สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การต่อสู้เพื่อความอยู่รอด,สิทธิมนุษยชน,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Author Yoko Hayami, Susan M. Darlington
Title The Karen People of Burma and Thailand
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร Total Pages 19 Year 2543
Source Endangered People of Southeast and East Asia: Struggles to Survive and Thrive. ed. by Leslie Sponsel
Abstract

คำว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำที่สัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มทั้งในไทยและพม่าเนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันในวัฒนธรรม กะเหรี่ยงทั้งในไทยและในพม่าล้วนเผชิญกับการถูกคุกคามทางวัฒนธรรม ภาษา ประเพณี การประกอบพิธีทางศาสนาเพราะวัฒนธรรมภายนอกจากทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังถูกคุกคามจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขาอาศัยอยู่ จากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อผู้ที่อาศัยบริเวณป่า ในประเทศพม่าเองก็มีปัญหาในเรื่องสงคราม อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญความแตกต่างทางนโยบายทางการเมืองและภูมิอากาศที่แตกต่างกันแต่กะเหรี่ยงก็สามารถผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน แนวคิดตะวันตก ไทย และพม่า เพื่อปรับตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลง การอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และที่สำคัญก็ได้หาแนวทางในการป้องกันการกดขี่ทางกายภาพและทางวัฒนธรรม (หน้า 153)

Focus

การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของกลุ่มชาติพันธ์กะเหรี่ยงในพม่าและไทยภายใต้การถูกคุกคามทางด้านกายภาพ สิทธิมนุษยชน สังคม การเมือง และวัฒนธรรม

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Karen กลายมาจากคำว่า Kayin ในภาษาพม่า คำว่า “กะเหรี่ยง” นี้ถูกเรียกโดยกลุ่มคนภายนอก ขณะที่ตัวกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้เรียกตนเองว่าเช่นนั้น และถึงแม้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจะมีกลุ่มแยกย่อยแบ่งตามลักษณะทางวัฒนธรรมอีกมาก เช่น Sgaw, Pgo, Bghe และ Pa O หรือ Taungthu โดยส่วนใหญ่แล้วการบทความนี้มุ่งเน้นศึกษาเฉพาะกะเหรี่ยงกลุ่มสะกอ หรือ ปกากะญอ (Pga K’nyau) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด (หน้า 138)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมีภาษาใช้สื่อสารภายในกลุ่มเป็นของตัวเอง เช่น ภาษาสะกอซึ่งเป็นภาษาหลักของกลุ่มกะเหรี่ยง (หน้า 138)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

แหล่งกำเนิดและเส้นทางการอพยพของกะเหรี่ยงนั้นยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แต่ทราบว่ากะเหรี่ยงได้ตั้งรกรากในมลรัฐเขตพื้นที่ราบของพม่า มอญและไทยมาหลายชั่วอายุคน และยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะบ่งชี้ว่ากะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นของรัฐไทยนั้นอพยพมาตั้งแต่ก่อนคริสตศตวรรษที่ 17 แต่ดูตามลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แล้ว ปรากฏว่ามีกะเหรี่ยงจำนวนมากอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยหลังเกิดสงครามไทย-พม่าครั้งใหญ่ต้นศตวรรษที่ 18 บางกลุ่มถูกขับต้อนเข้ามา บางกลุ่มเข้ามาเองโดยสมัครใจ กะเหรี่ยงมักเข้ามาอยู่ตามพื้นที่หุบเขาและพื้นที่ลาดต่ำตามเนินเขาเตี้ย ๆ เพื่อทำการเกษตรไร่หมุนเวียนและปลูกข้าว (หน้า 138)

Settlement Pattern

ชุมชนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ตามเนินเขาเตี้ยหรือตามหุบเขา จนไปถึงพื้นที่ราบ ติดกับลำคลองและลำธาร เนินเขาหลายแห่งที่กะเหรี่ยงอาศัยอยู่มักจะเป็นพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสำคัญ ๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแม่น้ำที่ความสำคัญในการทำนาข้าวของเกษตรกรภาคกลาง และเป็นแหล่งพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ มากมาย เมื่อเกิดประเด็นปัญหาเรื่องน้ำขึ้น ผู้อาศัยชาวเขารวมทั้งกะเหรี่ยงจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการก่อให้เกิดปัญหา และนำไปสู่ประเด็นเรื่องสิทธิในการเข้าถึงที่ทำกินด้วย (หน้า 139 - 140)

Demography

จากรายงานของสถาบันวิจัยชาวเขา (The Tribal Research Institute) ในปี 1996 ประชากรกะเหรี่ยงมีจำนวนเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศไทย โครงสร้างครอบครัวได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพราะการคุมกำเนิด ครอบครัวกระเหรี่ยงตัดสินใจที่จะมีลูก 2 – 3 คน เพื่อที่จะให้การเลี้ยงดูและการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ และการย้ายถิ่นฐานของหนุ่มสาวเพื่อโอกาสทางอาชีพและการศึกษาก็เป็นส่วนทำให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป ส่วนในประเทศพม่านั้นยากที่จะประเมินจำนวนที่แท้จริงของประชากรกะเหรี่ยง เพราะรัฐบาลพม่าได้พยายามที่จะกลืนกลายชนชาวกะเหรี่ยงให้เป็นหนึ่งเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ของพม่า แต่พอจะประมาณได้ว่ามีประชากรกะเหรี่ยงอยู่ 4 ล้านคน หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมด นอกจากนั้นชาวกะเหรี่ยงกว่าแสนคนจากพม่าได้หลบหนีภัยสงครามและการคุกคามจากรัฐบาลพม่าเข้ามาในชายแดนไทย และบ้างก็ถูกต้อนจากหมู่บ้านของตนเข้าไปอาศัยอยู่ในป่า จำนวนเหล่านี้ก็ยังไม่อาจประเมินได้ (หน้า 143)

Economy

ระบบการผลิตของชาวกะเหรี่ยงเป็นแบบไร่หมุนเวียน (swidden) ข้าวนาจะถูกปลูกหมุนเวียนในรอบปีสลับกับการปลูกพืชไร่อื่น ๆ เช่น ถั่ว ฟักทอง ข้าวโพด เผือก ฯลฯ ซึ่งพืชผักต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกปลูกไว้ตามเนินเขา รอบ ๆ นาข้าวและสวนครัว ระบบการผลิตแบบกะเหรี่ยงเป็นลักษณะเก็บเกี่ยวได้ในระยะเวลาสั้น โดยจะใช้การเพาะปลูกใน 1 ปี และปล่อยให้ป่าพื้นตัวอีกหลายปี การเตรียมแปลงปลูกจะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นฤดูแล้ง โดยการเผาพืชผักที่แห้งแล้ว จากนั้นก็ขุดผิวดินเตรียมเพาะเมล็ดด้วยไม้ปลายแหลม (หน้า 140) แต่ระบบการเกษตรแบบนี้ถูกมองว่าเป็นการทำลายป่า ประกอบการที่ชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ใกล้ต้นน้ำ เมื่อเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มกะเหรี่ยงจึงถูกกล่าวหาว่าทำให้ป่าเสื่อมโทรมเป็นตัวการทำให้เกิดภัยธรรมชาติ ทุกวันนี้ระบบการเกษตรแบบพืชหมุนเวียนลดน้อยลงเพราะปัญหาประชากรและปัญหาขาดแคลนน้ำ ซึ่งมีเหตุจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงและป่าเสื่อมโทรม ในประเทศไทยหนุ่มสาวชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากออกจากหมู่บ้านไปทำงานใช้แรงงานหรือไม่ก็ไปศึกษาในตัวเมือง (หน้า 140)

Social Organization

ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงองค์กรทางสังคมในระดับครอบครัว แต่กล่าวถึงโครงสร้างของสังคมในระดับชุมชนขึ้นไปจนถึงองค์กรทางการเมืองซึ่งมีความแตกต่างในสองประเทศ ในแต่ละชุมชนจะมีผู้นำในการประพิธีทางความเชื่อและศาสนาที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษที่บุกเบิกมาตั้งรกรากตั้งแต่แรกเริ่ม โดยผู้นำทางพิธีกรรมจะสื่อถึงวิญญาณรวมทั้งเป็นผู้ควบคุมทางสังคมโดยมีคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนร่วมด้วย จนกระทั่งปี ค.ศ. 1881 มีการจัดตั้งองค์กรกะเหรี่ยงแห่งชาติหรือ เคเอ็นยู ขึ้นเพื่อต่อต้านการปกครองจากรัฐบาลกลางที่ไม่เป็นธรรมโดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มมิชชันนารี ซึ่งต่อมาเคเอ็นยูก็กลายเป็นองค์กรทางการเมืองไป (หน้า 141)

Political Organization

ปี ค.ศ. 1950 เริ่มมีการแทรกแซงการบริหารการปกครองจากรัฐบาลไทยโดยมีการส่งเสริมค่าครองชีพในหมู่บ้านและผู้นำชุมชนก็กลายเป็นผู้ประสานระหว่างชุมชนกับรัฐบาลไทย ส่วนในพม่านั้นมีกลุ่มเคเอ็นยูซึ่งกลายมาเป็นองค์กรระดับชาติในปี 1949 กลุ่มนี้ได้ประกาศต่อต้านการปกครองของรัฐบาลพม่า และปัจจุบันยังคงเป็นกลุ่มต่อต้านที่ใหญ่ที่สุดที่หลงเหลือในพม่าซึ่งประกอบด้วยสองกลุ่มคือ กลุ่มดูแลพลเมือง ให้การสนับสนุนด้านสวัสดิการและสิทธิมนุษยชน และกลุ่มอาวุธ ที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยจากการกดขี่ของรัฐบาลพม่า

Belief System

กะเหรี่ยงในพม่าส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนคริสต์ศาสนิกชนมี 20 เปอร์เซ็นต์ และยังมีกลุ่มเล็กๆ ที่ยังคงนับถือความเชื่อเดิมในลัทธิผีและวิญญาณ การเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาเริ่มตั้งแต่ปี 1828 โดยมิชชันนารีชาวอเมริกา จำนวนคริสต์ศาสนิกชนเพิ่มเป็นจำนวนมากในช่วงศตวรรษที่ 19 ส่วนชุมชนที่ติดต่อกับคนพื้นราบมานานมักนับถือศาสนาพุทธ กะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม ในประเทศไทยการนับถือศาสนาคริสต์และพุทธเป็นที่แพร่หลาย โดยมีผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ราว 10 เปอร์เซ็นต์ ความเชื่อในลัทธิผีของกะเหรี่ยงแบ่งเป็นสองประเภทหลักๆ คือ ผีเจ้าที่และผีบรรพบุรุษซึ่งจะปกป้องดูแลให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชุมชนเมื่อประกอบพิธีกรรมได้อย่างเหมาะสม โดยมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่ได้มีบทบาทแค่เพียงเป็นผู้นำทางพิธีกรรม แต่ยังเป็นผู้ดูแลความสงบสุขและความสามัคคีของคนในชุมชนเพื่อมิให้ผีโกรธจนเกิดเภทภัยแก่ชุมชนด้วย กะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าคนเรามีขวัญในร่างกาย 33 ขวัญ ขวัญที่ศรีษะสำคัญที่สุด ถ้าขวัญออกจากร่างกายส่วนใดก็จะทำให้เจ็บป่วย จึงมักมีการเรียกขวัญกลับมา หรือบางครั้งไล่ผีออกไป และเชื่อว่าคนเรามาจากโลกอื่นเมื่อตายก็กลับไปอยู่ที่นั่น การเกิดการตายทำให้โลกสมดุล เมื่อตายก็ต้องนำเอาไปฝังเพื่อให้นำร่างกายไปใช้ในโลกอื่นได้ (หน้า 141-142)

Education and Socialization

จากการถูกคุกคามทั้งทางกายภาพและทางวัฒนธรรม ทำให้กะเหรี่ยงต้องเชื่อมโยงกับสังคมภายนอกมากขึ้น รวมทั้งคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและอัตลักษณ์เพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสิทธิต่างๆ สำหรับกลุ่มองค์กรที่มีบทบาทในการให้การศึกษา คือ กลุ่มเคเอ็นยูที่นอกจากให้ความรู้แก่ชาวบ้านแล้วยังออกวารสารให้ข้อมูลสถานการณ์ทางด้านการเมืองในพม่า การพัฒนาชุมชน การอนุรักษ์สภาพแวดล้อม รวมทั้งประเด็นต่างๆในโลก นอกจากนี้ยังมีศูนย์บรรเทากลางของพม่า หรือ บีอาร์ซี ตั้งอยู่ในเชียงใหม่ที่สนับสนุนตำราเรียนเป็นภาษากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพม่า รวมทั้งภาษากะเหรี่ยง เนื้อหามีทั้งภาษา คณิตศาสตร์ การพัฒนาชุมชน เกษตรกรรม สุขภาพและโรคเอดส์ กลุ่มบีอาร์ซีนี้ให้ความรู้แก่คนพม่าที่ต้องการนำความรู้ไปพัฒนาชุมชนต่อไป ในส่วนของสหประชาชาติเองก็ให้ความรู้เรื่องโลกภายนอกและสิทธิมนุษยชน (หน้า 152-153)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องแต่งกายของกะเหรี่ยงกลายเป็นอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์และเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสิทธิ กะเหรี่ยงจะแต่งกายตามขนบดั้งเดิมเมื่อปรากฎตัวตามสื่อต่างๆ ในการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิในทรัพยาการธรรมชาติ แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่แต่งกายแบบนี้แล้วก็ตาม นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังใช้เพลงและการแสดงพื้นบ้านในการบอกเล่าสภาพปัญหาต่อสังคมภายนอกอีกด้วย (หน้า 115)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในช่วงปี ค.ศ. 1950 รัฐบาลไทยเริ่มใช้นโยบายจัดการกับชาวเขาอย่างจริงจัง คำว่า “ชาวเขา” จึงเกิดขึ้นในการอ้างถึงกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (หน้า 138) การที่ชาวเขาเป็นผู้อาศัยอยู่ใกล้แหล่งต้นน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ มีระบบการทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนจึงมักถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำลายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1980 สื่อเริ่มนำเสนอประเด็นสภาวะเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์ ยิ่งภายหลังจากที่เกิดอุทกภัยที่ภาคใต้ปี 1988 ชาวเขาถูกมองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดภัยธรรมชาตินี้ ถึงแม้ว่าเบื้องหลังของขบวนการลักลอบตัดไม้คือกลุ่มนายทุนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง แม้ว่าวิธีทำการเกษตรในแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกัน แต่กลุ่มที่ทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนก็ถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มที่เป็นผู้ทำไร่เลื่อนลอยซึ่งเป็นการทำลายป่าและเป็นกลุ่มที่ปลูกฝิ่น นอกจากนี้ชาวเขาเหล่านี้ก็ยังไม่มีบัตรประชาชนจึงไม่มีสิทธิในการถือครองที่ดินอย่างถูกกฏหมายถึงแม้จะอาศัยในที่นั้นมานานหลายชั่วอายุคน ภายหลังที่ดินนั้นกลายเป็นเขตอุทยานแห่งชาติการทำกินจึงเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ชาวเขาจึงมักถูกเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่ออกจากพื้นที่ซึ่งบางครั้งรุนแรงถึงขั้นเผาเรือนหรือจับกุมผู้อยู่อาศัยเหล่านี้ (หน้า 144-145) กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงตอบโต้การคุกคามด้วยการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันเป็นเครื่องมือในการต่อรองเรียกร้องสิทธิที่จะใช้ทรัพยากรอย่างชอบธรรม ด้วยวิถีที่พึ่งพาอาศัยป่าและอยู่ร่วมกับป่าอย่างกลมกลืน พวกเขาประกาศกับโลกภายนอกว่า “ป่าไม่เพียงแต่เป็นบ้านของชาวกะเหรี่ยงเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมและเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชน” (หน้า 150) ในส่วนของกลุ่มเอ็นจีโอและนักวิชาการใช้คำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า “ปากะเญอ” แทนคำว่า “กะเหรี่ยง” เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อีกทางหนึ่ง (หน้า 152)

Social Cultural and Identity Change

เพื่อตอบโต้การคุกคามจากภายนอกกะเหรี่ยงนำเสนออัตลักษณ์ของตนผ่านสื่อและเรียกร้องสิทธิโดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน กลุ่มนักวิชาการ ปัญญาชน และกลุ่มองค์กรอิสระ อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้รับการฟื้นฟูและธำรงไว้ซึ่งความอยู่รอดของชาติพันธุ์ มีการเรียนรู้โลกภายนอกเพื่อที่จะปรับตัวและตอบโต้ต่อการคุกคามที่มาจากอำนาจรัฐส่วนกลางและความขัดแย้งจากกลุ่มต่างๆ (หน้า 153)

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

- ภาพบ้านเรือนกะเหรี่ยงที่แม่สอด ประเทศไทย (หน้า 139) - ภาพแม่ลูกกะเหรี่ยง เมื่อปี 1997 (หน้า 144)

Text Analyst วลัยพร วังคะฮาต Date of Report 27 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), การต่อสู้เพื่อความอยู่รอด, สิทธิมนุษยชน, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง