่องจากแม่หม้ายเป็นผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับสามีมาก่อน มีเรื่องเล่าว่า “นานมาแล้วที่อยู่ในสมัยที่น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ เวลานั้นเทวดาได้บอกให้คนเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ในยุ้ง แต่ไม่มีผู้ใดเชื่อฟังคำเตือนของเทวดา แต่มีแม่หม้ายผู้หนึ่ง ได้สร้างยุ้งเก็บข้าวไว้ในที่สูง และทำตามที่เทวดาได้เตือนมา ครั้นน้ำท่วมโลกจนหมด ข้าวของคนอื่นได้หายไปจนหมด คงเหลือแต่ข้าวของแม่หม้ายเท่านั้น เธอจึงได้แบ่งข้าวให้คนอื่นๆ เอาไปเป็นเมล็ดพันธุ์ คนอื่นๆ จึงรอดชีวิต สำหรับการให้ความช่วยเหลือแม่หม้ายก็เพื่อเป็นการทดแทนคุณความดีที่แม่หม้ายได้เคยช่วยเหลือคนที่เคยลำบากตอนน้ำท่วมโลกนั่นเอง” (หน้า 44-45) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในงานเขียนได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศที่มีความสัมพันธ์ต่อสถานการณ์การเป็นโรคเอดส์ในชุมชนถิ่นและขมุดังนี้ 1 ) การผิดจารีตประเพณีทางเพศในชุมชน เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกับสาวในหมู่บ้าน การมีชู้ การนอกใจคู่สมรส 2 ) วิถีชีวิตของหนุ่มสาว คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศของกลุ่มวัยหนุ่มสาว เนื่องจากมีหนุ่มสาวบางส่วนที่เข้าไปทำงานในเมืองซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกับการดำรงชีวิตภายในหมู่บ้านที่มีผู้หลักผู้ใหญ่คอยดูแล ส่วนคนหนุ่มเมื่อเข้าไปทำงานในเมืองก็จะใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยและมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ เช่น การไปเที่ยงซ่องโสเภณี และการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย (หน้า 48-54) |
|
Map/Illustration |
ตาราง ผู้ติดเชื้อเอดส์กับจำนวนประชากรแยกตามเผ่า (หน้า 7) ผู้ป่วยและเสียชีวิตในประเทศไทย (หน้า 10) |
|
|