สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), อัตลักษณ์, ศาสนา, พุทธ, คริสต์, ภาคเหนือ ประเทศไทย
Author Roland Platz
Title Buddhism and Christianity in Competition? : Religious and Ethnic Identity in Karen Communities of Northern Thailand
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุด ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 17 Year 2546
Source Journal of Southeast Asian Studies, 34 (3), pp437-790 October 2003, The University of Singapore
Abstract

งานชิ้นนี้ศึกษาการกำหนดอัตลักษณ์ทางศาสนาและความเป็นชาติพันธุ์ของชุมชน กะเหรี่ยงสะกอว์ ในเขตพื้นที่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเฉพาะในเขตอำเภอแม่แจ่ม และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลช่วงปี 1999-2000 ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงพุทธ กะเหรี่ยงคริสต์ รวมทั้งหมู่บ้านที่มีการนับถือมากกว่า 2 ศาสนา กะเหรี่ยงสะกอว์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แม้ว่ายังมีความเชื่อในการนับถือผีตามธรรมเนียมดั้งเดิมอยู่ ก็จัดเป็นกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธด้วย และได้ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกะเหรี่ยงสะกอว์บนพื้นฐานทัศนคติ และความสัมพันธ์ ที่มีความเชื่อ ตามการนับถือศาสนาต่างๆ กันใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1. เครือข่ายทางสังคม 2. นวัตกรรมทางเศรษฐกิจและการตระหนักถึงระบบนิเวศน์วิทยา 3. เครือข่ายศาสนาในสังคมเมือง (หน้า 474) การวิจัยพบว่าชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโดยทั่วไปมักมีความรู้สึกสนิทใกล้ชิดกันในเขตชุมชนเดียวกัน (gaw) ซึ่งได้ใช้ทรัพยากรร่วมกัน ผ่านทางพิธีกรรมความเชื่อแบบดั้งเดิม ในการทำพิธีเซ่นสรวง Thi K’cha Gaw K’ cha การศึกษาจาก 170 ครัวเรือนใน 4 หมู่บ้านพบว่ากะเหรี่ยงมัพอใจที่จะนับถือเพียงศาสนาเดียว และนอกจากนี้พบว่าในกรณีที่มีความแตกต่างในความเชื่อของสมาชิกในครอบครัวมักจะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายก็ตามที่แต่งงานมีครอบครัวใหม่ กรณีเช่นนี้มักสร้างความอึดอัดจนทำให้ครอบครัวใหม่ดังกล่าวแยกตัวออกมา พบในกรณีที่ครอบครัวที่นับถือคริสเตียน (หน้า 481-485) การศึกษาว่าในหนึ่งครอบครัวจะมีการนับถือศาสนาเดียว สำหรับตัวอย่างใน 4 หมู่บ้านที่มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน 2 หมู่บ้านในอำเภอแม่แจ่ม พบว่ามีการนับถือศาสนาต่างๆ กันรวมกันอยู่ ยกเว้นคริสเตียน ในขณะที่อีก 2 หมู่บ้านนับถือ ศาสนาพุทธและนับถือผี การกำหนดอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงพุทธนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกแยก เพราะไม่เชื่อมโยงกับอัตลักษ์ทางชาติพันธุ์ ศาสนาไม่ได้แยกกะเหรี่ยงออกจากสังคม ความสามารถในการใช้ภาษาไทยที่ดีในกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ได้ผนวกเอาความเป็นกะเหรี่ยงเข้าสู่สังคมไทย ด้วยเหตุผลที่กะเหรี่ยงได้เข้าไปใช้แรงงานในเมือง และเมื่อกลับมาก็ได้เพิ่มความใกล้ชิดกับสังคมไทยมากขึ้น (หน้า 485) แม้ว่าการนับถือวิญญาณและผีบรรพบุรุษ (aw cha) จะลดบทบาทลงอย่างมาก แต่ในความคิดเห็นของกะเหรี่ยง ความเชื่อและประเพณีเหล่านี้ควรได้รับการบันทึกไว้อาจในรูปแบบของ Tha (หน้า 482) แม้ว่าจะไม่มีการปฎิบัติประเพณีดังกล่าวอีกเลย (หน้า 489) อย่างไรก็ตามกะเหรี่ยงพุทธ ที่ได้ผ่านการศึกษาจากสังคมไทยพุทธ ตระหนักถึงความแตกต่างทางศาสนา แต่ยังคงให้ความสำคัญกับอัตตลักษณ์ทางชาติพันธุ์อันดับแรก สำหรับกะเหรี่ยงแบบติสท์ ได้ถูกการกลืนกลายทางวัฒนธรรม โดยการเชื่อมโยงจริยธรรมพื้นฐานของคริสเตียนเข้ากับตำนานเกี่ยวกับ (Yoa) วิถีศีลธรรมของกะเหรี่ยงแบบดั้งเดิม เช่น ความผูกพันและการดูแลรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ได้ถูกเน้นย้ำในรูปแบบการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี แบบติสท์ได้ปฎิเสธพิธีกรรมดั้งเดิมทั้งหมดแม้จะยังคงอัตตลักษณ์ทางการแต่งกายไว้ก็ตาม นอกจากนี้กะเหรี่ยงแบบติสท์มีแนวโน้มที่จะยกระดับทางศีลธรรมเหนือกว่า ชาติพันธุ์อื่น ซึ่งมีผลกระทบให้เกิดความขัดแย้ง แม้แต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (หน้า 487-489) กรณีกะเหรี่ยงที่นับถือคริสต์นิกายคาทอลิค อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มีความเกี่ยวข้องกับ ศาสนาน้อยกว่าโปแตสแตนท์ มิชชั่นนารีไม่ต้องการให้กะเหรี่ยงสะกอว์ทิ้งความเป็นตนเองด้วยศีลธรรมของความเป็นคริสต์ เห็นได้จากคาทอลิคไม่ได้เข็มงวดเรื่องการดื่มสุรา ตามประเพณีดั้งเดิม ตรงข้ามกับโปแตสแตนท์ที่ห้ามไม่ให้ดื่มสุรา (หน้า 484) ในความรู้สึกร่วมกันของอัตลักษณ์ทางศาสนาอาจเป็นสาเหตุของความแตกต่างในชาติพันธุ์ในกรณีนี้ได้ เมื่อมีคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งทางศาสนา กะเหรี่ยงสะกอว์มักจะเลี่ยงที่จะตอบแบบตรงไปตรงมา สื่อให้เห็นว่าพื้นฐานสังคมกะเหรี่ยงเป็นสังคมที่ค่อนข้างหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง (หน้า 486) แม้ว่าความจริงความแตกต่างในอัตลักษณ์ทางศาสนาจะมีอยู่ และอาจทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกในกลุ่มกะเหรี่ยงด้วยกันที่นับถือศาสนาอื่น ตราบใดที่ความแตกต่างนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง กะเหรี่ยงยังคงสามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนได้อย่างใจกว้าง ท่ามกลางข้อขัดแย้งทางชาติพันธุ์ และศาสนา (หน้า 490)

Focus

บทความนี้ศึกษาการกำหนดอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงสะกอว์ ในเขตจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ที่มีอิทธิพลจากพื้นฐานทางศาสนา โดยความพยายามเผยแผ่ศาสนาพุทธ และคริสต์ในชุมชนกะเหรี่ยงสะกอว์นั้นมีผลต่อทัศนคติและการผสมผสานระหว่างอัตลักษณ์ทางศาสนากับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ว่ามีการผสมกลมกลืนหรือว่าขัดแย้งกัน ในหมู่ชนที่นับถือศาสนาต่างกัน (หน้า 473)

Theoretical Issues

ผู้วิจัยพยายามวิเคราะห์ผลกระทบจากการนับถือศาสนาที่เข้ามาเผยแพร่ในชุมชนกะเหรี่ยงสะกอว์ช่วงระยะหลัง ซึ่งไม่ใช่การนับถือแบบวิญญาณนิยม (Animisim) โดยแนวทฤษฎีว่าด้วยการกำหนดอัตลักษณ์ ผู้เขียนเชื่อว่าการสร้างความเป็นกลุ่มก้อนปึกแผ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ มาจากการแต่งงานกันเองภายในชาติพันธุ์นั้น โดยอยู่บนพื้นฐานร่วมกันทางประวัติศาตร์ ภาษา ฯลฯ และอัตลักษณ์ที่ว่านั้นไม่ได้แสดงออกเพียงอย่างเดี่ยวโดด แต่มีหลายอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงอัตลักษณ์ บางครั้งก็มีความขัดแย้งกันเอง ทั้งนี้ผู้เขียนเน้นถึงความสำคัญของอัตลักษณ์ 2 ประการที่สำคัญ คือ อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ทางศาสนา บทความนี้อาศัยกรอบแนวคิด Ethnoreligion (ศาสนาชาติพันธุ์) ผ่านการสังเคราะห์จาก 2 แนวทฤษฎี คือ แนวคิด Primordialism (รากฐานนิยม) และ แนวคิด Situationalism (สถานการณ์นิยม) (หน้า 479) ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของการมีรากเหง้าเดียวกัน (Primordialism) ของกลุ่มชาติพันธุ์ ดังที่ Harold Isaacs ได้เน้นย้ำว่า กลุ่มชนนั้นจำเป็นต้องผูกพันกันอยู่ในความรู้สึกของการเกี่ยวดองทางเครือญาติ ภาษาและศาสนา หรือความเชื่อแบบเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง แนวคิด Situationalism ที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ นั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางสังคม (หน้า 480)

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงสะกอว์ ในจังหวัดแม่ฮองสอน และเฉพาะในเขต อำเภอแม่แจ่ม และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 474)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยง ในกลุ่มภาษาตระกูล ธิเบต-พม่า

Study Period (Data Collection)

รวมระยะเวลาที่ศึกษา มากว่า 12 เดือน ระหว่างในปี 1999 และ ปี 2001 (หน้า 474)

History of the Group and Community

ช่วงเวลาการอพยพของกะเหรี่ยงที่อาศัยในประเทศไทย ในปัจจุบัน ไม่ชัดเจนแน่นอนว่าเกิดขึ้นก่อน ช่วงศตวรรษที่18 พื้นที่หลักสำหรับการตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามเขตชายแดนพม่าในพื้นที่จังหวัดตาก และ พื้นที่ฝั่งตะวันตกของจังหวัดเชียงใหม่

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงสะกอว์ที่อพยพเข้ามาในไทยตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 มักตั้งรกรากในเขตพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่อองสอนและจังหวัดตาก ตามแนวชายแดนไทย-พม่า รวมทั้งการตั้งรกรากในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของขังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 474)

Demography

ประชากรกะเหรี่ยงสะกอว์ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และนับถือผีซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มที่นับถือพุทธด้วย มีเพียงร้อยละ 20-30 เป็นคริสเตียน และเป็นกลุ่มคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย ในจำนวนดังกล่าวนับถือนิกายแบสติสท์ (Baptists) เรียกตามภาษาถิ่นว่า Ble thi poh (Chri poh, Ba yo’a poh) กลุ่มกะเหรี่ยงสะกอว์ คาทอลิค (Pghi thi poh) ประชากรราว 20,000 คน เป็นกลุ่มที่ใหญ่อันดับ 2 นอกนั้นนับถือนิกายโปแตสแตนท์ โดยนับถือนิกายย่อยต่างกัน เช่น Seven-Day Adventists, Methodists และ Presbyterians กลุ่มคริสเตียนที่เล็กที่สุด คือ นิกาย Pentecostals ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการเปลี่ยนการนับถือในกลุ่มแบ๊บติสท์ บางกรณีมีการเข้าร่วมทั้ง แบ๊บติสท์ และ Pentecostals

Economy

เดิมทีเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงอาศัยผลิตผลการเกษตร ได้แก่ การปลูกข้าวไร่ (dry–rice farming) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ได้เปลี่ยนการปลูกข้าวไร่มาเป็นข้าวนา (wet-rice cultivation) โดยรับอิทธิพลมาจากเพื่อนบ้านคนไทย (หน้า 474) ในขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของกะเหรี่ยง แนวคิดอนุรักษ์นิยมเชิงนิเวศวิทยาไม่ใช่สิ่งที่แปลกแยก ซึ่งตรงกันข้ามกับชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในภาคเหนือของไทย วัฒนธรรมกะเหรี่ยงมีแนวคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างธรรมชาติกับความเป็นมนุษย์ ชุมชนกะเหรี่ยงจะอนุรักษ์ป่าประเภทต่างๆ ไว้ด้วยเหตุผลของการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ รวมถึงความเชื่อในเรื่องของวิญญาณที่สถิตย์อยู่ในป่าด้วย (หน้า 486) ในกะเหรี่ยงที่นับถือแบ๊บติสท์ จะไม่มีการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกเลย ต่างกันกับกะเหรี่ยงพุทธและกะเหรี่ยงที่นับถือคริสต์นิกายโปแตสแตนท์ในที่อื่นๆ มีการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกอย่างกว้างขวาง ส่วนหนึ่งมากจากอิทธิพลของ การแนะนำทางการเกษตรของตัวแทนรัฐบาล โครงการหลวง และ องค์กร NGO ต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือการเกษตรให้กับคนไทยพื้นราบ และชาวเขาอื่นๆ ด้วย

Social Organization

โดยทั่วไปกะเหรี่ยง มีความรู้สึกใกล้ชิดกับ ”gaw” หรือชุมชนซึ่งมักประกอบด้วย 2-3 หมู่บ้าน โดยมีสัญลักษณ์สำคัญ คือ การบูชา “Thi K’ cla Gaw K’ cha” ร่วมกัน ในการตั้งถิ่นฐาน กะเหรี่ยงไม่ได้แบ่งแยกตามความเชื่อทางศาสนาอย่างชัดเจน แต่เป็นไปได้ว่าในบางแหล่ง กลุ่มที่ถือศาสนาเดียวกันอาจอยู่ใกล้กัน หรืออาจจะย้ายไปรวมกันอย่างพวกแบ๊บติสท์ แต่กลุ่มต่างๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนแรงงานกัน ไม่ได้จัดแบ่งกลุ่มตามความเชื่อทางศาสนา สมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่จะเป็นญาติกันหรือเป็นเพื่อนกัน ในทัศนะของกะเหรี่ยง ในยามที่ต้องช่วยเหลือกัน ความแตกต่างทางศาสนาไม่ใช่เรื่องสำคัญแม้ว่าอาจจะบางกรณีที่กะเหรี่ยงต่างศาสนาไม่ช่วยเหลือกัน (หน้า 485-486)

Political Organization

หัวหน้าหมู่บ้าน (Hi Kho) มักเป็นผู้ทรงอิทธิผล ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำทางศาสนาด้วย ในความเชื่อการนับถือผี Hi Kho จะเป็นผู้นำประกอบพิธีของชุมชน เช่น พิธีบูชา thi k’cha gaw k’cha ซึ่งเป็นวิญญาณที่คุ้มครองหมู่บ้าน หน้า(485) นอกจากนี้ยังสามารถชักจูงให้สมาชิกหมู่บ้านเปลี่ยนศาสนา เมื่อเกิดวิกฤตการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เกิดโรคระบาดร้ายแรง หรือ การพิธีกรรมแบบเดิมไม่ได้ผล หน้า (482) นักวิชาการเกษตรและเจ้าหน้าที่องค์กรช่วยเหลือเอกชน(NGO) ได้เข้ามามีบทบาทช่วยเหลือชุมชนกะเหรี่ยงสะกอว์ ด้านเศรษฐกิจ การเกษตร และการงานอาชีพต่างๆ ในขณะที่มิชชั่นนารีและพระภิกษุในโครงการพระธรรมจาริกได้เข้ามาช่วยเหลือในการยกระดับการศึกษา และการสาธารณสุข (หน้า 487-488)

Belief System

กะเหรี่ยงสะกอว์แต่เดิมมีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติและวิญญาณ การนับถือผี ก่อให้เกิดการเซ่นสรวงบูชาผีบรรพษุรุษ (aw Cha) เป็นความเชื่อที่สำคัญสำหรับของการนับถือผี วิญญาณในหมู่กะเหรี่ยงสะกอว์ เรียกผู้มีความเชื่อเหล่านี้ว่า “mo lu pa la” หรือ “aw cha” (หน้า 475) กะเหรี่ยงจัดให้มีพิธีกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อดังกล่าวอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง เป็นการรวมตัวกันของสมาชิกครอบครัวในสายผีฝ่ายแม่ ซึ่งทุกคนจะมีส่วนร่วม และ จะอยู่ด้วยในระหว่างการอย่างน้อย 3 วัน ช่วงเวลาดังกล่าว ห้ามมิให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในสายผีเดียวกันเข้าร่วม แม้กระทั่ง ภรรยา และ ลูกชาย ของฝ่ายชายที่เป็นสมาชิกครอบครัวของสายผีนั้นๆ (หน้า 475) การใช้หมูหรือไก่เชือดบูชาในพิธีเซ่นสรวง ต้องใช้หมูหรือไก่ที่ภรรยาของหัวหน้าครัวเรือนเลี้ยงเท่านั้น และหากการทำพิธีไม่สำเร็จมีอุปสรรค ต้องมีการประกอบพิธีขึ้นใหม่ ซ้ำอีก การนับถือผีมีส่วนในการดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ แต่ก็ไม่มีการยืนยันว่าประเพณีในความเชื่อเช่นนี้ต้องถูกรักษาไว้ในฐานะที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญของวิถีชีวิตกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงคนหนึ่งที่ยังนับถือผีบรรพบุรุษอยู่ กล่าวว่าความเชื่อใน “awcha” จะไดัรับการรักษาไว้หรือไม่ ไม่สำคัญเท่าความรู้เรื่องประเพณีกะเหรี่ยงควรแก่การจดจำไว้ (หน้า 489) ในปี ค.ศ.1858 ได้มีมิชชั่นนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในแถบภาคเหนือของไทย มีการตั้งคณะโปรเตสแตนท์คณะแรกขึ้นที่เชียงใหม่ โดยมิชชั่นนารีชาวอเมริกัน ซึ่งขณะนั้นในหมู่กะเหรี่ยงสะกอว์ที่อยู่ในเขตพม่า มีการเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียนอย่างแพร่หลาย ก่อนปี 1950 สมาคมมิชชั่นนารีอเมริกันเริ่มประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนศาสนาให้กับกะเหรี่ยงตามแนวชายแดนไทย ต่อมาในปี 1951 คริสต์คาทอลิคก็เริ่มเผยแพร่ศาสนา ที่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นฐานตำนานเกี่ยวกับชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเดิม มีการกล่าวถึง ตำนานของ ”Yoa” เป็นเรื่องของพี่น้องผิวขาวที่จากไป และจะกลับมาพร้อมคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ตำนานนี้พวกมิชชั่นนารีได้เชื่อมโยงกับ เรื่องของ “Yahweh” พระเจ้าของชาวอิสราเอล โดยกล่าวว่ากะเหรี่ยงเป็นหนึ่งในชนเผ่าทั้งสิบของอิสราเอลที่สาบสูญไป (หน้า 478) ประเด็นนี้เป็นประโยชน์ที่เอื้อให้กะเหรี่ยงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ได้ง่ายขึ้น หลังจากคริสเตียนกะเหรี่ยงได้เลิกนับถือบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ พวกเขารู้สึกว่ามีอิสระภาพมากขึ้น เหตุนี้แบบติสท์ปฎิเสธประเพณีดั้งเดิมทางศาสนา และพิธีกรรมตามความเชื่อแบบเก่า (หน้า 483) กรณีของกะเหรี่ยงโปรเตสแตนท์ อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และศาสนากลายเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ และได้นำไปสู่การเกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้น ในขอบเขตของความเป็นชาติพันธุ์ ถึงกระนั้นไม่มีกะเหรี่ยงคนใดปฎิเสธการมีอยู่ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกศาสนา ในทัศนะของโปรเตสแตนท์โลกแห่งวิญญาณคือมารและบาป ซึ่งถูกแบ่งออกจากโลกของศาสนาอีกทีหนึ่ง ตัวอย่างในพิธีฉลองปีใหม่ในหมู่บ้านคริสเตียน ชายสูงวัยประกอบพิธีเรียกวิญญาณ (Kwae Khi K’la) ในโบสถ์เพื่อแสดงประเพณีกะเหรี่ยงดั้งเดิม ต่อ คนหนุ่มสาว ความหมายของพิธีดังกล่าวไม่มีความสำคัญใดๆ เป็นเสมือนการแสดงทางวัฒนธรรมเท่านั้น (หน้า 484) การดำรงตนในฐานะคริสเตียนกะเหรี่ยง ไม่ใช่ลักษณะของปัจเจก แต่มีความเป็นเอกภาพของกลุ่มสูง จึงมีการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เป็นจิตวิทยาเพื่อความเข้มแข็งของกลุ่มผู้หันมานับถือศาสนาคริสต์โปรเตสแตนท์ สำหรับผู้เพิ่งตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาใหม่ๆ จะมีการรวมกลุ่ม เพื่อสวดมนต์ ศึกษาคัมภีร์ไบเบิ้ล นอกจากนี้ยังมีการพบปะสังสรรค์ในหมู่ศาสนิกอยู่เป็นประจำ เช่น การสวดมนต์ทุกเย็นวันพุธ สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาดั้งเดิม ที่ทุกคนสามรถมีบทบาทที่สำคัญในทางศาสนา (หน้า 486) กะเหรี่ยงโปรเตสแตนท์ยังให้ความสำคัญกับตัวตน และภาวะทางศีลธรรมที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาอื่นๆ เช่น ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงโปรเตสแตนท์ จะถูกห้ามการมีความสัมพันธ์ก่อนแต่งงานและการดื่มสุรา ในขณะที่กะเหรี่ยงคาทอลิคได้รับการพัฒนาให้เปิดกว้างต่อพิธีกรรมดั้งเดิม การดื่มสุราโดยเนื้อหาแล้วเชื่อมโยงถึงพิธีกรรมในการนับถือผียังคงมีอยู่ หรือในบางหมู่บ้านกะเหรี่ยงคาทอลิค ผู้สูงอายุยังคงประกอบพิธีรำดาบ ซึ่งต้องมีการดื่มสุราพร้อมกับการร่ายเวทมนต์เพื่อรักษาโรค ยังปฏิบัติกันอยู่ ทั้งนี้ เป็นท่าทีของคริสตจักรที่มีต่อศาสนดั้งเดิม อันเป็นการขยายผลของการประชุม Second Vatican Council 1962-1965 (หน้า 484) ขอบเขตของอัตลักษณ์ทางศาสนาของกะเหรี่ยงแบบติสท์มีความไม่แน่นอน แม้มีการใช้ภาษากะเหรี่ยงสะกอว์ในบริบททางศาสนา และการแต่งกายประจำเผ่าไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนา แต่การยกเลิกความเชื่อดั้งเดิมของกะเหรี่ยงหลายอย่าง ก็สร้างช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมเดิมกับศาสนาสำหรับคาทอลิค อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มีความเกี่ยวข้องในอัตลักษณ์ทางศาสนาน้อยกว่าโปรเตสแตนท์ กะเหรี่ยงคาทอลิคสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคริสเตียนกลุ่มอื่นๆได้ มิชชั่นนารีไม่เคยต้องการให้กะเหรี่ยงยกเลิกอัตลักษณ์ ด้วยศีลธรรมของความเป็นคริสต์ ดังนั้นจึงไม่มีการแบ่งแยกความเป็นกะเหรี่ยงกับคริสเตียนคาทอลิค ในอนาคตกะเหรี่ยงอาจกลายเป็นคริสเตียนทั้งหมด คาทอลิคยังคงอยู่ร่วมกับคริสเตียนกลุ่มอื่นๆ ได้ด้วยการดำรงชีวิตที่สะดวกสบายกว่า กะเหรี่ยงกลุ่มศาสนาอื่นๆ แต่พวกที่เขาทั้งหมดไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็ยังคงเป็นพี่น้องกัน (หน้า 489) โครงการพระธรรมจาริก เป็นโครงที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทพุทธศาสนาต่อความหมายของความเป็นชาติ เริ่มต้นในปี 1965 เพื่อให้เกิดแนวคิดอุดมคติต่อชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ตามนโยบายของรัฐส่วนกลาง ตามแนวคิดรัชกาลที่ 6 ที่มีต่อพระพุทธศาสนา บนพื้นฐานของแนวคิด แบบ ”ธรรมราชา” ที่มีอิทธิผลต่อชนชั้นปกครองตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 (หน้า 476) โครงการทำให้กะเหรี่ยงได้รับโอกาสการเรียนรู้และการศึกษา ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เหตุผลหนึ่งของการที่กะเหรี่ยงหันมานับถือศาสนาพุทธ คือ ความทันสมัย กะเหรี่ยงพุทธไม่คิดว่ากลุ่มตนเหนือกว่ากะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาอื่นๆ ผลกระทบของโครงการเมื่อเปรียบเทียบกับพวกมิชชั่นนารีนั้นน้อยกว่าเพราะพระสงฆ์ของโครงการไม่ได้มาใช้ชีวิตในหมู่บ้านเป็นระยะเวลานานๆ (หน้า 482) ปี 2000 ในจำนวนของพระ-เณรที่เข้าโครงการทั้งสิ้น 450 รูป ในจำนวนนี้เป็นกะเหรี่ยง 350 รูป ในปีถัดมามีกะเหรี่ยงจำนวน 100 รูป อยู่ที่วัดศรีโสดา อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งโรงเรียนประถมในวัด สำหรับเด็กหญิงด้วย วัดศรีโสดาได้รับการสนับสนุนจากกรมประชาสงเคราะห์และกองทุนส่วนพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ นักเรียนนักศึกษาเมื่อจบหลักสูตรจากที่นี่แล้วมักจะเข้าศึกษาต่อ ที่ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย อัตลักษณ์ทางศาสนาของกะเหรี่ยงพุทธ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ศาสนาไม่ใช่เป็นสิ่งที่สร้างความแตกแยก การใช้ภาษาไทยในบริบทของไทยพุทธค่อนข้างสร้างความเข็มแข็งในการรวมกะเหรี่ยงเข้าสู่สังคมไทย ดังตัวอย่าง นักเรียนที่เข้ามาเรียนในเมือง ก็มักมาอาศัยที่วัดศรีโสดา (หน้า 476)

Education and Socialization

เมื่อย้อนหลังไปประมาณ 12-20 ปี กลุ่มกะเหรี่ยงเก่าร้อยละ 90 เป็นคาทอลิค มีเพียง ร้อยละ 7 นับถือ พุทธ-ผี ในจำนวนดังกล่าวอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ มิชชันนารีคริสเตียนได้พัฒนาตัวอักษรสำหรับชาวเขาที่ไม่รู้หนังสือ ต้นคริสตศตวรรษที่ 19 คณะแบบติสท์ได้คิดตัวหนังสือกะเหรี่ยงขึ้นโดยใช้อักษรพม่า ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 พวกคาทอลิคได้ใช้การแทนอักษรกะเหรี่ยงด้วยตัวอักษรโรมัน (Romanised) และยังใช้อยู่ถึงปัจจุบันนี้ ในขณะที่มิชชั่นารีได้ขยายการเผยแพร่ศาสนาในภาคเหนือของไทย กลุ่มเผยแพร่ศาสนานี้ได้ริเริ่มให้การศึกษา การดูแลสุขภาพตลอดจนความรู้และการพัฒนาเทคนิคการเพาะปลูก ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการเข้าไปให้ความช่วยเหลือใดๆ จากทั้งภาคราชการ และ องค์กรพัฒนาอื่นๆ (หน้า 478-479) ภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ชาวเขาในภาคเหนือของไทยที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองจะพูดเหน่อ และไม่สามารถเทียบกับภาษาถิ่นของตนได้ (หน้า 480-481) กรณีของกะเหรี่ยงเมื่อได้รับโอกาสทางการศึกษามากขึ้น ผ่านความช่วยเหลือ จากองค์กรต่างๆ ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ความสำคัญของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ขึ้นอยู่กับขนาดของสังคม และตัวเลือกที่เป็นปัจเจกด้วย ยิ่งมีการศึกษาสูงเท่าใด ความเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ในสังคมก็ยิ่งมีมากขึ้น แต่รูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่สอดคล้องกับพื้นเพของชนกลุ่มน้อยก็มีน้อยลง เช่น กะเหรี่ยงที่ทำงานในสถาบันการศึกษาหรือกลุ่มองค์กรพัฒนาภาคเอกชน (NGO) กลุ่มนี้จะเป็นพวกสองภาษา สองวัฒนธรรม และสามารถเลือกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตนต้องการได้ในโลกภายนอก บางครั้งก็มีการฏิเสธความเป็นกะเหรี่ยงในที่สาธารณะ และกลับมาเป็นกะเหรี่ยงเมื่อเข้าสู่สังคมดั้งเดิม ต่างจากกะเหรี่ยงที่เข้ามาทำงานแบบใช้แรงงานในเมือง กลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นกะเหรี่ยงมากกว่า พวกกลุ่มหลังมักจะเลือกอาศัยอยู่กับกะเหรี่ยงด้วยกันเมื่อมาทำงานในเมือง และพวกเขารู้สึกว่ามีความใกล้ชิดกับคนที่มีพื้นฐานทางด้านชาติพันธุ์ และศาสนาเดียวกันมากกว่า (หน้า 487-488)

Health and Medicine

การรักษาผู้เจ็บป่วยนั้น โดยทั่วไปหากเป็นความเจ็บป่วยเล็กน้อย ใช้วิธีการพื้นบ้าน ทั้งการใช้ยาสมุนไพร บางกรณีพบการใช้ฝิ่นช่วยระงับความเจ็บปวดด้วย นอกจากนี้ การจัดพิธีกรรมบูชาขออำนาจศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปัดเป่า การใช้เวทมนต์ คาถา ยังพบอยู่โดยมาก โดยเฉพาะกรณีที่การเจ็บป่วยไม่สามารถหาสาเหตุได้ การเจ็บป่วยที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ลื่นล้ม จะต้องมีการบูชาเรียกขวัญ ตรงสถานที่เกิดเหตุด้วย การเรียกขวัญ บูชาขวัญนั้นมักทำควบคู่กับการรักษาโดยทั่วไป เพราะความเชื่อพื้นฐานที่ว่า ในร่างายมนุษย์แต่ละส่วนนั้นมีขวัญคอยดูแลอยู่ การเจ็บป่วยย่อมแสดงให้เห็นความไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับขวัญ จึงต้องทำให้ขวัญกลับคืนสภาพปกติ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติเช่นกัน และนอกจากนี้ก็ช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยด้วย กรณีที่การรักษาตามวิธีพื้นบ้านนั้นไม่ได้ผล ก็จะใช้วิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สะดวกต่อการเดินทางจากหมู่บ้านไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ (หน้า 30)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

Tha (ทา) เป็นบทประพันธ์ที่ใช้เล่าขานเรื่องราวต่างๆ แบบดั้งเดิมเกี่ยวกับ ตำนาน ความเชื่อและวัฒนธรรมกะเหรี่ยง ซึ่งเสื่อมความนิยมลงในกะเหรี่ยงหนุ่มสาวในรุ่นปัจจุบัน การรำดาบ พร้อมกับการท่องมนต์คาถาต่างๆ เป็นสิ่งที่พบเห็นในพิธีกรรมความเชื่อกะเหรี่ยง โดยเฉพาะการรักษาโรค การแสดงเช่นว่านี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่แม้ในกลุ่มกะเหรี่ยงนับถือคริสต์คาทอลิคบางหมู่บ้าน เพียงแต่ไม่มีบทบาทสำคัญอย่างไร คงเป็นเพียงการแสดงของผู้อาวุโสที่ต้องการให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้น (หน้า 482, 484)

Folklore

ความเชื่อในตำนานเกี่ยวกับพระเจ้า “Yao” ของกะเหรี่ยงมีความใกล้เคียงกับพระเจ้า “Yahweh” ของอิสราเอลซึ่งเป็นรากฐานความเชื่อของคริสตศาสนา ในตำนานของกะเหรี่ยงกล่าวถึงคัมภีร์แห่งภูมิปัญญา “Book of Wisdom” ที่ลูกๆ ของเทพผู้สร้าง “Yao” (Creator god) ได้รับมาแต่ไม่ระวังรักษาจึงหายไป ในตำนานกล่าวว่าวันหนึ่งพี่น้องผิวขาวจะนำคัมภีร์ดังกล่าวกลับคืนมา ตำนานนี้สอดคล้องกับความเชื่อพื้นฐานในคริสตศาสนาโดยเฉพาะมิชชั่นนารีได้พยายามชักจูงให้กะเหรี่ยงในพม่าเห็นเช่นนั้น เพราะความขัดแย้งระหว่างกะเหรี่ยงกับรัฐบาลพม่าที่นับถือพุทธ โดยเป็นสาเหตุที่ใช้ศาสนาคริสต์สร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพม่าให้เด่นชัดยิ่งขึ้น (หน้า 478-479)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความรู้สึกในความเป็นปึกแผ่นของชนเผ่า อยู่ในสำนึกที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน ตลอดจนความรู้สึกร่วมกันในภาษาและองค์ประกอบอื่นๆ ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียว เป็นตัวกำหนดอัตลักษณ์ที่แสดงออกมา โดยทั่วไปกะเหรี่ยงยังคงมีความรู้สึกเกี่ยวดองทางเครือญาติแม้ว่าจะมีความเชื่อ และการนับถือศาสนาที่ต่างกัน การกำหนดอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนาของกะเหรี่ยง ในงานศึกษานี้เป็นสองสิ่งแยกจากกัน ไม่จำเป็นต้องเข้ากันได้แบบสอดคล้องกลมกลืน แต่คงลักษณะที่ยืดหยุ่นและอาจรู้สึกได้ว่าการกำหนดอัตลักษณ์ทางศาสนานั้นมีน้ำหนักมากกว่าอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่มีมาแต่เดิมก่อนที่มีความแตกต่างในความเชื่อทางศาสนา (หน้า 479) การเคลื่อนไหวของขบวนการสร้างชาติกะเหรี่ยง หรือ Karen National Union (KNU) ในพม่า ที่พยายามเรียกร้องความเป็นอิสระจากรัฐพม่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 และพยายามใช้ศาสนาเป็นตัวกำหนดอัตลักษณ์กะเหรี่ยงที่ชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากชาวพม่าส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในหมู่กะเหรี่ยงเองอีกด้วยเมื่อ กองกำลังกะเหรี่ยงโปว์ซึ่งนับถือศาสนาพุทธได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพระสงฆ์ร่วมกับรัฐบาลพม่าภายใต้ชื่อ DKBU ทำการต่อต้านพวกคริสเตียน (หน้า 479)

Social Cultural and Identity Change

การนับถือวิญญาณบรรพบุรุษได้ลดบทบาทลง เพราะความซับซ้อน และข้อบังคับ ข้อห้ามที่มากมาย ของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อดังกล่าว (หน้า 476)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst พรนรินทร์ เพิ่มพูล Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), อัตลักษณ์, ศาสนา, พุทธ, คริสต์, ภาคเหนือ ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง