สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ละหู่ชิ(Lahushi),บาเกียว(Bakio),การเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่,ชาติพันธุ์,เขตลุ่มน้ำแม่กก,เชียงราย
Author Lucien M. Hanks, Jane Richardson Hanks
Title The Lahushi Bakio: Birth of a New Tribe
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
เอกสารจากหอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพายัพ จ. เชียงใหม่, Ethnic Groups of Thailand : The Collected Articles / Volume 6 (เอกสารสำเนา) ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 20 Year 2530
Source Dimensions of Social Life: Essays in Honor of David G. Mandelbaum. Paul Hockings, ed. New York: Mouton de Gruyter.
Abstract

การศึกษานี้เป็นการศึกษาต่อยอดจากเรื่องที่ผู้ศึกษาได้ศึกษาไว้เดิมเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ในหัวข้อ “The Lahu Shi Hopoe : The Birth of a New Culture?” สำหรับเรื่องชนเผ่าที่พบใหม่ ที่เรียกตัวเองว่า Lahushi Bakio ภายใต้หัวข้อ “The Lahushi Bakio : Birth of a New Tribe” ผู้ศึกษาได้เน้นที่ประเด็นของการแบ่งเผ่าย่อย ที่มีลักษณะเฉพาะของ Lahushi เป็นสำคัญ และได้แสดงให้เห็นว่า การกำหนดชาติพันธุ์ที่พบใหม่นี้ มีความหมายมากกว่าขอบเขตของนิยามในเรื่องชนเผ่าหรือการศึกษาทางวิชาการ เกี่ยวกับ “Tribe” แต่ผลของการศึกษาได้พบลักษณะทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่น กว่ากลุ่มชนเผ่าแยกย่อยอื่นๆ ในสายชาติพันธุ์ “ละหู่” (Lahu) ชาติพันธุ์ละหู่ มีเผ่าแยกย่อย 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ Lahuna และ Lahushi สำหรับกลุ่มหลังยังแยกย่อยออกเป็นอีก 2 กลุ่ม คือ Lahushi Balang และ Lauhshi Hopoe กลุ่ม Hopoe เกิดขึ้นจากการพัฒนาทางชาติพันธุ์ใน 4 ชั่วคน จากการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ โดยในรุ่นแรก คือ ผู้ชายฉานกับหญิงเผ่าอาข่า รุ่นที่2 ผู้ชายที่เป็นลูกผสมเชื้อสายรุ่นแรก แต่งงานกับหญิงเผ่าละหู่ รุ่นที่ 3 ผู้ชายที่เป็นลูกผสมของรุ่นที่ 2 แต่งงานกับหญิงจีน รุ่นที่ 4 ผู้ชายที่เป็นลูกผสมรุ่นที่ 3 แต่งงานกับหญิงละหู่ แรกเริ่มกลุ่มคนเหล่านี้ใช้ชื่อเรียกพวกเขาว่า “ Lahushi Hopoe” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Lahushi bakoi ในปี 1964 จำนวนหมู่บ้านของ Lahushi Hopoe เริ่มต้นจาก 4 หมู่บ้าน ปี 1969 ได้พิ่มจำนวนขึ้นเป็น 5 หมู่บ้าน และ เพิ่มเป็น 10 หมู่บ้าน ในปี 1974 Lahushi bakoi เป็นชนกลุ่มน้อย ที่ใช้ภาษาพูดของ Lahuna การกำหนดจำแนกความเป็นเผ่านั้น ต้องจัดการกับปัญหาทางด้านสภาพแวดล้อมของสังคม ที่เกิดจากเงื่อนปมจากมรดกทางวัฒนธรรม หรืออย่างที่ Lehman ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การจำแนกเผ่านั้นเป็นบทบาทหน้าที่อย่างหนึ่ง โดยตัวอย่างการกำหนดอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทยพื้นราบทางเหนือ เห็นได้จากตัวอย่างกรณีศึกษาของลื้อที่เชียงคำ แต่สำหรับการศึกษานี้ Lahishi Bakio เป็นตัวอย่าง กรณีของกลุ่มชนที่มีภูมิหลังจากการแต่งงานกับคนที่มีความแตกต่างทางพื้นฐานสังคม ในช่วงแรก Bakio ได้พัฒนาการรวมกลุ่มตามแบบของลีซอ และผันแปรมาเป็นอิสระจากความต้องการสร้างเสรีภาพให้ตนเอง กลุ่มชนนี้ใช้ชื่อกลุ่มว่า Lahushi ใช้ภาษาของ Lahunyi และมีรูปแบบการตั้งหมู่บ้านตามแบบแผนของลีซอ จากสาเหตุความแตกแยกใหมู่เครือญาติ การใช้ชื่อเผ่าที่เก่าแก่ ช่วยให้ลูกหลานของ Aipu เกิดความกลมเกลียวกัน กับทั้งยังสร้างความแตกต่างกับ กลุ่มละหู่อื่นๆ อีกด้วย โดยสรุปกรณีศึกษานี้จึงดูเหมือนการเกิดขึ้นของเผ่าใหม่ ที่เรียกว่า “ Lahushi Bakio”

Focus

ศึกษาละหู่ชิ บาเกียว ในจังหวัดเชียงราย

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

การศึกษาชาติพันธุ์ที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ภูเขาระหว่างเขตชายแดนไทย-พม่า และลุ่มน้ำแม่กก ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัด เชียงราย และเชียงใหม่ มีเนื้อที่รวม 1,700 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 16,000 คน ใน 140 หมู่บ้าน มีประชากรเผ่าอาข่ามากที่สุด รองลงมา คือ ละหู่ ที่เหลือประกอบด้วยหลายชนเผ่า ได้แก่ ลีซู, เย้า, กะเหรี่ยง, ฉาน จีน และ ไทย ผู้ศึกษาได้ศึกษาความสัมพันธ์ของชาติพันธุ์ดังกล่าวกับการเกิดเผ่าใหม่ “The Lahushi Bakoi” เป็นประชากรที่เกิดจากการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ และมีการผสมผสานวัฒนธรรมจนพัฒนามาเป็นชนเผ่าใหม่ดังกล่าว (หน้า 177)

Language and Linguistic Affiliations

เนื่องจากกลุ่มที่ศึกษาประกอบด้วยหลายชาติพันธุ์ การศึกษาจึงเกี่ยวข้องกับหลายภาษา เช่น ภาษาฉาน อาข่า ละหู่ แต่เฉพาะกรณีของ Lahushi Bakio นั้น กลุ่มชนนี้ใช้ภาษาของ Lahunyi มากกว่า ภาษาพื้นถิ่น Lahushi (หน้า 181) สำหรับภาษาพูด พบว่าใช้ภาษาที่มีพื้นฐานร่วมกันกับภาษาละหู่ท้องถิ่น แต่มีสำเนียงค่อนไปทางละหู่นะ (มูเซอดำ) และ Lahushi (มูเซอชี) (หน้า 178) แมคกิลวารี มิชชั่นนารีอเมริกัน กล่าวว่า ภาษา Kwi (Mussuh Kwi / Lahushi ) แม้จะแตกต่างจาก Mussoe (Lahu) แต่ก็มีรากฐานทางภาษาเดียวกัน ผู้ศึกษาวิเคราะห์ชื่อที่ระบุในสาแหรกเครือญาติ) กล่าว่า ชื่อในภาษาละหู่โดยทั่วไป ชื่อผู้ชายมักมีคำอุปสรรค (prefixed) นำหน้าชื่อ อย่าเช่น ca, ya, ai หรือ e และสำหรับชื่อผู้หญิงมักขึ้นต้นด้วย na จนเมื่อมีการพัฒนามาเป็นเผ่าใหม่แล้ว Bakio ใช้ภาษา ของ Lahunyi (หน้า 183-186,195)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลาการศึกษาระหว่างปี ค.ศ.1964-1979 มีการเก็บข้อมูลทุกๆ 5 ปี (หน้า 177)

History of the Group and Community

ความเป็นมาของ Lahushi Bakio ในเขตลุ่มน้ำแม่กก ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนทั้งหมดเป็นการวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูล รวมทั้งระยะของช่วงเวลาในเหตุการณ์ต่างก็เป็นการประเมินอย่างคร่าวๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเป็นที่ชัดเจนว่า Lahushi Bakio มีภูมิหลังของชาติพันธุ์อันหลากหลาย (หน้า 184) ดังที่แสดงในแผนภูมิของสาแหรกเครือญาติ (หน้า 185) เห็นได้ว่าในรุ่นของชั่วคนแรก (ประมาณการเกิดของคนรุ่นนี้ ราวค.ศ. 1822 /หน้า 186) ที่นับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Lahushi Bakio เกิดจากความสัมพันธ์ของ ฝ่ายชายที่เป็นฉาน (Shan) กับฝ่ายหญิงที่เป็นอาข่า (Akha) ลูกชายที่เกิดมาได้มีความสัมพันธ์กับ หญิงละหู่ (Lahu) คู่นี้นับได้ว่าเป็นรุ่นที่ 2 (ประมาณการเกิดของคนรุ่นนี้ ราว ค.ศ. 1847 (หน้า 186) และอาจเป็นไปได้ว่า หญิงละหู่ ชื่อ”Nabu” อยู่ในกลุ่มชนที่เรียกได้ว่าเป็น Bakio (หน้า 184) ลูกชายของคู่นี้ซึ่งนับว่าเป็นชั่วคนรุ่นที่ 3 (ประมาณการเกิดของคนรุ่นนี้ ราว ค.ศ. 1872 /หน้า 186) ได้มีการแต่งงานกับ หญิงลีซอ (Lisu) และ หญิงทีมีเชื้อสายผสมระหว่าง จีน และ ฉาน ด้วย และในรุ่นที่4 ก็คงมีการแต่งงานนอกกลุ่มอยู่ โดยมีฝ่ายหญิงที่เป็น ลีซอ และ Lahunyi สำหรับถิ่นที่อยู่ ในรุ่นที่ 2 ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เติบโตมาในหมู่บ้าน ลีซอ (Lisu Village of Pangnun) และแต่งงานที่นั้น หมู่บ้านนี้อยู่แถบชายแดนไทย-พม่า (หน้า 186) ข้อมูลของผู้เขียน ในช่วงปี ค.ศ. 1870s -1890s ใน Pangnun มี Lahushi หรือ Kwi อาศัยอยู่บนเขาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงในเขตพม่า และในเขตไทยบริเวณสันปันน้ำ เขตแม่สาย (Mae Huok / Mae Sai) เป็นเขตภูมิลำเนาของ ละหู่ (Lahu ) หรือบางที่อาจเป็น Lahushi ซึ่งรวมทั้ง Kwi ด้วย มีตามบันทึก ของ H.R. Davies ในปี ค.ศ. 1890s มีละหู่ทั้งสิ้น 16 เผ่า ข้ออ้างอิงนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่า หญิงละหู่ “Nabu” และแม่ของเธอ อาจเป็น Lahushi ในปี ค.ศ.1897 ครอบครัวของ Aipu และ Nabu อพยพจาก Pangnun มายังหมู่บ้านลีซอถัดมา ที่ดอยช้าง ซึ่งคนในชั่วรุ่นที่3 เกิดที่นี่ หลังจากการเกิดของCapheu 1907 Calae 1910 คนรุ่นที่ 3 พร้อมครอบครัว ก็ย้ายมาตั้งหมู่บ้านของตนเอง โดยมี Apalo เป็นผู้นำ เรียกหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นว่า “บ้านพ่อเมือง” (Ban Paw Muang) ในระยะแรกมีเพียง 10-15 ครัวเรือน (หน้า 187) อย่างไรก็ตามก็ยังมีการแยกตัวของบรรดาเครือญาติผู้นำหมู่บ้าน ออกไปตั้งหมู่บ้านใหม่ตามที่ต่างๆ อยู่ตลอด นับแต่ปี 1922 ที่ Yacu ย้ายไปตั้งหมู่บ้าน ที่ แม่ริม (Mae Liam) ประชากรของหมู่บ้านก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และเมื่อแหล่งการปลูกฝิ่นเดิมให้ผลตกต่ำ ลูกๆของ Yacu ก็ย้ายไปตั้งหมู่บ้านทางฝั่งตะวันตกของแม่กก ในแถบ Mg Hsat, Mg Ywang (หน้า 189-190) จนเมื่อประมาณ ปี 1942 Ya’u น้องชายของ Yacu ย้ายไปตั้งหมู่บ้านที่ ดอยเบ้า จะเห็นได้ว่า เครือญาติฝ่ายชายในรุ่นที่ 3 ได้กระจายตัวกันออกไปตั้งหมู่บ้านในที่ต่างๆ และหลังจาก Ya’u เสียชีวิต น่าจะเกิดความขัดแย้งกัน ในบรรดาหมู่บ้านที่มี Bakio รุ่นที่3 เป็นผู้นำ ถึงกระนั้นก็มีความพยายามรวมตัวกันเป็นเผ่า และสันนิษฐานว่าชื่อเผ่าก็อาจมีการนำมาใช้ในระยะเวลาดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการทำให้อัตลักษณ์ ของกลุ่มเชื้อสายของ Bakio แบ่งแยกชัดเจนจาก Lahunyi

Settlement Pattern

สันนิษฐานว่า Lahushi Bakio เคยตั้งถิ่นฐานอยู่บนสันปันน้ำของภูเขา ในเขตแม่กก (The Mae Kok region) ซึ่งใช้เวลาเดินทางมาถึงบริเวณนี้ ราว 7 วันจาก Mg.Lem ที่อยู่ในเขตประเทศลาว และใช้เวลาเพียงครึ่งวัน จากหมู่บ้านของ Bakio ในปัจจุบัน (หน้า 184) โดยทั่วไป Lahushi Bakio รวมตัวอาศัยกันอยู่เป็นหมู่บ้าน บางแห่งในหนึ่งหมู่บ้านประกอบครัวเรือนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มักย้ายหมู่บ้านเพื่อทำไร่เลื่อนลอย โดยเฉพาะการหาที่ปลูกฝิ่น

Demography

การศึกษาประชากรในกลุ่มชาติพันธุ์นี้ Aipu ถือว่า เป็นบรรพบุรุษของ Bakio จากศึกษาหลักฐานย้อนหลังพบว่า เป็นลูกผสม ของ สามี Shan และ ภรรยา Aka นับว่าเป็นต้นวงศ์รุ่นที่ 1 เป็น โดยคาดกันว่าปีเกิด Aipu อยู่ในช่วงราว ปี1847 และมีการประมาณการอายุเฉลี่ยของคู่แต่งงาน อยู่ที่ 20 ปี โดยมีระยะห่างระหว่าชั่วคนรุ่นหนึ่งๆ ประมาณ 25 ปี Shan จะไม่ออกจากหมู่บ้านในหุบเขา ขึ้นมาอาศัยบนเขา แต่เหตุผลที่ย้ายมา อาจเพราะต้องการหาที่ปลูกฝิ่นใหม่หรือ เกิดจากความขัดแย้งในครอบครัว รวมทั้งการ อาจเป็นหลบหนีความผิดบางอย่าง (หน้า 186) ในปี 1964 กลุ่มชนที่มีการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ มีจำนวน 4 หมู่บ้าน ซึ่งขณะนั้นเรียกกลุ่มตนเองว่า “Hopoe” ปี 1969 จำนวนหมู่บ้านเพิ่มเป็น 5 หมู่บ้าน และมีการเปลี่ยนชื่อกลุ่มว่า “Lahushi Bakoi” จากนั้นจำนวนหมู่บ้านก็เพิ่มขึ้นเท่าตัว เป็น 10 หมู่บ้าน ในปี 1974 (หน้า 180-181)

Economy

Lahushi Bakoi ยังชีพโดยการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ ปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งปลูกเพื่อขายเพียงอย่างเดียวโดยไม่นิยมบริโภค นอกจากนี้พบว่า Calae เชื้อสาย Bakio รุ่นที่4 มีชื่อเสียงในการล่าสัตว์ และ เป็นช่างตีเหล็กด้วย (หน้า 179) Sterling พบว่า ในกลุ่มชน ที่ถูกเรียกว่า กุ้ย มีการเพาะปลูกแบบผสม คือ ปลูก ทั้ง ข้าว, ฝ้าย, ข้าวโพด ฯลฯ และบางครั้งก็ปลูกฝิ่นด้วย (หน้า 183)

Social Organization

Lahushi Bakio เป็นชนเผ่าที่แยกสายมาจาก Lahu หรือที่รู้จักกันว่า “มูเซอ” มีเผ่าย่อย เช่น Lahunyi (มูเซอแดง), Lahushi (มูเซอชี หรือ มูเซอกุ้ย), Lahu na (มูเซอดำ) จากสาแหรกเชื้อสายบรรพบุรุษ (หน้า 185) bakio มีเชื้อสายผสมจากการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ (Exogamy) ที่มีคนจากชาติพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ Shan (ฉาน), Akha (อีก้อ/ อาข่า), Lisu (ลึซู /ลีซอ) และ จีน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในตระกูลธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) Sterling (หน้า 183-184) กล่าวว่า Kwi มักมีคู่ครองครั้งละคน แต่เมื่อ สามีหรือภรรยา เสียชีวิตลง อีกฝ่ายมักแต่งงานใหม่ อันเป็นเรื่องปกติ การแต่งงาน ฝ่ายชายมักไม่มีสินสอดให้ฝ่ายหญิง แต่จะมาพักอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิง ดังนั้นพบว่าบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งจึงเป็นที่อาศัยมากหนึ่งครอบครัว การมาอยู่ด้วยนี้ก็เพื่อช่วยทำงานของครอบครัวฝ่ายหญิงแทนค่าสินสอด ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี หากเป็นความต้องการของพ่อแม่ฝ่ายหญิง ก่อนที่จะแยกของไปตั้งครอบครัวของตนเอง และหากมีการหย่าร้างกันต้องจ่ายสินไหมให้แก่หัวหน้าหมู่บ้าน

Political Organization

มีหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นผู้นำการปกครอง การสืบทอดอำนาจเป็นแบบการสืบสายทางบิดา (Patriline) สมาชิกของเผ่า หรือ หมู่บ้านให้ความสำคัญ และเคารพผู้อาวุโส เห็นได้จากการขมาโทษ และขอพรจากผู้สูงอายุ ในประเพณีฉลองปีใหม่ มีการช่วงชิงอำนาจการเป็นผู้นำ หลังจากผู้นำเก่าเสียชีวิตลง นอกจากเป็นผู้นำการอพยพเพื่อหาแหล่งทำกินแห่งใหม่ แล้ว ความขัดแย้งและบาดหมางกันภายในกลุ่ม เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้มีการแยกตัวออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่ และผู้ชายยังคงรักษาบทบาทของผู้นำกลุ่มอยู่ (หน้า 190-191) หลังการเสียชีวิตของ Ya’u หัวหน้าหมู่บ้านที่ดอยเบ้า (doi Baw) ในปี 1964 ได้เกิดลัทธิชาตินิยม Lahu โดยมี Pu Cong เป็นผู้นำลัทธิ ทำให้เกิดการต่อสู้กับ กองกำลังจีนคณะชาติ (the nationalist chiness) ของเจียงไคเช็ค (Chieang Kai-Shek) หลังการขบวนการปดลปล่อยคอมมิวนิตส์ ในปี 1949 โดยร่วมเป็นพันธมิตรกับกองกำลังพม่า แต่ก็พ่ายแพ้ใน ปี 1957 ซึ่งที่กล่าวมาเป็นสาเหตุที่ ให้มีการแยกตัวในกลุ่มลูกพี่ลูกน้องฝ่ายบิดา ที่ไม่ได้เข้าร่วมออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่ ดังกรณีที่ Calae ลูกชายคนเล็กของ Ya’u มาเป็นหัวหน้า แล้วย้ายหมู่บ้านมาอยู่ที่ ดอยแม่สลอง ในเขตแม่กก(หน้า 191) นอกจากนี้ยังเกิดขนบนิยมของ Lahu ที่ให้ความสำคัญกับลูกเขยมากกว่า เป็นเป็นสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน จากกรณีที่ Calae เรียกสินไหมปรับลูกสะใภ้ที่แต่งงานแล้วหนีไปเกินกว่าปกติ ซึ่งสะใภ้ก็เป็นลูกสาวของน้องสาวตน แต่อยู่คนละหมู่บ้านอื่นๆ สร้างความไม่พอใจ ทำให้ น้องสาว ของ Calae หันไปให้บทบาทกับลูกเขยในความเป็นผู้นำ มากกว่าลูกชาย และ พี่ชายของตน (หน้า 192)

Belief System

ในเขตที่แสดงว่าเป็นหมู่บ้าน มักมีประตู มีตาเหลว ทำจากไม้ไผ่ เป็นเครื่องลาง ป้องกันหมู่บ้าน มีจุดประสงค์เพื่อเตือนคนแปลกหน้าถึงอาณาเขตหมู่บ้าน และ เพื่อคอยดักจับวิญญาณ เทศกาลปีใหม่ แต่ละครัวเรือนจะหุงข้าว และทำขนมเค็กงา เพื่อเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษ และ เพื่อเลี้ยงต้อนรับแขกที่มาพัก นอกจากนี้ยังมีประเพณีการรดน้ำขอขมาผู้ที่อาวุโสกว่า เพื่อเป็นการขอโทษในสิ่งที่ล่วงเกินในปีที่ผ่านมา ผู้ขอขมาจะนำถาดอาหารไปมอบให้แก่ผู้ที่รับการขอโทษ และ การคืนถาดพร้อมอาหารบางส่วนกลับคืนมาเป็นสิ่งที่แสดงถึงการให้อภัย แต่ละครอบครัวมักเวียนไปทำการขอขมาโทษอย่างนี้ตามบ้านแต่ละหลังทั่วหมู่บ้าน จนมาจบที่การเข้ามาอวยพรผู้เปรียบเสมือนหัวหน้าหมู่บ้าน มีการเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษ รวมทั้งการกินเลี้ยง เต้นรำกันต่อไปอีกหลายคืน (หน้า 179-180)

Education and Socialization

Bakio ได้รับการขัดเกลาทางสังคมจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะบรรพบุรุษ4 รุ่นแรกของเผ่า ประกอบไปด้วย Shan, Aka, Lahu และ จีน ในช่วงแรกของการพัฒนาการรวมกลุ่มมาตั้งเป็นเผ่าใหม่นั้น พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับชนเผ่า Kwi ซึ่งใช้ตัวหนังสือภาษาจีน ในจารึกสิ่งที่เคารพบูชา ในศาลผีในแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งในศาลนั้นมักแขวนคัมภีร์ภาษาจีน 2-3 เล่ม ในแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีผู้ที่รู้ภาษาจีน อย่างน้อยหนึ่งคน และคนนี้ก็จะเป็นผู้ที่สอนหนังสือเด็กๆด้วย (หน้า 183)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การสำรวจเผ่า Lahushi ของผู้ศึกษาครั้งแรกปี 1964 ได้พบว่าพวกที่เรียกตนเองว่า “Lahushi Balang” ผู้ชายแต่งกายอย่าง Shan หรือชาวไทยทางเหนือ สำหรับผู้หญิง นุ่งผ้ารัดรูปแบบหญิงพม่า ที่เรียกว่า “Longgyi” มีผ้าขนหนูโผกหัวทบกันเป็นชั้นๆ (หน้า179) สำหรับการแต่งกายในหมู่บ้าน Lahunyi พบว่าผู้ชายใช้กางเกงขายาวถึงข้อเท้า สีเขียวคราม (turquoise-green) ผู้หญิงแต่งกายเสื้อผ้า สีดำมีขอบกุ๊นสีแดง แบบ Lahunyi แต่บางคนใส่ชุดสีฟ้าตามแบบ Lisu (หน้า 179) ในเขตที่ Bakio ตั้งถิ่นฐาน มีนักสำรวจอังกฤษและฉานเคยพบกลุ่มชนที่เรียกว่า Khakui มีการแต่งกายใช้เครื่องประดับศีรษะ ที่ทำจากไม้ไผ่ มีเครื่องประดับที่คอ และ หู ผู้หญิง Bakio มักแต่งตัวตามแบบของแม่ เช่น หากแม่เป็น Lahunyi ลูกสาวก็จะแต่งตัวตามแบบของเผ่านั้นๆ และมักพบว่าผู้หญิง Bakio เคยใช้ที่ครอบมวยผมทำจากไม้ไผ่ (หน้า 188) บ้านที่อยู่อาศัยมักสร้างอย่างง่ายๆ จากไม้ไผ่ ไม่ค่อยมั่นคงนัก ด้วยเหตุผลที่จะโยกย้ายเพื่อหาที่ทำกินใหม่ ทุกๆ 3-4 ปี อย่างไรก็ตามจากการสำรวจในขณะนั้นผู้ศึกษาเห็นภาพที่แตกต่างกับ ข้อมูลเดิมๆ บ้านสร้างอย่างค่อนข้างมั่นคง โครงสร้างหลังคาแข็งแรงโดยใช้ไม่ไผ่ผ่าครึ่ง ขนาดเส้นผ่าศุนย์กลางราว 4-6 นิ้วฟุต หลังคามุงกระเบื้องโค้ง และ เคลือบเงาคล้ายกระเบื้องมุงหลังคาบ้านชาวจีน (หน้า 179) นอกจากนี้ Sterling (หน้า 183) กล่าวว่าบ้านของ Kwi สันนิษฐานว่าอาจสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ Bakio นั้น มักสร้างจากไม้ไผ่ หลังค่อนข้างเล็ก ยกระดับไล่ขึ้นไปจากพื้นดิน และปลูกกระจายเต็มทั้งภูเขา 25- 30 หลัง ตามความเชื่อในประเพณีฉลองปีใหม่ พบว่ามีการใช้ศิลปหัตถกรรม ซึ่งมีการปักเสา 2 ต้นที่ข้างหนึ่งแสดงรูปสัญลักษณ์ของผู้ชายและอีกข้างแสดงสัญญาลักษณ์ของผู้หญิง ระหว่างกลางตกแต่งด้วยลวดลายไม้ไผ่ มีตาเหลว (Taleos) ทำจากไม้ไผ่ เป็นเครื่องลาง ป้องกันหมู่บ้าน มีจุดประสงค์เพื่อเตือนคนแปลกหน้าถึงอาณาเขตหมู่บ้าน และ เพื่อคอยดักจับวิญญาณ การแสดงในพิธีฉลองปีใหม่ มีการเต้นรำเป็นวงกลม รอบเสาไม้ ตามจังหวะเสียงพิณที่ดีด พิณนั้นมีลักษณะคล้าย Benjo (หน้า 180)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

Bakoi มีภูมิหลังที่มาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยพื้นฐานแล้ว รับวัฒนธรรมของลีซอ (Lisu) มาใช้ในหลายเรื่องเช่น ภาษา หรือ รูปแบบของการสืบทอดตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน โดยวัฒนธรรมละหู่ เริ่มมีอิทธิพลต่อบรรพบุรุษของเผ่าในรุ่นที่ 3 ที่ต้องการสร้างเสรีภาพให้กลุ่มของตนเองและสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจน แตกต่างจากละหู่ กลุ่มอื่นๆ ดังนั้นกลุ่มชนนี้ใช้ชื่อกลุ่มว่า Lahushi ใช้ภาษาของ Lahunyi แต่ยังคงรูปแบบการตั้งหมู่บ้านตามแบบแผนของลีซอ เพื่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่น ทำให้วัฒนธรรมที่พัฒนาจากพื้นฐานภูมิหลังที่หลากหลาย จากสืบเชื้อสาย (lineage) ในความเป็นเครือญาติ พัฒนานำไปสู่การแต่งงานภายในกลุ่ม (endogamy) จนเกิดการรวมตัวของเผ่าใหม่ มาเป็น Lahushi Bakio

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปแผนที่ และ แผนภูมิ มีทั้งสิ้น 3 ชุด 1. แผนที่แสดงเขตลุ่มน้ำแม่กก 2. แผนที่แสดงถิ่นที่อยู่ Lahushi 3. แผนภูมิแสดงสาแหรกความสัมพันธ์จากการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์

Text Analyst พรนรินทร์ เพิ่มพูล Date of Report 27 ก.ย. 2567
TAG ลาหู่, ละหู่ชิ(Lahushi), บาเกียว(Bakio), การเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่, ชาติพันธุ์, เขตลุ่มน้ำแม่กก, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง