|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คนเมือง,พิธีกรรม,การเกษตร,ความอุดมสมบูรณ์,ภาคเหนือ |
Author |
มาลี ไพรสน |
Title |
พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือ การศึกษาในแง่ความสัมพันธ์กับชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
121 |
Year |
2531 |
Source |
มหาวิทยาลัยพายัพ |
Abstract |
ผู้เขียนพบว่าพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือ ทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมชีวิตทางเศรษฐกิจ ได้แก่ เป็นสิ่งแทนเทคโนโลยีทางการผลิต ควบคุมพลังงานการผลิต เป็นสิ่งสำแดงชัยในการเอาชนะธรรมชาติ และตอกย้ำบทบาทหน้าที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบันดาลความอุดมสมบูรณ์ ส่วนหน้าที่ที่สัมพันธ์กับชีวิตทางสังคมแบ่งออกเป็นระดับสังคมส่วนรวม ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ชาวบ้านพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเอง รวมถึงส่งเสริมความเป็นเอกภาพของสังคม และหน้าที่ระดับบุคคล ที่ช่วยรักษาความเจ็บป่วยและช่วยให้ชาวบ้านผ่อนคลายความวิตกกังวล นอกจากนี้ พิธีกรรมยังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การลดหย่อนวิธีปฏิบัติ การเสื่อมสลาย การเกิดขึ้นใหม่ และการหย่อนคลายความเชื่อถือ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความต้องการให้ขนาดของงานใหญ่โตขึ้น เพื่อจะได้เพิ่มความสนุกสนานคึกครื้นมากขึ้น จะได้เป็นที่พอใจของผี วิญญาณที่เชิญมาร่วมสนุก รวมถึงความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ความขาดแคลนวัสดุที่ใช้ในพิธีกรรม การเปลี่ยนแปลงของระบบการเมือง วิธีการผลิต และอิทธิพลของความคิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ (หน้า 117-119) |
|
Focus |
พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้แนวคิดหน้าที่นิยม (Functionalism) ของ Brownislor Malinowsky ที่กล่าวว่าศาสนามีหน้าที่ต่อชีวิตมนุษย์และสังคม ตามแนวคิดดังกล่าวพบว่า พิธีกรรมต่างๆนั้นมีหน้าที่ดังนี้ 1.) ด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ พิธีกรรมทำหน้าที่เป็นสิ่งแทนเทคโนโลยีทางการผลิต ช่วยทำหน้าที่ในการควบคุมปริมาณน้ำ ทั้งน้ำฝนจากธรรมชาติและจากฝายเก็บกักน้ำ ป้องกันภัยเบียดเบียนพืชผลจากสัตว์ต่างๆ และช่วยให้ชาวนาได้ผลผลิตสมบูรณ์ โดยดึงพลังจากสิ่งเหนือธรรมชาติเข้าช่วย พิธีกรรมทำหน้าที่ในการควบคุมพลังงานในการผลิต ช่วยระดมแรงงานจากกลุ่มเครือญาติ โดยอาศัยผีบรรพบุรุษ และระดมสมาชิกชุมชนทั้งเพื่อช่วยเหลือในการเพาะปลูก และการซ่อมแซมฝายชำรุดในแต่ละปี รวมถึงการควบคุมพลังงานสัตว์ที่เป็นแรงงานด้วย และพิธีกรรมทำหน้าที่เป็นสื่อสำแดงชัยในการเอาชนะธรรมชาติและตอกย้ำบทบาทหน้าที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบันดาลความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 96-101) 2.) ด้านความสัมพันธ์กับชีวิตทางสังคม แบ่งเป็นหน้าที่ต่อระดับส่วนรวมและระดับบุคคล โดยหน้าที่ต่อระดับส่วนรวม พิธีกรรมจะทำหน้าที่ในการสนับสนุนอุดมการณ์อิสระและพึ่งตนเอง คือการจัดทำและใช้เหมืองฝายของหมู่บ้านเอง ไม่ได้พึ่งของส่วนกลาง พิธีกรรมช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ชาวบ้านใช้ความพยายามในการแก้ปัญหาด้วยตนเองภายในชุมชนตลอดปีการผลิต และทำหน้าที่ในการผนึกส่วนต่างๆ ของสังคมเข้าเป็นเอกภาพ ให้ทุกคนเข้าไปมีส่วนร่วมในพิธีกรรม เพื่อมิให้ตนเป็น คนแปลกปลอม ในสังคม ช่วยลดความขัดแย้งในสังคม โดยใช้ผีฝายเป็นสักขีพยานในการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างยุติธรรม ช่วยกระชับความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติ และชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ตลอดจนส่งเสริมให้สมาชิกตระหนักรู้ในความมีเอกลักษณ์ร่วมกันทางวัฒนธรรม และผนวกเอาชุมชนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางอำนาจรัฐ ผ่านผีเจ้าบ้านหรือผีท้องถิ่นที่ต้องขึ้นกับผีศูนย์กลางใหญ่ (หน้า 101) ส่วนหน้าที่ต่อระดับบุคคล พิธีกรรมช่วยรักษาความเจ็บป่วย และช่วยให้ชาวบ้านได้ผ่อนคลายความเครียด ความวิตกกังวล และดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความหวังทั้งในโลกนี้และโลกหน้า นอกจากยังช่วยให้ความบันเทิงด้วย (หน้า 117-118) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างปี พ.ศ. 2530-2531 (หน้า 3) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
บริเวณที่พักอาศัยของหมู่บ้าน มีพืชเศรษฐกิจที่เป็นไม้ยืนต้นร่มคลื้มปกคลุมตลอดทั้งหมู่บ้าน จากสภาพการตั้งบ้านเรือนจะมีพื้นที่นาส่วนหนึ่งประมาณ 100 ไร่ อยู่ตรงกลางในวงล้อมของที่พักอาศัยและมีที่นาอีกส่วนหนึ่งโอบล้อมบ้านพักอาศัยเหมือนวงแหวน อย่างไรก็ตามปัจจุบันที่นากลางหมู่บ้านกว่าครึ่งกลายเป็นสวนไม้ผล พืชเศรษฐกิจยืนต้นแล้ว (หน้า 12) |
|
Demography |
มีจำนวนประชากรในพื้นที่ศึกษาทั้งหมด 1,008 คน 291 ครัวเรือน แยกเป็นหมู่ที่ 6 จำนวน 433 คน 127 ครัวเรือน และหมู่ที่ 7 จำนวน 575 คน 164 ครัวเรือน (หน้า 12) |
|
Economy |
เดิมชาวบ้านที่นี่ทำนา โดยแบ่งพื้นที่นาเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะอยู่ในวงล้อมของที่พักอาศัย อีกส่วนหนึ่งจะโอบล้อมที่พักอาศัยประดุจวงแหวน แต่ปัจจุบันพื้นที่นากลางหมู่บ้านซึ่งเดิมมีกว่า 100 ไร่ได้ถูกปรับสภาพเป็นสวนผลไม้กว่าครึ่ง (หน้า 12) ในปัจจุบันชาวบ้านกู่แดงประกอบอาชีพหลายอย่าง เช่น ทำนาทำสวน ขายแรงงานในเมือง ในโรงงานอุตสาหกรรมใกล้หมู่บ้าน รับจ้างทำงานเฉพาะฤดูกาล ค้าขาย รับราชการครู และรับจ้างในหน่วยงานเอกชน (หน้า 13) หมู่บ้านกู่แดงได้รับการส่งเสริมอาชีพรูปแบบต่างๆ จากรัฐจนเคยได้รับรางวัลหมู่บ้านพัฒนาตัวอย่างระดับประเทศจากกระทรวงมหาดไทย แต่ปัจจุบันโครงการต่างๆ ล้มเหลว ชาวบ้านต้องต่อสู้ดิ้นรนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจระบบตลาดเช่นในปัจจุบันด้วยวิถีทางของตนเอง แม้ว่ายังคงมีการรวมกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ตามนโยบายการพัฒนาของทางราชการ เช่น กลุ่มแม่บ้านเกษตร แต่ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็ยังคงมีหนี้สินผูกอยู่กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และเจ้าหนี้รายย่อยอื่นๆ (หน้า 14) |
|
Social Organization |
ยึดถือความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติที่สืบเชื้อสายของปู่ย่ายตายายและบรรพบุรุษเดียวกันเป็นสำคัญ หรือเป็นกลุ่มเครือญาติที่ถือ ผีเดียวกัน ระบบเครือญาติในหมู่บ้านภาคเหนือและที่บ้านกู่แตงนับถือผีบรรพบุรุษในสายสกุลฝ่ายแม่ (Matrilineage) การนับถือผีบรรพบุรุษเดียวกันส่งเสริมการรวมตัวกันของเครือญาติ ระบบเครือญาติจึงเป็นเครื่องมือในการจัดสรรความสัมพันธ์ในการใช้แรงงานของหมู่บ้านด้วย (หน้า 15-16, 98) ในกลุ่มเครือญาติจะมีการทำพิธีแสดงความเคารพต่อบรรพบุรษ คือ ทำพิธีไหว้ผีปู่ย่า เพื่อให้บรรพบุรุษคุ้มครองให้อยุ่ดีมีสุข อีกทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ในกลุ่มเครือญาติ ครอบครัวผู้เป็น เค้าผี หรือผู้สืบสายสกุลระดับต่างๆ จะเป็นผู้ประกอบพิธี และมีครอบครัวสมาชิกในสายตระกูลฝ่ายหญิงเข้าร่วมพิธีด้วย แต่ละครอบครัวจะบริจากเงินเพื่อซื้อของเซ่นไหว้ (ซึ่งต้องซื้อให้หมดไม่ให้มีเงินเหลือ) ส่วนคนทำพิธีคือ ตั้งเข้า ที่เป็นหญิงอาวุโสต้นตระกูล 1 คน พิธีไหว้ผีปู่ย่าจะประกอบพิธีช่วงเดือน 9 (เหนือ) ดับ (แรม) ยกเว้นวันพระและวันพุธ (เป็นวันไม่ดีสำหรับพิธีกรรมเกี่ยวกับผี) จะประกอบพิธีที่มุมห้องนอนทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือบางครอบคัวมีหอผีปู่ย่าต่างหากก็ทำพิธีที่หอผีปู่ย่า (หน้า 21, 22) |
|
Political Organization |
การเมืองการปกครองของหมู่บ้านกู่แดงนั้นมี 2 องค์กร องค์กรแรกคือองค์กรทางการเมืองที่จัดตั้งโดยรัฐ ได้แก่ กรรมการหมู่บ้าน สภาตำบล โดยหมู่บ้านกู่แดงอยู่ในเขตบริหารหมู่ 6, 7 ตำบลหนองแฝก อำเภอสารภี ผู้นำหมู่บ้าน ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านละคน ก่อนหน้านี้ผู้นำฝ่ายปกครองหมู่ 7 ได้รับเลือกให้เป็นกำนันตำบลหนองแฝก ดำเนินนโยบายการพัฒนาตามแนวราชการจนทำให้หมู่บ้านกู่แดงได้รับเลือกเป็นหมู่บ้านพัฒนาดีเด่นอันดับหนึ่ง แต่เมื่อปีพ.ศ. 2531 กำนันคนนี้ก็ถูกชาวบ้านขับไล่ เนื่องจากเห็นว่าปฏิบัติงานเฉื่อยและมีปัญหาการคอรัปชั่น กำนันจึงต้องพ้นจากตำแหน่ง นับเป็นปฏิบัติการทางการเมืองโดยขบวนการทางธรรมชาติภายในหมู่บ้านเองเป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านกู่แดงได้แสดงออกถึงความขัดแย้งในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ปัจจุบันผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 คนใหม่ก็ถูกเลือกตั้งโดยชาวบ้าน (หน้า 17) |
|
Belief System |
ชาวบ้านกู่แดงมีความเชื่อทางศาสนาที่มีลักษณะผสมผสานในแบบที่เรียกว่า ศาสนาแบบชาวบ้าน ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับผีและพุทธศาสนาระดับชาวบ้าน โดยสามารถแบ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านภาคเหนือเชื่อว่ามีอำนาจบันดาลความอุดมสมบูรณ์ได้ 2 ประเภท ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบความเชื่อทางศาสนาผสมผสานระหว่างผีกับพุทธระดับชาวบ้าน คือ 1.) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อแบบผี ซึ่งแบ่งเป็นผีบรรพบุรุษหรือผีปู่ย่า ซึ่งมีอำนาจบันดาลความเป็นไปที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของสมาชิกในสายสกุลทั้งในด้านดีและด้านร้าย ผีที่ควบคุมปัจจัยการผลิต ผีไร่นา ผีสวน ผีฝาย และผีฝ่ายปกครองหรือผีเจ้าบ้านหรือผีเสื้อบ้านเชื่อกันว่าเป็นผีบรรพบุรุษผู้มาบุกเบิกก่อตั้งหมู่บ้านครั้งแรก เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว วิญญาณยังคงทำหน้าที่ดูแลรักษาสมาชิกในหมู่บ้าน มีอำนาจบันดาลความเป็นไปต่างๆ ที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต เช่น การทำมาค้าขาย ความอยู่ดีกินดี และความอุดมสมบูรณ์ของการเพาะปลูก 2.) พุทธแบบชาวบ้าน (ผสมลัทธิพราหมณ์) ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยบทบาทพระสงฆ์ เช่น ให้พร สะเดาะเคราะห์ ฯลฯ เป็นกระบวนการเบ็ดเสร็จซึ่ง ผี ให้ไม่ได้ และมีลักษณะใกล้ชิด สัมผัส ตัวตนได้มากกว่าผี และพิธีกรรมยังมีรูปแบบค่อนข้างซับซ้อนกว่าพิธีในระบบความเชื่อแบบผี ซึ่งเป็นพิธีกรรมขนาดใหญ่ระดับชุมชนทั้งสิ้น เช่น พิธีทานข้าวใหม่ และทานก๋วยสลาก (หน้า 70-74) พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตร และความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือที่ปรากฏในปัจจุบันที่ชาวบ้านยึดถือ ปฏิบัติมีทั้งหมด 15 พิธี ได้แก่ พิธีไหว้ผีเจ้าบ้าน ไหว้ผีฝาย แห่นางแมวขอฝน ฟังธรรมปลาช่อน สืบชะตาบ้าน ไหว้ผีปู่ย่า ฟ้อนผีเม็ง มัดมือรถไถ แฮกนา เรียกขวัญข้าว ไหว้เจ้าที่สวน ทานก๋วยสลาก ยี่เป็ง ทานข้าวใหม่ และปีใหม่ (สงกรานต์) ซึ่งจะจัดตามช่วงฤดูกาลต่างๆ ได้แก่ 1.) ก่อนฤดูเพาะปลูก คือต้องประกอบพิธีให้เสร็จสิ้นก่อนเดือน 9 เหนือ หรือระหว่ากลางเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูร้อน (แล้ง) ต่อต้นฤดูฝน พิธีกรรมเหล่านี้มีสาระเกี่ยวกับการระดมแรงงานการควบคุมดินฟ้า อากาศ และน้ำ ตลอดจนการป้องกันรักษาพืชผล มีพิธีไหว้ผีปู่ย่า ไหว้ผีเจ้าบ้าน ฟ้อนผีเม็ง ไหว้ผีฝาย แห่นางแมวขอฝน ฟังธรรมปลาช่อนและพิธีแฮกนา 2.) หลังฤดูเพาะปลูก พิธีกรรมในช่วงนี้มีสาระเกี่ยวกับการปรองดองกันฉันท์ญาติ การตอกย้ำหน้าที่ในการช่วยเหลือดูแลผลผลิตของวิญญาณบรรพบุรุษ ตลอดจนปัดเป่าเคราะห์ภัยอันตรายต่างๆ อันอาจเกิดขึ้นกับชีวิตและพืชผลให้หลุดลอยไปกับกระแสน้ำที่ลดลง มีพิธีมัดมือรถไถ ทานก๋วยสลากและพิธียี่เป็ง 3.) หลังฤดูเก็บเกี่ยว พิธีกรรมมีสาระเกี่ยวกับการทำให้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองการได้ผลผลิต ซึ่งอาจออกมาในรูปของการ แก้บน ผีบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นการ ขอบคุณ และตอกย้ำการปฏิบัติหน้าที่ในปีต่อไป นอกจากนี้ก็เป็นการกำชับความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติ ตลอดจนสร้างความมั่นคงสืบเนื่องของชุมชนหมู่บ้าน มีพีธีไหว้เจ้าที่สวน เรียกขวัญข้าว ทานข้าวใหม่ปีใหม่ และพิธีสืบชะตาบ้าน (หน้า 19-20) ระดับการมีส่วนร่วมของบุคคลที่เกี่ยวข้องก็มีทั้ง 1.) ระดับชุมชน ที่ชาวบ้านในหมู่บ้านแทบทุกครัวเรือนจะเข้ามามีส่วนร่วม เนื่องจากสภาพปัญหาหรือวิกฤติการณ์ที่เผชิญนั้นเป็นปัญหาร่วม และผลจากการปฏิบัติก็เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ชุมชนทั้งหมด มีพิธีกรรมไหว้ผีเจ้าบ้าน ไหว้ผีฝาย แห่นางแมวขอฝน ฟังธรรมปลาช่อน (หน้า 18) 2.) ระดับกลุ่มเครือญาติ ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมจะมีแต่กลุ่มเครือญาติของแต่ละสายสกุลในหมู่บ้านซึ่งอาจเป็นผู้อาศัยภายในหมู่บ้านหรือภายนอกหมู่บ้าน ปัจจุบันได้ขยายออกไปถึงกลุ่มเพื่อนบ้านและผู้ที่สนใจอื่นๆ ด้วย ผลจากการประกอบพิธีกรรมจะเอื้ออำนวยเฉพาะแก่ผู้ประกอบพิธีกรรมและกลุ่มเครือญาติที่เข้าร่วมในพิธีกรรม ซึ่งในหมู่บ้านกู่แดงมีเฉพาะพิธีกรรมการนับถือผีบรรพบุรุษ และกลุ่มแรงงานในหมู่เครือญาติ มีพิธีกรรมไหว้ผีปู่ย่า ฟ้อนผีเม็ง มัดมือรถไถ (หน้า 18) 3.) ระดับบุคคล การปฏิบัติพิธีกรรมแยกออกจากชุมชนโดยลำพัง ต่างคนต่างทำกันไป แต่ก็มีรูปแบบปฏิบัติและความเชื่อเดียวกัน ผลที่คาดหมายจากการประกอบพิธีกรรมก็เพื่อตนเองเท่านั้น มีพิธีแฮกนา เรียกขวัญข้าว ไหว้เจ้าที่สวน (หน้า 19) และ 4.) ระดับผสมผสาน เป็นพิธีกรรมที่มีลักษณะพิเศษที่มักเกี่ยวกับเทศกาล มีทั้งการประกอบพิธีโดยลำพัง (ส่วนบุคคล) ร่วมกับกลุ่มเครือญาติ และร่วมกับสมาชิกชุมชนทั้งหมด โดยมากมักจะเกี่ยวกับทางศาสนาพุทธ พราหมณ์ และการนับถือผี โดยจะแยกปฏิบัติส่วนละขั้นตอน ผลที่คาดหมายจากการประกอบพิธีกรรม เพื่อเอื้อทั้งตนเอง เครือญาติและส่วนรวม มีพิธีทานก๋วยสลาก ยี่เป็ง ทานข้าวใหม่และพิธีปีใหม่ (สงกรานต์) (หน้า 19) มีการแสดงออกถึงระบบความเชื่อ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.) การแสดงออกในรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อแบบผีและแบบพุทธ 2.) วัตถุประสงค์ เพื่อบังคับให้ฝนตกตามฤดูกาล ให้มีปริมาณน้ำเพียงพอแก่การผลิต ระดมแรงงาน ในการผลิต ป้องกันภัยเบียดเบียนพืชผล และให้ได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตอกย้ำบทบาทหน้าที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบันดาลความอุดมสมบูรณ์ และฉลองชัยในการเอาชนะธรรมชาติ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะได้รับความอุดมสมบูรณ์ในโลกหน้า (ชีวิตหลังความตาย) (หน้า 75-76) ระบบสัญลักษณ์ เป็นปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ แบ่งออกเป็น สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ เวลาที่ถูกเลือกเพื่อประกอบพิธีกรรมนั้นมีความหมายต่อระบบการผลิตของชุมชน รวมถึงเวลาในวันที่ประกอบพิธีกรรมยังมีความหมายเกี่ยวข้องกับการโคจรของดวงอาทิตย์ด้วย สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับสถานที่ โดยสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีกรรม หมายถึงศูนย์กลางของอาณาบริเวณที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่สถิตแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ตั้งอยู่ คล้ายกับเป็นทั้งสถานที่พำนักและศูนย์บัญชาการในการบันดาลอำนาจตามเจตจำนงของมนุษย์ สถานที่เหล่านี้จึงเป็นเอกสิทธิ์ของ ผู้อยู่อาศัย เช่นเดียวกับมนุษย์ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้และถือเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเช่นกัน (หน้า 76-77) สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับวัตถุ และสิ่งมีชีวิต ได้แก่ วัตถุบูชาในพิธีกรรม เช่น ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของการก่อเกิดและความดีงาม เทียน หมายถึงความเจริญผาสุก หรือหลังแห่งการทำลาย (ความชั่วร้าย) และพลังแห่งการเพิ่มขึ้น (ในด้านดี) เป็นต้น โดยเหตุที่วัตถุต่างๆ มีคุณสมบัติและความหมาย คนจึงใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงความเคารพบูชา ทั้งมีนัยถึงการอวยพรหรือความปรารถนาดีต่อผู้ที่ตนบูชา ตลอดจนแทนความคาดหวังผลจากการบูชานั้นๆ ว่าจะเป็นสิริมงคลผลดีแก่ตน (หน้า 77) อาหาร สามารถแบ่งตามระดับโอกาสได้ 3 ลักษณะ คือ - อาหารเกียรติยศ ใช้เฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น มักเป็นอาหารที่ประกอบขึ้นจากเนื้อสัตว์ (ขนาดใหญ่) - อาหารธรรมดา หรืออาหารพื้นบ้านทั่วไปที่ไม่เน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ - อาหารเฉพาะโอกาส เป็นอาหารที่ไม่เน้นเกียรติยศหรือความเรียบง่าย แต่เน้นเฉพาะโอกาสที่ใช้ ซึ่งมีการสืบทอดต่อๆ กันมาจนเป็นกฎเกณฑ์ นอกจากนี้ผู้เขียนยังแบ่งลักษณะอาหารในพิธีกรรมตามแนวความเชื่อผีกับพุทธอีกด้วย โดยอาหารที่ใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผี จะเน้นอาหารที่ได้จากเนื้อสัตว์ขนาดใหญ่และสด ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องแสดงการอุทิศถวายชีวิตเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดให้แก่ผี เพียงแต่ขอใช้ชีวิตสัตว์แทนชีวิตคน เพื่อแลกกับการมีชีวิตรอดของคนส่วนใหญ่จากวิกฤติการณ์ต่างๆ โดยมีผีเป็นผู้ช่วยดูแลคุ้มครอง ส่วนอาหารที่ใช้ในพิธีกรรมพุทธไม่เน้นอาหารที่แสดงชัดเจนว่ามาจากการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อย่างจงใจแบบผี แต่ก็ไม่ถึงกับห้ามใช้เนื้อสัตว์ปรุงอาหาร เพียงแต่ต้องเป็นอาหารที่ประกอบจนสุกแล้ว อาหารในพิธีกรรมพุทธจึงเป็นสัญลักษณ์ของการให้ทานหรือทำบุญ ความมีเมตตาหรือการให้ผู้อื่นเป็นสุข และขณะเดียวกันอานิสงส์จากการให้ก็จะย้อนกลับมาตอบสนองตนเองด้วย และน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความผาสุกปราศจากภัยร้ายใดๆ ในชีวิต และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ประดุจการรวมตัวของสายน้ำ) (หน้า 78-80) สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับสัตว์และพืช มีความหมายในทางส่งเสริมสนับสนุนความอุดมสมบูรณ์ กล่าวคือ เป็นสัญลักษณ์ของการได้ กินอิ่มหนำ และ สำราญ (การละเล่น) (หน้า 80-81) สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ดาบในพิธีฟ้อนผีเม็ง เป็นสัญลักษณ์ของการหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ และใช้ป้องกันศัตรู เครื่องดนตรีทำหน้าที่เป็นสื่อติดต่อกับวิญญาณ เป็นเครื่องควบคุมการดำเนินพิธี ตลอดจนให้ความสนุกสนาน และเป็นเครื่องแสดง อำนาจบารมี ของผู้ประกอบพิธีกรรม เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากในการจ้างวงดนตรีพื้นบ้านมาเล่น (หน้า 81-83) สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับสี ได้แก่ สีขาว-สีแดง หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตและวิญญาณ เช่นปรากฏในอาหารสำคัญในพิธีไหว้ผีต่างๆ สีดำ หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ เช่น สีดำของแมวในพิธีแห่นางแมวขอฝน น่าจะหมายถึงเมฆฝนหรือความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 83-85) สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับกิจกรรม ได้แก่ 1) การบวงสรวงบูชาหรือการทำบุญ เช่น การกรวดน้ำ เป็นการแสดงออกถึงความตระหนักในพันธะระหว่างกันของคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้านหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญูรู้คุณ อีกด้านเป็นการเรียกร้องบุญคุณ เป็นเครื่องชี้ว่ามนุษย์นั้นสำนึกในความมีอำนาจของตนอยู่ หาใช่ยอมจำนนพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ถ่ายเดียวไม่ (หน้า 85-86) 2) การกินเลี้ยง เป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองยินดีที่จะได้รับความอุดมสมบูรณ์ในปีการผลิตต่อไป และยังหมายถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมกินร่วมใช้ เป็นการแสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และระหว่างคนกับคนด้วยกัน และการได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ คือสัญลักษณ์ของการมีความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 86) 3) การละเล่นรื่นเริง เป็นการแสดงความยินดีปรีดาและความเบิกบานหรษาอันเป็นสื่อแสดงถึงความรู้สึกเป็นสุข และยังเป็นการสื่อความหมายเตือนย้ำถึงวาระการผลิตและวงจรชีวิตในช่วงต่างๆ ซึ่งจะปรากฏเฉพาะในพิธีฟ้อนผีเม็ง (หน้า 87) บุคคล ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีกรรม ได้แก่ 1) ผู้ประกอบพิธี คือ ผู้เป็นเจ้าของวัตถุประสงค์ในการประกอบพิธีกรรมซึ่งอาจเป็นผู้เผชิญกับวิกฤตการณ์โดยตรง หรือเป็นผู้ที่มี ส่วนได้ส่วนเสีย 2) ผู้อำนวยพิธี คือ ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในการประกอบพิธีกรรม ชาวบ้านเรียกว่า ตั้งเข้า ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในพิธี และยังอาจทำหน้าที่พิเศษที่คนธรรมดาทำไม่ได้หรือไม่มีสิทธิ์ทำ โดยต้องมีวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่ผิดจากคนธรรมดา และในบางพิธีผู้อำนวยพิธีจะต้องมีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับในสายตาของชาวบ้านด้วย 3) ผู้เข้าร่วมพิธี คือ ผู้ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์โดยตรง แต่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบพิธีในสถานะหนึ่ง เช่น เป็นเครือญาติ เพื่อนบ้าน แต่ปัจจุบันบุคคลนอกสายสกุลก็เข้าไปร่วมพิธีด้วย และยังมีพ่อค้าแม่ค้า ที่ช่วยเสริมความ ใหญ่โต ให้งาน (หน้า 89-90) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การรักษาแบบพื้นบ้านที่สำคัญอย่างหนึ่ง ได้แก่ การฟ้อนผีเม็ง เพื่อแก้บนผีปู่ย่าหลังจากหายจากอาการเจ็บป่วยที่ได้ทำพิธีบนไว้ โดยมีเหตุผลของการฟ้อนผีเม็ง เป็นเพราะทำกันมาหลายชั่วอายุคนและชาวบ้านก็ถ่อว่า เมื่อมีการฟ้อนผีแล้วจะสบายใจ เกิดกำลังในการทำงาน หากไม่มีการฟ้อนผีถือว่าเป็นความผิดทางใจย่างมหันต์ และว่าผลสะท้อนจากการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามรีตรอยเดิม จะทำให้บุคคลและคนในครอบครัวกระวนกระวายใจในการดำรงชีวิต ทำมาหากินฝืดเคือง และเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นนิจ (หน้า 106) โดยพิธีฟ้อนผีเม็งนี้จัดหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวไปจนถึงก่อฤดูกาลเพาะปลูก โดยมากนิยมจัดในเดือน 8 เหนือ (พฤษภาคม) โดยมี ตั้งเข้า เป็นผู้อำนวยพิธี ขั้นตอนการประกอบพิธีกรรม ในระยะก่อนวันประกอบพิธีจะต้องมีการบนผีปู่ย่าก่อน เพื่อร้องขอให้ผีปู่ย่าช่วยรักษาความเจ็บไข้ หรือจุดประสงค์อื่น เพราะการจัดหรือไม่จัดพิธีฟ้อนผีซึ่งถือเป็นการแก้บนขึ้นอยู่กับผลของการบน โดยตั้งเข้าจะบอกกล่าวผีปู่ย่าให้มาปกปักรักษาให้หาย หากหายแล้วจะทำพิธีฟ้อนผีให้ได้สนุกสนานรื่นเริงเป็นการแก้บน ซึ่งต้องระบุก่อนสิ้นเดือน 9 เหนือ เป็นช่วงเวลาอิสระที่จะเลือกจัดพิธีตามความพร้อมของกำลังทรัพย์ ในวันประกอบพิธีแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะแรกคือระยะ ก่อนตอน หรือหลังรับประทานอาหารเช้าและก่อนรับประทานอาหารกลางวัน โดยจะมีการเข้าทรงในร่างญาติผู้ป่วย 2 คน ซึ่งก็ยังแบ่งออกเป็นการละเล่นที่มีชื่อตอนย่อยต่างๆ อีก และระยะ กินตอนแล้ว หรือหลังจากรับประทานอาหากลางวันแล้ว ซึ่งเป็นเวลาเฉลิมฉลองอย่างคึกครื้นรื่นเริง (หน้า 27-38) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
หมู่บ้านกู่แดงได้รับอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมจากภายนอก ทำให้ประชากรมีอาชีพที่หลากหลาย นอกเหนือไปจากอาชีพการทำการเกษตร ซึ่งยังเป็นอาชีพหลักของคนส่วนใหญ่ เพราะความต้องการเงินตราสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นหมู่บ้านที่ได้รับข่าวสารข้อมูลต่างๆ จากภายนอกโดยสื่อมวลชนสมัยใหม่ ซึ่งมีจำนวนมากภายในหมู่บ้าน ประกอบกับระดับการศึกษาจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ของผู้คนในหมู่บ้านก็สูงขึ้น กระจายได้มากขึ้น โดยเฉพาะเยาวชนในหมู่บ้าน ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นกระแสวัฒนธรรมจากภายนอกดังกล่าวน่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตในหมู่บ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ในส่วนที่ผูกพันอยู่กับวิถีชีวิตอย่างแนบแน่น เช่น ระบบความเชื่อ โดยทำให้ชาวบ้านลดหย่อนวิธีปฏิบัติ รวมถึงการเสื่อมและการเกิดขึ้นใหม่ของพิธีกรรม และการหย่อนคลายความเชื่อถือ (หน้า 107-111) |
|
|