สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การอพยพ,วัฒนธรรม,โรคลมบ้าหมู,สหรัฐอเมริกา
Author Anne Fadiman
Title The Spirit Catches You and You Fall Down
Document Type หนังสือ Original Language of Text -
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 292 Year 2540
Source New York: Farar, Straus and Giroux
Abstract

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาอาการป่วยโรคลมบ้าหมูของเด็กหญิงม้งคนหนึ่งชื่อ Lia Lee เกิดที่หุบเขาซานโฮควิน(the San Joaquin valley) รัฐแคลิฟอร์เนีย พ่อแม่ของเธอเป็นม้งอพยพ เมื่ออายุ 3 เดือนเธอมีอาการที่ม้งเรียกว่า quau dab peg(the spirit catches you and you fall dawn) หรือโรคลมบ้าหมู(epilepsy) ขณะที่แพทย์ให้การรักษาดีที่สุดด้วยยาจำนวนมาก พ่อแม่ของเธอกลับชอบที่จะผสมผสานการแพทย์แบบตะวันตกเข้ากับวิธีการรักษาพื้นบ้านโดยชักนำขวัญที่ออกจากร่างกายให้กลับคืนสู่เจ้าของ การรักษาในช่วง 4 ปี ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการสื่อสารบกพร่องทางภาษาก่อให้เกิดช่องว่างลึกระหว่างพ่อแม่เด็กกับแพทย์ที่ตั้งใจจริงในการรักษา อันเป็นผลทำให้การทำงานของสมองเด็กหญิงสูญเสียความสามารถไป(จาก About This Guide ท้ายเล่ม)

Focus

สนใจศึกษาความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการเข้าใจผิดในการสื่อสารทางภาษาระหว่างครอบครัวผู้ป่วยม้งกับแพทย์ผู้รักษาโรคลมบ้าหมูของเด็กหญิงม้งตระกูลลี(Lee) ซึ่งอาศัยอยู่ใน Merced County รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้งอพยพใน Merced County รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาม้งเป็นคำพยางค์เดียว มีเสียงวรรณยุกต์ คำส่วนมากลงท้ายด้วยเสียงสระ เดิมภาษาม้งไม่มีระบบตัวอักษร แต่ตอนปลายคริสตศตวรรษที่ 19 มิชชันนารีและนักภาษาศาสตร์ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรภาษาม้งมีจำนวนมากกว่า 12 ระบบ โดยดัดแปลงมาจากตัวอักษรภาษาอื่นๆ เช่น จีน ไทย ลาว เวียดนาม รัสเซีย แต่ระบบที่ม้งและนักภาษาศาสตร์ยอมรับมากที่สุดได้แก่ ระบบตัวอักษรโรมัน(the Romanized Popular Alphabetหรือ RPA) ระบบนี้ใช้ตัวอักษรโรมันแทนเสียงทุกเสียงในภาษาม้ง ไม่มีเครื่องหมายแทนเสียงวรรณยุกต์ แต่ใช้พยัญชนะตัวสุดท้ายของคำแทนเสียงวรรณยุกต์ เช่น คำ dab หมายถึง ผี ออกเสียง da โดยพยัญชนะ b แสดงเสียงสูง (น.291-292)

Study Period (Data Collection)

ผู้เขียนไม่ได้ระบุเวลาชัดเจน กล่าวแต่เพียงว่า เริ่มไปพบครอบครัวลีครั้งแรกเมื่อวันที่ 9พฤษภาคม ค.ศ. 1988 และใช้เวลา 9 ปีในการศึกษา (น. viii)

History of the Group and Community

ประวัติความเป็นของม้ง เชื่อกันว่าบรรพบุรุษดั้งเดิมของม้งมาจากยูเรเชีย(Eurasia) เข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนไซบีเรียนานมาแล้วหลายพันปี(น.131) ม้งมีชีวิตสงบสุขจนกระทั่งประมาณ 2700 ปีก่อนคริสตศักราช พระเจ้าฮวงตี้(Hoang-ti)ของจีนต้องการกำจัดม้งให้หมดไป เพราะเห็นว่าม้งป่าเถื่อน ไม่สามารถใช้กฎหมายปกครองได้เช่นเดียวกับคนกลุ่มอื่น (น.14) และตั้งแต่นั้นมาม้งก็สู้รบกับจีนเรื่อยมา และค่อยๆ เคลื่อนย้ายจากที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลือง(the valley of the Yangtze and Yellow river)ลงมาใต้จนกระทั่งขึ้นไปอยู่บนที่สูง (น.15) ประมาณ ค.ศ. 400 ม้งก็สามารถตั้งอาณาจักรอิสระของตนได้ในบริเวณโฮหนาน(Honan) เฮอเป่ย(Hupeh) และเฮอหนาน(Hunan) อาณาจักรม้งตั้งได้ประมาณ 500 ปีก็ถูกจีนโจมตีจนล่มสลาย ม้งได้พากันอพยพหนีไปทางทิศตะวันตก อาศัยบนภูเขาสูงในเขตไกวโจวและเสฉวน(Kweichow and Szechuan) และในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สมัยราชวงศ์หมิง จีนก็สร้างกำแพงสูงเพื่อกันม้งให้อยู่นอกเขตดินแดน (น.15) ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง พระเจ้าเฉียนหลง(Ch’ien-lung)ต้องการกำจัดม้งให้หมดสิ้น จึงส่งกองทัพมาปราบปรามม้งในไกวโจวและเสฉวน ใช้เวลานานหลายเดือนและสิ้นเงินไปจำนวนมาก กษัตริย์ม้งและครอบครัวถูกประหารหมดสิ้น อย่างไรก็ตาม ก็มีม้งจำนวนหนึ่งอพยพเข้าไปในดินแดนอินโดจีน อาศัยบนที่สูงในเวียดนาม ลาว และไทยในเวลาต่อมา (น.16-17) การอพยพไปสหรัฐอเมริกา ม้งอพยพเข้าไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาภายหลังผู้อพยพเวียดนามและกัมพูชา เมื่อม้งไปถึงสหรัฐอเมริกานั้น ศูนย์ฝึกอบรมภาษาและอาชีพที่ให้การอบรมแก่ผู้อพยพได้ปิดสำนักงานแล้ว ม้งจึงถูกไปยังบ้านแห่งใหม่ของพวกเขาโดยตรง ไม่มีโอกาสได้รับการอบรมเช่นเดียวกับผู้อพยพเวียดนามและกัมพูชาที่เข้ามาก่อน ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกในสหรัฐอเมริกา พวกเขาต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น National Voluntary Resettlement Agencies(VOLAGs) เจ้าหน้าที่ผู้อพยพ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่บริการสังคม เจ้าหน้าที่จัดหางาน (น.184) ม้งเกือบทั้งหมดถูกส่งไปอยู่ที่ Minneapolis, Chicago, Milwaukee, Detroit, Hartford และ Providence ซึ่งเป็นที่ราบ มีหิมะในฤดูหนาว และเป็นศูนย์บริการผู้อพยพได้แก่ การดูแลสุขภาพ การจัดชั้นเรียนภาษา การฝึกอบรมงานและบ้านพัก ในการส่งเสริมการผสมกลมกลืน(assimilation) The Immigration and Naturalization Service ใช้นโยบายการกระจายม้งมากกว่าการจับกลุ่มรวมกัน ม้งจึงถูกส่งไปยังเมืองต่างๆ 53 แห่งใน 25 รัฐ ตระกูลม้งถูกแยกกระจายจากกัน บางแห่งมีม้งเพียงตระกูลเดียวอาศัยอยู่ ซึ่งทำให้หนุ่มสาวม้งไม่สามารถหาคู่แต่งงานได้ เพราะม้งห้ามคนในตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน และนั่นทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวกันของกลุ่ม(group solidarity)ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการจัดระเบียบทางสังคมม้งมานานกว่าสองพันปี ต้องถูกละทิ้งไป

Settlement Pattern

การเคลื่อนย้ายหมู่บ้านของม้งในประเทศลาว มีปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ 1) แบบแผนการเพาะปลูก การเพาะปลูกแบบถางเผา(a slash-and burn crop)เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายบ้านของม้ง เพราะหลังจากใช้ที่ดินเพาะปลูกไป 2-3 ปี ดินจะลดความอุดมสมบูรณ์ จำเป็นต้องหาที่ดินแห่งใหม่เพาะปลูก ซึ่งที่ดินแห่งใหม่นี้จะอยู่ไกลบ้านออกไปเรื่อยๆ ถ้าต้องใช้เวลาเดินทางระหว่างบ้านกับที่ดินนาน ก็จะปลูกกระท่อมในไร่สำหรับพักค้างคืน และสุดท้ายเมื่อที่ดินเพาะปลูกห่างไกลจากหมู่บ้านมากขึ้นๆ พวกเขาก็จะย้ายบ้านไปอยู่ในบริเวณที่ดินแห่งใหม่นั้น (น.123) 2) หมู่บ้านมีสิ่งปฏิกูลและมูลสัตว์สะสมมาก หรือคนในหมู่บ้านเริ่มเจ็บป่วย ทำให้ต้องย้ายหมู่บ้านไปที่แห่งใหม่ หรือถ้าหมู่บ้านมีคนหนาแน่นมาก กลุ่มครอบครัวขยายก็จะออกไปตั้งบ้านเรือนในที่แห่งใหม่ใกล้ๆกับหมู่บ้านเดิม เป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านใหญ่ (น.124)

Demography

ประชากร ประชากรม้งประมาณ 10,000 คนอยู่ในฝรั่งเศส แคนาดา ออสเตรเลีย อาเจนตินา ไกยานาฝรั่งเศส(French Guiana) และที่อื่นๆ (น.167) ประชากรม้งที่อาศัยอยู่ใน Merced County มีจำนวนมากกว่า 12,000 คน (น.24) ประกอบด้วยม้ง 14 ตระกูล ได้แก่ Cheng, Fang, Hang, Her, Kong, Kue, Lee, Moua, Thao, Vang, Vue, Xiong, และ Yang (น.228) การอพยพ ในคริสตทศวรรษ 1960 และ 1970 ลาวกลายเป็นสนามรบในสงครามเวียดนาม ทำให้ม้งต้องอพยพย้ายถิ่นครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกับที่ม้งอพยพจากจีนมายังอินโดจีน การอพยพในช่วงแรกยังเป็นการย้ายถิ่นอยู่ภายในพรมแดนประเทศลาว แต่ต่อมาภายหลังเป็นการย้ายถิ่นออกไปไกลนอกประเทศ (น.124) จากการสู้รบ 90% ของหมู่บ้านในลาวทางตอนเหนือได้รับผลกระทบของสงคราม คนในหมู่บ้านได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบหรือไม่ก็ต้องย้ายบ้านหนีสงคราม หรือบางคนก็ได้รับผลกระทบทั้งสองอย่าง หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านต้องโยกย้ายหนี หลังจากบ้านถูกเผาและหัวหน้าของพวกเขาถูกกองกำลังปะเทดลาว(the Pathet Lao)หรือเวียดนามเหนือฆ่าในตอนกลางคืน หมู่บ้านบางแห่งก็ต้องหนีรกะทันหันเพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งระเบิดของเครื่องบินรัฐบาลลาวหรือสหรัฐอเมริกา บางหมู่บ้านก็ล่มสลายเพราะผู้ชายตายหรือไปสู้รบ มีแต่ผู้หญิง เด็กและผู้ชายสูงอายุที่ทำงานในไร่นาไม่ไหว ประมาณปี ค.ศ. 1970 ประชากรม้งมากกว่า 1 ใน 3 ในลาวต้องอพยพย้ายถิ่นภายในประเทศ (น.134) เนื่องจากข้อผูกพันทางทหารและการที่นายพลวังเปา(Vang Pao)ไปตั้งถิ่นฐานในมอนตานา(Montana) ม้งจึงอพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกามากกว่าประเทศอื่น ในปี ค.ศ. 1975 สหรัฐอเมริการับม้งอพยพเข้าไปในประเทศจำนวนน้อยกว่า 330 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ทางทหารและครอบครัว ต่อมาในปี ค.ศ. 1980 จึงรับม้งอพยพเข้าประเทศมากขึ้น ประมาณ 25,000 คน โดยตั้งเงื่อนไขว่า ไม่รับครอบครัวขยายที่มีสมาชิกมากกว่า 8 คนเข้าประเทศ แต่ไม่จำกัดขนาดของครอบครัวเดี่ยว ดังนั้นเมื่อในการให้สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สำนักงานผู้อพยพ ม้งจึงไม่บอกความจริง ภรรยาคนที่สองจึงกลายเป็นลูกสาวหรือน้องสาว หลานสาวหลานชายกลายเป็นลูกสาวลูกชาย เป็นต้น (น.167) ในปี ค.ศ. 1981 ม้งที่อยู่ในค่ายอพยพที่ประเทศไทย เริ่มปฏิเสธการเดินทางย้ายไปอยู่ประเทศที่สาม เพราะข่าวลือเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสหรัฐอเมริกาที่ได้ยินมาจากผู้อพยพรุ่นแรกๆ ทำให้ม้งกังวลใจ เช่น ห้องพักอาศัยในตึกใหญ่ ความรุนแรงในเมือง การพึ่งพาสวัสดิการรัฐ การไม่สามารถเพาะปลูกได้อีก การห้ามทำพิธีเซ่นไหว้ด้วยสัตว์ การจับคนแก่ที่สูบฝิ่นขังคุก รวมถึงข่าวลือว่าหมอในสหรัฐอเมริกากินตับ ไตและสมองคนไข้ คนม้งยิ่งอายุมากเท่าใด ก็ยิ่งไม่เต็มใจออกจากค่ายผู้อพยพ เพราะแม้ชีวิตในค่ายจะไม่ดีนัก แต่ที่ค่ายประเพณีวัฒนธรรมม้งยังคงอยู่ เด็กๆยังเชื่อฟังผู้อาวุโส และสิ่งสำคัญที่คนสูงอายุไม่กล่าวให้คนแปลกหน้าได้ยิน คือ พวกเขากลัวว่า ถ้าไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พวกเขาจะไม่มีพิธีศพและหลุมศพที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก (น.168) ครอบครัวลี Nao Kao หัวหน้าครอบครัวเป็นคนในตระกูลลี(Lee) Foua ภรรยาของเขาเป็นคนในตระกูลยาง(Yang) ปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกามีลูก 9 คน ได้แก่ Chong, Zoua, Cheng, May, Yer, True, Mai, Lia และ Pang (น.113) เมื่อลาวคอมมิวนิสต์เข้าครองประเทศในปี ค.ศ.1975 ครอบครัวของ Nao Kao ได้พยายามหนีออกจากประเทศในปี ค.ศ. 1976 แต่ไม่สำเร็จ จึงไปอยู่ที่ห้วยทราย(Houaysouy)โดยถูกควบคุมเป็นระยะๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 ลูกชายของเขาคนหนึ่งเสียชีวิตเพราะอดอาหาร ครอบครัวของ Nao Kao และครอบครัวคนอื่นๆในตระกูล Lee, Yang. Vang และ Xiong ประมาณ 400 คนจึงตัดสินใจหนีจากลาวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากหนีไม่สำเร็จในครั้งแรก (น.155-156) พวกเขาเดินทาง 26 วันก็ข้ามชายแดนเข้าสู่ฝั่งไทย พักอาศัยทื่ประเทศไทยหนึ่งปีในค่ายผู้อพยพ 2 แห่งก่อนจะย้ายไปสหรัฐอเมริกา (น.156) ขณะเดินทางหนีเข้าไทย ลูกๆของ Nao Kao ได้เสียชีวิตระหว่างทาง ช่วงที่อยู่ในค่ายแม่จริม ลูกๆที่รอดชีวิต 4 คนของ Nao Kao ได้แก่ Cheng ลูกชาย และ Ge, May และ True ซึ่งเป็นลูกสาวป่วยมาก Ge เสียชีวิต แต่อีก 3 คน พ่อแม่พาไปโรงพยาบาลประจำค่าย Cheng กับ May หายป่วย แต่ True ถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่าจนหายป่วย (น.23) และระหว่างอยู่ในค่ายผู้อพยพที่ประเทศไทย Foua ก็คลอดลูกสาวคนหนึ่งชื่อ Mai (น.5-6) ครอบครัวลีมาถึงสหรัฐอเมริกา วันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1980 พวกเขาขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปโฮโนลูลู(Honolulu) แล้วต่อไปพอร์ตแลนด์(Portland) โอเรกอน(Oregon) อาศัยอยู่ที่นั่น 2 ปี จึงย้ายไปอยู่ที่ Merced County (น.182) ณ บริเวณที่เคยเป็นย่านที่พักอาศัยของพวกที่มาจากอเมริกาใต้(Hispanic) หลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ Foua ได้ให้กำเนิดลูกสาวอีกสองคน คือ Lia ซึ่งเกิดวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1982 (น.6)และ Pang ซึ่งเกิดวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1984 (น.58)

Economy

การยังชีพในลาว ม้งอาศัยอยู่บนที่สูงระหว่าง 1,000-2,000 เมตร พวกเขาไม่ค่อยลงมายังพื้นที่ราบเนื่องจากกลัวการเจ็บป่วยจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่คุ้นเคย มีพ่อค้ายูนนานนำสินค้า เช่น เงิน ผ้า ด้าย รองเท้า และหม้อ ขึ้นไปแลกเปลี่ยนกับม้งเป็นครั้งคราว ม้งดำรงชีพแบบพึ่งพาตนเอง ปลูกข้าว ข้าวโพดและพืชผักสำหรับบริโภค ของใช้บางอย่างก็ผลิตใช้เอง เช่น ปืน (น.120-121) มีเพียงฝิ่นเท่านั้นที่ม้งปลูกเป็นพืชเงินสด(cash crop) ทั้งนี้ม้งจะแลกเปลี่ยนฝิ่นกับเงิน(silver)เท่านั้น พวกเขาจะนำเงินที่ได้ไปหลอมทำเครื่องประดับหรือสะสมสำหรับเป็นค่าตัวเจ้าสาว (น.122-123) ม้งปลูกพืชแบบถางเผา(a slash-and –burn crop) ในหน้าแล้งทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะช่วยกันถางไร่ และเผาไม้ที่กองตากแห้ง หลังจากนั้นก็เพาะปลูกได้เลย การเพาะปลูกแบบนี้ไม่ต้องไถพรวนดิน ไม่ต้องทดน้ำ หรือปรับหน้าดิน รวมทั้งไม่ต้องใส่ปุ๋ย เพราะขี้เถ้าจากการเผาทำให้ดินมีธาตุอาหารสำหรับพืช แต่เมื่อเพาะปลูกไปได้ 4-5 ปี ธาตุอาหารในดินจะลดลง จะต้องทิ้งร้างที่ดินไว้ประมาณ 20 ปี จึงจะใช้ที่ดินเพาะปลูกได้อีก (น.123)

Social Organization

ความสัมพันธ์ภายในชุมชนม้ง ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง แต่การปฏิบัติดูแลพยาบาลอาการป่วยของครอบครัวลีต่อลูกสาวก็แสดงถึงบทบาทของผู้นำสายตระกูลและเครือญาติที่ยังคงความสำคัญในสังคมม้งอยู่ เช่น อิทธิพลของผู้นำสายตระกูลทำให้ผู้เขียนสามารถเข้าถึงคนม้งได้ โดย Sukey Walley นักจิตวิทยาที่ Merced ซึ่งเป็นคนอเมริกันที่ได้รับการยอมรับนับถือจากม้งมากที่สุดเป็นผู้แนะนำให้ผู้เขียนได้รู้จักกับผู้นำม้งใน 4 ตระกูล ผู้นำแต่ละคนให้การต้อนรับเธอดี ผู้นำ 2 คนในทั้งหมด 5 คนนั้นเป็นแหล่งข้อมูลและกลายเป็นเพื่อนที่มีค่าของผู้เขียนในเวลาต่อมา (น.95) หรือความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่าง May Ying Xiong ล่ามของผู้เขียนกับครอบครัวของ Lia ที่สามีของเธอเป็นคนในตระกูลลี(Ly)เช่นเดียวกัน ทำให้ Foua พ่อแม่ของ Lia ปฏิบัติต่อล่ามของผู้เขียนเหมือนหลาน ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนได้รับการต้อนรับและความร่วมมือในการสนทนาเก็บข้อมูลจากครอบครัวลี (น.96-97) หรือความช่วยเหลือของญาติในตระกูลเพื่อจัดพิธีเซ่นไหว้ทั้งการช่วยเหลือทางการเงินและการจัดเตรียมพิธี (น.109)

Political Organization

นายพลวังเปา (General Vang Pao) เป็นผู้นำม้งในการต่อสู้กับกองกำลังปะเทดลาว โดยได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอ(CIA) วังเปาเริ่มเป็นทหารเมื่ออายุได้ 13 ปี ทำหน้าที่เป็นล่ามและคนนำทางในป่าให้ฝรั่งเศส ในต้นคริสตทศวรรษ 1950 เขาเข้าโรงเรียนฝึกเจ้าหน้าที่ ต่อมาเมื่อ ซีไอเอให้เขาเป็นผู้นำกองกำลังต่อสู้ เขาก็ได้รับยศนายพันในปี ค.ศ. 1961 และยศนายพลในปี ค.ศ.1963 (น.129-130) การมีส่วนร่วมในสงครามอินโดจีนของม้ง ม้งเข้าไปมีส่วนร่วมในการสู้รบอินโดจีนตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว โดยเข้าร่วมกับฝรั่งเศสและลาวต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น และหลังสงครามโลกพวกเขาก็ยังต่อต้านเวียดมินห์(the Vietminh)ด้วย (น.127) ต่อมาหลังจากข้อตกลงในการประชุมที่เจนีวา ปี ค.ศ.1961-1962 ประเทศต่างๆ อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียตรัสเซีย เวียดนามเหนือ เวียดนามใต้ และชาติอื่นๆอีก 10 ชาติ ตกลงยืนยันความเป็นกลางของลาวและสัญญาที่จะไม่ส่งกองกำลังหรือทหารต่างชาติเข้าไปในประเทศลาว หากอย่างไรก็ตาม ความกังวลใจของสหรัฐอเมริกาที่เกรงว่า ถ้าลาวกลายเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ประเทศเวียดนามใต้ กัมพูชา ไทยและพม่าก็จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วย สหรัฐอเมริกาจึงสนับสนุนการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในลาวและการตัดเส้นทางสนับสนุนทางทหารจากเวียดนามเหนือมาเวียดนามใต้ตามเส้นทางสายโฮจิมนห์ ซึ่งเป็นเส้นทางในบริเวณชายแดนเวียดนาม-ลาวตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกาหลีกเลี่ยงการละเมิดข้อตกลงเจนีวาด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ปรึกษาซีไอเอ(CIA)กลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งเข้าไปปฏิบัติการ ฝึกอบรมและติดอาวุธให้กับม้งเป็นทหารกองโจร ซึ่งจำนวนมากกว่า 30,000 คน ปฏิบัติการในภาคพื้นดิน(น.125-126) ม้งมีเหตุผลของตนเองในการปกป้องรัฐบาลลาว(the Royal Lao government)และเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะลัทธิคอมมิวนิสต์ดึงดูดใจน้อยกว่าทุนนิยม แต่เพราะลัทธิคอมมิวนิสต์คุกคามความเป็นอิสระของพวกเขา เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ พวกเขากลัวการแก้แค้นจากเวียดนามเหนือ เพราะพวกเขาเข้าร่วมกับฝรั่งเศสสู้รบกับเวียดนามก่อนที่อาณานิคมอินโดจีนจะล่มสลาย นอกจากนั้น การที่ม้งอาศัยอยู่ในบริเวณภูเขาที่ล้อมรอบทุ่งไหหินที่ราบตะวันออกเฉียงเหนือของลาว ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญ ที่กองกำลังคอมมิวนิสต์จากภาคเหนือต้องเดินทางผ่านเพื่อครอบครองเวียงจันทร์ จึงทำให้ม้งต้องเกี่ยวข้องกับการสู้รบนี้(น.128)

Belief System

ในระบบความเชื่อดั้งเดิมของม้งมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ คนทรง (shaman) ม้งเรียกว่า “txiv neeb “ คนทรงสามารถเข้าภวังค์ สามารถขี่ม้าข้ามภูเขา 12 ลูกที่กั้นระหว่างโลกกับท้องฟ้า ข้ามทะเลซึ่งเป็นที่อยู่ของมังกร และเจรจากับผีเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ คนทรงยังช่วยให้คนที่ไม่มีลูกมีลูกได้โดยให้คู่แต่งงานเซ่นไหว้ด้วยสุนัข แมว ไก่ หรือแกะ หลังจากเชือดคอสัตว์ที่นำมาเซ่นไหว้แล้ว คนทรงจะขึงสะพานเชือกจากเสาประตูมายังเตียงนอนของคู่แต่งงาน เพื่อให้วิญญาณของเด็กที่จะมาเกิดเดินทางมายังโลกได้ (น.4) ในสหรัฐอเมริกา คนทรงยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือคนเจ็บเหมือนดังเช่นที่เคยกระทำในประเทศลาว เครื่องมือที่คนทรงใช้ในการรักษาได้แก่ มีดดาบ(saber) ฆ้อง(gong) กระดึง(rattle) กระดิ่ง(finger bells) และม้านั่งทำจากไม้กว้าง10 นิ้ว ยาว 10 ฟุต ซึ่งเป็นม้าบิน(flying horse)ให้คนทรงขี่ขณะทำพิธี(น.279) ผู้เขียนกล่าวถึงคนทรงในชุมชนม้งที่ Merced County ว่าเป็นการมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือสังคม ไม่คิดค่าตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในตระกูลเดียวกัน แต่จะได้รับหัวหมูและขาหมูข้างขวาจากการทำพิธีแทนเงิน คนทรงจะเก็บเขี้ยวล่างของหมูไปตากแห้งนอกอพาร์ทเมนท์ แล้ะวเก็บรวมรวมไว้บนหิ้ง เมื่อถึงวันสิ้นปีก็จะนำเขี้ยวเหล่านี้ไปเผา เพื่อปล่อยวิญญาณของหมูให้หลุดพ้นจากหน้าที่ ถ้าอยู่ในลาว เขาจะเผาในหลุม แต่ที่ Merced เขาเผาเขี้ยวเหล่านั้นในกระทะ (น.281) ขวัญ (soul) ม้งเชื่อว่า ขวัญมี 3 ส่วนในยามตาย ส่วนหนึ่งจะอยู่หลุมศพ ส่วนหนึ่งจะเดินทางไปยังดินแดนแห่งความตาย และอีกส่วนหนึ่งจะไปเกิดใหม่ (น.282) ขวัญจำเป็นและสำคัญต่อสุขภาพและความสุข ขวัญจะออกจากร่างกายเมื่อโกรธ เป็นทุกข์ กลัว อยากรู้อยากเห็น หรืออยากเที่ยวเล่น ขวัญของเด็กแรกเกิดมีแนวโน้มที่จะหายไปมากกว่าผู้ใหญ่ ทั้งนี้แสงสว่าง เสียงไพเราะ และกลิ่นหอมจะดึงดูดใจให้ขวัญของเด็กเล็กออกไปเที่ยวเล่น หรือขวัญอาจจะออกจากร่างกายเมื่อเด็กเล็กรู้สึกเศร้าเสียใจ หรือตกใจเพราะเสียงดัง หรือถูกผีร้ายขโมยขวัญ ม้งไม่พูดเสียงดังว่า เด็กน่ารัก เพราะกลังผีได้ยิน เด็กเล็กจะสวมหมวกที่ตกแต่งเป็นพู่เพื่อหลอกผีให้เข้าใจว่าเด็กเป็นดอกไม้ (น.10-11) ขณะที่ผ้าอุ้มเด็ก(nyias)จะปักลวดลายเป็นเครื่องหมายรักษาขวัญ เช่น เล้าหมู เด็กเล็กจะสวมกำไล/สร้อยเงินที่คอเพื่อผูกขวัญไว้ เมื่อเด็กเล็กออกไปนอกบ้าน พ่อแม่จะส่งเสียงเรียกขวัญของเด็กก่อนกลับ เพื่อให้แน่ใจว่าขวัญกลับมาบ้านด้วย (น.11) พ่อแม่ของ Lia อธิบาย”ขวัญหาย” กับผู้เขียนว่า ขวัญก็เหมือนเงา บางครั้งท่องเที่ยวไปเหมือนผีเสื้อ เมื่อขวัญกลับคืนมา เจ้าของขวัญก็จะมีความสุขและกลับมาสบายดี บางครั้งขวัญออกจากร่างกายไปแล้วทำให้เจ็บป่วย และบางคนป่วยเพราะสาเหตุนี้ ดังนั้นจึงต้องใช้ neeb (healing spirit) รักษา (น.100) ความตาย ม้งเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ ถ้าร่างกายสูญเสียอวัยวะสำคัญหลังตาย วิญญาณของพวกเขาจะไม่สามารถไปเกิดในร่างใหม่ได้ และอาจจะเป็นอันตรายกับญาติที่ยังมีชีวิตได้ ดังนั้นการผ่าพิสูจน์ศพเพื่อหารสาเหตุการตายและการฉีดยาไม่ให้ศพเน่าเปื่อยจึงเป็นสิ่งต้องห้าม (น.33) พิธีเรียก/สู่ขวัญ (soul-calling) ม้งเรียก hu plig เมื่อเด็กเกิดได้ 3 วัน ม้งจะทำพิธีสู่ขวัญและตั้งชื่อเด็ก แต่เมื่อย้ายมาอยู่ในสหรัฐอเมริกาจะทำพิธีหลังจากเด็กออกจากโรงพยาบาลแล้ว ครอบครัวลีทำพิธีสู่ขวัญหลังจากเด็กเกิดแล้วหนึ่งเดือน เพราะต้องรวบรวมเงินจากเงินสวัสดิการที่รัฐจ่ายให้และเงินของขวัญที่ญาติๆให้สำหรับจัดพิธี (น.9-10) มีญาติๆจากตระกูลลี(Lee)และยาง(Yang)มาร่วมพิธี (น.11) นอกจากเด็กแรกเกิดแล้ว ยังทำพิธีเรียกขวัญรักษาการเจ็บป่วยด้วย (น.284) พิธีรักษาการเจ็บป่วย (healing ceremony) ผู้เขียนกล่าวว่า แม้ Nao Kao และ Foua พ่อแม่ของ Lia เชื่อว่าสภาพของลูกสาวอาจจะอยู่พ้นการเข้าถึงของ neeb (spiritual healing) ดังที่คนทรงคนหนึ่งบอกพวกเขาว่า ยาที่ใช้รักษาทำให้ Lia เจ็บป่วยจนแก้ไขไม่ได้ เพราะถ้าการเจ็บป่วยเกิดจากผี การทำพิธีรักษาบ่อยๆจะช่วย Lia ให้พูดได้แล้ว แต่ในสภาพของ Lia ขณะนี้ พวกเขาก็หวังเพียงว่า คนทรงจะทำให้ Lia มีความสุขมากขึ้น หยุดร้องไห้ตอนกลางคืน ทั้งยังหวังว่าขวัญของ Lia จะถูกหาพบ และผีที่กักขวัญไว้จะยอมรับวิญญาณหมูไปแทน และยังหวังว่าLia จะมีสุขภาพดี (น.283) การทำพิธีรักษาครั้งนี้ ครอบครัวลีใช้หมู 2 ตัวซึ่งใช้เงินที่รวบรวมมาจากเงินออมสวัสดิการและเงินช่วยเหลือจากญาติซื้อมาจากฟาร์มท้องถิ่นราคา 225 เหรียญสหรัฐ เป็นตัวใหญ่หนึ่งตัวสำหรับ Lia และตัวเล็กหนึ่งตัวสำหรับทั้งครอบครัว พิธีเริ่มตั้งแต่เช้า คนทรงทำพิธีเซ่นไหว้ผีสำหรับครอบครัวก่อน ขอให้ครอบครัวลีปลอดภัยสุขภาพดี คนทรงจะผูกเชือกรอบคอหมูตัวเล็ก แล้วโยงเชือกไปพันรอบคนในครอบครัวลีที่ยืนรวมกันกลางห้องนั่งเล่น เพื่อผูกวิญญาณของหมูไว้กับขวัญที่มันจะปกป้องรักษา แล้วญาติผู้ชายคนหนึ่งก็เชือดคอหมู แล้วคนอื่นๆก็เข้ามาช่วยกันนำหมูไปทำต่อที่ลานจอดรถ เพื่อนำมาประกอบอาหาร (น.281-283) ต่อจากนั้น คนทรงจึงทำพิธีเซ่นไหว้สำหรับ Lia โดยแม่ของเธอจะอุ้มเธอไว้ นั่งกลางห้อง มีคนในครอบครัวทั้งหมดและญาติๆนั่งล้อมรอบ เริ่มด้วยคนทรงวางเงินผีสำหรับต่ออายุบนไหล่ของ Lia และญาติผู้ชายคนหนึ่งก็จับไก่ที่ยังมีชีวิตโบกในอากาศ เพื่อเรียกขวัญ(hu plig)ของ Lia จากนั้นก็นำไก่ไปเชือด แล้วต้ม เสร็จแล้วจึงนำไก่นั้นมาตรวจหาว่าขวัญกลับมาหรือไม่ โดยดูว่า เท้า”เกร็ง”(tight feet) ตาแข็ง(firm eyes) ลิ้นม้วนขึ้น(upcurled tongue) และกะโหลกโปร่งแสง(translucent cranium)หรือไม่ (น.283-284) ขั้นต่อมา เป็นพิธีเซ่นไหว้หมู ซึ่งเป็นหมูตัวผู้เพราะ Lia เป็นเด็กผู้หญิง คนทรงผูกเชือกรอบคอหมู แล้วโยงไปพันรอบ Lia กับแม่ แล้วคนทรงก็เดินวนจากหมูไปยังทั้งสองหลายรอบ พร้อมกับสั่นกระดึง(rattle)เพื่อให้ขวัญของ Lia ได้ยิน จากนั้นก็ตีฆ้องเรียกผีผู้ช่วย แล้วโยนเขาควายผ่าซีกคู่หนึ่งเพื่อดูว่าผีผู้ช่วยได้ยินหรือๆไม่ ถ้าเขาควายหงายด้านเรียบทั้งสองอันแสดงว่าไม่ได้ยิน ถ้าคว่ำหนึ่ง หงายหนึ่งยังกำกวม แต่ถ้าเขาควายหงายทั้งสองอันแสดงว่าได้ยิน ต่อมาคนทรงนำเงินผีไปวางไว้ใกล้กับหมู ขอให้หมูทำหน้าที่ดูแล Lia โดยจ่ายรางวัลให้และถึงสิ้นปีก็จะปล่อยให้วิญญาณหมูเป็นอิสระจากหน้าที่ แล้วก็โยนเขาควายดูว่าหมูยอมรับหรือไม่ เมื่อหมูยอมรับ ก็ขอบคุณหมู แก้เชือกที่ผูกหมูกับ Lia และแม่ แล้วคนทรงก็โบกมีดในอากาศเพื่อตัดความเจ็บป่วยออกไป จากนั้นก็นำหมูไปเชือด เอาเลือดหมูมาแต้มเงินผี แล้วคนทรงก็แตะหลังของ Lia ด้วยกระดิ่ง(a finger bell) แล้วนำเงินผีออกจากไหล่ Lia ไปวางบนหมู เมื่อเสร็จพิธีเซ่นไหว้หมูแล้ว ต่อไปก็เป็นการติดตามค้นหาขวัญของ Lia ในโลกอื่น (น.285-287)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

การเจ็บป่วย ม้งเชื่อว่า การเจ็บป่วยมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น กินอาหารผิด ดื่มน้ำไม่สะอาด อากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เซ่นไหว้บรรพบุรุษ เจอผีที่อาศัยในลำห้วยหรือต้นไม้ทำร้าย ถูกผีนั่งทับอกขณะนอนหลับ ไปเห็นผีสาวแคระ ซักผ้าในบ่อน้ำที่มังกรอาศัยอยู่ แตะต้องลูกหนูเกิดใหม่ ฆ่างูตัวใหญ่ ปัสสาวะรดก้อนหินที่รูปร่างคล้ายเสือ และอื่นๆ แต่สาเหตุที่ทั่วไปที่ทำให้เจ็บป่วยคือ ขวัญหาย (น.10) ความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย ม้งเชื่อว่า ร่างกายมีเลือดจำนวนจำกัด การนำเลือดจากร่างกายไปตรวจทดสอบอาจจะทำให้ตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็ก และก็เชื่อว่า เมื่อคนหมดสติ ขวัญชองเขาจะเป็นอิสระ ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด อาจจะทำให้เจ็บป่วยและตายได้ ถ้อวัยวะร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป ความไม่สมดุลของร่างกายนี้จะคงอยู่ตลอดไป ความพิการนี้มิได้เป็นเพียงแค่การเจ็บป่วย แต่ยังเป็นอาจจะมีผลไปถึงการเกิดใหม่ด้วย การผ่าตัดร่างกายจึงเป็นสิ่งต้องห้าม (น.33) แต่กระนั้น ม้งก็ยอมรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทั้งการกินและการฉีด ม้งจะกลัวเข็มฉีดยาไม่มาก เพราะคุ้นเคยกับการรักษาแบบฝังเข็มและการกระตุ้นผิวหนัง เช่น การนวด การหยิก(pinching) การใช้เหรียญ ช้อนหรืออื่นๆหนีบผิวหนัง (น.34) การตั้งครรภ์และการคลอด ผู้หญิงท้องให้การเอาใจใส่ต่ออาหารการกินมาก ม้งเชื่อว่า ถ้าหญิงตั้งครรภ์อยากกินอาหารบางอย่างแล้วไม่ได้กินจะมีผลต่อสุขภาพเด็กที่จะเกิด เช่น ถ้าอยากกินขิงแล้วไม่ได้กิน ลูกทีเกิดจะมีนิ้วมือหรือนิ้วเท้าโต ถ้าอยากกินเนื้อไก่แล้วไม่ได้กิน เด็กจะมีแผลเป็นใกล้หู ถ้าอยากกินไข่แล้วไม่ได้กิน เด็กจะมีศีรษะผิดปกติ (น.4) การคลอดลูกต้องคลอดที่บ้าน เพราะเชื่อว่า ถ้าคลอดลูกที่อื่น อาจจะถูกผีทำร้ายได้ ถ้าผู้หญิงปวดท้องจะคลอดลูก ขณะที่กำลังทำงานอยู่ในไร่ เธอจะต้องรีบกลับบ้านของตน หรืออาจจะไปบ้านญาติของสามีก็ได้ (น.4) หลังจากคลอดลูกแล้ว แม่กับลูกจะนอนใกล้เตาไฟ ส่วนพ่อจะขุดหลุมฝังรก ถ้าเป็นลูกเป็นผู้หญิงจะฝังรกไว้ใต้เตียงนอนพ่อแม่ ถ้าเป็นผู้ชายจะฝังรกไว้ใกลเสากลางบ้าน ซึ่งเป็นที่อยู่ของผีบรรพบุรุษ ม้งเชื่อว่า รกเป็นเสื้อคลุมตัวแรกของคน เมื่อตายไป วิญญาณคนตายจะกลับมายังหลุมฝังรกเพื่อนำรกไปใส่เป็นเสื้อคลุม หลังจากนั้นวิญญาณจึงเดินทางไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของตน และกลับมาเกิดใหม่เมื่อถึงเวลา ถ้าวิญญาณหาเสื้อคลุมหรือรกไม่พบ ก็จะถูกตัดสินให้เดินทางท่องเที่ยวโดดเดี่ยวไปชั่วนิรันดร์ (น.5) อาหารแม่หลังคลอด ม้งเชื่อว่า การกินอาหารเย็นๆช่วงหลังคลอดทำให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มในมดลูก และเชื่อว่าผู้หญิงที่ไม่ปฏิบัติตามข้อห้าม เมื่อมีอายุจะเป็นโรคผิวหนัง(itchy skin)และท้องเสีย(diarrhea) ผู้ชายม้งจะต้มไก่ใส่สมุนไพรให้ภรรยากินหลังคลอดลูกทุกวันเป็นเวลา 30 วัน (น.9) โรคลมบ้าหมู (epilepsy) ม้งเรียกว่า qaug dab peg หมายถึง the spirit catches you and you fall dawn ผู้เขียนเห็นว่า ทัศนะของม้งต่ออาการของโรคนี้กำกวม ขณะที่ด้านหนึ่งมองว่าอาการของลมบ้าหมูอันตรายมาก แต่อีกด้านหนึ่งก็เชื่อว่า คนที่มีอาการนี้เป็นคนพิเศษ สามารถเป็นคนทรงหรือtxiv neeb ได้ อาการชักของผู้ป่วยแสดงถึงพลังอำนาจที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่คนปกติทั่วไปมองไม่เห็น นอกจากนั้นการชักยังช่วยการเข้าสู่ภวังค์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเดินทางไปยังโลกที่มองไม่เห็นด้วย สำหรับม้งแล้ว การเป็นคนทรงไม่ใช่การเลือก แต่เป็นหน้าที่พันธะกิจที่ได้รับมอบหมาย อาการเจ็บป่วยเป็นสัญญาณแสดงการเรียกร้องให้ปฏิบัติหน้าที่ ผีแห่งการรักษาหรือ neeb (a healing spirit) เป็นผู้เลือกคนทรง ผู้ที่ได้รับเลือก(ผู้ป่วย)ปฏิเสธการเลือกไม่ได้ เพราะถ้าปฏิเสธ ก็จะเสียชีวิต (น.21) ในกรณี Lia ลูกสาวของครอบครัวลีซึ่งมีอาการตั้งแต่อายุ 3 เดือน พ่อแม่ของเธอเชื่อว่าอาการป่วยเกิดจากพี่สาวของ Lia คนหนึ่งเปิด-ปิดประตูเสียงดัง ทำให้ขวัญของ Lia ตกใจออกจากร่างแล้วหลงทางหายไป เพราะครู่ต่อมา Lia มีอาการชัก ตาเหลือก มือกระตุกและหมดสติ แม้พ่อแม่ของ Lia จะทำพิธีเรียกขวัญให้ แต่ก็ไม่หาย ทั้งสองมีความกังวลใจและภูมิใจในอาการเจ็บป่วยของลูกสาว (น.20-21) ในช่วง 2-3 เดือนต่อมา Lia เกิดการชักไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง และมีอยู่ 2 ครั้งที่พ่อแม่ของเธอเป็นกังวลจนพาไปหาแพทย์ที่ศูนย์การแพทย์ชุมชนเมอร์ซ(the Merced Community Medical Center หรือ MCMC) ซึ่งอยู่ห่างจากอาคารที่พักอาศัยของครอบครัวไป 3 ช่วงตึก (น.23)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

เรื่องเล่าทำไมม้งจึงอยู่บนที่สูง แต่ก่อนม้งอาศัยอยู่ในดินแดนตอนเหนือ เวลากลางวันและกลางคืนยาวนานถึง 6 เดือน ต่อมาม้งขัดแย้งเรื่องดินแดนกับเผ่าเพื่อนบ้าน กษัตริย์ของพวกเขาจึงหาวิธียุติข้อขัดแย้งโดยตกลงกันว่า ให้แต่ละเผ่าเลือกตัวแทนของตนมาเดินทางไกลไป-กลับภายในเวลา 6 เดือน ซึ่งอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์ตกถึงดวงอาทิตย์ขึ้น ผู้แทนเดินทางไปถึงจุดใดและกลับมายังพระราชวังของกษัตริย์ในตอนดวงอาทิตย์ขึ้น จะได้ครองเขตแดนจนถึงจุดที่ไปถึงนั้น ถ้าผู้แทนเดินทางกลับมาไม่ทันดวงอาทิตย์ขึ้น ณ จุดใดที่ผู้แทนนั้นอยู่ขณะดวงอาทิตย์ขึ้น เผ่านั้นก็จะอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น ผลของการเดินทาง จุดที่ผู้แทนม้งยืนอยู่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นคือ ยอดเขา ดังนั้นม้งจึงอาศัยอยู่บนภูเขา ตั้งแต่นั้นมา (น.119) การเจ็บป่วยเกิดได้อย่างไร ภรรยาของ Nyong ซึ่งเป็นเทพชั่วร้าย ออกไข่มาใบหนึ่งมีขนาดใหญ่เท่าเล้าหมู เวลาผ่านไป 3 ปีไข่ก็ยังไม่ฟัก พ่อของ Nyong ได้สวดภาวนาให้ไข่และได้ยินเสียงพูดคุยของผีร้ายที่อยู่ในไข่จำนวนมาก จึงสั่งให้นำไข่ไปเผาเสีย แต่ Nyong ไม่ยอมทำตาม เมื่อไข่แตกก็ปรากฏผีร้ายฝูงใหญ่ออกมา ผีร้ายเหล่านี้ได้กินภรรยาของ Nyong เป็นลำดับแรก แต่ก็ยังหิวอยู่จึงหันมาจะกิน Nyong ต่อ เขาจึงเปิดประตูปล่อยผีร้ายจากท้องฟ้าลงมายังโลก เพื่อตัวเองจะได้ปลอดภัย จากนั้นเป็นต้นมา คนบนโลกก็รู้จักความเจ็บและความตาย (น.278) Shee Yee มีเวทย์มนต์ แปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้ เพื่อฆ่าผีร้าย เพื่อบิน เพื่อรักษาการเจ็บป่วยและหยุดยั้งความตาย Shee Yee ใช้เวลาหลายปีต่อสู้กับผีร้ายและรักษาคนเจ็บ มีม้าบินช่วยเหลือ และมีอุปกรณ์ ได้แก่ ถ้วยใส่น้ำมนต์หนึ่งใบ เครื่องมือรักษาหนึ่งชุด พร้อมทั้งผีบริวารหนึ่งกองทัพเป็นผู้ช่วย วันหนึ่ง Nyong ฆ่าลูกชายของเขาและหลอกให้เขากินเนื้อลูกชาย เมื่อ Shee Yee รู้ว่ากินเนื้อลูกชายก็ตกใจและเศร้าโศกเสียใจ แล้วก็หนีจากโลกขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้น Shee Yee ลงโทษ Nyong ด้วยการควักลูกตาทั้งสองข้าง นับตั้งแต่นั้นมา Shee Yee ก็ไม่กลับมายังโลกอีกเลย แต่เขาก็ไม่ทอดทิ้งผู้คนที่เจ็บป่วยและตาย เขาพ่นน้ำมนต์ใส่เครื่องมือรักษาโรค ได้แก่ มีดดาบ ฆ้อง เกราะ และระฆังใบเล็กหนึ่งคู่ เครื่องมือเหล่านี้แตกเป็นชิ้นๆ และหล่นลงมาบนโลก คนที่ได้รับน้ำมนต์หรือได้รับชิ้นส่วนของเครื่องมือเหล่านี้จะถูกเลือกเป็นคนทรง (น. 278-279)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

อัตลักษณ์ม้ง จีนเรียกม้งว่า Miao หรือ Meo และมองม้งว่า เป็นพวกไม่มีความกลัว หยาบช้าป่าเถื่อน และปกครองยาก ขณะที่ม้งก็มองว่า จีนเป็นพวกชอบรุกรานและกดขี่ข่มเหง พวกเขาไม่สนใจยอมรับขนบธรรมเนียมประเพณีของวัฒนธรรมจีน ม้งแต่งงานในกลุ่มคนม้ง พูดภาษาม้ง สวมเสื้อผ้าของม้ง เล่นดนตรีม้ง และปฎิบัติตามความเชื่อม้ง ม้งไม่สนใจมีอำนาจเหนือจีนหรือกลุ่มอื่นใด พวกเขาต้องการเพียงการอยู่อิสระตามลำพัง (น.14) ผู้เขียนเห็นว่า ม้งต่างจากผู้อพยพกลุ่มอื่นที่เข้าไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งผู้อพยพเหล่านั้นจะยอมรับและเข้าสู่วัฒนธรรมหลักของอเมริกัน ม้งเดินทางมาสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุผลเดียวกับที่อพยพออกจากประเทศจีนในคริสตศตวรรษที่ 18 นั่นคือ ต่อต้านการผสมกลมกลืน(assimilation) ม้งเป็นผู้อพยพที่ไม่เต็มใจ(involuntary migrants) ซึ่งผู้อพยพประเภทนี้ไม่ต้องการถูกหลอมรวมเข้าไปในวัฒนธรรมอื่น (น.183) เช่นกรณีครอบครัวลี Nao Kao และ Foua แม้จะอยู่ในสหรัฐอเมริกามาแล้ว 17 ปี รู้วิธีการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ แต่พวกเขายังคงพูดภาษาม้ง ฉลองวันหยุดตามประเพณีม้ง ปฏิบัติตามความเชื่อม้ง ทำแต่อาหารม้ง ร้องเพลงม้ง เล่นเครื่องดนตรีม้ง เล่านิทานม้ง และรู้เหตุการณ์เรื่องราวทางการเมืองในลาวและไทยมากกว่าในสหรัฐอเมริกา (น.182)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต ผู้เขียนเห็นว่า ม้งอพยพเริ่มประสบกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตั้งแต่อยู่ในลาวแล้ว กล่าวคือ ระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การเพาะปลูกแบบถางเผาไม่ได้ผล เศรษฐกิจแบบการตลาดเริ่มเข้ามาในชีวิตม้ง ม้งจำนวนหนึ่งเริ่มใช้ชีวิตแบบคนพื้นราบ เงินกีบลาว(Lao kip)เข้ามาแทนที่การใช้เงิน(silver)แลกเปลี่ยนสินค้า ผู้หญิงม้งจำนวนมากหันมาสวมใส่เสื้อผ้าแบบคนลาวพื้นราบ เด็กๆเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียน ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและรุนแรงที่สุดที่สงครามนำมาสู่ม้ง คือ การสูญเสียการพึ่งพาตนเอง ม้งจำนวนมากกว่า 100,000 คน ดำรงชีพโดยอาหารที่เครื่องบินขนส่งทหารนำมาหย่อนให้ทางอากาศ (น.136-137) เมื่อมาอยู่ในสหรัฐอเมริกา วิถีชีวิตม้งก็เปลี่ยนไป เช่น กรณี Foua การไม่รู้ภาษาอังกฤษทำให้เธอต้องพึ่งพาลูกๆ ตั้งแต่โทรศัพท์ ซื้ออาหาร ไปโรงพยาบาล ความรู้ความสามารถที่ใช้ในการดำรงชีพเมื่อครั้งอยู่ในลาว เช่น การเพาะปลูก นำมาใช้ใน Merced ไม่ได้ (น.103-105)

Other Issues

ปัญหาหรืออุปสรรคในการรักษาพยาบาล ตามความเห็นของเดฟ ชไนเดอร์(Dave Schneider)แพทย์คนหนึ่งที่ MCMC อุปสรรคในการรักษาพยาบาลคนไข้ม้งมี 2 ประการ คือ ภาษากับวัฒนธรรม เขาเห็นว่า แม้ว่ากำแพงภาษาจะเป็นปัญหาที่เห็นชัดเจนที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำคัญที่สุด ปัญหาสำคัญและใหญ่สุดคือ กำแพงวัฒนธรรม (น.69) ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในวัฒนธรรมม้งเชื่อว่า พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด รับผิดชอบชีวิตและสุขภาพของลูกๆ รับผิดชอบในการตัดสินใจรักษาพยาบาลลูก พ่อแม่รักลูก สมาชิกในครอบครัวรักเด็กและเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ แพทย์ไม่ใช่สมาชิกครอบครัว ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องเด็กได้ ถ้าแพทย์เอาเด็กไปจากพ่อแม่และตัดสินใจรักษาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ของเด็ก แพทย์จะต้องรับผิดชอบผลอันนั้น ถ้าเด็กเสียชีวิต แพทย์จะรับผิดชอบอย่างไร (น.83-84) ในกรณีของ Lia จากการอาการชักที่เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้น และจากการติดตามผลการเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านและการตรวจเลือด แพทย์พบว่า พ่อแม่ของเธอไม่ได้ให้ยาตามที่หมอสั่ง เพราะเชื่อว่ายาที่หมอสั่งทำให้ลูกชักและมีไข้ (น.48-50) ซึ่งความเชื่อของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาในทำนองนี้ แพทย์เคยประสบมาแล้ว แต่เมื่ออธิบายให้คนไข้ฟังแล้ว โดยทั่วไปคนไข้จะหันมาปฏิบัติตามคำสั่งหมอ หากทว่าในกรณีของม้งไม่เป็นเช่นนั้น แพทย์ไม่สามารถกดดันคนไข้ม้งให้ปฏิบัติตามได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น ม้งจะหันไปทำร้ายตนเอง เช่น กรณีเด็กม้งคนหนึ่ง แพทย์แจ้งตำรวจจับพ่อของเด็ก เพราะเข้าใจว่ารอยช้ำบนผิวเกิดจากเด็กถูกทำร้าย แต่ที่จริงแล้วเกิดจากวิธีการรักษาแบบม้ง สุดท้ายพ่อของเด็กม้งคนนั้นก็ฆ่าตัวตายในห้องขัง กรณีนี้รับรู้กันทั่วไป นีล แอนส์ท(Neil Ernst)แพทย์ที่รักษา Lia ก็รู้และพยายามหลีกเลี่ยง ทั้งๆที่เห็นว่า วิกฤติของ Lia ไม่ใช่โรคลมบ้าหมู แต่เป็นการดูแลรักษา(น.53) อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเมื่อเห็นว่า การไม่ให้ยาตามคำสั่งมีผลต่อการรักษาและอาจเป็นอันตรายต่อLia เขาจึงยื่นหนังสือไปยังกรมสุขภาพ(the Health Department)และศูนย์พิทักษ์เด็ก(Child Protection Service) เพื่อขอให้ Lia ไปอยู่ในบ้านพิทักษ์เด็ก(foster home) เนื่องจากพ่อแม่เด็กละเลยการให้ยาตามคำสั่งแพทย์ เด็กจึงอยู่ในสภาวะเสี่ยงสมองเป็นอันตรายและอาจจะเสียชีวิตได้ (น.58-59) ทั้งนี้นีลไม่ได้ต้องกล่าวหาพ่อแม่ของ Lia แต่สิ่งที่เขาต้องการคือ ให้ Lia ได้อยู่ในการดูแลของคนที่ให้ยาได้ตามคำสั่ง เพราะเชื่อว่าอาการของ Lia ไม่ดีขึ้นเนื่องจากกินยาไม่ครบ (น.81) พ่อแม่ของ Lia มีความคิดตรงกันข้ามกับการรักษาของแพทย์ พวกเขาเห็นว่า ลูกสาวของเขาป่วยมากเพราะแพทย์ให้ยามากไป(น.148) วิธีที่ดีในการรักษาลูกสาวของเขา คือ ใช้ยาเล็กน้อย และใช้ neeb (heeling spirit)เล็กน้อย ไม่ควรใช้ยามากเกินไปเพราะยาจะทำให้การรักษาของ neeb ไม่ได้ผล ถ้าใช้ทั้งสองอย่าง อย่างละน้อย Lia ก็จะไม่ป่วยมาก แต่หมอไม่อนุญาตให้พวกเขาทำเช่นนั้น เพราะหมอไม่เข้าใจเรื่องขวัญ (น.100) ความเชื่อที่ต่างกันนี้ ในทัศนะของแพทย์มองว่า พ่อแม่ของ Lia ไม่มีความสามารถในการดูแลลูก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาด เพราะเมื่อ Lia อาการขั้นโคม่า แพทย์ลงความเห็นว่าเธอจะต้องตาย แต่เมื่อพ่อแม่ของเธอนำเธอกลับบ้านและดูแลรักษาตามวิธีของม้ง ต่อมาเมื่อพวกเขาพา Lia ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจและติดตามอาการ แพทย์จึงได้เห็นว่า พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ดี รักและเอาใจใส่ Lia แท้จริง (น.214) เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุด คือ การเข้าโรงพยาบาลครั้งที่ 16 ของ Lia อาการชักของเธอหนักมากกว่า นานเกือบ 2 ชั่วโมงจึงหยุดชัก เมื่อหยุดชัก Lia ก็หมดสติ และเนื่องจากที่ MCMC ไม่มีแผนกผู้ป่วยหนักสำหรับเด็ก จึงถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเด็กในเฟรสโน(Valley Children’s Hospital in Fresno) ที่แผนกผู้ป่วยหนัก ซึ่งมีเครื่องมือดีและพร้อมกว่า(น.145-146) Dr. Maciej Kopacz แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ วินิจฉัยอาการของ Lia ว่าเป็น septic shock ซึ่งเป็นผลมาจากแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด เป็นการทำลายระบบร่างกายทั้งระบบ อัตราการตาย 40-60 เปอร์เซ็นต์ (น.147) ตลอดเวลาที่ Lia ที่อยู่ในห้องไอซียูนี้ พ่อกับแม่ของเธอก็อยู่โรงพยาบาลตลอด และได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่กับ Lia ได้ชั่วโมงละ 10 นาทีเท่านั้น(น.149) แม้แพทย์จะพยายามรักษาอย่างไร อาการของ Lia ก็ไม่ดีขึ้น สมองถูกทำลายไปมาก สุดท้ายแพทย์ก็คาดว่าเธอจะเสียชีวิต แต่ก็ให้อยู่ในโรงพยาบาลต่อไปจนกว่าจะเสียชีวิต นอกจากนั้นนักสังคมสงเคราะห์ยังช่วยแนะนำสถานที่ฝังศพท้องถิ่นให้ด้วย นั่นทำให้ Nao Kao พ่อของ Lia โกรธมาก เขาต้องการให้ส่ง Lia กลับบ้านที่ Merced เพื่อว่าพี่ๆของเธอจะได้พบเธอ (น.150-152) การสื่อภาษา การไม่รู้ภาษาอังกฤษของม้งเป็นปัญหาในการตรวจอาการคนไข้ แพทย์ไม่สามารถซักถามอาการของคนไข้ ไม่สามารถอธิบายวิธีการรักษาพยาบาล การให้ผู้ป่วยกินยาตามกำหนดได้ เช่น ในกรณีของครอบครัวลี การไม่รู้ภาษาอังกฤษทำให้พ่อแม่ของ Lia บอกเล่าอาการเจ็บป่วยของลูกสาวไม่ได้เพราะไม่มีคนที่รู้ภาษาอังกฤษไปด้วย แพทย์เวรจึงวินิจฉัยสาเหตุอาการป่วยไม่ถูกต้องในการตรวจสองครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 1982 ครั้งแรกเมื่อไปถึงห้องฉุกเฉิน Lia ก็หยุดชักแล้ว มีแต่อาการไอและเจ็บแน่นหน้าอก(congested chest) จากการเอกซ์เรย์ แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นอาการปอดบวมระยะแรก ซึ่งผู้เขียนแสดงความเห็นว่า ขณะนั้นแพทย์เวรไม่มีทางรู้เลยว่า อาการเจ็บหน้าอก(bronchial congestion) อาจจะเกิดจาก aspiration of saliva or vomit ในช่วงที่ผู้ป่วยชัก (น.26) แต่ในการไปหาหมอครั้งที่สาม วันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1983 มีญาติที่พูดภาษาอังกฤษได้บ้างไปด้วย ผู้ป่วยยังมีอาการชักอยู่ และแดน เมอร์ฟี(Dan Murphy)ซึ่งเป็นแพทย์เวรห้องฉุกเฉินก็มีความรู้เกี่ยวกับม้ง ทั้งสามประการนี้ทำให้สถานการณ์การรักษาดีขึ้น ในบันทึกการตรวจรักษาและประวัติคนไข้ของ Lia มีรายละเอียดมากกว่าสองครั้งแรกมาก (น.27-28) เนื่องจาก Lia มีการชักผิดปกติ แพทย์จึงรับเธอเป็นคนไข้ภายใน นอนโรงพยาบาล 3 วันเพื่อตรวจอย่างละเอียด ผลการตรวจไม่ปรากฏสาเหตุของการชัก แพทย์จึงระบุอาการของ Lia ว่า ไม่รู้สาเหตุ(idiopathic) (น.30) เมื่อออกจากโรงพยาบาล พ่อแม่ของเธอต้องให้เธอกินยา ampicillin 250 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้งสำหรับอาการ aspiration pneumonia และ Dilantin etixir 20 มิลลิกรัมซึ่งเป็น anticonvulsant วันละ 2 ครั้งเพื่อลดอาการชักครั้งต่อๆไป (น.31) ซึ่งการให้ยานี้ได้กลายเป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่เด็กกับแพทย์ที่ทำการรักษาในเวลาต่อมา ทั้งนี้การไม่รู้ภาษาอังกฤษเป็นสาเหตุหนึ่ง เป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่เด็กที่จะปฏิบัติได้ เนื่องจากยาแต่ละขนานกำหนดปริมาณยาและเวลากินต่างกัน จึงเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่เด็กที่จะจำ (น.45) อย่างไรก็ดี ในการตรวจรักษา แม้จะมีล่ามช่วยสื่อสาร แต่การใช้ล่ามก็ทำให้ใช้เวลาตรวจรักษาคนไข้นานถึง 2-3 เท่า ทั้งนี้เพราะภาษาม้งไม่มีคำศัพท์ ต้องใช้คำหลายคำในภาษาม้งอธิบาย เช่น คำ parasite ต้องใช้คำม้งยาวถึง 24 คำอธิบาย หรือคำ hormone ต้องใช้คำม้ง 31 คำ (น.68) ความคิดเกี่ยวกับสาเหตุการเจ็บป่วย แดน เมอร์ฟีกล่าวว่า ม้งไม่มีแนวความคิดสาเหตุของโรคที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกาย เช่น โรคเบาหวานมีสาเหตุจากตับอ่อน(pancreas) ม้งไม่มีความคิดว่าอวัยวะที่เห็นในร่างกายสัตว์นั้นก็เหมือนกันในคน ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่ผ่าร่างคนตาย พวกเขารู้ว่ามีหัวใจเพราะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ แต่นอกจากหัวใจแล้ว พวกเขาไม่รู้ เมื่อพวกเขาไม่เคยเห็น จึงไม่เข้าใจ (น.69) เช่น กรณีการเจ็บป่วยของ Lia พ่อแม่ของเธอเชื่อว่าอาการป่วยของลูกสาวเกิดจากผีจับขวัญไว้ ส่วนแพทย์วินิจฉัยว่า ผู้ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู(epilepsy) ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาท(the most common of all neurological disorders) (น.28) เป็นความล้มเหลวในการทำงานของสมองที่กระจายไปทั่ว บางครั้งก็เล็กน้อย บางครั้งก็รุนแรง สาเหตุของความล้มเหลวอาจจะเกิดจากการขาดออกซิเจนช่วงตั้งครรภ์หรือขณะคลอด หรืออาจจะเกิดจากการบาดเจ็บที่สอง หรือเนื้อเยื่อเจริญเติบโตผิดปกติ(a tumor) หรือการติดเชื้อ ไข้สูง หรือการขาดเลือดในสมอง(a stoke) a metabolic disturbance แพ้ยา หรือ a toxic reaction to a poison บางครั้งสาเหตุของโรคก็ปรากฏชัด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดสาเหตุแน่นอนไม่ได้ ในช่วงระหว่างผู้ป่วยชัก เซลที่เสียหายใน cerebral cortex จะส่งกระแสประสาทพร้อมกันและสับสน (น.28-29) วิธีการรักษาที่ต่างกัน ความคิดเกี่ยวกับสาเหตุการเจ็บป่วยที่ต่างกันทำให้วิธีการรักษาต่างกัน ผู้เขียนเห็นว่า ม้งมีทัศนะในการรักษาพยาบาลตรงข้ามกับแพทย์อเมริกัน แพทย์จะรักษาดูแลเฉพาะส่วน ขณะที่ม้งจะรักษาองค์รวมทั้งหมด โดยสรุปว่าความคิดเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของม้งก็คือ ความคิดเรื่องชีวิต การตายและชีวิตหลังความตาย (น.61) ผู้เขียนกล่าวว่า ในโรงเรียนแพทย์สอนโรคต่างๆมากมาย แต่ไม่เคยบอกว่าโรคเกิดจากขวัญหายและรักษาได้ด้วยการเซ่นไหว้ เพราะแพทย์ไม่มีวิชาเรียนเกี่ยวกับการแพทย์ข้ามวัฒนธรรม(cross-cultural medicine) แพทย์จึงมักล้มเหลวในการทำให้คนไข้ม้งพอใจการรักษา ขณะเดียวกันม้งก็ไม่คาดหวังว่าแพทย์จะนับถือระบบความเชื่อของพวกเขา และสำหรับแพทย์ ข้อห้ามม้ง เช่น การตรวจเลือด การเจาะกระดูกสันหลัง(spinal taps) การผ่าตัด การให้ยาสลบและผ่าตัดพิสูจน์ศพ ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานของการแพทย์สมัยใหม่ได้ละเลยข้อห้ามของม้ง สิ่งที่แพทย์เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา ม้งจึงมองว่าเป็นความไม่ใส่ใจเย็นชา(frostly arrogance) และไม่ว่าแพทย์จะทำอะไร ม้งก็จะตีความในทางร้าย (น.61) นอกจากนั้น ในกรณีของ Lia ที่ต้องนอนในโรงพยาบาล พ่อแม่ของเธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงอยู่ดูแลลูกไม่ได้ พวกเขาเชื่อว่า วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลให้ลูกปลอดภัยโดยเฉพาะยามที่ลูกป่วยหรือมีอาการเจ็บ คือ การให้ลูกนอนอยู่ใกล้ๆพวกเขา เมื่อลูกร้องไห้พวกเขาก็สามารถปลอบลูกได้ทันที (น.44) Sukey Waller นักจิตวิทยาที่ Merced Community Outreach Service อธิบายความแตกต่างระหว่างนี้ว่า ม้งไม่ได้แยกความเจ็บป่วยทางจิดใจกับร่างกายออกจากกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปัญหาทางจิตใจ และเห็นว่าการรักษาของคนทรง(shaman)มีลักษณะใกล้เคียงกับนักจิตวิทยาบำบัด(a psychotherapist) (น.94-95) ม้งไม่คุ้นเคยกับแพทย์ พวกเขาคุ้นเคยกับวิธีของคนทรงที่อาจจะใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงในบ้านผู้ป่วย ขณะที่แพทย์จะต้องให้คนเจ็บไปหาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเจ็บมากน้อยเพียงใด และอาจใช้เวลาเพียง 20 นาทีกับคนไข้ แพทย์จะซักถามคนไข้มากมาย ตรวจเลือด ปัสสาวะและอุจจาระ เอกซ์เรย์และคอยผลการตรวจหลายวัน บางครั้งแพทย์ก็ระบุสาเหตุการป่วยไม่ได้ ขณะที่คนทรงไม่เคยตั้งคำถาม ก็วินิจฉัยการเจ็บป่วยได้ อีกทั้งคนทรงก็ไม่เคยขอให้คนเจ็บถอดเสื้อผ้าหรือแตะต้องตัวคนเจ็บ เหมือนอย่างแพทย์ คนทรงรู้จักวิธีปฏิบัติต่อร่างกายผู้ป่วยโดยไม่ทำร้ายขวัญ แต่แพทย์ไม่เคยพูดถึงขวัญเลย ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า คนทรงยังคงรักษาชื่อเสียง ไม่ถูกตำหนิ แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการดีขึ้นก็ตามคำตำหนิจะไปอยู่ที่การไม่ประนีประนอมของผีมากกว่าคนทรง แต่ถ้าแพทย์รักษาล้มเหลว ก็ถือเป็นความผิดของแพทย์ (น.32-33)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ม้ง, การอพยพ, วัฒนธรรม, โรคลมบ้าหมู, สหรัฐอเมริกา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง