|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ชาติพันธุ์,วัฒนธรรม,ประวัติศาสตร์,ภาษา,คนไทย,ภาคใต้ |
Author |
Suthiwong Pongphaibun |
Title |
Ties of Brotherhood: Cultural Roots of Southern Thailand and Northern Malaysia |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
13 |
Year |
2547 |
Source |
Suthiwong Pongphaibun . “Ties of Brotherhood: Cultural Roots of Southern Thailand and Northern Malaysia” in A Plural Peninsula: Historical Interactions among the Thai, Malays, Chinese and Others (Workshop Proceedings at Walailak University, Nakorn Sri Thammarat, 5 – 7 February 2004) : 52 – 64. |
Abstract |
กลุ่มชนในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย และกลุ่มชนในตอนบนของมาเลเชีย มีความสัมพันธ์ที่ร่วมสายรากเดียวกัน ทั้งทางด้านชาติพันธุ์และรากเหง้าทางวัฒนธรรม ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับภายนอกโดยการสัญจรทางเรือ จึงเริ่มมีการผสมผสานทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรม จนกระทั่งในช่วงเวลาที่มีการติดต่อค้าขาย การแข่งขันทางด้านการค้า ขอบเขตการปกครอง และการแพร่หลายของวัฒนธรรมจากสากล ทำให้เกิดความเหินห่างทางด้านวัฒนธรรม การฟื้นฟูภราดรภาพหรือวัฒนธรรมนั้น ควรมีทิศทางของการฟื้นฟูด้วยการมองวัฒนธรรมในแต่ละระดับให้ถ่องแท้ เป็นการสร้างมนุษย์ชาติพันธุ์ใหม่ที่มีการบูรณาการทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งอาจสามารถทำให้วิญญาณแห่งภราดรภาพกลับคืนมาอีกครั้ง |
|
Focus |
การร่วมสายรากทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมระหว่างคนไทยภาคใต้ตอนล่างและมาเลเซียตอนบน (หน้า 53) |
|
Theoretical Issues |
ศึกษาเปรียบเทียบทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชนในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย และกลุ่มชนในมาเลเซียตอนบน ตั้งแต่ความเป็นมาในอดีต สภาพปัจจุบัน และแนวทางที่จะเป็นไปในอนาคต (หน้า 52) |
|
Ethnic Group in the Focus |
เป้าหมายหลักของการศึกษามุ่งเน้นการศึกษากลุ่มชนใน 2 พื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ได้แก่ กลุ่มชนในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย และกลุ่มชนในมาเลเซียตอนบน ที่มีสายรากทางด้านชาติพันธุ์เดียวกัน (หน้า 52) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงศัพท์พื้นเมืองบางคำที่อาจมีความสัมพันธ์กัน เช่น คำว่า ตันหยงมัส ในจังหวัดนราธิวาส อาจมีความสัมพันธ์กับคำว่า พิกุลทอง ในจังหวัดพัทลุง แต่ห่างไกลจากคำว่า พิกุลทอง ในจังหวัดอ่างทอง หรือคำว่า หลุด ที่แปลว่า โคลนตม ในภาษาถิ่นใต้ อาจมีความสัมพันธ์กับคำว่า เสลุด (selut) ในภาษามาเลย์ (หน้า 55) ในช่วงเวลาของการสัญจรทางเรือ ราวพุทธศตวรรษที่ 5 ถึง พ.ศ. 620 ตรงกับรัชสมัยของอชิ คากา (Aji Caka) ในชวาหรืออินโดนิเชีย ได้พบหลักฐานการใช้อักษรสันสกฤต ปัลลวะ และเทวนาครี ซึ่งต่อมาได้ผสมผสานกับภาษาพื้นเมืองชวา ทำให้เกิดเป็นภาษากวิ (Kawi) (หน้า 57) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้ทำการศึกษาสายรากทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรมด้านต่างๆ ของกลุ่มชนในดินแดนภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทยและมาเลเซียตอนบน ออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลา ได้แก่ 1. ยุคโบราณ เป็นช่วงเวลาที่มีการร่วมสายรากทั้งทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรม เช่น การกิน ที่อยู่อาศัย สุขภาพ และเครื่องแต่งกาย (หน้า 52-53) 2. ยุคการสัญจรทางเรือ เป็นช่วงเวลาที่กลายเป็นเมืองท่าและจุดเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันตกและตะวันออก ทำให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม (หน้า 57 - 58) 3. ยุคการค้า เป็นช่วงเวลาที่ความเป็นสากลทำให้ภราดรภาพ (brotherhood) ค่อนข้างเปราะบาง ห่างเหิน และแตกง่าย (หน้า 63) |
|
Settlement Pattern |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงลักษณะที่สัมพันธ์กันของแบบแผนบ้านเรือนของกลุ่มชนที่ทำการศึกษา คือ การใช้ตีนเสาที่ทำจากหิน และการทำระเบียงพะไล (หน้า 53) |
|
Economy |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงระบบการผลิตใน 2 ช่วงระยะเวลา ได้แก่ 1. ยุคโบราณ มีระบบการผลิตแบบสังคมเกษตรกรรม ที่มีวัฒนธรรมข้าวเป็นวัฒนธรรมระดับรากเหง้า (หน้า 54) 2. ยุคการสัญจรทางเรือ ได้อ้างถึงบันทึกของปโตเลมี (Ptolemy) นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ที่บรรยายถึงแหลมทอง อันหมายถึงคาบสมุทรไทย-มาเลย์ โดยเฉพาะชวา ว่าอยู่บนเส้นทางการค้าทางเรือ เป็นท่าจอดซ่อมเรือ ที่พักรับส่งสินค้าของชาวมัวร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน เป็นรัฐที่มีความเจริญทางด้านการปกครอง เกษตรกรรม การเดินเรือ ดาราศาสตร์ และมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการผลิตบาดิก โลหะกรรม มีการใช้ระบบเงินตรา และสามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นใช้เอง (หน้า 57) นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวรรณกรรมของทมิฬ (Pattinappalai) ราวพุทธศตวรรษที่ 7-8 กล่าว่าเคดาห์ เป็นเมืองคู่ค้าในสมัยโบราณกับปูหาร์ (Puhar) ของโจฬะ และเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศ ซึ่งชาวยุโรปเรียกสินค้าในแถบนี้ว่า ผลผลิตจากช่องแคบ (straits products) (หน้า 57) ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนต้น จนถึงยุคแห่งการล่าอาณานิคม ศูนย์กลางทางการค้าได้เปลี่ยนมาสู่ปัตตานี ซึ่งอยู่ในบังคับสยาม ทำให้เกิดการแข่งขันกันกับศูนย์กลางการค้าเดิม และเป็นเหตุที่ทำให้ภราดรภาพระหว่างภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทยและตอนบนของมาเลเชียห่างเหินออกไป (หน้า 63) |
|
Belief System |
รากฐานระบบความเชื่อของกลุ่มชนในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย มาเลเชีย และอินโดนิเชีย มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากมีรากเหง้าทางวัฒนธรรมร่วมกัน คือ วัฒนธรรมข้าว จึงมีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมร่วมกัน เช่น การทำขวัญข้าว บายศรี นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการระหว่างศาสนาฮินดู พุทธ และอิสลาม เช่น การทำบายศรีในพิธีสุหนัต การมีบายศรีหรือการเวียนแว่นเทียนชัยในพิธีแต่งงาน (หน้า 54 – 55) วัฒนธรรมกริช ที่มีการใช้สัญลักษณ์ของเทพเจ้าในศาสนาฮินดูบนใบกริช พิธีตอเลาะบาลา (Talak bala) คือ พิธีสวดขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากชุมชน ที่มีความสัมพันธ์กับการเล่นกาหลอ คือ ดนตรีประโคมในพิธีศพของชาวไทยพุทธ คติการเชิดหนังตะลุง การใช้ผ้าคลุมหน้าในพิธีแต่งงาน และการใช้สัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุในพิธีศพ (หน้า 73) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
มีการกล่าวถึงการรักษาพยาบาลและการรักษาโรคด้วยการแสดงมะเตอรี (Materi) และลิมนตร์ (Limon) หรือโต๊ะครึม (Toh khreum) ที่แสดงโดยหมอตำแยหรือโต๊ะบิดัน (Toh bidan) และต้องมีการจ่ายค่ารักษา เรียกว่า ค่าราด (kharat) (หน้า 53) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มีการกล่าวถึงตัวอย่างแบบแผนทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะร่วมกัน ทั้งในประเทศไทย มาเลเชีย และอินโดนิเชีย ได้แก่ ที่อยู่อาศัย เครื่องแต่งกาย เช่น โสร่ง บาดิก (หน้า 53) การเชิดหนังตะลุง (หน้า 60) |
|
Folklore |
งานศึกษานี้ได้มีการอ้างถึงวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องพระรถเมรีคำกาพย์ แต่งโดยนายเรือง บ้านนาใน จังหวัดนครศรีธรรมราช ในตอนที่นางสนทรา ประกอบพิธีทำขวัญป้อนข้าวและตั้งชื่อใหม่ให้แก่นางเมรี ซึ่งประเพณีการทำขวัญลักษณะนี้ในภาคใต้ของประเทศไทยในปัจจุบันไม่ปรากฏแล้ว แต่ยังคงปรากฏอยู่ในพิธีแต่งงานของชาวไทยมุสลิมในปัจจุบัน (หน้า 55 – 56) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนได้กล่าว่าทั้ง 2 กลุ่มชนที่ได้ทำการศึกษา มีต้นกำเนิดของบรรพบุรุษร่วมกัน นับแต่เมื่อ 3500 ปีที่ผ่านมา ได้มีการผสมระหว่างสายพันธุ์มองโกลอยด์และชนพื้นเมือง จึงมีการร่วมสายเลือดกันระหว่างกลุ่มชนชาวไทยในภาคใต้ตอนล่าง กลุ่มชนในตอนบนของคาบสมุทรมาเลย์ และกลุ่มชนในหมู่เกาะอินโดนิเชีย บอเนียว และสุมาตรา ต่อมาในช่วง 500 ปีก่อนพุทธกาล กลุ่มชนเหล่านี้ได้มีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์กับชาวอารยันที่อพยพเข้ามาในเอเชียใต้ (หน้า 52) นอกจากนี้ผู้เขียนยังกล่าวว่า นักวิชาการนิยมเรียกกลุ่มคนในตระกูลโพลินิเซียน ที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในมาดากาส์การ์ของอัฟริกาตะวันออก ในมินังคาเบา บาตักในสุมาตรา ดายัคในกาลิมันตัน และชวาว่า “เมเลย์” หรือ “มลายู” อันมีความหมายว่า การอพยพข้ามฝั่งแม่น้ำ คำว่า มาเลย์ จึงหมายถึงกลุ่มชนที่แยกตัวข้ามฝั่งทะเลออกมาจากชวา ดังนั้นจึงมักเรียกกลุ่มชนและวัฒนธรรมของกลุ่มชนนี้ว่า ชวา – มาเลย์ (หน้า 53) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชนพื้นถิ่นที่ทำการศึกษาว่ามีเหตุปัจจัยมาจากภายนอก ทั้งทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ในช่วงที่มีการสัญจรทางเรือ และช่วงเวลาของการค้าขาย ซึ่งมีปัจจัยทางด้านการแข่งขันและเขตแดนทางการปกครอง เป็นสิ่งที่กำหนดให้เกิดความห่างเหินและแยกออกจากกันของภราดรภาพ (หน้า 63) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ภาพประกอบเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมที่มีความคล้ายคลึงกันระหว่างภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย และมาเลเซียตอนบน เพื่อแสดงความสัมพันธ์อันมีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรมเดียวกัน เช่น ที่อยู่อาศัย (หน้า 53) วัฒนธรรมข้าว (หน้า 53-55) บายศรี (หน้า 54-55) ประเพณีการตาย (หน้า 60-62) นอกจากนี้ยังใช้แผนที่เส้นทางการค้าทางทะเลบริเวณแหลมอินโดจีนและช่องแคบมะละกา เพื่อแสดงการติดต่อและการส่งผ่านทางวัฒนธรรม (หน้า 58-59) |
|
|