|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์,ภาษา,ความเหลื่อมล้ำทางด้านเพศ,ภาคเหนือ |
Author |
Hayami Yoko |
Title |
“He’s Really a Karen” : Articulation of Ethnic and Gender Relationships in a Regional Context |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
บทความสำเนา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
17 |
Year |
2542 |
Source |
Dynamics of Ethnic Cultures Across National Boundaries in Southwestern China and Mainland Southeast Asia: Relation, Societies and Languages, p. 260-277. |
Abstract |
งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ที่จะศึกษาเกี่ยวกับความหมายของการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่แท้จริง ซึ่งหน้าที่ในการดำรงเผ่าพันธุ์หรือสืบทอดวิญญาณของบรรพบุรุษเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง ดังนั้นการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงของฝ่ายหญิงจึงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก แต่จากตัวอย่างของกรณีศึกษาเป็นการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ระหว่างหญิงสาวชาวกะเหรี่ยงจากหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง กับชายหนุ่มชาวไทยเหนือที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านไทยเหนือและไม่ได้ใช้ภาษากะเหรี่ยง แต่กลับเป็นที่ยอมรับของสังคมชาวกะเหรี่ยงว่าเป็นชาวกะเหรี่ยงที่แท้จริง เนื่องจากว่าฝ่ายชายมีเชื้อสายกะเหรี่ยง แต่มีการเลือกตั้งถิ่นฐานที่ต่างกัน และมีการแบ่งแยกเขตแดนด้วยลักษณะภูมิประเทศ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของชาวกะเหรี่ยงแบ่งออกเป็นคนละกลุ่ม แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงกะเหรี่ยงมีแนวโน้มที่แต่งงานกับผู้ชายชาวไทยเหนือและย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านชาวไทยเหนือมากขึ้น โดยความสมัครใจและได้รับการยอมรับจากหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง เนื่องจากชายชาวไทยเหนือมีเชื้อชายของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งบุตรที่เกิดขึ้นมาก็จะเป็นกะเหรี่ยง เป็นการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงขยายออกไป |
|
Focus |
จุดเน้นของงานวิจัยนี้ได้มุ่งเน้นศึกษาถึงความหมายของการเป็นชาวกะเหรี่ยงแท้ ระหว่างทางด้านตระกูลภาษาและการดำรงเผ่าพันธุ์ที่มีความแตกต่างกันทางด้านเพศภายในกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีศึกษาของงานวิจัยนี้คือ การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ระหว่างผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงกับผู้ชายชาวไทยภาคเหนือ (หน้า 260-261) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนมีแนวคิดที่แตกต่างจากทฤษฎีที่เคยมีผู้เสนอไว้ก่อนหน้านี้ว่า การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นการทำลายอาณาเขตของกลุ่มและมีความเข้มงวดในการยอมรับการเข้ากลุ่ม โดยเฉพาะบทบาทหน้าที่ของผู้หญิงในการดำรงรักษาเผ่าพันธุ์ แต่ผู้เขียนกลับเห็นว่าการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์มีการเกิดขึ้นเสมอ เป็นการกลไกหนึ่งในการรักษาและขยายขอบเขตของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (หน้า 261) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงในภาคเหนือ (หน้า 260) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนได้มุ่งประเด็นในการศึกษาความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง โดยให้ความสำคัญกับการเป็นผู้ใช้ภาษากะเหรี่ยง โดยผู้เขียนได้ทำการศึกษากลุ่มชาวกะเหรี่ยงที่พูดภาษากะเหรี่ยง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มตัวอย่างชาวไทยภาคเหนือ ที่มีข้อมูลจากศูนย์วิจัยชาวเขาว่าไม่ใช่ชาวเขาและใช้ภาษาไทย แต่ได้รับการยอมรับในหมู่กะเหรี่ยงว่าเป็นกะเหรี่ยงอย่างแท้จริง (หน้า 260) นอกจากนี้ผู้เขียนยังพบว่า หญิงสาวกะเหรี่ยงที่แต่งงานกับผู้ชายชาวไทยภาคเหนือ แล้วย้ายไปอยู่ในหมู่บ้านของฝ่ายชายนั้น ไม่มีปัญหาในการใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน (หน้า 274) |
|
Study Period (Data Collection) |
พฤษภาคม พ.ศ. 2541 (หน้า 260) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ของชุมชนกะเหรี่ยงในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ไม่มีหลักฐานที่ปรากฏถึงการอพยพเข้ามาอย่างชัดเจน แต่สันนิษฐานได้ว่ากะเหรี่ยงได้อพยพมาจากพม่าสู่ดินแดนแถบนี้มายาวนานกว่า 2 ศตวรรษ เนื่องจากภัยสงครามหรืออพยพเข้ามาอยู่กับกลุ่มชาวเขาอื่น ภายใต้การปกครองของอาณาจักรไทยทางตอนเหนือที่ประชากรนับถือพุทธศาสนา และมีศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ ในช่วงเวลาราวปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสตศตวรรษที่ 19 (หน้า 263) หมู่บ้าน P เป็นหมู่บ้านชาวไทยภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางของชาวไต ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเชียงใหม่ ภายในหมู่บ้านมีวัดทางพระพุทธศาสนา ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์โดยครูบาศรีวิชัย เมื่อราว พ.ศ.2473 เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทและศาสนวัตถุอื่นๆ ที่มีอายุสมัยอย่างน้อยในราวคริสตศตวรรษที่18 ส่วนชื่อของหมู่บ้านได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา (หน้า 266) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยภาคเหนือ เป็นสังคมแบบเกษตรกรรมในพื้นที่ลุ่ม ต่อมาประชากรกลุ่มที่ทำไร่เลื่อนลอยได้อพยพเข้ามาและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านระบบนิเวศน์ ทำให้ชาวไทยต้องใช้วิธีการในการแบ่งกั้นเขตแดน (หน้า 264) |
|
Demography |
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ของผู้เขียนได้กล่าวว่ามีจำนวนประชากรภายในหมู่บ้าน P ประกอบด้วยชาวไทยและเป็นกะเหรี่ยงในอัตราส่วนที่เท่ากัน (หน้า 266) |
|
Economy |
หมู่บ้าน P และหมู่บ้าน S มีลักษณะเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม รายได้หลักของทั้ง 2 หมู่บ้านมาจากผลผลิตทางการเกษตร แต่เดิมมีสภาพทางเศรษฐกิจในระดับที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาที่อาศัยน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ต่อมาหมู่บ้าน P ได้มีการเปลี่ยนแปลงการผลิตเป็นการปลูกกระเทียม และถั่วเหลือง ทำให้มีสภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่วนหมู่บ้าน S ไม่ประสบความสำเร็จในการปลูกพืชไร่ดังกล่าว เนื่องจากสภาพดินขาดความอุดมสมบูรณ์ จึงมีสภาพทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า ประกอบกับการทำนาแบบดั้งเดิมมีข้อจำกัดหลายประการ ส่งผลให้ประชากรทั้งหญิงและชายภายในหมู่บ้านต้องออกไปเป็นแรงงานรับจ้างในหมู่บ้าน P ซึ่งค่าจ้างแรงงานกลายเป็นรายได้หลักของประชากร (หน้า 267) |
|
Social Organization |
ในโครงสร้างทางสังคมของกะเหรี่ยง ฝ่ายหญิงจะมีหน้าที่ในการสืบทอดวิญญาณบรรพบุรุษหรือการดำรงเผ่าพันธุ์ให้ยั่งยืน (หน้า 262) และเมื่อแต่งงานแล้วจะมีหน้าที่ในการดูแลทุกอย่างภายในครอบครัว (หน้า 272) |
|
Education and Socialization |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงเจ้าสาวผู้ที่เป็นกรณีศึกษาว่า เป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงที่สุดภายในหมู่บ้านคือ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนกะเหรี่ยงภายในอำเภอ (หน้า 270) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงเครื่องแต่งกายของเจ้าสาวชาวกะเหรี่ยงในพิธีแต่งงาน ที่มีลักษณะเป็นชุดคลุมสีขาว อันเป็นเครื่องหมายของความเป็นสาวบริสุทธิ์ มีการประดับด้วยเครื่องเงินอย่างมากมาย และชุดแต่งงานแบบชาวไทยเหนือสีชมพูสด ประดับศีรษะด้วยดอกไม้ (หน้า 271 – 272) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในหุบเขาสูงกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเหนือที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่ราบว่า กะเหรี่ยงที่อพยพเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านชาวไทยเหนือมีเชื้อสายเป็นกะเหรี่ยงจึงเป็นชาวกะเหรี่ยงเช่นเดียวกัน แต่มีการเลือกพื้นที่ที่ตั้งถิ่นฐานต่างกัน จึงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยมีแนวเขาเป็นเครื่องกั้นเขตแดน แต่เดิมทั้ง 2 กลุ่ม ประกอบอาชีพเกษตรกรรม คือ การปลูกข้าว แต่มีความแตกต่างกันตามสภาพทางนิเวศน์ ได้แก่ การทำนาในที่ดอน และการทำนาในที่ราบ (หน้า 262 - 263) การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างกะเหรี่ยงและชาวไทยเหนือเชื้อสายกะเหรี่ยง เนื่องจากสืบเผ่าพันธุ์มาจากกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน มีความสัมพันธ์กันแบบสังคมเกษตรกรรม แบบแผนประเพณีที่มีลักษณะเฉพาะของกลุ่มร่วมกัน และเป็นนัยสำคัญที่แสดงว่าเขตแดนไม่ใช่สิ่งขวางกั้นความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน (หน้า 261 – 2, 265) ในระบบความเชื่อของกะเหรี่ยง ได้มีการให้ความสำคัญแก่เพศหญิง ในฐานะผู้สืบทอดวิญญาณบรรพบุรุษและดำรงรักษาเผ่าพันธุ์กะเหรี่ยง การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์กับชายที่ไม่ใช่กะเหรี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สามารถยอมรับได้ยาก โดยเฉพาะการแต่งงานกับชายชาว “หม่อง” (พม่า) เป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากวิญญาณบรรพบุรุษของหม่องจะสืบทอดผ่านทางเพศชาย การที่หญิงกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับชายชาวไทยเหนือและการย้ายออกจากหมู่บ้านถือว่าเป็นการเสื่อมเสีย และฝ่ายหญิงจะแต่งงานได้เพียงครั้งเดียวหรือมีโอกาสที่จะแต่งงานใหม่กับผู้ชายกะเหรี่ยงได้น้อยมาก และมีความเห็นว่าหญิงสาวกะเหรี่ยงควรแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อตัดปัญหาเรื่องชู้สาวกับชาวไทยเหนือที่เข้ามาท่องเที่ยวภายในหมู่บ้าน เพื่อแสวงหาหญิงสาวกะเหรี่ยงไปเป็นภรรยา ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการนำเขตแดนมาเป็นเครื่องกำหนดขอบเขตของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเป็นการดำรงเผ่าพันธุ์กะเหรี่ยง แต่ในทางกลับกันฝ่ายชายชาวกะเหรี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับหญิงชาวไทยเหนือถือเป็นประสบการณ์ของวัยรุ่น และมีความต้องการที่จะแต่งงานกับหญิงกะเหรี่ยง (หน้า 261 – 262, 265, 269) กรณีศึกษาที่ผู้เขียนได้เสนอเป็นการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ระหว่างฝ่ายหญิงชาวกะเหรี่ยงกับฝ่ายชายชาวไทยเหนือ โดยความสมัครใจและยินยอมของทั้ง 2 ฝ่าย แม้ว่าฝ่ายชายเป็นชาวไทยเหนือและไม่ใช้ภาษากะเหรี่ยง แต่กลับเป็นชาวกะเหรี่ยงแท้ เนื่องจากสืบเชื้อสายมาจากแม่ที่มีเชื้อสายกะเหรี่ยง (หน้า 271) ส่วนพิธีแต่งงานได้จัดขึ้นที่บ้านของเจ้าสาว ซึ่งมีพิธีการทั้งตามแบบกะเหรี่ยงและแบบไทยเหนือ โดยเริ่มจากพิธีตามแบบไทยเหนือ เช่น การแต่งกายเจ้าสาวด้วยชุดสีชมพู บทเพลงสวดในพิธี และการผูกข้อมือ จากนั้นทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นแบบกะเหรี่ยง โดยเจ้าสาวใส่ชุดคลุมสีขาว ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความบริสุทธิ์ และเริ่มพิธีการตามแบบกะเหรี่ยง เช่น เจ้าสาวเทน้ำลงบนเท้าของเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่บนหินที่หัวบันไดบ้าน การสวดเชิญวิญญาณผู้ปกปักรักษา และการรินเหล้าในพิธีแต่งงาน เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการจึงเป็นขั้นตอนของงานเลี้ยงแบบกะเหรี่ยง เจ้าบ่าวและเจ้าสาวพักอยู่ที่หมู่บ้านของฝ่ายหญิงเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นได้ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านของฝ่ายชาย แต่ได้รับการยอมรับเนื่องจากเจ้าบ่าวเป็นชาวกะเหรี่ยงแท้ (หน้า 272) ความสัมพันธ์ระหว่างชาวกะเหรี่ยงทั้ง 2 กลุ่ม ได้ปรากฏการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในช่วง พ.ศ.2498 ภายหลังที่การสร้างถนนเข้าหมู่บ้านชาวไทยเหนือเสร็จสิ้นลง ทำให้การคมนาคมสะดวก ความสัมพันธ์ได้เปลี่ยนไปในรูปแบบของการค้า และมีการเปรียบเทียบทางด้านเศรษฐกิจที่ทีความเหลื่อมล้ำกัน ซึ่งหมู่บ้านชาวไทยเหนือมีระดับเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เป็นเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวจากหมู่บ้านที่แต่งงานกับชาวไทยเหนือเต็มใจที่จะย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านของฝ่ายชายเพิ่มขึ้น (หน้า 267, 268) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงที่ปรากฏในงานศึกษานี้ เกิดจากปัจจัยหลักในด้านการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือสภาพเศรษฐกิจของหมู่บ้านชาวไทยเหนืออยู่ในระดับที่ดีกว่าหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง เนื่องจากการตัดถนนผ่านหมู่บ้านชาวไทยเหนือ เมื่อ พ.ศ. 2503 ทำให้เกิดความสะดวกในการขนส่งและค้าขายผลผลิตทางการเกษตร ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงผลผลิตทางการเกษตรกรรมเป็นการปลูกพืชไร่แทนนาข้าว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเกี่ยวกับการได้รับสัญชาติของกลุ่มชาวไทยเหนือ เป็นผลทำให้ผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงมีแนวโน้มที่จะแต่งงานกับผู้ชายชาวไทยเหนือแต่มีเชื้อสายกะเหรี่ยง และย้ายออกจากหมู่บ้านกะเหรี่ยงไปอยู่ยังหมู่บ้านของฝ่ายชายมากขึ้น และชาวหมู่บ้านกะเหรี่ยงได้เข้าไปเป็นแรงงานในหมู่บ้านชาวไทยเหนือเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านการแต่งงานของชายชาวกะเหรี่ยงที่มีแนวโน้มคล้อยตามแบบของชายชาวไทยเหนือมากขึ้น คือ แต่งงานและหย่าร้างกับหญิงไทยเหนือหรือหญิงไทยได้ ก่อนที่จะแต่งงานอย่างถาวรกับหญิงกะเหรี่ยงโดยไม่ถูกสังคมตำหนิ แต่ในทางกลับกันหากเป็นฝ่ายหญิงกะเหรี่ยงจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม (หน้า 261, 266 – 270) |
|
|