สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผู้ไทย,การรำ,การฟ้อนรำผู้ไทย,นครพนม
Author ชัยบดินทร์ สาลีพันธ์
Title ฟ้อนรำภูไท เมืองเรณูนคร
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ผู้ไท ภูไท, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
          ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 55 Year 2541
Source โรงเรียนเรณูวิทยาคาร จังหวัดนครพนม
Abstract

          เป็นการรวบรวมประวัติความเป็นมาของการฟ้อนรำ ท่ารำภูไท และการพัฒนาท่ารำของภูไท ที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อทำเป็นหลักสูตรการฟ้อนรำภูไทให้มีความถูกต้องกับท่ารำดั้งเดิม

Focus

          ศึกษารวบรวมประวัติและท่าการฟ้อนรำภูไท เพื่อเป็นหลักสูตรท้องถิ่นสำหรับฝึกหัด (หน้า คำนำ)

Theoretical Issues

          ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

          ภูไทในอำเภอเรณูนคร ภูไทเวลาเรียกตนเองจะเรียกว่า “ภูไท” คนลาวเรียกว่า “ผู้ไท” ในภาษาไทยเขียนว่า “ผู้ไท” แต่เดิมตั้งที่อยู่อาศัยที่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน ในมณฑลยูนาน กวางสี กวางโจว (หน้า 1)

Language and Linguistic Affiliations

          ไม่มี

Study Period (Data Collection)

          สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2540 (หน้า 55)

History of the Group and Community

          ประวัติความเป็นมาของคนภูไท ภูไทเมื่อก่อนนี้ตั้งถิ่นฐานเดิมอาศัยอยู่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน ในพื้นที่มณฑลยูนาน กวางสี กวางโจว ภายหลังได้อพยพไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ โดยได้ย้ายที่อยู่จากที่เคยอยู่ “บ้านนาน้อย อ้อยหนู” ที่ตั้งบริเวณทางตอนเหนือของเมืองแถน จากนั้นก็อพยพขึ้นไปทางทิศตะวันออกไปอยู่บริเวณฝั่งแม่น้ำรมหรือแม่น้ำเชียงฮม สำหรับแม่น้ำแห่งนี้ไหลมาจากมณฑลยูนนานไหลผ่านเมืองไล บ้านเต้าปุ้ง บ้านนาน้อย อ้อยหนู แล้วไหลลงมายังที่ราบของเมืองแถน หรือที่คนญวน เรียกว่า “เดียนเบียนฟู” (หน้า 1) ในช่วงสมัยพระเจ้าเชษฐา ที่ 2 หรือเจ้าองค์เว้ หรือเจ้าไชย องค์แว้บุตรท้าวชมพูซึ่งอยู่เมืองญวน ขณะนั้นได้เกิดความไม่สงบในเมืองเวียงจันทน์จึงขอให้กองทัพญวนมาช่วยปราบกบฏเจ้านันทราช ครั้นปราบกบฏได้สำเร็จพระองค์จึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ เมื่อ พ.ศ. 2241 กระทั่งในช่วง พ.ศ.2254 ได้เกิดกบฏขึ้นในกรุงเวียงจันทน์ หัวหน้าภูไท “อ้ายญาก่า หรือ พระศรีวรราช” ได้ให้ความช่วยเหลือในการปราบกบฏจนสำเร็จ ดังนั้นกษัตริย์ของลาวจึงทรงยกเจ้านางช่อฟ้า พระราชธิดาหรือที่ภูไท เรียกว่า “นางลาว” ให้กับหัวหน้าภูไท หัวหน้าภูไทได้ไปตั้งเมืองที่เมืองวัง ภายหลังได้ตั้งเมืองเพิ่มขึ้นดังนี้ เมืองตะโปน (เซโปน) เมืองสบแอก เมืองเชียงค้อ (หน้า 1) เมื่อพระยาก่าเสียชีวิต พระยาเตโชอุปฮาต จึงขึ้นปกครองเมือง ดังนั้นจึงทำให้บุตรของพระยาก่าแค้นเคืองจึงขอให้กองกำลังของญวนเมืองราชคำรั่ว มาสู้กับพระยาเตโช เมื่อสู้กันหลายครั้งจึงจับพระยาเตโชไปเมืองญวน เมื่อสิ้นสุดการสู้รบลูกหลานของพระยาเตโช จึงได้อพยพข้ามมายังฝั่งขวาแม่น้ำโขง มาอยู่ที่บ้านพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม จากนั้นได้ย้ายไปอยู่ในบริเวณพื้นที่หนองหาร เมืองสกลนคร ภูไทไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศจึงทำให้มีคนป่วยและเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงพากันอพยพกลับไปอยู่เมืองวังเช่นเดิม เมื่อจะข้ามแม่น้ำโขงจึงไปไหว้พระธาตุพนม พระทาซึ่งเป็นพระที่อยู่วัดนั้นได้ให้ควาญช้างปักเอกพาภูไทไปดูที่ตั้งเมือง บริเวณนั้นเป็นบ่อเกลือและป่าหวายขึ้นเป็นจำนวนมาก ภายหลังเมื่อตั้งเมืองแล้วจึงตั้งชื่อเมืองว่า “เมืองเวบ้านดงหวายสายบ่อแก” หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า “เมืองเว” (หน้า 2) เมื่อเมืองนี้มีเจ้าเมืองปกครองมาเป็นคนที่ 5 จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยได้เปลี่ยนจากเมืองมาเป็น “มณฑล” และต่อมาได้เปลี่ยนจากมณฑลมาเป็น “บริเวณ” และเปลี่ยนจาก “บริเวณ” มาเป็นเมืองอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ.2450 เมืองเรณูนคร ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอ ปี พ.ศ.2451 ได้ย้ายจากบ้านเรณูนครมาอยู่ที่ตำบลธาตุพนมและยังคงใช้ชื่ออำเภอณูนครเช่นเดิม กระทั่ง พ.ศ.2460 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอธาตุพนม ส่วนบ้านเรณูนครมีฐานะเป็นตำบลเรณูนคร อยู่ในการปกครองของอำเภอธาตุพนมและได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2513 กระทั่งมาเป็นอำเภอเรณูนคร เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2518 (หน้า 3)

Settlement Pattern

          ไม่มี

Demography

          จำนวนประชากรในอำเภอเรณูนครมีประชากรทั้งหมด 43,941 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 21,999 คน และผู้หญิง 21,942 คน มีจำนวนครัวเรือน 9,718 ครัวเรือน (หน้า 4)

Economy

          อาชีพหลักส่วนใหญ่จะทำนากับค้าขาย (หน้า 4)

Social Organization

          ไม่มี

Political Organization

          เมืองเรณูนครมีเจ้าเมืองทั้งหมด 5 คน ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบอำเภอในภายหลัง สำหรับความเป็นมาของการปกครองอำเภอเรณูนครมีมาดังนี้ เจ้าเมืองคนแรกปกครองในระหว่างปี พ.ศ.2387-2405 (หน้า 2) กระทั่งถึงเจ้าเมืองคนที่ 5 ทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองในระหว่างปี พ.ศ. 2440-2446 (หน้า 3) ภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจาก “เมือง” เป็น ”มณฑล” และจากมณฑลเป็น “บริเวณ” และจากบริเวณมาเป็นเมือง ในปี 2450 ได้เปลี่ยนเป็นอำเภอเรณูนคร ต่อมาปี พ.ศ.2451 ได้ย้ายจากบ้านเรณูนครมาอยู่ที่ตำบลธาตุพนมและยังคงใช้ชื่ออำเภอเรณูนคร เมื่อปี พ.ศ.2460 ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่ออำเภอธาตุพนม โดยบ้านเรณูนครเป็นตำบลเรณูได้อยู่กับอำเภอธาตุพนม จนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2513 จึงได้รับการยกขึ้นเป็นกิ่งอำเภอและในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2518 จึงได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเรณูนครมาจนถึงทุกวันนี้ ประกอบด้วย 8 ตำบล 91 หมู่บ้าน แบ่งการปกครองส่วนท้องถิ่นออกเป็น 5 อบต. 3 สภาตำบล (หน้า 3-4)

Belief System

          ไม่มี

Education and Socialization

          ไม่มี

Health and Medicine

          ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          การแต่งกายฟ้อนภูไท การแต่งกายของภูไทแบ่งออกเป็น 2 ยุค ดังนี้ 1.ระหว่างปี พ.ศ.2498-2512 ชาย สวมกางเกงขาก้วยสีครามหรือน้ำเงินเข้ม เสื้อหม้อห้อมสีคราม แขนยาวคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า ลายตาหมากรุกสลับแดงประดับเรือนกายด้วยสร้อยเงินและกำไลเงิน (หน้า 6) หญิง สวมผ้าถุงยาวกรอมข้อเท้าสีครามหรือน้ำเงินเข้ม สวมเสื้อแขนยาวขลิบแดง คาดด้วยสไบเฉียงสีขาวทางซ้าย สวมหมวกงอบสานด้วยไม้ สำหรับเครื่องประดับประกอบด้วย ขจรเงินหรือตุ้มหูสวมสร้อยกำไลมือและกำไลขาที่ทำด้วยเงิน (หน้า 6) 2.ระหว่างปี พ.ศ.2513-ปัจจุบัน(2541) ชาย สวมกางเกงขาก้วยน้ำเงินเข้ม ยาวถึงครึ่งหน้าแข้ง เสื้อสีน้ำเงินขลิบที่บริเวณคอผ่าอก กระดุมทำด้วยเงินหรือสีขาวคอจีน แขนสั้นและผ้าคะม้าไหมพื้นสีแดง (หน้า 6) หญิง สวมผ้าถุงยาวกรอมข้อเท้าสีน้ำเงินเข้ม สวมเสื้อกระบอกขลิบคอ แขนสีแดงคอจีน กระดุมทำด้วยเงิน คาดไหล่ทางด้านซ้ายด้วยสะไบถักสีขาว บางครั้งก็จะเป็นผ้าไหมสีขาว บริเวณหน้าอกเสื้อประดับด้วยดอกกุหลาบ เครื่องประดับจะสวมสร้อยเงิน กำไล แขน กำไลขา ทำด้วยเงินเช่นกัน ไว้ผมยาวแล้วมวยผม (หน้า 6) เครื่องดนตรี ในการฟ้อนรำภูไทมีเครื่องดนตรีประกอบหลายอย่างดังนี้ กลองตุ้ม พังฮาต กลองหางหรือกลองยาว โหวด ฉิ่ง ฉาบ ฆ้องไม้กั๊ปแก๊ป แคน และพิณหรือกระจับปี่ (เรื่องและภาพ หน้า 14-23) ท่าฟ้อนรำ ประกอบด้วยท่าต่อไปนี้ 1.ท่าเตรียมหรือรำโยก 2. ท่านกกะบาบินเลียบหาด 3. ท่ารำเพลิน 4.ท่ากาเต้นก้อนขี้ไถ 5.ท่ากาเต้นก้อนข้าวเย็น 6.ท่าส่ายเตี้ยลง 7.ท่าถวายพญาแถน 8.ท่าเสือออกเหล่า 9.ท่าไก่เลียบเล้า 10.ท่าจระเข้ฟาดหาง 11.ท่าเสือชมหมอกหรือท่าเสือมอน้ำลาย(เสี่ยงทาย) 12.ท่าตบปราบมาร (ท้าทายคู่ต่อสู้) 13.ท่ารำขวาน 14.ท่าส่องกล้องหาคู่รำ 15.ท่าทรพีสู้พ่อ 16.ท่าตัดไม้ข่มนามหรือเป็นการลงคาถาอาคม 17.ท่าบูชายัญ 18.ท่ารำเกี้ยว 19.ท่าลมพัดพร้าวหรือพัดใบข้าว (หน้า 32)

Folklore

          ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

          ประวัติการฟ้อนรำภูไทเมืองเรณูนคร การฟ้อนรำภูไทในอดีตเรียกการรำนี้ว่า “ฟ้อนละครไทย” เป็นการฟ้อนเพื่อความสนุกในงานบุญเดือนหก ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งมีการทำบุญบั้งไฟ นมัสการพระธาตุเรณูและขอฝนกับพระยาแถน การร่ายรำจะขึ้นอยู่กับท่วงท่าของแต่ละคนไม่มีท่ารำที่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายที่ฟ้อนรำที่จะรำไปตามคุ้มในหมู่บ้านระหว่างรำก็จะกินเหล้า มีเครื่องดนตรีประกอบเช่น กลองกับพางฮาด สำหรับท่ารำแม่ไม่มีท่ารำที่แน่นอนก็จะเลียนแบบท่าทางของสัตว์และพืชในธรรมชาติ ได้แก่ นกบินคือท่า “นกกะบาบินเลียบหาด” “ท่าจระเข้ฟาดหาง” “ท่าเสือออกเหล่า” และท่าอื่นๆ (หน้า 4) การพัฒนาการฟ้อนรำภูไทเมืองเรณูนคร การฟ้อนรำของภูไทมีพัฒนาการของการฟ้อนรำโดยแบ่งออกเป็น 4 ยุคดังนี้ ยุคที่ 1 เป็นการฟ้อนเพื่อความสนุกสนานดื่มเหล้าในงานบุญผะเหวดประจำปี เลียนแบบท่าทางของพืชและสัตว์ การร่ายรำจะขึ้นอยู่กับท่าทางของใครของมันแล้วแต่เอกลักษณ์ของแต่ละคน (หน้า 10,11) ยุคที่ 2 เริ่มจาก พ.ศ.2497 เป็นปีที่กรมศิลปากรได้ทำการซ่อมแซมองค์พระธาตุพนม จึงมีการรวบรวมท่ารำเพื่อเตรียมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่เสด็จมาที่วัดพระธาตุพนม ดังนั้นทางจังหวัดจึงจัดการแสดงของแต่ละชาติพันธุ์ที่อยู่ในจังหวัดเพื่อแสดงต่อหน้าพระที่นั่ง ในเวลานั้นท่านำภูไทที่ได้มีการรวบรวมท่ารำได้แก่ ท่ากาเต้นก้อน ท่านกกะบาบิน ท่าลมพัดพร้าว (หน้า 10,11) ยุคที่ 3 พ.ศ. 2512-2525 ยุคอาจารย์คำนึง (กีแฟ) อินทร์ติยะ หัวหน้าหมวดการศึกษาอำเภอเรณูนคร โดยได้ปรับปรุงท่ารำจาก 3 ท่าขึ้นเป็น 12 ท่าหลักดังต่อไปนี้ 1. เตรียมโยก 2. กาเต้นก้อนขี้ไก่ 3. นกกะบาบินเลียบหาด 4. กาเต้นก้อนข้าวเย็น 5. รำเพลิน 6. ส่ายเตี้ยลง 7. ถวายพระยาแถน 8. เสือออกเหล่า 9. จระเข้ฟาดหาง 10. บูชายัญ 11. รำเกี้ยว 12. ลมพัดพร้าว และในปี พ.ศ. 2520 ได้นำมวยโบราณมาประยุกต์เข้ากับการฟ้อนรำภูไท ทำให้มีท่ารำทั้งหมด 16 ท่า (หน้า 10,11) ยุคที่ 4 ตั้งแต่ พ.ศ.2526-ปัจจุบัน อาจารย์ชัยบดินทร์ สาลีพันธ์ ได้พัฒนาการรำภูไทและนำมวยโบราณมาประยุกต์พัฒนาเป็นรำภูไท สำหรับท่าที่เพิ่มเติมขึ้นมามีดังนี้ 1. มวยโบราณ (ตบปราบมาร) 2. รำขวาน 3. ไก่เลียบเล้า 4. เสือชมหมอก 5. ส่องกล้องหาคู่ 6. ตัดไม้ข่มนาม 7. ทรพีสู้พ่อ ในช่วงนี้ได้นำจังหวะดนตรีมาประกอบการร่ายรำที่ทำให้เกิดความพร้อมเพรียงและสะดวกต่อการฝึกรำ โดยได้เพิ่มท่ารำจากยุคที่ 3 เป็น 19 ท่าและมีการพัฒนาโดยเน้นความหมายของแต่ละท่ารำ (หน้า 11,12)

Other Issues

          ความหมายของท่าฟ้อนรำ 1) ท่าเตรียมหรือโยก หมายถึงการแสดงความเคารพและเตรียมความพร้อมเพื่อแสดงท่าอื่น (เรื่องและภาพหน้า 33) 2) ท่านกกะบาบินเลียบหาด ความหมายคือ ในช่วงเวลาเย็น นกกะบาบินมาเป็นแถวดูแล้วสวยมาก เมื่อหนุ่มสาวภูไท ทำไร่ทำนาแล้วเดินกลับบ้าน โดยเดินตามคันนาจึงทำให้มีความเบิกบานใจ การฟ้อนรำเลียนแบบท่าทางของนกกะบา (เรื่องและภาพหน้า 34) 3) ท่ารำเพลิน ความหมายคือ เมื่อหนุ่มสาวทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับบ้านจึงเดินกลับด้วยความสำราญใจ โดยการเดินแบบนวยนาด การรำได้นำท่าเดินมาเป็นท่ารำ (เรื่องและภาพหน้า 35) 4) ท่ากาเต้นก้อนขี้ไถ ความหมายคือ ในหน้าฝนเมื่อเริ่มไถนา โดยจะไถนาฮูตหรือไถนานะ ก้อนขี้ไถก็จะโผล่เหนือน้ำทั้งในน้ำและดินก็จะมีแมลงและนกกาก็จะบินมาจิกกิน เมื่อนกบินมาจับดินน้ำก็เซาะก้อนขี้ไถ นกก็จะบินไปยังก้อนอื่นต่อ โดยจะบินเชิดไปมา ท่ารำจึงชื่อ “กาเต้นก้อนขี้ไถ” (เรื่องและภาพหน้า 36) 5) ท่ากาเต้นก้อนข้าวเย็น ความหมายคือท่าของกาจิกกินข้าวที่ต้นไม้ ซึ่งในอดีตเมื่อมีคนมาใส่บาตร เมื่อใส่แล้วก็จะนำข้าวติดที่ต้นไม้ เพื่อให้ผีมารับส่วนบุญ ดังนั้นจึงทำให้กามาจิกกินข้าวที่อยู่บนต้นไม้ ตอนกินจะให้เท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านบน และอีกข้างจะอยู่ด้านล่างจึงเรียกท่าเต้นว่า “กาเต้นก้อนข้าวเย็น” ท่ารำนี้ผู้ชายจะรำโชว์สาวๆ เพื่อเลือกคู่รำ (เรื่องและภาพหน้า 37) 6) ท่าส่ายเตี้ยลง ความหมายคือเพื่อเป็นการทดสอบความสามารถของผู้ชายว่าจะสามารถทำตามได้หรือเปล่าและอีกความหมายก็คือผู้ชายจะรักและเชื่อฟังคำพูดของผู้หญิงหรือไม่ (เรื่องและภาพหน้า 38) 7) ท่าถวายพญาแถน หมายถึงการฟ้อนรำในช่วงบุญมหาชาติหรือบุญบั้งไฟ เพื่อถวายพญาแถน ปีไหนฟ้อนสนุกแถนพึงพอใจก็จะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล แต่ถ้าปีไหนพญาแถนไม่ชอบใจก็จะทำให้ฝนแล้ง (เรื่องและภาพหน้า 39) 8) ท่าเสือออกเหล่า (ผู้ชายออกเดี่ยวโชว์) หมายถึงการเลียนแบบท่าเดินของเสือซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่สง่างาม การรำก็เพื่อเป็นการหาคู่รำเพื่อให้ผู้หญิงสนใจ (เรื่องและภาพหน้า 40) 9) ท่าไก่เลียบเล้า (ท่าของผู้ชาย) ความหมายคือ เป็นการสื่อถึงการเลือกคู่ในตอนเช้าไก่ตัวผู้จะเดินเลียบเล้าเพื่อเลือกไก่ตัวเมียมาเป็นคู่สืบพันธุ์ ท่ารำนี้เลียนแบบท่าเต้นไก่ตัวผู้ที่เต้นรำตอนเกี้ยวพาราสีไก่ตัวเมีย (เรื่องและภาพหน้า 41) 10) ท่าจระเข้ฟาดหาง ความหมาคือการการเลียนแบบสัตว์ที่มีหาง ซึ่งจะกระดิกหางเมื่อเจอคู่รักหรือที่พอใจ การรำท่าจระเข้ฟาดหางหมายถึงท่ารำที่ฝ่ายชายขอความรักจากคู่รำฝ่ายหญิง (เรื่องและภาพหน้า 42) 11) ท่าเสือชมหมอกหรือท่าเสือมอน้ำลาย(ท่าเสี่ยงทาย เป็นท่าเดี่ยวโชว์ของผู้ชาย) หมายถึง เมื่อเสือออกหาอาหารเสือก็จะใช้เท้าเขี่ยพื้นดินแหงนมองดูดวงดาวหางก็จะชี้ทิศให้รู้ว่าจะไปล่าเหยื่อทิศไหน หากเปรียบเทียบกับการรำ การฟ้อนรำท่านี้ก็เพื่อให้รู้ว่าวันนี้จะไปหาคู่ที่ไหน (เรื่องและภาพหน้า 43) 12) ท่าตบปราบมาร เป็นท่าเดี่ยวของผู้ชายการรำมีดังนี้ การรำจะตบที่ข้างหน้าเท่ากับในระดับใบหน้า 1 ครั้ง และระดับอื่นๆ อย่างละ 1 ครั้ง เช่นกันคือ ตบข้างหลังระดับเอว ข้างหน้าระดับใบหน้า ตบลอดขาด้านซ้าย ตบข้างหน้าสูงเท่ากับใบหน้า ตบลอดขาข้างขวา ตบข้างหน้าสูงเท่ากับใบหน้า ตบที่บ่าและใช้มือไขว้สลับทาบลงกับหน้าอก ตบที่ขาแล้วใช้หลังมือแล้วแบมือไปทางด้านหน้า ใช้มือขวาตบส้นเท้าด้านขวา และใช้มือซ้ายตบขาซ้าย ตบที่เท้าซ้าย แล้วหมุนตัวด้วยท่ารำเสือลากหาง (เรื่องและภาพหน้า 44) 13) ท่ารำขวาน เป็นท่ารำเดี่ยวโชว์ของผู้ชายโดยเป็นท่าประกอบท่ามวยโบราณ ความหมายเลียนแบบท่ารำเวลาออกรบของนักรบภูไท โดยจะควงขวานหรือดาบรอบตัวในการรำจะรำมือเปล่าไม่มีอาวุธ ความหมายคือสื่อถึงความเก่งกล้า (เรื่องและภาพหน้า 45) 14) ท่าส่องกล้องหาคู่รำ เป็นท่าต่อเนื่องกับท่าไก่เลียบเล้าอันเป็นท่ามองหาคู่รำ เพื่อที่จะมารำด้วยกัน (เรื่องและภาพหน้า 45) 15) ท่าทรพีสู้พ่อ ต่อจากท่าโชว์เดี่ยวของผู้ชายเป็นท่ารำที่ผสมกับท่ารำแบบมวยโบราณเพื่อแสดงถึงความเก่งกล้าใช้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ (เรื่องและภาพหน้า 46) 16) ท่าตัดไม้ข่มนาม เป็นท่าเดี่ยวโชว์ท่ามวยโบราณความหมายเป็นท่ามวยโบราณเพื่อรำข่มขวัญคู่ต่อสู้ และแสดงถึงการเกี้ยวพาราสีผู้หญิง เนื่องจากในอดีตคนหนุ่มจะมีการเรียนคาถาอาคมต่างๆ เพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่น คนรำผู้ชายก็จะเสกคาถาแล้วก็กระทืบเท้า 3 ครั้ง (เรื่องและภาพหน้า 47) 17) ท่าบูชายัญ ความหมายคือ ผู้ชายและผู้หญิงเมื่ออกมาฟ้อนรำก็จะรำอย่างเริงร่าด้วยท่ารำต่างๆ จากนั้นก็จะรำด้วยท่าปะแป้งสาวน้อย โดยจะไม่ให้สัมผัสร่างกายของฝ่ายหญิง หากแตะต้องร่างกายฝ่ายหญิงก็จะถือว่าเป็นการผิดผีและจะปรับไหม หากจับถูกแขนจะปรับเงินพันห้า ถ้าสัมผัสขาก็จะปรับเงินเป็นหมื่น การรำเป็นการสื่อถึงความเบิกบานใจ ในการรำของผู้รำทั้งผู้ชายและผู้หญิง (เรื่องและภาพหน้า 48) 18) ท่ารำเกี้ยว ความหมายคือเป็นการเกี้ยวพาราสีระหว่างชาย หญิง การรำผู้หญิงจะรำถวายแถนส่วนผู้ชายจะรำท่าจระเข้ฟาดหาง โดยจะหันหน้าเข้าหากันเพื่อสื่อถึงการขอความรัก (เรื่องและภาพหน้า 49) 19) ท่าลมพัดพร้าวหรือพัดใบข้าว ท่ารำนี้เป็นท่าจบและเป็นการอวยพรให้กับคนที่มาชม ท่ารำเลียบแบบธรรมชาติ คือช่วงเวลาปักดำข้าวในนาลมก็จะพัดใบมะพร้าวกับต้นข้าวซึ่งกำลังออกรวงปลิวไสวตามสายลมมองแล้วทำให้เพลิดเพลินยิ่งนัก (เรื่องและภาพหน้า 50)

Map/Illustration

ภาพ

  • การแต่งกายชุดฟ้อนภูไท (หน้า 7,8)
  • การแต่งหน้า (หน้า 9)
  • เครื่องดนตรี กลองต้ม (หน้า 13)
  • พังฮาต (หน้า 14)
  • กลองหางหรือกลองยาว (หน้า 15)
  • โหวด(หน้า 16)
  • ฉิ่ง (หน้า 17)
  • ฉาบ (หน้า 18)
  • ฆ้อง (หน้า 19)
  • ไม้กั๊ปแก๊ป (หน้า 20)
  • แคน (หน้า 21)
  • พิณ(หน้า 23)
  • การเดินของผู้ชาย (หน้า 26-27)
  • การเดินของผู้หญิง (หน้า 28)
  • การเดินมือของผู้ชาย,หญิง (หน้า 29-31)
  • ท่าฟ้อนรำ (หน้า 33-50) 

ตาราง
  • ห้องเพลงของเครื่องกำหนดจังหวะดนตรี (หน้า 24)
  • แผนผัง การแปรแถวในการฟ้อนรำภูไท (หน้า 54)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 30 ม.ค. 2560
TAG ผู้ไทย, การรำ, การฟ้อนรำผู้ไทย, นครพนม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง