สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,เมี่ยนเย้า,(the Mien Yao),วัฒนธรรม,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ศาสนาความเชื่อ,จีน
Author Jacques Lemoine
Title Yao Culture and Some Other Related Problems
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 22 Year 2534
Source The Yao of south China: Recent International Studies. Paris: Pangu
Abstract

เนื้อหาบทความนี้เป็นนำเสนอประเด็นปัญหาการศึกษาวัฒนธรรมเย้าบางประการ ผู้เขียนสนใจประเด็นการศึกษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เย้า โดยเน้นการนำประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่ม ภาษามาเป็นเกณฑ์จำแนกการเป็นเย้า รวมถึงศาสนาความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าและผี ซึ่งเป็นแก่นวัฒนธรรมสำคัญของเย้า

Focus

ประเด็นทางประวัติศาสตร์ ศาสนาและความเชื่อที่ยังสับสนและเป็นปัญหาในการศึกษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เย้า (หน้า 591)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เมียนเย้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(the Mien Yao of Southeast Asia) โดยเน้นเมียนเย้าในประเทศลาวและไทย (หน้า 604-605)

Language and Linguistic Affiliations

ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงภาษาเย้าในเชิงภาษาและภาษาศาสตร์ แต่กล่าวถึงในแง่ว่าเป็นเกณฑ์การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

อายุเอกสารสำคัญที่รู้จักกันในชื่อ “King Pan’s charter” จะช่วยให้เข้าใจความยาวนานของกลุ่มชาติพันธุ์เย้าในปัจจุบัน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ชาติพันธุ์ “Mo Yao” กำเนิดในช่วงการครองราชย์ของ Tang Tai Qong (หน้า 595) (ดูหัวข้อ 27 ประกอบ)

Settlement Pattern

ไม่มี

Demography

ไม่มี

Economy

ไม่มี

Social Organization

ไม่มี

Political Organization

ผู้เขียนเห็นว่า การที่เย้าได้รับข้อตกลงสิทธิพิเศษจากจีนทำให้เห็นภาพบริเวณพื้นที่รอบนอกอาณาเขตของระบบฟิวดัล และมีสิ่งสำคัญซ่อนอยู่ในข้อตกลงนี้คือ เมื่อคนภายใต้บังคับจักรวรรดิต้องอยู่ใน “ทะเบียนครัวเรือน” (the ‘household registers’) ของราชสำนักเพื่อที่จะได้รับทรัพย์สินที่ดิน ผู้สืบเชื้อสายเย้า 12 ตระกูลและผู้นำทางการเมืองที่ราชสำนักจีนงดเว้นภาษีที่ดินก็ได้รับอนุญาตเป็นทางการให้เพาะปลูกบนภูเขาและที่ดินรอบๆ ภูเขา ทั้งยังได้รับการยกเว้นพันธะหน้าที่ทุกชนิดที่มีต่อราชสำนักด้วย (หน้า 596)

Belief System

ศาสนาความเชื่อ ผู้เขียนเห็นว่าเทพเจ้าและผีเป็นแก่นวัฒนธรรมของเย้า ทั้งนี้ได้แบ่งเทพเจ้าและผีออกเป็นกลุ่มๆ ตามความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตตั้งแต่ระดับบุคคลในครัวเรือนจนถึงระดับกลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะเกี่ยวข้องกับชีวิตดังนี้ 1. Pyaang Mien (Grandfather and Grandmother Spirits) เป็นเทพผู้ดูแลดอกไม้ ซึ่งในที่นี้หมายถึง เด็กๆ ดอกไม้สีขาวหมายถึงเด็กชาย ดอกไม้สีแดงหมายถึงเด็กหญิง Pyaang Mien จะดูแลดอกไม้เหล่านี้ในถ้ำ t’or nyuan tong (Cave of the peach Orchard) จนกระทั่ง Chia fin tsiu (the Chief Forebears)ของครอบครัวไปที่ถ้ำแล้วขอดอกไม้ นำมาใส่ท้องผู้หญิงที่แต่งงานในครอบครัว (หน้า 605) 2. Fing Mien (Stellar spirits) เป็นเทพผู้ปกป้องดูแลเย้าผู้ใหญ่ต่อจาก Pyaang Mien ซึ่งได้แก่ t’or pyang ong และ t’or pyang ku เมื่อเด็กชายอายุ 12 ปี และเด็กหญิงอายุ 13 ปี พวกเขาจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากดาวประจำตัวของตน (his Star of Destiny หรือ pwan meng seng kwan) พวกเขาจะทำพิธี ts’wet pyaang liem( the coming out of the forest of flowers) เพื่อขอบคุณเทพผู้ดูแลทั้งสอง เป็นการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (หน้า 606) 3. Yen Tong Ong เป็นผีบรรพบุรุษที่เป็นผู้นำในการเข้าทรง(Leader of the Mediums) ทั้งนี้ Yen Tong Ong ควรเป็นผีบรรพบุรุษรุ่นที่ 7 เป็นอย่างน้อย หน้าที่ Yen Tong Ong คือ ทำให้เกิดการเข้าภวังค์ในพิธีและนำผีนำนักรบมาค้นหา ขับไล่วิญญาณร้าย โรคภัยไข้เจ็บออกจากบ้าน ซึ่งเป็นผีที่ดูแลความปลอดภัยระดับครัวเรือน (หน้า 607) 4. Chia Tzoi Mien (Spirits for seeking one future) ทำหน้าที่ปกป้องดูแลการ่าสัตว์ เป็นผีในกลุ่มผีบรรพบุรุษของครัวเรือน ที่มีตำแหน่งต่ำกว่า Yen Tong Ong (หน้า 607) 5. Heng Fei (The Administration) หมายถึง คณะเทพเจ้าเต๋าที่ทำหน้าบีหารปกครอง(the celestial Taoist bureaucracy or pantheon) ผู้เขียนเห็นว่า การมีเทพเจ้าชุดนี้บ่งขี้ว่า ครอบครัวเย้าเข้าสู่ชุมชนทางศาสนาของเต๋าแล้ว หัวหน้าครอบครัวได้รับแต่งตั้ง(ranked)ใน the celestial bureaucracy พร้อมทั้งชื่อตำแหน่ง(titled)ในการปกป้องคุ้มครองพิเศษจากการจัดระเบียบอำนาจเหนือธรรมชาติของเต๋า (the supernatural Taoist organization) เทพเจ้าชุดนี้เกิดขึ้นในระดับศาสนา (หน้า 607-608) 6. Fam Ts’ing (The Three Pure One) เป็นเทพเจ้าแห่งการเคารพบูชา 3 องค์ (the Trinity of Heavenly Taoist Worthies) ครอบครัวเย้าได้รับการคุ้มครองจากคณะเทพทั้งสามหลังจากเข้าพิธีบวชแล้ว เทพเจ้าชุดนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญเท่านั้น จะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาทั่วไป ต้องเป็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยระดับเหนือธรรมชาติ (หน้า608) 7. Tzu Tsung (The Ancestors in Religion) ชีวิตทางศาสนาของเย้า Tzu Tsung จะติดต่อกับการบวชระดับแรก Heng Fei ติดต่อกับการบวชระดับที่สอง และ Fam Ts’ing ติดต่อกับการบวชระดับที่สาม ในระดับ Tzu Tsung นี้ จุดหลักคือ เป็นการสถาปนาการติดต่อกับเทพเจ้าเต๋า(the universal Taoist organization) เพื่อจุดมุ่งหมายนี้ จึงมี kong tzo (liason officer) ทำหน้าที่ส่งรายงาน พวกเขาจะรับรายงานจากการจุดธูปและพิธีกรรมศาสนา ด้วยเหตุนี้ Tzu Tsung จึงสร้างความมั่นคงปลอดภัยเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติระดับแรก (หน้า 608) Min Hung (The Lords of the Sanctuaries) เป็นเทพผู้ดูแลอาณาเขตพื้นที่ จำนวนเทพกลุ่มนี้แตกต่างกันตามกลุ่มลูกหลาน เช่น บางตระกูลมีเทพ 4 องค์ บางตระกูลมีเทพ 3 องค์ ในอาณาเขตแต่ละแห่งมีเทพเฉพาะที่ได้รับแต่งตั้ง ดังนี้ The King Tang ใน Lianzhou The Twelve Roving Master ใน Xingping The (Tang) Fifth (Imperial) Consort ใน Fuling King Pan ใน Fuling เทพท้องถิ่นเหล่านี้ ไม่ได้เอยู่ในกลุ่มเทพเจ้าบนหิ้งผีของครอบครัว เทพเหล่านี้จะปกป้องคุ้มครองสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งกลุ่มในยามที่กลุ่มสมาชิกประสบภัยขั้นวิกฤติ เย้าจะทำพิธี tzo dang เพื่อเซ่นไหว้เทพกลุ่มนี้ (หน้า 608-609) 8. Chia fin (The Forebear) เป็นกลุ่มผีบรรพบุรุษทั้งหมดที่ครอบครัวจำได้ เทพแห่งดอกไม้ (the flower spirits) เทพแห่งการทรง(the Leaders of the Mediums or Spirits of Trance) และเทพแห่งโชค (the Fortune Spirits) ก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย Chia Fin จะปกป้องคุ้มครองลูกหลานและจัดระเบียบ ดูแลการเซ่นไหว้ต่างๆ เพื่อความเป็นอยู่ดีในท้องถิ่น ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น สถานภาพพิเศษของบรรพบุรุษกลุ่มนี้ในฐานะสมาชิกอาวุโสของครอบครัวและในฐานะพลเมืองในโลกอื่น ทำให้พวกเขาได้รับสิทธิในการดูแลปกครองและทำหน้าที่ในนามของลูกหลาน Tzo Ong (the Kitchen God) เป็นผู้รายงานความดีความชั่วของสมาชิกในครอบครัวให้ The Jade Emperor ทราบตอนสิ้นปี Tzi Ts’e (the Master of the Place) เป็นเทพที่เฝ้าดูแลผืนดินของครัวเรือน เป็น tudi gong และยังคอยปกป้องผู้คน สัตว์เลี้ยง พืชผลและการล่าสัตว์ด้วย (หน้า 609-610)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

อัตลักษณ์ชาติพันธุ์กับภาษา เย้าพูดภาษาหลากหลายต่างกันมาก ทั้งนี้เย้าบางกลุ่มสูญเสียภาษาของตนไปในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ เช่น เย้าในเขตฮูนานตะวันตกซึ่งได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจีน(ซึ่งเป็นเย้าในดินแดนที่ผู้เขียนศึกษา) รักษาภาษาของตนไว้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้เขียนเห็นว่า ชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่ห่างไกลโดดเดี่ยวละทิ้งภาษาของตน แล้วรับภาษาเพื่อนบ้านที่มีอำนาจมากกว่ามาใช้แทน อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าคำอธิบายนี้ยังมีปัญหาบางประการ เช่น กรณี the Lak Kia Yao dialect ซึ่งจัดอยู่ในภาษาตระกูลจ้วง-ต้ง (the Zhuang-Dong(Tai) language) ซึ่งกลุ่ม Lak Kia Yao ทั้งกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองจินซิว มณฑลกวางสีโดยอพยพมาจากกวางตุ้ง(Guangdong) ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า แล้วทำไมพวกเขาจึงพูดภาษาจ้วง-ต้งแทนภาษาจีนกวางตุ้งหรือกวางสี (a Guangdong or Guangxi Chinese dialect) ทั้งๆ ที่คนจ้วงก็อยู่ห่างไกลจากประชากรฮั่น(Han) ในบริเวณนี้ นอกจากนั้น ถ้าเชื่อว่าการเปลี่ยนมาพูดภาษาจ้วง-ต้งเกิดขึ้นหลังจากเย้ากลุ่มนี้มาถึงภูเขาต้าเย้าชาน(the Da Yao-Shan mountain) ทำไมพวกเขาจึงไม่พูดภาษาเย้าถิ่นใดถิ่นหนึ่ง ซึ่งได้แก่ ภาษาเมี่ยนของบานเย้า(mien of the Ban Yao) คิมดิมุนของชานซีเย้า (kem di mun of the Shanzi) อาวบ่าวของอาวเย้า (au byau of the Au Yao) หรือเคียนไงของฮัวหลันเย้า(kion ngai of the Hualan Yao) ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนเชื่อว่า the Lak Kia Yao อาจจะสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่างออกไป และต้นกำเนิดของพวกเขาก็อาจจะมีความใกล้ชิดกับภาษาที่พวกเขาพูด ผู้เขียนอธิบายการที่คนกลุ่มนี้จึงมองว่าตนเองเป็นเย้า โดยยกตัวอย่างกรณี the Mien Yao of Ru Yuan ผสมรวมกับประชากรท้องถื่นกลุ่มอื่นที่ Pai Caiwan ได้ศึกษาโดยตามรอยการธำรงชาติพันธุ์เย้าย้อนกลับไปสู่กลุ่ม Li Mo ในอดีต ซึ่งได้ให้ข้อมูลในการจำแนก “คนพื้นเมือง” ที่ถูกดูดกลืนเข้าสู่หม้อหลอมละลายเย้า นั่นคือ ประชากรลี่และเล่าของกวางตุ้งซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไต-กะได (the Tai-Kadai ethnolinguistic family) มีประชาชนที่พูด Lak Kia จำนวนหนึ่งอ้างว่าตนมาจากกวางตุ้ง ทั้งนี้ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมจึงไม่มองว่า พวกเขาอาจจะเป็น “เย้า” อพยพ (migrant ‘Yao’) ที่มาจากเชื้อสายประชากรเย้าในกวางตุ้งอันเป็นสถานที่ที่พวกเขาพูดภาษาแท้จริงของตน (หน้า 591-593) ผู้เขียนได้ตั้งประเด็นคำถามสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือ กลุ่มคนพื้นเมืองถูกดูดซึมโดยสังคมส่วนกลางที่เข้มแข็ง หรือว่าในความเป็นจริง ชื่อของเย้าไม่ใช่คำที่กำหนดกลุ่มคนเฉพาะ แต่เป็นคำที่ใช้เรียกคนกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะจากกลุ่มต่างๆ ที่แตกต่างกันหลายกลุ่ม ประเด็นนี้ ผู้เขียนพิจารณาจากแผนที่ภาษาเย้าของ Pan Chengquian ที่จัดกลุ่มผู้พูดภาษาถิ่นเย้าลดลงเหลือเพียง 4 กลุ่มภาษา ภาษาถิ่นทั้งสี่นี้มีความเป็นมาทางชาติพันธุ์ “ร่วมกัน” ในช่วง 2000 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้กลุ่มภาษาเชิงชาติพันธุ์กลุ่มย่อยในปัจจุบันเป็นผลมาจากการอพยพที่ต่างกันทั้งในช่วงเวลาและเส้นทางการอพยพ ผู้เขียนกล่าวว่า ถ้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์นี้ เราจะทำอะไรต่อไปกับเย้าอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดภาษาเย้า? พวกเขาเป็นเย้าน้อยกว่าคนที่พูดภาษาเย้ากระนั้นหรือ? และคำถามนี้ก็นำไปสู่การนิยามอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ที่ขัดแย้งกัน นั่นคือ คนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันควรจะพูดภาษาเดียวร่วมกันหรือไม่? ในประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่า ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานและระดับสังคม-การเมืองของการกล่าวอ้างอัตลักษณ์ เช่น เมื่อนัยความหมายของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์มาจากการเป็นสมาชิกร่วมกันของรัฐที่คล้ายกับองค์กรทางการเมือง จึงไม่น่าประหลาดใจที่จะพบกลุ่มคนที่พูดภาษาต่างกันอ้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ร่วมกัน ในกรณีเย้าที่ทุกคนอยู่ในองค์กรทางการเมืองแบบเผ่า องค์กรรัฐได้ปรากฏขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดอัตลักษณ์เย้าโดยเฉพาะ ความสนใจร่วมที่รวมคนเหล่านี้เข้าด้วยกัน แม้จะไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นพลเมืองหรือคนในรัฐเดียวกันในอดีต แต่ความสนใจร่วมนี้ก็ได้สร้างความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันเดียวกันกับองค์กรรัฐ สิ่งเหล่านี้ถูกทำให้กระจ่างชัดจากการพิจารณาตราประทับทางชาติพันธุ์ของพวกเขา นั่นคือ ชื่อของเย้า (หน้า 593-594) ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ “เย้า” ชื่อ”เย้า”ปรากฏเป็นครั้งแรกในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์เหลียง (the Liang Dynasty) และประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุย (the Sui Dynasty) ซึ่งเขียนขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 7 ต้นราชวงศ์ถังสมัยพระเจ้าถังไท้จงและพระเจ้าถังเกาจง จากเอกสารประกาศของพระเจ้าผิง (King Ping’s Charter) หรือ Placard list for Crossing the Mountain เย้าได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นการเสียภาษี ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้อยู่ในอาณาจักรจีนที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรแล้ว (หน้า 594-595) ผู้เขียนเห็นว่าประกาศของพระเจ้าผิงเป็นเอกสารสำคัญในการกำหนดประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์เย้าสมัยใหม่ ผู้เขียนใช้คำว่า”สมัยใหม่”(modern)เพราะการปรากฏตัวของกลุ่ม”เย้า” (‘Yao’ or ‘Mo Yao’) ในสภาพแวดล้อมทางการเมืองของจักรวรรดิจีนไม่ได้หมายความว่า กลุ่มคนที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ไม่เคยมีอยู่มาก่อนหน้านี้ ในประเด็นนี้ ผู้เขียนคิดว่า แม้จะยังไม่อาจกล่าวได้แน่ชัดว่า คนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายชาติพันธุ์โบราณของกลุ่มแม้ว-ม่าน (the Miao-Man people) เจ้าของอารยธรรมโบราณร่วมสมัยกับการเริ่มต้นอารยธรรมจีน แต่ทว่าลักษณะวัฒนธรรมโบราณเหล่านี้ก็ได้ผสมรวมกันกับการยืมวัฒนธรรมเกิดเป็นวัฒนธรรมเย้าที่รู้จักกันในทุกวันนี้ (หน้า 595) ดังนั้น ชื่อของ “เย้า” จึงเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบการธำรงชาติพันธุ์เย้า และเย้าเองก็ชอบใช้ชื่อนี้มากกว่าอื่นในยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ใช่เย้า (non-Yao people) เพราะคำ “เย้า” มีนัยยะถึงกลุ่มคนที่ได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นการจ่ายภาษีที่ดินให้กับรัฐ ในการเปลี่ยนนัยยะความหมายของชื่อ Mo Yao จากกลุ่มผู้จ่ายภาษีมาเป็นอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ผู้เขียนเห็นว่าจะต้องเกิดขึ้นระหว่างสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง คนจีนฮั่นกับคนเย้าได้แลกเปลี่ยนและค้าขายที่นากัน ครอบครัวจีนที่ฐานะร่ำรวยจำนวนมากให้ครอบครัวเย้าดูแลทรัพย์สินของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี (หน้า 596-597) ผู้เขียนมองว่าสิทธิพิเศษไม่ต้องจ่ายภาษีที่ดินนี้ทำให้เกิดผลตามมา 2 ประการ คือ ประการแรก คนอื่นที่ไม่ใช่เย้าได้รับแรงจูงใจให้มาเข้าร่วมและมีส่วนในสิทธิพิเศษนี้ กลุ่มชาติพันธุ์อื่นจำนวนมากที่ประสบกับการจัดระเบียบควบคุมของรัฐ พยายามเข้าร่วมสถานภาพสิทธิพิเศษของเย้า ทั้งนี้กลุ่มคนเหล่านั้นต่างตระหนักดีว่า กุญแจสำคัญในการเข้าสู่กลุ่ม”เย้า” คือ การไหว้บูชาพานหู่(Pan Hu) ในฐานะบรรพบุรุษต้นตระกูลเย้า อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ประกาศสิทธิพิเศษก็จำกัดเข้มงวดการธำรงชาติพันธุ์เย้า ห้ามเย้า 12 ตระกูลแต่งงานกับคนในบังคับจีนฮั่น และห้ามผู้หญิงเย้าแต่งงานออกนอกกลุ่มเย้า และในทางกลับกัน ประกาศนี้ก็ห้ามคนใต้บังคับฮั่นครอบครองที่ดิน ในเชิงทฤษฎีการกีดกันทางกฎหมายถูกสร้างขึ้นระหว่างเย้าที่ได้รับสิทธิพิเศษกับคนในบังคับจักรวรรดิจีน ขณะที่ข้อกำหนดถูกตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการดูดซึมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ฮั่นกลุ่มอื่นๆ (หน้า 599) ประการที่สอง ความสัมพันธ์ระหว่างเย้ากับรัฐจีนตามประกาศนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐว่าจะเคารพข้อตกลงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ก็อาจจะเกิดปัญหาได้ ผู้เขียนเห็นว่าเย้าเองก็ตระหนักถึงสถานภาพที่อ่อนแอของตน ผู้เจรจาเย้าจึงได้นำประโยค “Nobody can call the Yao thieves to cause trouble and plot against the Yao” ใส่ในคำประกาศ ผู้เขียนเห็นว่า ราชสำนักจีนรับรู้เข้าใจกันว่าประกาศฉบับนี้จะค่อยๆ ทำให้ประชากรเล็กๆ กลุ่มนี้สูญหายไปตามกาลเวลา ถ้ามีการควบคุมการใช้พื้นที่บนภูเขา ในส่วนของเย้าก็หลีกเลี่ยงการสูญสิ้นกลุ่มโดยใช้ประกาศฉบับเดียวกันนี้เป็นอาวุธ ประกาศนี้อนุญาตให้พวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่สามารถครอบครองที่ดินได้ ประกาศฉบับนี้จึงเป็นอาวุธที่ดีในการเติมสถานภาพที่อ่อนแอของพวกเขา เย้าใช้ประกาศนี้เป็นเครื่องมือธำรงรักษากลุ่มชาติพันธุ์ของตนไว้ แม้จะเย้าถูกกำหนดควบคุมการใช้พื้นที่ให้อยู่ในบริเวณภูเขา และห้ามแต่งงานกับคนนอกกลุ่ม แต่เย้าก็เลือกใช้การรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกโดยไม่คำนึงว่า เด็กคนนั้นๆมีกำเนิดจากกลุ่มชาติพันธุ์ใด และพวกเขามีลูกของตนเองแล้วหรือไม่ ซึ่งการกระทำนี้จะตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของคนฮั่นและคนกลุ่มอื่นๆ ในดินแดนเดียวกัน (หน้า 600-601)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เย้ายืมวัฒนธรรมสำคัญๆ หลายอย่างมาจากวัฒนธรรมฮั่น เช่น ระบบการเขียน จริยธรรมขงจื๊อ ศาสนาความเชื่อเต๋า และกิจกรรมทางศาสนาอื่นๆ แต่ในการเต้นรำและร้องเพลงพื้นบ้าน เย้ายังคงวัฒนธรรมเดิมไว้อยู่ ซึ่งได้แก่ การแต่งกาย การโพกศีรษะ และเครื่องประดับ (หน้า 601) ในกรณีศาสนาความเชื่อ ผู้เขียนเห็นว่า แม้เย้าจะปฏิบัติกิจกรรมตามความเชื่อเต๋า หากก็ยังคงเหลือร่องรอยความเชื่อดั้งเดิมของตน เช่น กรณี Bou’ kwaa หรือ Put Tong ที่ปฏิบัติคล้ายกับการเข้าทรงจีน เป็นกิจกรรมความเชื่ออย่างหนึ่งของเย้ากลุ่มเมี่ยนที่เรียกว่า ลัทธิการทรง(shamanism) ผู้ขียนพบว่า Bou’ kwaa ต่างจากการปฏิบัติตามศาสนาความเชื่อแบบอื่นของเย้า คือ Bou’ kwaa ไม่มีหนังสือตำราเป็นคู่มือและสั่งสอนผู้ทำพิธี คนทำพิธีแต่ละคนจะเรียนรู้การทำพิธีปากเปล่าจากครูผู้สอน (หน้า 602) ผู้เขียนเห็นว่า การศึกษาศาสนาความเชื่อเย้าทุกแง่มุม แม้ในประเด็นธรรมดาทั่วไป เช่น Bou’ kwaa และ Put Tong จะทำให้ได้ข้อมูลสำคัญส่วนที่เป็นประวัติผู้คน และต้องมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมรดกความคิดทางวัฒนธรรมของมนุษย์ แม้เราจะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นเพียง “ความเชื่อโชคลาง” หรือ “เวทมนต์” ก็ตาม ซึ่งในมุมมองเช่นนี้ ความร่ำรวยทางวัฒนธรรมของเย้าอันมีทั้งประเพณีที่เป็นตำราและปากเปล่าจึงเป็นโอกาสที่ทำให้สามารถวิจัยประวัติศาสตร์เย้าได้ลึกซึ้ง (หน้า 603) นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเห็นว่า การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของมิชชันนารีในลาวหรือไทยส่งผลกระทบต่อการศึกษาวัฒนธรรมความเชื่อของเย้า มิชชันนารีต้องการให้คนที่หันมานับถือคริสต์ทำลายสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาความเชื่อเดิม ทิ้งบรรพบุรุษและเทพเจ้าเต๋า เผาทำลายตำราพิธีกรรมและสัญลักษณ์ของเทพเจ้าทั้งหลาย ทั้งนี้มิชชันนารีไม่ได้ตระหนักเลยว่า พวกเขาได้ทำลายแก่นวัฒนธรรมเย้า (หน้า 611)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG เย้า, เมี่ยนเย้า, (the Mien Yao), วัฒนธรรม, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, ศาสนาความเชื่อ, จีน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง