|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การต่อสู้เพื่อความอยู่รอด,สิทธิมนุษยชน,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
Yoko Hayami, Susan M. Darlington |
Title |
The Karen People of Burma and Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร |
Total Pages |
19 |
Year |
2543 |
Source |
Endangered People of Southeast and East Asia: Struggles to Survive and Thrive. ed. by Leslie Sponsel |
Abstract |
คำว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำที่สัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มทั้งในไทยและพม่าเนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันในวัฒนธรรม กะเหรี่ยงทั้งในไทยและในพม่าล้วนเผชิญกับการถูกคุกคามทางวัฒนธรรม ภาษา ประเพณี การประกอบพิธีทางศาสนาเพราะวัฒนธรรมภายนอกจากทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังถูกคุกคามจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขาอาศัยอยู่ จากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อผู้ที่อาศัยบริเวณป่า ในประเทศพม่าเองก็มีปัญหาในเรื่องสงคราม อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญความแตกต่างทางนโยบายทางการเมืองและภูมิอากาศที่แตกต่างกันแต่กะเหรี่ยงก็สามารถผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน แนวคิดตะวันตก ไทย และพม่า เพื่อปรับตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลง การอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และที่สำคัญก็ได้หาแนวทางในการป้องกันการกดขี่ทางกายภาพและทางวัฒนธรรม (หน้า 153) |
|
Focus |
การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของกลุ่มชาติพันธ์กะเหรี่ยงในพม่าและไทยภายใต้การถูกคุกคามทางด้านกายภาพ สิทธิมนุษยชน สังคม การเมือง และวัฒนธรรม |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Karen กลายมาจากคำว่า Kayin ในภาษาพม่า คำว่า “กะเหรี่ยง” นี้ถูกเรียกโดยกลุ่มคนภายนอก ขณะที่ตัวกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้เรียกตนเองว่าเช่นนั้น และถึงแม้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจะมีกลุ่มแยกย่อยแบ่งตามลักษณะทางวัฒนธรรมอีกมาก เช่น Sgaw, Pgo, Bghe และ Pa O หรือ Taungthu โดยส่วนใหญ่แล้วการบทความนี้มุ่งเน้นศึกษาเฉพาะกะเหรี่ยงกลุ่มสะกอ หรือ ปกากะญอ (Pga K’nyau) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด (หน้า 138) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมีภาษาใช้สื่อสารภายในกลุ่มเป็นของตัวเอง เช่น ภาษาสะกอซึ่งเป็นภาษาหลักของกลุ่มกะเหรี่ยง (หน้า 138) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
แหล่งกำเนิดและเส้นทางการอพยพของกะเหรี่ยงนั้นยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แต่ทราบว่ากะเหรี่ยงได้ตั้งรกรากในมลรัฐเขตพื้นที่ราบของพม่า มอญและไทยมาหลายชั่วอายุคน และยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะบ่งชี้ว่ากะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นของรัฐไทยนั้นอพยพมาตั้งแต่ก่อนคริสตศตวรรษที่ 17 แต่ดูตามลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แล้ว ปรากฏว่ามีกะเหรี่ยงจำนวนมากอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยหลังเกิดสงครามไทย-พม่าครั้งใหญ่ต้นศตวรรษที่ 18 บางกลุ่มถูกขับต้อนเข้ามา บางกลุ่มเข้ามาเองโดยสมัครใจ กะเหรี่ยงมักเข้ามาอยู่ตามพื้นที่หุบเขาและพื้นที่ลาดต่ำตามเนินเขาเตี้ย ๆ เพื่อทำการเกษตรไร่หมุนเวียนและปลูกข้าว (หน้า 138) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ตามเนินเขาเตี้ยหรือตามหุบเขา จนไปถึงพื้นที่ราบ ติดกับลำคลองและลำธาร เนินเขาหลายแห่งที่กะเหรี่ยงอาศัยอยู่มักจะเป็นพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสำคัญ ๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแม่น้ำที่ความสำคัญในการทำนาข้าวของเกษตรกรภาคกลาง และเป็นแหล่งพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ มากมาย เมื่อเกิดประเด็นปัญหาเรื่องน้ำขึ้น ผู้อาศัยชาวเขารวมทั้งกะเหรี่ยงจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการก่อให้เกิดปัญหา และนำไปสู่ประเด็นเรื่องสิทธิในการเข้าถึงที่ทำกินด้วย (หน้า 139 - 140) |
|
Demography |
จากรายงานของสถาบันวิจัยชาวเขา (The Tribal Research Institute) ในปี 1996 ประชากรกะเหรี่ยงมีจำนวนเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศไทย โครงสร้างครอบครัวได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพราะการคุมกำเนิด ครอบครัวกระเหรี่ยงตัดสินใจที่จะมีลูก 2 – 3 คน เพื่อที่จะให้การเลี้ยงดูและการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ และการย้ายถิ่นฐานของหนุ่มสาวเพื่อโอกาสทางอาชีพและการศึกษาก็เป็นส่วนทำให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป ส่วนในประเทศพม่านั้นยากที่จะประเมินจำนวนที่แท้จริงของประชากรกะเหรี่ยง เพราะรัฐบาลพม่าได้พยายามที่จะกลืนกลายชนชาวกะเหรี่ยงให้เป็นหนึ่งเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ของพม่า แต่พอจะประมาณได้ว่ามีประชากรกะเหรี่ยงอยู่ 4 ล้านคน หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมด นอกจากนั้นชาวกะเหรี่ยงกว่าแสนคนจากพม่าได้หลบหนีภัยสงครามและการคุกคามจากรัฐบาลพม่าเข้ามาในชายแดนไทย และบ้างก็ถูกต้อนจากหมู่บ้านของตนเข้าไปอาศัยอยู่ในป่า จำนวนเหล่านี้ก็ยังไม่อาจประเมินได้ (หน้า 143) |
|
Economy |
ระบบการผลิตของชาวกะเหรี่ยงเป็นแบบไร่หมุนเวียน (swidden) ข้าวนาจะถูกปลูกหมุนเวียนในรอบปีสลับกับการปลูกพืชไร่อื่น ๆ เช่น ถั่ว ฟักทอง ข้าวโพด เผือก ฯลฯ ซึ่งพืชผักต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกปลูกไว้ตามเนินเขา รอบ ๆ นาข้าวและสวนครัว ระบบการผลิตแบบกะเหรี่ยงเป็นลักษณะเก็บเกี่ยวได้ในระยะเวลาสั้น โดยจะใช้การเพาะปลูกใน 1 ปี และปล่อยให้ป่าพื้นตัวอีกหลายปี การเตรียมแปลงปลูกจะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นฤดูแล้ง โดยการเผาพืชผักที่แห้งแล้ว จากนั้นก็ขุดผิวดินเตรียมเพาะเมล็ดด้วยไม้ปลายแหลม (หน้า 140) แต่ระบบการเกษตรแบบนี้ถูกมองว่าเป็นการทำลายป่า ประกอบการที่ชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ใกล้ต้นน้ำ เมื่อเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มกะเหรี่ยงจึงถูกกล่าวหาว่าทำให้ป่าเสื่อมโทรมเป็นตัวการทำให้เกิดภัยธรรมชาติ ทุกวันนี้ระบบการเกษตรแบบพืชหมุนเวียนลดน้อยลงเพราะปัญหาประชากรและปัญหาขาดแคลนน้ำ ซึ่งมีเหตุจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงและป่าเสื่อมโทรม ในประเทศไทยหนุ่มสาวชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากออกจากหมู่บ้านไปทำงานใช้แรงงานหรือไม่ก็ไปศึกษาในตัวเมือง (หน้า 140) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงองค์กรทางสังคมในระดับครอบครัว แต่กล่าวถึงโครงสร้างของสังคมในระดับชุมชนขึ้นไปจนถึงองค์กรทางการเมืองซึ่งมีความแตกต่างในสองประเทศ ในแต่ละชุมชนจะมีผู้นำในการประพิธีทางความเชื่อและศาสนาที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษที่บุกเบิกมาตั้งรกรากตั้งแต่แรกเริ่ม โดยผู้นำทางพิธีกรรมจะสื่อถึงวิญญาณรวมทั้งเป็นผู้ควบคุมทางสังคมโดยมีคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนร่วมด้วย จนกระทั่งปี ค.ศ. 1881 มีการจัดตั้งองค์กรกะเหรี่ยงแห่งชาติหรือ เคเอ็นยู ขึ้นเพื่อต่อต้านการปกครองจากรัฐบาลกลางที่ไม่เป็นธรรมโดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มมิชชันนารี ซึ่งต่อมาเคเอ็นยูก็กลายเป็นองค์กรทางการเมืองไป (หน้า 141) |
|
Political Organization |
ปี ค.ศ. 1950 เริ่มมีการแทรกแซงการบริหารการปกครองจากรัฐบาลไทยโดยมีการส่งเสริมค่าครองชีพในหมู่บ้านและผู้นำชุมชนก็กลายเป็นผู้ประสานระหว่างชุมชนกับรัฐบาลไทย ส่วนในพม่านั้นมีกลุ่มเคเอ็นยูซึ่งกลายมาเป็นองค์กรระดับชาติในปี 1949 กลุ่มนี้ได้ประกาศต่อต้านการปกครองของรัฐบาลพม่า และปัจจุบันยังคงเป็นกลุ่มต่อต้านที่ใหญ่ที่สุดที่หลงเหลือในพม่าซึ่งประกอบด้วยสองกลุ่มคือ กลุ่มดูแลพลเมือง ให้การสนับสนุนด้านสวัสดิการและสิทธิมนุษยชน และกลุ่มอาวุธ ที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยจากการกดขี่ของรัฐบาลพม่า |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงในพม่าส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนคริสต์ศาสนิกชนมี 20 เปอร์เซ็นต์ และยังมีกลุ่มเล็กๆ ที่ยังคงนับถือความเชื่อเดิมในลัทธิผีและวิญญาณ การเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาเริ่มตั้งแต่ปี 1828 โดยมิชชันนารีชาวอเมริกา จำนวนคริสต์ศาสนิกชนเพิ่มเป็นจำนวนมากในช่วงศตวรรษที่ 19 ส่วนชุมชนที่ติดต่อกับคนพื้นราบมานานมักนับถือศาสนาพุทธ กะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม ในประเทศไทยการนับถือศาสนาคริสต์และพุทธเป็นที่แพร่หลาย โดยมีผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ราว 10 เปอร์เซ็นต์ ความเชื่อในลัทธิผีของกะเหรี่ยงแบ่งเป็นสองประเภทหลักๆ คือ ผีเจ้าที่และผีบรรพบุรุษซึ่งจะปกป้องดูแลให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชุมชนเมื่อประกอบพิธีกรรมได้อย่างเหมาะสม โดยมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่ได้มีบทบาทแค่เพียงเป็นผู้นำทางพิธีกรรม แต่ยังเป็นผู้ดูแลความสงบสุขและความสามัคคีของคนในชุมชนเพื่อมิให้ผีโกรธจนเกิดเภทภัยแก่ชุมชนด้วย กะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าคนเรามีขวัญในร่างกาย 33 ขวัญ ขวัญที่ศรีษะสำคัญที่สุด ถ้าขวัญออกจากร่างกายส่วนใดก็จะทำให้เจ็บป่วย จึงมักมีการเรียกขวัญกลับมา หรือบางครั้งไล่ผีออกไป และเชื่อว่าคนเรามาจากโลกอื่นเมื่อตายก็กลับไปอยู่ที่นั่น การเกิดการตายทำให้โลกสมดุล เมื่อตายก็ต้องนำเอาไปฝังเพื่อให้นำร่างกายไปใช้ในโลกอื่นได้ (หน้า 141-142) |
|
Education and Socialization |
จากการถูกคุกคามทั้งทางกายภาพและทางวัฒนธรรม ทำให้กะเหรี่ยงต้องเชื่อมโยงกับสังคมภายนอกมากขึ้น รวมทั้งคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและอัตลักษณ์เพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสิทธิต่างๆ สำหรับกลุ่มองค์กรที่มีบทบาทในการให้การศึกษา คือ กลุ่มเคเอ็นยูที่นอกจากให้ความรู้แก่ชาวบ้านแล้วยังออกวารสารให้ข้อมูลสถานการณ์ทางด้านการเมืองในพม่า การพัฒนาชุมชน การอนุรักษ์สภาพแวดล้อม รวมทั้งประเด็นต่างๆในโลก นอกจากนี้ยังมีศูนย์บรรเทากลางของพม่า หรือ บีอาร์ซี ตั้งอยู่ในเชียงใหม่ที่สนับสนุนตำราเรียนเป็นภาษากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพม่า รวมทั้งภาษากะเหรี่ยง เนื้อหามีทั้งภาษา คณิตศาสตร์ การพัฒนาชุมชน เกษตรกรรม สุขภาพและโรคเอดส์ กลุ่มบีอาร์ซีนี้ให้ความรู้แก่คนพม่าที่ต้องการนำความรู้ไปพัฒนาชุมชนต่อไป ในส่วนของสหประชาชาติเองก็ให้ความรู้เรื่องโลกภายนอกและสิทธิมนุษยชน (หน้า 152-153) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกายของกะเหรี่ยงกลายเป็นอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์และเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสิทธิ กะเหรี่ยงจะแต่งกายตามขนบดั้งเดิมเมื่อปรากฎตัวตามสื่อต่างๆ ในการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิในทรัพยาการธรรมชาติ แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่แต่งกายแบบนี้แล้วก็ตาม นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังใช้เพลงและการแสดงพื้นบ้านในการบอกเล่าสภาพปัญหาต่อสังคมภายนอกอีกด้วย (หน้า 115) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในช่วงปี ค.ศ. 1950 รัฐบาลไทยเริ่มใช้นโยบายจัดการกับชาวเขาอย่างจริงจัง คำว่า “ชาวเขา” จึงเกิดขึ้นในการอ้างถึงกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (หน้า 138) การที่ชาวเขาเป็นผู้อาศัยอยู่ใกล้แหล่งต้นน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ มีระบบการทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนจึงมักถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำลายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1980 สื่อเริ่มนำเสนอประเด็นสภาวะเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์ ยิ่งภายหลังจากที่เกิดอุทกภัยที่ภาคใต้ปี 1988 ชาวเขาถูกมองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดภัยธรรมชาตินี้ ถึงแม้ว่าเบื้องหลังของขบวนการลักลอบตัดไม้คือกลุ่มนายทุนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง แม้ว่าวิธีทำการเกษตรในแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกัน แต่กลุ่มที่ทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนก็ถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มที่เป็นผู้ทำไร่เลื่อนลอยซึ่งเป็นการทำลายป่าและเป็นกลุ่มที่ปลูกฝิ่น นอกจากนี้ชาวเขาเหล่านี้ก็ยังไม่มีบัตรประชาชนจึงไม่มีสิทธิในการถือครองที่ดินอย่างถูกกฏหมายถึงแม้จะอาศัยในที่นั้นมานานหลายชั่วอายุคน ภายหลังที่ดินนั้นกลายเป็นเขตอุทยานแห่งชาติการทำกินจึงเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ชาวเขาจึงมักถูกเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่ออกจากพื้นที่ซึ่งบางครั้งรุนแรงถึงขั้นเผาเรือนหรือจับกุมผู้อยู่อาศัยเหล่านี้ (หน้า 144-145) กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงตอบโต้การคุกคามด้วยการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันเป็นเครื่องมือในการต่อรองเรียกร้องสิทธิที่จะใช้ทรัพยากรอย่างชอบธรรม ด้วยวิถีที่พึ่งพาอาศัยป่าและอยู่ร่วมกับป่าอย่างกลมกลืน พวกเขาประกาศกับโลกภายนอกว่า “ป่าไม่เพียงแต่เป็นบ้านของชาวกะเหรี่ยงเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมและเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชน” (หน้า 150) ในส่วนของกลุ่มเอ็นจีโอและนักวิชาการใช้คำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า “ปากะเญอ” แทนคำว่า “กะเหรี่ยง” เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อีกทางหนึ่ง (หน้า 152) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เพื่อตอบโต้การคุกคามจากภายนอกกะเหรี่ยงนำเสนออัตลักษณ์ของตนผ่านสื่อและเรียกร้องสิทธิโดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน กลุ่มนักวิชาการ ปัญญาชน และกลุ่มองค์กรอิสระ อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้รับการฟื้นฟูและธำรงไว้ซึ่งความอยู่รอดของชาติพันธุ์ มีการเรียนรู้โลกภายนอกเพื่อที่จะปรับตัวและตอบโต้ต่อการคุกคามที่มาจากอำนาจรัฐส่วนกลางและความขัดแย้งจากกลุ่มต่างๆ (หน้า 153) |
|
Map/Illustration |
- ภาพบ้านเรือนกะเหรี่ยงที่แม่สอด ประเทศไทย (หน้า 139) - ภาพแม่ลูกกะเหรี่ยง เมื่อปี 1997 (หน้า 144) |
|
|