|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้า,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์,ประเทศจีน |
Author |
Ralph A. Litzinger |
Title |
Other Chinas: The Yao and the Politics of National Belonging |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
269 |
Year |
2543 |
Source |
Durham and London: Duke University Press. |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้เป็นการสำรวจศึกษาการเมืองของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในประเทศจีนหลังยุคสังคมนิยม โดยให้ความสนใจต่อวิธีที่สมาชิกชนชั้นสูง(elite members) ของชนกลุ่มน้อยนำเสนอวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ของพวกเขาต่อคนจีนและคนภายนอก ผู้เขียนเริ่มต้นโดยการอธิบายว่า ในช่วงยุคสาธารณรัฐ (the republican period) เย้าถูกมองว่าเป็นคนอันตรายชอบคบหากับสัตว์ร้ายมากกว่าจะเข้าร่วมการสร้างชาติสมัยใหม่ ผู้เขียนได้เปรียบเทียบทัศนะนี้กับทัศนะของยุคปฏิรูปคอมมิวนิสต์ที่มองเย้าว่าเป็นกองกำลังที่น่ายกย่องประทับใจและเป็นตัวอย่างในเชิงบวกขององค์กรที่อยู่ในบังคับ ผู้เขียนแสดงวิธีที่นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ และผู้ประกอบพิธีลัทธิเต๋ามีอิทธิพลต่อการอธิบายพรรณนาเย้า ในการทำเช่นนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นทั้งที่เกี่ยวกับเย้าและที่เกี่ยวกับผลกระทบของวาทกรรมราชการ งานเขียนประวัติศาสตร์ นโยบายรัฐ และการปฏิบัติของพลังชนกลุ่มน้อย นอกจากนั้น ผู้เขียนยังพิจารณาบทบาทของเย้าในการปฏิรูปวัฒนธรรมช่วงทศวรรษ 1980 โดยการวิเคราะห์ประเด็นการปฏิบัติเชิงพิธีกรรม ระเบียบสังคม คุณธรรมจริยธรรม และการปกครองประชากรชนกลุ่มน้อย (จากปกหลัง) |
|
Focus |
ศึกษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เย้าที่เขตปกครองตนเองจินชิว เน้นช่วงเวลาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 หลังจากพรรคจีนคอมมิวนิสต์ชนะการสู้รบขับไล่กองกำลังก๊กมินตั๋งหรือจีนคณะชาติ(Guomindang or the Nationalist Party) ออกจากจินชิว ในมณฑลกวางสี |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้แนวความคิดเรื่องอำนาจ โดยมองอำนาจในแง่ที่เป็นพื้นที่แห่งการก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกและการต่อสู้ ทำให้ต้องพิจารณาการเมืองเชิงวัฒนธรรมของชนชั้นปัญญาชนเย้า การมองในแง่นี้ยังทำให้ไม้ซ้ำรอยความคิดเรื่องอำนาจนิยมและหลีกเลี่ยงความคิดที่มองอำนาจในฐานะเป็นเครื่องมือควบคุม (หน้า 27) |
|
Ethnic Group in the Focus |
เย้าในเขตปกครองตนเองจินชิว (the Jinxiu Yao Autonomous county) มณฑลกวางสี(Guangxi) ประเทศจีน มีเย้ากลุ่มย่อยอาศัยอยู่ในเขตนี้ 5 กลุ่ม คือ กลุ่มพานเย้า (Pan Yao) กลุ่มชานซีเย้า (Shanzi Yao) กลุ่มฮัวหลานเย้า (Hualan Yao) กลุ่มอาวเย้า (Ao Yao) และกลุ่มจ้าชานเย้า (Chashan Yao) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มตระกูลภาษา ภาษาเย้าที่พูดกันในต้าเย้าชาน (Dayaoshan) มี 3 ภาษาจัดอยู่ในตระกูลภาษาฮั่น-ทิเบต(the Han-Tibetan language family) ได้แก่ 1) ภาษา Mian อยู่ในสาขาเย้าของกลุ่มภาษาแม้ว-เย้า ใช้พูดกันในกลุ่มพานเย้า(Pan Yao) 2) ภาษา Bunu อยู่ในสาขาแม้วของกลุ่มภาษาแม้ว-เย้า ใช้กันพูดในกลุ่ม อาวเย้า(Ao Yao) 3) ภาษา Lajia อยู่ในสาขาตง-ฉุยของกลุ่มภาษาจ้วง-ถง(the Dong-Shui branch of the Zhuang-Tong language) เป็นภาษาที่มีความใกล้ชิดกับภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ถง(Tong) และจ้วง(Zhuang)ในมณฑลกวางสี (หน้า 123-125) ความเป็นมาของคำเรียก “Yao” การพบคำ “mo yao” ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์เหลียง(Liang Shu) และราชวงศ์สุย (Sui Shu) ซึ่งบันทึกในสมัยราชวงศ์ถัง (the Tang dynasty, A.D.618-906) แสดงถึงร่องรอยกลุ่มชาติพันธุ์เย้าเป็นครั้งแรก ความหมายของ “mo yao” หมายถึง ไม่ถูกบังคับเกณฑ์แรงงานซึ่งเป็นกลยุทธ์การปกครองของราชสำนักจีนที่อนุญาตให้คนบนพื้นที่สูงเดินทางท่องไปบนภูเขาเพื่อหาพื้นที่เพาะปลูกโดยเป็นอิสระจากพันธะผูกมัดกับราชสำนักจีน (หน้า 57) ทั้งนี้ Tang Cui นักสังเกตการณ์เหตุการณ์ในตอนใต้ของจีนในสมัย ”Quing” ได้ชี้ถึงการเกี่ยวโยงที่สำคัญระหว่างการจัดกลุ่มทางการเมืองที่เรียกว่า ”mo yao” กับชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ฮั่น คือว่า ใช้เรียกคนพื้นเมืองที่อาศัยกระจายอยู่ในบริเวณฮูหนาน(Hunan) กวางสี(Kwangsi) และกวางตุ้ง (Kwangtung) นั้น สมัยก่อนหน้านั้น คนเหล่านี้ได้รับการปลดปล่อยจากการเกณฑ์แรงงาน ถูกเรียกว่า “mo yao” และต่อมาตัวอักษรได้เปลี่ยนเป็น “Yao” หลายศตวรรษต่อมา เมื่อคำ mo หายไป ความหมายของ Yao ในแง่ที่เป็นการจัดกลุ่มทางการเมืองซึ่งได้รับการยกเว้นการเกณฑ์แรงงานได้ลดน้อยลง แต่ความหมายของการเป็นกลุ่มคนบนภูเขาสูงที่มีกำเนิดจากพานหู่ (Pan Hu) กลับเพิ่มขึ้น(หน้า58) แต่ Cushman นักวิชาการตะวันตกมีความเห็นต่างออกไป เขาไม่เชื่อมโยงเย้าในปัจจุบันกับกลุ่ม mo yao หากพิจารณาการใช้คำ mo yao ในเอกสารแทน เขาพบว่ามีการใช้คำนี้เพียง 6 แห่งเท่านั้นในเอกสารและก็ไม่มีการบ่งชี้ว่า mo yao หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะกลุ่ม หากหลักฐานบ่งชี้ว่า mo yao หมายถึงทั้งคนป่า(man) และคนจีนฮั่น (Han Chinese)ที่ไม่ต้องเสียภาษีหรือถูกเกณฑ์แรงงาน (หน้า 58-59) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนเก็บข้อมูลภาคสนามในจินชิวช่วง ค.ศ.1990 ถึง ค.ศ. 1992 (หน้า 15) |
|
History of the Group and Community |
การต่อสู้กับอำนาจกดขี่ผู้ปกครอง เย้าเริ่มต่อสู้กับนโยบายกดขี่ของระบบฟิวดัลจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง (the Song dynasty) ศูนย์กลางการต่อสู้ได้เคลื่อนย้ายไปพร้อมกับเย้าแต่ละรุ่นจากเหนือลงมาทางใต้ จากหุบเขาข้างล่างและภูเขาไปสู่เทือกเขาอันห่างไกล ทั้งนี้การต่อสู้ของเย้ากับจีนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ในบริเวณที่เรียกว่า “ต้าเถิงเซี่ย” (Datengxia) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากต้าเย้าชานในปัจจุบัน การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ชุมชนเย้าจำนวนมากล่มสลาย หลังจากนั้น ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 15 เย้าก็ถูกผลักดันอย่างต่อเนื่องให้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาสูงในภาคใต้ (หน้า129) เย้าอพยพไปจนถึงต้าเย้าชานพื้นที่ห่างไกลที่ตั้งอยู่กลางระหว่างแม่น้ำหลิว แม่น้ำกุ้ยและแม่น้ำจิน (the Liu, Gui, and Jin Rivers) ยอดเขาบางแห่งสูงมากกว่า 1,900 เมตร ความสูงชันและเข้าถึงยากทำให้ต้าเย้าชานเป็นดินแดนที่ปลอดภัย เย้าใช้ชีวิต ณ ดินแดนนี้โดยถูกคนภายนอกรบกวนเล็กน้อยเป็นเวลานานกว่า 500 ปี จนกระทั่งทศวรรษ 1940 จึงถูกรบกวนกดขี่จากก๊กมินตั๋ง (หน้า130) เย้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้ปกครองจีนหลายครั้ง ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของเย้าเริ่มจาก ”การจลาจลต้าเทิงเจี่ย” (the Datengjia uprising) ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่รู้กันทั่วไป เมื่อเย้าเข้ามายังภูเขาแถบนี้ในตอนต้นราชวงศ์หมิง พวกเขาตั้งบ้านเรือนบริเวณเชิงเขาและแม่น้ำ การต่อต้านการกดขี่ของจีนในภูมิภาคนี้เกิดในสมัยราชวงศ์หมิง เริ่มจากปีที่ 7 ของรัชสมัยเจิ่งทง (the seventh year of the Zhengtong reign) หรือ ค.ศ. 1442 สิ้นสุดในปีที่ 18 ของรัชสมัยเจียจิง (the eighteen year of the Jiaing reign) หรือ ค.ศ. 1539 รวมระยะเวลานานเกือบ 100 ปี นับเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของเย้า(หน้า146-150) การต่อสู้สำคัญอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อก๊กมินตั๋งเข้ามากวางสี และส่งกองกำลังเข้ามาสู้รบยึดจินชิวเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังได้เมื่อต้นทศวรรษ 1940 อย่างไรก็ดี แม้เย้าจะถูกกดขี่ แต่ก็ไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากดินแดนอาศัย ต่อมาในปลายทศวรรษ 1940 พรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาจัดตั้งกระบวนการใต้ดินเย้าต่อต้านก๊กมินตั๋ง (หน้า151-152) และสิ้นปี ค.ศ. 1 949 กองกำลังก๊กมินตั๋งก็ถูกขับออกจากจินชิวถอยร่นเข้าไปซ่องสุมกำลังบนภูเขา (หน้า158-160) |
|
Settlement Pattern |
การเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจินชิว เย้าทั้ง 5 กลุ่มย่อยใช้เส้นทางและช่วงเวลาเดินทางเข้ามาอาศัยที่ต้าเย้าชานต่างกัน Fei Xiaotong นักมานุษยวิทยาจีนเห็นว่า จ้าชานเย้าเข้ามาทางภูเขาจากกวางตุ้งผ่านวู่โจว (Wuzhou) กวางสี (Guangxi) แล้วพักอยู่ในเติ้งเสียน(Deng Xian) และผิงหนาน(Pingnan) ระยะหนึ่งจากนั้นจึงเดินทางสู่ต้าเย้าชาน แต่ก็มีความคิดเห็นอีกด้านหนึ่งเห็นว่า จ้าชานเย้ามาจากฮูหนาน (Hunan) ข้ามซิงโจว(Xingzhou) กุ้ยซิน (Guixin) และเซียงโจว (Xiangzhou) แล้วเข้าสู่ต้าเย้าชาน กลุ่มต่อมา หัวหลานเย้ามาจากกุ้ยโจว แล้วข้ามลิ่วโจว (Liuzhou) และเซียงโจวเข้ามาต้าเย้าชาน ส่วนกลุ่มพานเย้านั้นถูกขับไล่มาจากฮูหนานเดินทางผ่านเทือกเขาตะวันออกเฉียงเหนือของกวางสีมายังต้าเย้าชาน ขณะที่กลุ่มชานซีเย้ามาจากกวางตุ้งผ่านผิงหนานเข้าสู่ต้าเย้าชาน และกลุ่มสุดท้าย กลุ่มอาวเย้าเดินทางจากกุ้ยโจวมากวางสีโดยมาทางใต้ผ่านไป่เซ (Baise) สำหรับช่วงเวลาที่แต่ละกลุ่มเข้ามายังต้าเย้าชานนั้น ทัศนะหนึ่งเชื่อว่า พานเย้าและชานซีเย้าซึ่งไม่เคยครอบครองเป็นเจ้าของที่ดิน เป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามายังภูเขาในดินแดนนี้ก่อน ต่อมาภายหลังเย้าอีกสามกลุ่มจึงเข้ามา เพราะอีกสามกลุ่มนั้นได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินอุดมสมบูรณ์ ส่วนอีกทัศนะเห็นว่า พานเย้าเข้ามายังพื้นที่นี้ก่อนเพราะเป็นพวกเร่ร่อน(nomadic) (หน้า 125-126) |
|
Demography |
จำนวนประชากร ประชากรเย้าในประเทศจีนเมื่อต้นทศวรรษ 1980 มีประมาณ 1.4 ล้านคน และได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ล้านคนในกลางทศวรรษ 1990 (หน้า ix) ขณะที่เมื่อปลายทศวรรษ 1970 มีประชากรเย้ามากกว่า 1.2 ล้านคน กระจายตามเขตต่างๆมากกว่า 130 เขตใน 6 มณฑล โดย 67% หรือ 800,000 คนอยู่ในกวางสี ซึ่งในจำนวนนี้มี 30,000 คนอาศัยอยู่ในต้าเย้าชาน ส่วนในเขตอื่นๆ มีเย้าน้อยกว่า 10,000 คน (หน้า133) สำหรับในประชากรเย้าจินชิว ซึ่งมี 5 กลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มจ้าชานเย้า กลุ่มฮัวหลานเย้า กลุ่มอาวเย้า กลุ่มพานเย้า และกลุ่มชานซีเย้า (หน้า 123) หลังจากการสำรวจสำมะโนครัวประชากรแห่งชาติครั้งที่สามเมื่อต้นทศวรรษ 1980 พบว่าจากจำนวนประชากรที่อาศัยในจินชิวทั้งหมด 58,289 คน เป็นประชากรเย้าจำนวน 33,731 คน ซึ่งในจำนวนประชากรเย้านี้ปรากฏว่า ประชากรกลุ่มพานเย้า เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด (หน้า119) การควบคุมจำนวนประชากร นโยบายการวางแผนครอบครัวซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการรณรงค์พัฒนาหมู่บ้าน อนุญาตให้ประชาชนมีบุตรได้ 2 คน เย้าในจินชิวก็เช่นกัน รัฐบาลท้องถิ่นรณรงค์ให้การความรู้การคุมกำเนิดแก่หญิงและชาย สอนการใช้ถุงยางอนามัยและส่งเสริมการทำหมัน การรณรงค์นี้จะเข้มข้นมากในกลุ่มพานเย้าและชานซีเย้า ซึ่งชอบครอบครัวขนาดใหญ่เนื่องด้วยต้องพึ่งพาแรงงานครอบครัวในการผลิต ขณะที่ครอบครัวของกลุ่มจ้าชานเย้า ฮัวหลานเย้าและอาวเย้าจะมีขนาดเล็กกว่า (หน้า 211) นิยมมีบุตร 2 คนเพราะการเลี้ยงเด็กแรกเกิดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีค่าใช้จ่ายมาก ถ้ามีบุตรมาก จะเป็นภาระทางเศรษฐกิจมากและกระทบต่อพ่อแม่และญาติพี่น้องคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกอบพิธีกรรมให้แก่เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อมีบุตร 2 คนแล้วปู่ย่าตายายจะเตือนให้พ่อแม่คุมกำเนิด ซึ่งเย้ามีวิธีคุมกำเนิดแบบดั้งเดิมหลายวิธี (หน้า 216,219) พวกเขาให้ความสำคัญกับเด็กชายและเด็กหญิงเท่าๆ กัน นักวิชาการเย้าได้ชี้ว่า นี้เป็นมาตรการสำคัญทำให้เย้าแตกต่างจากคนจีนฮั่นที่ให้ความสำคัญแก่เด็กชายมากกว่า (หน้า 215) |
|
Economy |
การเพาะปลูก เย้าจินชิวมีระบบการเพาะปลูก 2 แบบตามลักษณะพื้นที่เพาะปลูกดังนี้ 1) การเพาะปลูกบนที่ดินในหุบเขา จ้าชานเย้า ฮัวหลานเย้าและอาวเย้าเป็นเจ้าของที่ดินในหุบเขาปลูกข้าวแบบทดน้ำ(paddy rice)ซึ่งใช้เทคโนโลยีไม่ต่างจากคนฮั่นและคนจ้วงที่อยู่นอกภูเขา ข้าวที่ปลูกมีคุณภาพสูง (หน้า 131-132) 2) การเพาะปลูกบนที่ดินไหล่เขา ชานซีเย้ากับพานเย้าไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน ต้องเช่าที่ดินบนไหล่เขาซึ่งไม่อุดมสมบูรณ์และใช้วิธีการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา (the technique of slash-and-burn cultivation) เมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์ก็ย้ายไปใช้ที่ดินแห่งใหม่ ข้าวโพดและข้าวไร่ที่ปลูกให้ผลผลิตต่ำ เลี้ยงคนได้ 1-2 ครัวเรือนเท่านั้น ดังนั้นหมู่บ้านของพานเย้ากับชานซีเย้าจึงไม่เคยมีจำนวนครัวเรือนมากเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ทั้งพานเย้าและชานซีเย้าพึ่งพาระบบที่เรียกว่า zhongshu huizu (returning the land with planted tree) ซึ่งเป็นระบบที่ผู้เช่าที่ดินบนไหล่เขาต้องปลูกกล้าไม้บนที่ดินเป็นค่าเช่าให้แก่เจ้าของที่ดิน ระบบนี้ทำให้พานเย้าและชานซีเย้าต้องย้ายที่ดินเพาะปลูกซึ่งทำให้พวกเขาเข้าไปสู่วงจรการใช้ที่ดินที่ถูกควบคุมโดยจ้าชานเย้า ฮัวหลานเย้าและอาวเย้า (หน้า 132) การเช่าที่ดิน การจ่ายค่าเช่าที่ดินมีหลายรูปแบบ มีทั้งจ่ายเป็นเงินสดและแรงงาน หรือจะจ่ายเป็นผลผลิตก็ได้ แต่รูปแบบที่ปฏิบัติมากที่สุดคือ การปลูกต้นไม้บนที่ดินหรือ zhongshu huanshan (returning the land with newly planted trees) ทั้งนี้เมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์ หยุดใช้เพาะปลูก ผู้เช่าที่ดินจะต้องปลูกและดูแลต้นไม้บนที่ดินผืนนั้น ซึ่งสิทธิใช้สอยต้นไม้เหล่านั้นเป็นของเจ้าของที่ดิน ผู้ปลูกไม่มีสิทธิ ส่วนการจ่ายค่าเช่าในรูปแบบของแรงงานนั้นจะเป็นที่ต้องการมากในช่วงการปลูกพืชฤดูใบไม้ผลิและการเก็บเกี่ยวพืชผลฤดูใบไม้ร่วง (หน้า162-163) |
|
Social Organization |
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเจ้าของที่ดินกับผู้เช่าที่ดิน จากการศึกษาของคณะสำรวจชนกลุ่มน้อย(minzu fangwentuan) ซึ่งเข้าไปเมื่อปี ค.ศ.1952 พบว่าเย้าทั้ง 5 กลุ่มย่อยในจินชิวมีอำนาจทางเศรษฐกิจและสังคมไม่เท่ากันแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก มีจำนวนประชากรน้อยกว่ากลุ่มที่สอง แต่เป็นกลุ่มที่มีอำนาจมากกว่า ประกอบด้วยเย้ากลุ่มที่เป็นเจ้าของที่ดิน ได้แก่ จ้าชานเย้า ฮัวหลานเย้าและอาวเย้า ซึ่งถูกรวมเรียกว่า Changmao Yao ส่วนกลุ่มที่สองนั้น เรียกว่า Guoshan Yao ประกอบด้วยกลุ่มพานเย้าและชานซีเย้า เป็นกลุ่มที่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน เพาะปลูกแบบโค่นถางเผา และทำงานรับจ้างใช้แรงงานให้กับกลุ่มแรก (หน้า 110-111,127) ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มเย้าที่เจ้าของที่ดินกับกลุ่มผู้เช่านี้เป็นผลมาจาก shipai zhidu (the stone tablet system) เป็นระบบที่ตั้งขึ้นมาและใช้เป็นกฏระเบียบการเป็นเจ้าของที่ดินและการเช่าที่ดิน (หน้า13) ผู้เช่าที่ดินจะต้องจ่ายค่าเช่าและบริการแรงงานให้กับเจ้าของที่ดินโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ซึ่งนอกจากเศรษฐกิจแล้ว ความไม่เท่าเทียมกันนี้ยังรวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ในการเจรจาทำสัญญาเช่า ผู้เช่าจะต้องเชิญเจ้าของที่ดินไปดื่มสุรา มอบเนื้อหมูและไก่เป็นของกำนัล รวมทั้งอาสาทำงานในที่ดินบนภูเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของที่ดินยังมีสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับการแต่งงานด้วย เพราะการย้ายคนไปครัวเรือนและหมู่บ้านอื่นถูกมองว่าเกี่ยวพันกับความสามารถในการผลิตและอำนาจทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังมีค่าน้ำดื่ม ค่าที่ดินในการปลูกบ้านใหม่และที่ดินสำหรับฝังศพที่ผู้เช่าต้องจ่ายด้วย (หน้า 163) การแต่งงาน ในช่วงยุคก่อนเสรี เย้าในเขตต้าเย้าชานมีข้อกำหนดในการแต่งงาน ห้ามกลุ่มจ้าชานเย้า ฮัวหลานเย้า และอาวเย้าแต่งงานกับพานเย้าและชานซีเย้า และคนภายนอก ถ้าฝ่าฝืนจะถูกปรับไหม ข้อกำหนดนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือกฎหมายที่ดิน (the text of shipai) ต่อมาในทศวรรษ 1950 ข้อห้ามนี้ถูกยกเลิก เพราะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เห็นว่า การปฏิบัตินี้เป็นความคิดแบบฟิวดัล (feudal mentality) จ้าชานเย้าได้รับการส่งเสริมให้แต่งงานกับพานเย้า ฮั่นและจ้วง ซึ่งการแต่งงานระหว่างเย้ากลุ่มย่อยถือเป็นกลยุทธ์สำคัญอันหนึ่งของพรรคในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวทางชาติพันธุ์ในต้าเย้าชาน (หน้า 215, 218-219) |
|
Political Organization |
Shipai zhidu (the stone tablet system) shipai เป็นกฎหมายที่ดิน นักชาติพันธุ์วิทยาในจีนถือว่าเป็นระบบกฎหมายดั้งเดิม (a primitive legal system) หลักการของกฎหมายนี้ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนภูเขาและในแม่น้ำเป็นของ Changmao Yao ส่วน Guoshan Yao ไม่มีสิ่งใดในครอบครอง พวกเขาถูกมองว่าเป็นคนนอกและต้องจ่ายค่าเช่าหรือภาษีเมื่อใช้ที่ดิน ล่าสัตว์ และจับปลา ระบบกฎหมายนี้ให้ความชอบธรรมและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเย้าที่เป็นเจ้าของที่ดินกับเย้าที่ไม่มีที่ดินในครอบครอง การไม่เชื่อฟังกฎหมายจะถูกปรับสินไหม จับกุมลงโทษและประหารชีวิต (หน้า 161) คำ shipai มีความหมายทั้งที่หมายถึงแผ่นหินจริงๆ (the actual tablet) และหมายถึงหน่วยของการจัดองค์กร ”หมู่บ้าน” (the units of “village” organization) ในแง่ของการจัดองค์กรหมู่บ้าน ใน shipai หนึ่งแห่งอาจจะประกอบด้วยหมู่บ้านตั้งแต่หนึ่งถึงสิบหมู่บ้าน และในทางปฏิบัติ shipai อาจจะมีหมู่บ้านซ้อนทับกัน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เพราะหมู่บ้านหนึ่งๆ สามารถอยู่ในบังคับของ shipai ได้มากกว่าหนึ่ง เช่น อาจจะอยู่ในการบังคับควบคุมทางการผลิตของ shipai หนึ่ง ขณะเดียวกันก็อยู่ในการดูแลป้องกันของอีก shipai หนึ่ง การก่อตั้ง ยกเลิกและกลับมารวมกันเป็นกลุ่มของ shipai เกิดขึ้นตามความต้องการของสถานการณ์ (หน้า 114-115) นอกจากการใช้ที่ดินแล้ว shipai ยังควบคุมสังคมด้านอื่นด้วย เช่น การแต่งงานซึ่งนักวิชาการเย้า Liu Yulian มองว่า เป็นการปกป้องโครงสร้างสังคม สถาบันการแต่งงาน ผู้หญิงและเด็ก นอกจากข้อห้ามแต่งงานกับคนนอกกลุ่มแล้ว ยังมีข้อกำหนดอื่นๆ อีก เช่น ห้ามคู่สามีภรรยาหย่าร้างกันโดยไม่มีเหตุผล ถ้าสามีภรรยาเกิดขัดแย้งกันรุนแรง ห้ามครอบครัวของพวกเขายุ่งเกี่ยวกับการแย่งหรือลักพาเด็ก การแต่งกับคนนอกหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกปรับเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นคนฮั่นค่าปรับจะสูงกว่า และถ้าผู้ชายแต่งงานมีภรรยาคนที่สองค่าปรับก็จะสูงขึ้นไปอีก ซึ่ง Liu Yulian เห็นว่า การห้ามมีภรรยาคนที่สองและห้ามแต่งงานกับคนภายนอกนี้เป็นวิธีดีที่สุดในการรักษาความสงและสันติสุขในครอบครัวและหมู่บ้าน (หน้า 218) นักวิชาการที่ศึกษาเย้าเห็นว่า shipai แสดงอำนาจที่แยกกันแต่ซ้อนทับกันในสังคมก่อนยุคปฏิรูป ด้านหนึ่งเป็นปฏิบัติการทางการเมืองและสังคมในบริบทนโยบาย”คนป่าปกครองคนป่า”(yizhi zhiyi) ของราชสำนักจีน ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เป็นรูปแบบของการปกครองตนเองแบบดั้งเดิม ผู้เขียนเห็นว่าเกี่ยวข้องกับพลวัตรการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางและชายขอบในประวัติศาสตร์ (หน้า 111) shipai จึงมีความหมายกำกวมสองอย่าง ความหมายหนึ่งเป็นการสะท้อนลักษณะโครงสร้างส่วนบน (a ‘superstructural’ reflection) ของการจัดระเบียบสังคมแบบฟิวดัลของจีนยุคก่อนปฏิรูป และอีกความหมาย เป็นลักษณะคุณสมบัติของระบบการอยู่ร่วมกันแบบดั้งเดิม (the primitive commune system) ทั้งนี้นักวิชาการชาวเย้าเห็นว่า shipai เป็นวิธีที่คนเย้าใช้ปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบราชสำนัก มีสองระบบที่ซ้อนทับกัน คือ ระบบฟิวดัลกับระบบดั้งเดิม shipai จึงเป็นนวัตกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ผลิตโดยคนใต้บังคบชายขอบ (หน้า113) ขณะที่ Li Xiaowen นักชาติพันธุ์เย้ากล่าวว่า shipai เป็นสถาบันทางการเมืองแบบประชาธิปไตยดั้งเดิมที่ทำหน้าที่ปกป้องระเบียบสังคม ทำให้หมู่บ้านเป็นหน่วยการเมืองและสังคมระดับปฐมภูมิ และหมู่บ้านก็มารวมกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น กฏระเบียบของ shipai มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องการผลิตและระเบียบสังคม ถ้าใครถูกจับได้ว่าขโมยสิ่งของ กู้จะถูกรายงานไปยังผู้มีอำนาจใน shipai แล้วถูกว่ากล่าวลงโทษในที่ประชุมใหญ่ (a large collective shipai meeting) รูปแบบดั้งเดิมและพิธีการว่ากล่าวร่วมในที่ประชุมสาธารณะเช่นนี้เป็นวิธีที่เย้าจินชิวรักษาระเบียบสังคมไว้ได้โดยปราศจากระบบการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ (หน้า 206) ผู้นำเจ้าที่ดิน (shipai leader) ระบบกฎหมายที่ดินหรือ shipai เป็นรูปแบบหนึ่งของการเฝ้าติดตามชุมชนโดยผู้นำหมู่บ้าน(touren) ผู้ที่มีอำนาจในตำแหน่งนี้มิได้มาจากการสืบทอด แต่มาจากการมีความสามารถเป็นสื่อกลางในการเจรจาความขัดแย้งและจัดระเบียบการผลิตกับการปกป้อง ซึ่งมักจะเป็นผู้นำที่อยู่ในหมู่บ้านจ้าชานเย้า ผู้นำเจ้าที่ดินจะควบคุมระบบที่ดินภูเขาอันประกอบด้วยหน่วยท้องถิ่นเล็กๆ หมู่บ้านเย้าทุกแห่งอยู่ในบังคับของกฎหมายที่ดินนี้ (หน้า 114) นอกจากนั้น ผู้นำเจ้าที่ดินยังมีบทบาททางพิธีกรรมด้วย เพราะการประชุม (shipai meeting) มักจะเริ่มด้วยการจุดธูปและไหว้บูชาเทพเจ้าเต๋า และใช้การฉลองเชิงพิธีกรรมขนาดใหญ่เพื่อป่าวประกาศสาธารณะหรือจัดระเบียบกลุ่มป้องกันท้องถิ่น และผู้นำเจ้าที่ดินก็มักได้รับการฝึกเป็นผู้ทำพิธีกรรม (หน้า 192-193) |
|
Belief System |
ความเชื่อ เย้าภูเขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ที่ดิน ไร่นา สิ่งของเครื่องใช้ล้วนมีผีประจำอยู่ ความเชื่อของเย้ามีรูปแบบผสมผสานเป็นระบบพิธีกรรมที่อยู่บนหลักความคิดจักรวาลวิทยาของลัทธิเต๋า นักวิชาการเห็นว่า ความเชื่อเรื่องผีหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ(animistic beliefs) นี้เป็นร่องรอยของศาสนาโบราณดั้งเดิมซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ลัทธิเต๋าจะแพร่หลายในดินแดนบริเวณจีนตอนใต้ในสมัยซ่งใต้ ขณะที่ลัทธิเต๋าเข้ามาสู่ระบบความเชื่อเย้าในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เย้าได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบฟิวดัลของจีน (หน้า 185) ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 สมาชิกพรรค นักวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐเชื่อว่า ความคิดทางศาสนาและพฤติกรรมการปฏิบัติทางพิธีกรรมได้เก็บรักษามวลชนชนบทไว้จากความเข้าใจความมุ่งหมายในประวัติศาสตร์ พรรคปฏิบัติต่อพิธีกรรมชาวบ้านในชนบทห่างไกลในฐานะกิจกรรมสังคมที่แสดงถึงการรักษาความคิดแบบฟิวดัล (“feudal” modes of thinking) และการจัดระเบียบสังคมที่รูปแบบเป็นท้องถิ่นซึ่งสนับสนุนผู้นำท้องถิ่น การควบคุมพิธีกรรมจึงเป็นการต่อสู้เกี่ยวกับรูปแบบและแนวคิดความคิดของอำนาจท้องถิ่น (หน้า 192) พิธีกรรมการเลี้ยงดูบุตร เย้ามีพิธีกรรมสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ดังนี้ หลังจากเด็กเกิดได้ 4-5 วันทำพิธีเช่นไหว้เทพเจ้าท้องถิ่น เมื่อเด็กอายุ 2-3 เดือนจะใช้กบเซ่นไหว้ อายุ 6 เดือนชี่กง(shigong) เป็นผู้เชี่ยวชาญพิธีเต๋าจะสร้างสะพาน จ้าชานเย้าเรียกว่า qixing (a spirit bridge) เพื่อให้สุขภาพเด็กแข็งแรง ของที่ใช้เซ่นไหว้ ได้แก่ ไก่ เป็ดและข้าวเหนียว เทพเจ้าที่ปกป้องดูแลเด็กแรกเกิดจะข้ามสะพานมาแล้วขับไล่สิ่งชั่วร้ายมิให้ทำอันตรายเด็ก พิธีเชิญเทพเจ้ามาขับไล่สิ่งชั่วร้ายนี้จะทำอีกสองครั้งเมื่อเด็กอายุครบหนึ่งขวบ และเมื่อเด็กอายุ 5 ปี ค่าใช้จ่ายจะราคาแพงขึ้น เช่น ใช้หมู่เซ่นไหว้ เมื่อเด็กอายุ 7-15 ปี จะทำพิธี huanhua (to return the flower) ไหว้เทพธิดาที่ซื่อ huanshen po จ้าชานเย้าเชื่อว่าเป็นผู้นำวิญญาณเด็กมาเกิดในโลกมนุษย์ (หน้า 216-217) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
พระเจ้าพานหู่ (King Pan Hu) ตำนานเย้าเล่าขานกันมาว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าพานหู่ นานมาแล้ว ในสมัยพระเจ้าเกาซิน(Gao Xin) เป็นผู้ปกครอง พระองค์ถูกนายพลหวู่ (general Wu) ก่อกวนรังควานอย่างหนัก สุนัขตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนของพระองค์ได้ข่าวการก่อกวนนี้ จึงไปท้านายพลหวู่ให้ต่อสู้กัน ผลปรากฏว่า สุนัขตัวนี้ได้รับชัยชนะ พระเจ้าเกาซินจึงพระราชทานพระธิดาองค์หนึ่งเป็นรางวัล ให้แต่งงานด้วย แต่พระธิดารู้สึกกระดากใจที่มีคู่หมั้นเป็นสุนัข จึงหลบหนีไปอยู่กับสุนัขบนภูเขา แล้วต่อมาก็ให้กำเนิดบุตร 12 คน ในเวลาต่อมาเด็กเหล่านั้นก่อสร้างบ้านในสถานที่วิเศษแห่งหนึ่ง เรียกว่า เฉียนเจี่ยตง (Qianjiadong) แล้วเย้าก็ได้เร่ร่อนท่องไปบนภูเขาสูงของจีนตอนใต้ (หน้า 58) ดินแดนบ้านเกิดที่สูญหาย พานเย้ามีเรื่องเล่าถึง Qianjiadong ว่า เป็นดินแดนบ้านเกิดที่สูญหายไป และเป็นสถานที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของบรรพบุรุษพวกเขา ดินแดนแห่งนี้เป็นสวรรค์ที่เย้ามีชีวิตอย่างสงบสุข และเป็นช่วงเวลาก่อนที่จีนจะขับไล่ผลักดันเย้าให้ขึ้นเดินทางขึ้นไปบนภูเขาทางภาคใต้ของจีน การสูญหายของดินแดนบ้านเกิดแห่งนี้เป็นเครื่องหมายสิ้นสุดการตั้งถิ่นฐานอยู่กับที่และเป็นการเริ่มต้นชีวิตเร่ร่อนบนภูเขาของเย้า ผู้เขียนเห็นว่า ดินแดนบ้านเกิดที่สูญหายนี้เป็นเรื่องราวการเดินทางที่ยากลำบากและไม่สิ้นสุด และไม่ว่าจะมองเรื่องเล่านี้ในในแง่การโหยหาอดีตหรือในแง่ความมุ่งหวังถึงอนาคตก็ตาม หากความจริงที่ยังคงอยู่คือ Qianjiadong ยังมีชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์บอกเล่าของคนเย้าจำนวนมาก ตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เรื่อยมา เย้าจำนวนมากได้ออกค้นหาดินแดนบ้านเกิดแห่งนี้ ในทศวรรษ 1980 มีการตีความการค้นหานี้ต่างๆ นานา ซึ่งก็บอกให้รู้ว่า ความทรงจำของการเคลื่อนไหวค้นหาดินแดนบ้านเกิดยังคงดำรงต่อเนื่องเพื่อใช้ในการเมืองของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์เรื่องเล่า (the politics of narrative ethnic history) ในการปฏิรูป (หน้า 72-73) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เย้ากลุ่มย่อย ในจินชิวมีเย้ากลุ่มย่อย 5 กลุ่ม ทั้งห้ากลุ่มนี้มีทั้งลักษณะที่ร่วมกันและลักษณะเฉพาะกลุ่มของตน พวกเขาใช้ภาษาต่างกัน มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจต่างกัน มีธรรมเนียมประเพณีและการปฏิบัติประจำวันต่างกัน (หน้า 133) และแม้ว่าพวกเขาจะระบุว่าเป็นเย้าเหมือนกัน แต่เรียกชื่อกลุ่มของตนเองต่างกัน (หน้า 123) ได้แก่ 1) กลุ่มจ้าชานเย้า (Chashan Yao) เรียกตนเองว่า Lajia 2) กลุ่มฮัวหลานเย้า (Hualan Yao) เรียกตนเองว่า Jiongnai 3) กลุ่มอาวเย้า (Ao Yao) เรียกตนเองว่า Ao Yao 4) กลุ่มพานเย้า (Pan Yao) เรียกตนเองว่า Mien 5) กลุ่มชานซีเย้า (Shanzi Yao) เรียกตนเองว่า Jindiemen เย้ากลุ่มจ้าชานเย้า ฮัวหลานเย้าและอาวเย้าถือว่า พวกเขาเจริญแล้ว (civilized people) และแยกตนจากกลุ่มพานเย้าและชานซีเย้าโดยใช้การวางแผนครอบครัวเป็นตัวกำหนด (หน้า212) ทั้งยังมีข้อห้ามมิให้แต่งงานกับพานเย้าและชานซีเย้า เนื่องจากผู้นำเจ้าที่ดิน(shipai leader)ดูถูกเหยียดหยามสถานภาพทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าของเย้าสองกลุ่มนี้ และมองว่าการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผาเป็นสิ่งล้าหลัง ผู้ฝ่าฝืนข้อห้ามจะถูกปรับไหม ซึ่ง Liu Yulian กล่าวว่าจ้าชานเย้า ฮัวหลานเย้าและอาวเย้าเป็นเจ้าของที่ดินและให้ความสำคัญต่อสิทธิมรดก ทั้งสามกลุ่มส่งผ่านมรดกไปยังลูกสาวหรือลูกชายคนโต พวกเขาปลูกข้าวทดน้ำในหุบเขา อุทิศเวลาแรงงานให้กับการผลิตและเก็บเกี่ยวผลผลิตไปขายที่ตลาดนัดในท้องถิ่นรอบๆ ทำให้พวกเขาสามารถสะสมเงินทุนได้ การควบคุมความร่ำรวยนี้เกี่ยวข้องกับขนาดของครอบครัว ซึ่งไม่เหมือนกับพานเย้าและชานซีเย้าที่มีบุตรหลายคน (หน้า 215-216, 218) วาทกรรมวัฒนธรรมชาติพันธุ์ (ethnic cultural discourse) นักวิชาการเย้าปฏิเสธการมองวิถีแบบดั้งเดิมที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเย้าเป็น the category of “feudal superstition” (หน้า203) ในทศวรรษ 1980 นักชาติพันธุ์วิทยาชาวเย้าแสดงความเห็นว่า คุณธรรมทางสังคมตามประเพณี(a traditional social morality) จำแนกตามกฏระเบียบพื้นฐานของการปฏิบัติได้ 3 ประการ ซึ่งการรักษากฏเหล่านี้ให้คงอยู่เป็นสิ่งจำเป็นต่อโครงสร้างอำนาจในการเจรจาให้ประสบความสำเร็จ คนเย้าตระหนักถึงที่มาแห่งอำนาจอันเป็นหลักพื้นฐาน 2 แห่ง ได้แก่ จากโลกแห่งวิญญาณและลำดับชั้นของเทพเจ้าในลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง และจากลำดับชั้นของโครงสร้างทางสังคมอีกแห่งหนึ่ง กฏการปฏิบัติข้อแรกเป็นเรื่องความรู้สึกในการยึดถือกฏธรรมเนียมประเพณี ซึ่งหมายถึงการเคารพและการตระหนักรู้ถึงตำแหน่งแห่งที่(place) ของคนในลำดับชั้นทางสังคมประจำวัน กฎการปฏิบัติประการที่สอง เป็นการให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ที่ดีและการร่วมมือกับเพื่อนบ้าน การให้ความสำคัญทางวัฒนธรรมต่อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี การเปิดให้คนภายนอกเดินทางเข้ามายังภูเขา ซึ่งคุณสมบัติทางวัฒนธรรมของเย้าปรากฏในธรรมเนียมการรับเด็กจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมาเลี้ยงเป็นบุตร และความเชื่อที่ว่า การธำรงรักษาชาติพันธุ์เย้าไม่ได้สืบทอดทางสายเลือด แต่สืบทอดโดยการปฏิบัติผ่านการกระทำที่ถูกต้อง กฏการปฏิบัติข้อสุดท้ายเป็นเรื่องการควบคุมทางสังคมประจำวัน คุณธรรมทางสังคมเย้าแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงตรรกะระหว่างการควบคุมสังคมกับการสืบพันธุ์/การผลิตซ้ำทางสังคม ในช่วงยุคหลัง 1949 คุณธรรมเย้าถูกตีความว่าเป็นรูปแบบของจิตสำนึกแบบฟิวดัลอันเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ แต่ในทศวรรษ 1980 คุณธรรมเย้าถูกนำมาใช้ในการจัดระเบียบทางการเมืองและสังคมหลังยุคเหมา (หน้า204-205) Li Xiaowen นักชาติพันธุ์เย้ากล่าวว่า คุณธรรมดั้งเดิมของเย้าเป็นมาตรฐานทำหน้าที่วางระเบียบปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สังคมไม่ได้ต้องการเศรษฐกิจเข้มแข็งเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการจิตวิญญาณเชิงคุณธรรมและการเมืองที่ดีด้วย เพื่อเป็นแนวทางและรักษาสังคมให้เคลื่อนไปในทางที่ถูกต้อง สังคมเย้ามีคุณธรรมทางสังคมพร้อมทั้งลักษณะประจำเชื้อชาติ ธรรมเนียมประเพณี ความคิดเห็นร่วมสาธารณะ และความคิดเชิงคุณธรรมเป็นมาตรฐานของการพูดและการกระทำและเพื่อปรับให้เข้ากับความสัมพันธ์ภายมนและระหว่างเชื้อชาติ จิตวิญญาณทางสังคมที่ดีเป็นความดีงามดั้งเดิมของคนเย้าในขบวนการอันยาวนานของประวัติศาสตร์(หน้า 205) Li ยังกล่าวด้วยว่าคุณธรรมดั้งเดิมของเย้ามีมิติที่พื้นฐานสำคัญ 2 ด้าน คือ คุณธรรมที่เป็นสังคมสาธารณะและคุณธรรมของครอบครัวและการแต่งงาน คุณธรรมสาธารณะ ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ใจดีมีเมตตา เป็นเจ้าบ้านที่ดี (hospitable) ไว้วางใจเชื่อถือได้ และพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่น ในทัศนะคนเย้าความเสื่อมเสียในเรื่องเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของครอบครัว หลักการรักษาระเบียบนี้อยู่ใน shipai (หน้า 206) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การยกเลิกระบบ shipai การพ่ายแพ้ของก๊กมินตั๋งนำไปสู่การจัดระเบียบการบริหารต้าเย้าใหม่ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ได้พบว่ามีความขัดแย้งระหว่างเย้าที่ครอบครองที่ดินและเย้าที่ไร้ที่ดิน และก็พบว่าความขัดแย้งนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพลังการผลิตของต้าเย้าชาน เพราะความขัดแย้งดังกล่าวเป็นแกนกลางของสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองท้องถิ่น ในการแก้ปัญหา กลุ่มเย้าไร้ที่ดินจะต้องได้รับอำนาจทางสังคมและการเมือง นั่นคือ การอนุญาตให้มีสิทธิในที่ดินว่างเปล่าบนภูเขาและเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อใช้เอง ล่าสัตว์และจับปลาได้โดยไม่ต้องจ่ายภาษี เพาะปลูกบนภูเขาได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหัวหน้าเจ้าที่ดิน(shipai headmen) และสุดท้ายยกเลิกกฎระเบียบการปลูกต้นไม้บนที่ดินเป็นค่าเช่า(zhongshu huanshan) ผู้นำเย้าที่เป็นเจ้าของที่ดินไม่เห็นด้วยกับหลักการนี้ และผู้นำหลายคนที่เข้าร่วมต่อสู้กับก๊กมินตั๋งรู้สึกว่าตนถูกสมาชิกพรรคหลอก ในต้นทศวรรษ 1950 ขณะที่การโต้แย้งถกเถียงกันระหว่างผู้นำเย้าที่เป็นเจ้าของที่ดินกับสมาชิกพรรครุนแรงขึ้น ความขัดแย้งระหว่างเย้าที่ครอบครองที่ดินกับเย้าที่ไร้ที่ดินก็เห็นชัดมากขึ้น (หน้า 161) นอกจากนั้น ในความเป็นจริงแล้ว จ้าชานเย้า อาวเย้าและฮัวหลานเย้ามีทั้งคนที่เป็นเจ้าที่ดิน ชาวไร่ชาวนาที่ฐานะร่ำรวย ปานกลางและยากจน ไม่ได้มีแต่คนที่เป็นเจ้าที่ดินทั้งหมด ขณะที่ Guoshan Yao ก็ไม่ได้มีแต่ชาวไร่ชาวนายากจนไม่มีที่ดิน หากยังมีคนที่เป็นเจ้าของที่ดินและคนร่ำรวย แม้จะไม่เท่ากับกลุ่ม Changmao Yao ก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคยยึดทรัพย์จากเจ้าของที่ดินเย้ากลุ่มนี้เลยเพราะพรรคมองว่าการไร้ที่ดินเป็นลักษณะร่วมของกลุ่ม Guoshan Yao ทั้งกลุ่ม การแก้ปัญหาของพรรคจึงกลายเป็นความขัดแย้งและเพิ่มความโกรธเคืองให้กลุ่ม Changmao Yao ทั้งนี้เมื่อครอบครัวกลุ่ม Guoshan Yao ที่เป็นเจ้าของที่ดินปิดบังการครอบครองที่ดินของตนโดยอ้างว่าอยู่ในกลุ่มไม่มีที่ดิน (หน้า161-162) ในปี ค.ศ. 1951 พรรคได้จัดประชุมผู้นำเย้าเพื่อเจรจาหาข้อยุติความขัดแย้งอันเนื่องมาจากการใช้ที่ดินและมีข้อตกลงร่วมดังนี้ 1) กลุ่ม Changmao Yao หยุดใข้อภิสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ดินว่างเปล่าบนภูเขา พานเย้ากับชานซีเย้าสามารถใช้ที่ดินว่างเปล่าและไม่ต้องจ่ายค่าเช่า 2) พานเย้าและชานซีเย้ามีอิสระในการล่าสัตว์ป่าและเก็บพืชสมุนไพรป่าได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า 3) องค์กรปกครองหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่จะบริหารจัดการแม่น้ำ ซึ่งเคยอยู่ในการควบคุมของกลุ่ม Changmao Yao ทุกคนมีอิสระในการจับปลาในแม่น้ำ 4) ทุกคนมีส่วนในผลผลิตจากป่า ยกเว้นเห็ดที่คนมีสิทธิคือคนที่ปลูก 5) เจ้าของนาจะได้รับผลผลิตไม่เกิน 30% เป็นค่าเช่าจากผู้เช่า 6) เย้าทุกกลุ่มมีอิสระในการใช้ทุ่งนาหรือต้นไม้บนภูเขาว่างเปล่า ทุ่งนาและต้นไม้เป็นของบุคคล ครอบครัว หรือกลุ่มที่เพาะปลูก (หน้า 163-164) พรรคคอมมิวนิสต์กับพิธีกรรมความเชื่อ นักชาติพันธุ์วิทยาเห็นว่า ความเชื่อของเย้าสะท้อนระดับการพัฒนาทางสังคมเย้า การเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติอย่างแพร่หลายของเย้าภูเขาสะท้อนถึงรัฐที่ยังไม่พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น ถ้าเศรษฐกิจท้องถิ่นได้รับการพัฒนา ความเชื่อเช่นนี้ของเย้าก็จะเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี นักชาติพันธุ์วิทยาในจีนตระหนักว่า พวกเขาไม่ได้พบเพียงแค่ผู้คนที่ล้าหลัง มีชีวิตอยู่ภายใต้ความหลงเชื่อว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติทุกอย่างมีวิญญาณและผี หากพวกเขายังพบระบบพิธีกรรมที่มีหลักอ้างอิงกับจักรวาลวิทยาที่ถูกตีความและปฏิบัติโดยผู้รู้เต๋า(Taoist master) อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญพิธีเต๋า (Taoist specialists) ก็ข้องเกี่ยวกับการเป็นผู้นำเจ้าที่ดินด้วย ชาวไร่ชาวนาบนภูเขาในต้าเย้าชานจึงไม่ใช่เผ่าล้าหลัง (a preliterate ‘tribe’) ที่ไม่เคยรู้จักสัมผัสวัฒนธรรมที่เจริญกว่า ทว่าผู้รู้เต๋าของเย้ามีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พวกเขาคล้ายจีนและใกล้ชิดกับศูนย์กลางอารยธรรมของจีน (หน้า 185-186) หลังจากก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้และตั้งเขตปกครองตนเองเย้าแล้ว ในต้นทศวรรษ 1950 ผู้ประกอบพิธีเต๋ายังคงทำพิธีแต่งงานและพิธีศพอยู่ จนกลางศตวรรษ 1960 กิจกรรมพิธีเหล่านี้ต้องหยุด เพราะในยุคเหมา(Maoist period) พิธีกรรมเย้าถูกโจมตีว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบฟิวดัลในอดีต ตำราพิธีกรรมจำนวนมากถูกเผาทำลาย การทำพิธีรักษาและป้องกันการเจ็บป่วยกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย (หน้า 186) พรรคคอมมิวนิสต์พยายามให้เย้าจินชิวยอมรับความคิดเชิงวัตถุนิยมและเลิกพึ่งพิงผีบ้านผีเรือน เทพเจ้าท้องถิ่นและอำนาจเหนือธรรมชาติอื่นยามเจ็บป่วย โดยพรรคมุ่งเน้นไปที่ผู้เชี่ยวชาญพิธีเต๋าเพราะคนเหล่านี้มีตำแหน่งสำคัญในชุมชนท้องถิ่น พรรคสนับสนุนพวกเขาให้เป็นสมาชิกพรรค เรียนรู้ความคิดเลนิน-มาร์กซ์ และให้ความรู้แก่คนในหมู่บ้านของตน ส่วนนักบวชเต๋าที่ถูกเกษียณจากการเป็นสมาชิกพรรคภายใต้การปฏิรูป ก็กลับมาเริ่มต้นติดตามดูกิจกรรมของพิธีแต่งงานและพิธีศพ (หน้า 187) อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีคนหนุ่มเย้าจำนวนน้อยสนใจเป็นผู้ทำพิธีกรรม แต่ชาวบ้านจำนวนมากก็หันมาให้ผู้ทำพิธีกรรมประกอบพิธีในชีวิตประจำวัน และในทศวรรษ 1980 ความเชื่อในอำนาจธรรมชาติยังคงเป็นปัญหาพื้นฐานบนภูเขาอยู่ แต่ความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อและผลกระทบของกิจกรรมพิธีกรรมต่อการผลิต รายได้ การออม และระเบียบสังคมกลับมีน้อย การปฏิบัติและความเชื่อทางศาสนาถูกตีความในแง่ผลประโยชน์ที่จีนหลังยุคเหมาจะได้รับจากการพยายามทำให้ทันสมัย ซึ่งการทำให้สังคมเย้าทันสมัย ต้องทำลายสภาวะเงื่อนไขแห่งการแยกตัวโดดเดี่ยวของเย้าบนภูเขาและต้องละทิ้งธรรมเนียมประเพณีและความคิดที่ล้าสมัย ทั้งนี้นักวิชาการจ้าชานเย้าเห็นว่า การปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณีเย้าไม่ได้เป็นธรรมเนียมประเพณีและแนวความคิดล้าสมัยที่ต้องละทิ้ง หากแต่เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความคิด(idea) และการปฏิบัติที่ช่วยระบอบปฏิรูป (หน้า187-189) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงการกระจายประชากรเย้าตามกลุ่มภาษา (Distribution of Yao by Language Group) (หน้า 99) แผนที่แสดงท้องถิ่นปกครองตนเองจ้วงกวางสี (Guangxi Zhuang Autonomous Region) (หน้า 107) แผนที่แสดงเขตปกครองตนเองเย้าจินชิว (Jinxiu Yao Autonomous County) (หน้า127) |
|
|