|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,การเคลื่อนไหวปฏิรูป,ความเชื่อ,แนวปฏิบัติของมุสลิม,ประเภทของมุสลิม,ประวัติของอิสลาม, ประเทศไทย |
Author |
Raymond Scupin |
Title |
Islamic Reformism in Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
10 |
Year |
2523 |
Source |
Journal of Siam Society Vol. 68 Part 2 |
Abstract |
รูปแบบของศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นผลมาจากการวิพากษ์ และปฏิกิริยาโต้ตอบกันระหว่างแบบแผนของอิสลามพื้นเมืองในไทย และอิทธิพลการเคลื่อนไหวทางวรรณกรรมที่นำโดยการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาอิสลามระหว่างช่วงศตวรรษที่ 20 พัฒนาการของการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในกรุงเทพฯ คือ แรงกระตุ้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นทางด้านรูปแบบของศาสนาอิสลามทั้งประเทศไทย (หน้า 1) การเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในไทย (โดยมีศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ) เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผสมผสานระหว่างรูปแบบของภูมิภาคตะวันออกกลาง และมาลายัน-อินโดนีเชียน (หน้า 4) ทั้งนี้ สามารถแบ่งมุสลิมได้เป็น 2 กลุ่ม คือ พวก Ulama แบบดั้งเดิม กับพวกนักปฏิรูปอิสลาม โดยที่พวก Ulama แบบดั้งเดิม พยายามปกป้องวิธีปฏิบัติแบบดั้งเดิม ซึ่งนักปฏิรูปอิสลามมองว่าเป็นการปฏิบัตินอกรีต เช่น ความเชื่อเรื่องเทวดา (hagiolotry) การบูชาวิญญาณ การมีหมอผีพื้นบ้าน และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความตายในชนบทห่างไกล นอกจากนั้น ยังมีข้อปฏิบัติของผู้ที่กลับมาบวชใหม่ หรือ hajji การเซ่นไหว้ทำบุญแบบโบราณ วิธีการกำหนดช่วงการรอมาฎอน ประเภทของนักบวช การนับถือรูปเคารพ และการใช้ภาษาอารบิก (หน้า 6-7) |
|
Focus |
ผู้ศึกษาอธิบายถึงการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามซึ่งมีศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ การปฏิรูปอิสลามเข้าสู่ไทยโดยตรงจากการย้ายถิ่นของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมาถึงกรุงเทพฯ โดยทางอ้อมซึ่งนำโดย อามัด วาฮับ และมีความเจริญก้าวหน้าด้วยสาเหตุจากระบบการศึกษาในแบบไม่เป็นทางการ (หน้า 1- 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานรัฐจำแนกมุสลิมออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ พวกที่เป็นมลายู และไม่ใช่มลายู (หน้า10) ความแตกต่างทางชาติพันธุ์นี้เป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน โดยอิสลามเริ่มเข้ามาสู่ภูมิภาคนี้ผ่านการค้าในแถบอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในศตวรรษที่ 13 และความเป็นอิสลามในพื้นที่แถบนี้เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายศตวรรษ ในขณะที่ไทยแผ่ขยายอาณาเขตไปถึงพื้นที่วัฒนธรรมมาเลย์ และรัฐมลายูหลายรัฐได้ตกเป็นประเทศราชของไทย และต่อมาบางรัฐกลายเป็นส่วยหนึ่งของรัฐไทย มุสลิมในพื้นที่ดังกล่าวได้จึงถูกเรียกว่า ไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู ต่อต้านอำนาจของรัฐไทย ส่วนมุสลิมไทยที่ไม่ใช่มลายู ก็คือ มุสลิมจากอินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน จาม อินโดนีเซีย จีน มาเลเซีย และบรรดาลูกหลานที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่ท่ามกลางคนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา มุสลิมส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษมลายูที่เป็นเชลยสงคราม หรือเป็นผู้อพยพ ซึ่งอาศัยอยู่นอกพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ แต่คนกลุ่มนี้ก็จัดเป็นมุสลิมไทยที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการพูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ และมีวัฒนธรรม ตลอดจนวิถีปฏิบัติคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไทย ลักษณะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม การเมือง ของมุสลิมเหล่านี้ถูกชี้นำโดยความเป็นไทย ดังจะเห็นได้จากรูปแบบประเพณีทางภาคเหนือของไทย แต่สำหรับภาคกลางและกรุงเทพฯ แล้วนั้น กระบวนการทางสังคมเชิงสถาบัน และการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ มีลักษณะการแบ่งชั้นกันตามประเพณีของแต่ละชาติพันธุ์ กระนั้นก็ตาม ลักษณะทางโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมหลัก ๆ ที่มุสลิมกลุ่มนี้แสดงให้เห็นก็เหมือนกันกับประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวพุทธ สำหรับในกรุงเทพฯ มุสลิมที่ไม่ใช่มาเลย์มีจำนวนร้อยละ 6 ถึง 8 จากประชากรทั้งหมด 4 ล้านคน ตามประวัติศาสตร์แล้ว มุสลิมกลุ่มนี้อาศัยอยู่รวมกันตามชาติพันธุ์ของตน แต่ช่วงระหว่างศตวรรษที่ 20 การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และภูมิประเทศ รวมทั้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นเมืองอันซับซ้อน เป็นผลให้การรวมกันอยู่เป็นชาติพันธุ์ดังกล่าวสลายลง ยกเว้นในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ อย่างพระโขนง ที่เริ่มจากทางใต้ของบางกะปิ ไปจนถึงมีนบุรี พื้นที่แถบนี้ครอบครัวมุสลิมสามารถสอดแทรกอาศัยอยู่กับชาวพุทธหมู่มากได้ ในปี ค.ศ.1970 ประชากรมุสลิมในกรุงเทพฯ แบ่งเป็นชาย 74,532 คน และหญิง 75,836 คน โครงสร้างประชากรมุสลิมข้างต้นนี้ ทำให้เกิดคำถามต่อผู้นำ และกลุ่มมุสลิมในกรุงเทพฯ ว่า หากพิจารณาจากอัตราการเกิด การอพยพเข้า-ออก กรุงเทพฯ แล้ว ประชากรมุสลิมในกรุงเทพฯ ปัจจุบันน่าจะอยู่ระหว่าง 200,000 ถึง 230,000 คน (หน้า 10) |
|
Demography |
ในปี ค.ศ.1976 ไทยมีประชากรประมาณ 42 ล้านคน ตามข้อมูลของสำนักสถิติแห่งชาติ ร้อยละ 95.3 เป็นชาวพุทธ ร้อยละ 3.8 เป็นมุสลิม ร้อยละ 0.6 เป็นชาวคริสต์ และอีกร้อยละ 0.3 นับถือศาสนาอื่น (หน้า 10) |
|
Belief System |
อิสลามในประเทศไทยมีพัฒนาการภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ซึ่งได้ก่อให้เกิดมรดกทางศาสนาที่ซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์ นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ช่วงเวลาก่อนการเข้ามาของศาสนาฮินดู พุทธ หรืออิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ความเชื่อหลักของคนที่นี่ ได้แก่ การนับถือวิญญาณ หรือการบูชาสัตว์เป็นเทพเจ้า และเมื่อศาสนาสำคัญต่างๆ เริ่มเข้ามาเผยแผ่นั้น พวกเขาก็รับเอาเฉพาะที่เข้ากันได้กับความเชื่อเดิมเท่านั้น ไปเป็นแนวคิดและวิธีปฏิบัติ เมื่อศาสนาอิสลามเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ต้องอะลุ่มอล่วยหลักการพื้นฐานลงไปมาก เพื่อให้เกิดระดับที่สามารถจะประสานเข้ากับความเชื่อพื้นเมืองได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในสมัยของศาสดามูฮัมมัดนั้น ก็มีการสร้างความเป็นอิสลามในภูมิภาคใหม่ ๆ เช่นกัน โดยวิธีการเผยแผ่มุสลิมแบบดั้งเดิมนี้ ก็เนื่องมาจากการสืบทอดต่อเนื่องของวิถีความเชื่อ และการปฏิบัติแบบพื้นเมือง ซึ่งหลายครั้งถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของอิสลาม การศึกษาเชิงชาติพันธุ์เกี่ยวกับมุสลิมในชนบทไทยหลายชิ้น ยืนยันถึงประสิทธิภาพการหลอมรวมของศาสนาอิสลามในชุมชนต่าง ๆ การหลอมรวมของอิสลาม หรือเรียกว่าอิสลามพื้นเมืองได้ทำให้เกิดรูปแบบที่แตกต่างกันอยู่ 2 อย่างในประเทศไทย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ทางสังคมวัฒนธรรมเฉพาะแห่งนั้นๆ โดยในภาคใต้ จังหวัดที่มีวัฒนธรรมแบบมลายูนั้น อิสลามอยู่คู่กับความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติของชนพื้นเมืองมาเลย์ ซึ่งในหลายชุมชนของพื้นที่ดังกล่าว วิถีปฏิบัติอันเนื่องมาจากความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณของคนที่มิได้นับถืออิสลาม ก็ประสานสอดคล้องกับวิถีปฏิบัติแบบอิสลามพื้นเมือง ในทางกลับกัน พื้นที่ชนบทซึ่งมีไทยพุทธเป็นชนกลุ่มใหญ่นั้น อิสลามก็หลอมรวมกับความเชื่อการบูชาผีสาง หรือสัตว์เทพเจ้า ความแตกต่างหลากหลายของรูปแบบอิสลามพื้นเมือง ถูกค้นพบว่าเป็นการสร้างสถาบันได้เป็นอย่างดี และมีอิทธิพลอย่างมากต่อพิธีการของชุมชน เหตุผลของการแพร่หลายของอิสลามพื้นเมือง ก็คือ ระบบคุณค่าและความเชื่อต่างๆ ได้เกิดฝังรากเข้าไปถึงวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ขณะที่มุสลิมกระแสหลักนั้น มีหลักคิดบนพื้นฐานของกฎคำสอน และหลักการในคัมภีร์ ซึ่งไม่เป็นที่เข้าใจได้ของชาวนาไร้การศึกษาในชนบท ที่เห็นว่าอิสลามพื้นเมืองเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด และจับต้องได้ รูปแบบของศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นผลมาจากการวิพากษ์ และปฏิกิริยาโต้ตอบกันระหว่างแบบแผนของอิสลามพื้นเมืองในไทย และอิทธิพลการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาอิสลามระหว่างช่วงศตวรรษที่ 20 พัฒนาการของการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในกรุงเทพฯ คือ แรงกระตุ้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นทางด้านรูปแบบของศาสนาอิสลามทั้งประเทศไทย (หน้า1) การเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามซึ่งมีศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ นั้น อยู่ภายใต้กรอบคิด “ยุคอิสลามรุ่งเรือง” อันกำเนิดมาจากตะวันออกกลาง และแผ่ขยายไปทั่วโลก รวมทั้งพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ประวัติของการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และพัฒนาการของลัทธิวาฮับในซาอุดิอาระเบีย ช่วงศตวรรษที่ 19 มีการเคลื่อนไหวในการซ่องสุมกองกำลังทหาร และประสบความสำเร็จในการยึด และเปลี่ยนแปลงนครเมกกะ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้การเคลื่อนไหวของวาฮาบิโดดเด่นมากในโลกมุสลิม ลัทธิวาฮาบิได้ปูทางสำหรับการปฏิรูปอิสลามช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งได้ร่วมกับขบวนการ Solifiyya และมูฮัมมัด อับดุล ของไคโร (1849-1905) ความคิด และงานเขียนของอับดุลนั้น เป็นแรงกระตุ้นโดยตรงต่อความคิดของมุสลิมแถบตัวเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การปฏิรูปอิสลามเข้าสู่ไทยโดยตรงจากการย้ายถิ่นของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ความคิดปฏิรูปอิสลามมาถึงกรุงเทพฯ โดยทางอ้อม อันเป็นผลมาจากนโยบายของเจ้าอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ในอินโดนีเซีย ซึ่งผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวอินโดนีเซียคนหนึ่งที่ถูกทางการเนเธอร์แลนด์เนรเทศได้นำเข้ามาในกรุงเทพฯ ช่วงต้นทศวรรษที่ 20 โดยบุคคลผู้นี้ ก็คือ อามัด วาฮับ ที่มาจากมินังคาเบา ในเกาะสุมาตรา ก่อนมากรุงเทพฯ นั้น เขาใช้ชีวิตอยู่ในเม็กกะในฐานะนักศึกษา ดังนั้น เขาจึงคุ้นเคยกับศาสนา และการปฏิบัติของแถบตะวันออกกลาง ภายหลังที่เขาคล่องภาษาไทยแล้ว ก็เริ่มสอนความคิดปฏิรูปให้กับชาวบ้านแถบยานนาวา และบางกอกน้อยในกรุงเทพฯ ความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองกรุงเทพฯ ก่อให้เกิดภาคส่วนมากมายของการปฏิรูปอิสลาม ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยก็จุดปะทุให้เกิดความซับซ้อน และความหลากหลายในเขตเมือง ส่วนรูปแบบใหม่ของระบบการศึกษา และวิวัฒนาการในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งถูกผลักดันจากเทคโนโลยีตะวันตก(โดยมีจุดเริ่มจากกรุงเทพฯ) ก็ส่งผลให้เกิดความเฟื่องฟูทางปัญญาต่อมุสลิมในเมือง ดังนั้น กรุงเทพฯ จึงเป็นแหล่งเพาะบ่มความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปอิสลามในไทย โดยวาฮับได้กระตุ้นเหล่านักศึกษา และจัดตั้งให้มีกลุ่มการเรียนการสอนในแบบไม่เป็นทางการขึ้น โดยช่วงทศวรรษ 1930 เขาสร้างสมาคมปฏิรูปอิสลามขึ้นครั้งแรกในไทย อันเป็นที่รู้จักในชื่อ “Ansorisunnah” ซึ่งกลุ่มนี้มีการออกวารสารรายเดือนอย่างต่อเนื่อง โดยมีวาฮับเป็นบรรณาธิการ ทั้งนี้ ก็มาจากการสนับสนุนทางการเงินโดยชุมชนมุสลิมในธนบุรีนั่นเอง ซึ่งวารสารดังกล่าวก็เป็นช่องทางเผยแผ่ความคิดปฏิรูปอิสลามเพื่อไปสู่การปฏิบัติจริง (หน้า 2) ถึงแม้วาฮับจะเป็นผู้ที่มีบทบาทในการนำแนวคิดอิสลามรุ่งเรือง (Islamic Renaissance) มายังกรุงเทพฯ แต่เป็นเพราะเหล่านักศึกษาและสาวกของเขาที่ทำหน้าที่จนแนวคิดนี้ได้ถูกหล่อหลอมและกลายสภาพเป็นการเคลื่อนไหวทางศาสนาอย่างเข้มแข็ง ซึ่งศิษย์เอกคนหนึ่งของวาฮับก็คือ ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ (Ibrahim Qureyshi) ผู้ซึ่งถือเป็นบุคคลต้นแบบของความคิดอิสลามร่วมสมัยในประเทศไทย ดิเรกเริ่มตรึกตรองถึงเรื่องชีวิตของตัวเองตั้งแต่อายุ 24 ปี ด้วยความที่เขามี ความรู้เกี่ยวกับภาษาอูรดูตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเรียนภาษาอาหรับได้ง่ายขึ้น และความรู้ภาษาอาหรับ อูรดู รวมทั้งอังกฤษ เขาจึงคุ้นเคยกับหลักในการอธิบายพระคัมภีร์ และแนวความคิดของทางตะวันออกกลาง และอินเดีย ซึ่งความรู้ของเขาดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะต้องปฏิรูปอิสลามในไทย เขากลายเป็นสื่อ และนักเขียนไฟแรงที่ประกาศเผยแผ่แนวความคิดหลายอย่างของวาฮับซึ่งได้เทศนาสั่งสอนไว้ในกรุงเทพฯ แต่ด้วยการที่ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ของเขา เขาจึงเทศนาและสร้างงานเขียนได้อย่างลึกซึ้งกว่าวาฮับ ปี 1949 เขาได้แต่งหนังสือเล่มแรก เรื่อง “สวัสดิภาพสังคม” เสร็จสิ้น และก็แต่งหนังสือเล่มอื่นอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับอิสลาม และวัฒนธรรมอิสลาม เช่น ประเพณีการแต่งงานของมุสลิม การห้ามทานเนื้อหมู พิธีกรรมในเดือนรอมาฎอน พิธีฮัจย์ และอิสลามกับวิทยาศาสตร์ โดยช่วงหลัง ๆ เขาจะเขียนเกี่ยวกับอิสลามพื้นเมือง (Folk Islam) ประวัติศาสตร์ของมุสลิมไทย และอิทธิพลของวรรณกรรมอิสลามที่มีผลต่อวรรณกรรมไทย แต่ผลงานของเขาชิ้นสำคัญ คือ การแปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทย 4 เล่ม ซึ่งต้องใช้เงินส่วนตัวมากกว่าหนึ่งแสนบาท และใช้เวลากว่า 10 ปี เพียงเพื่อให้อัลกุรอานเข้าถึงพี่น้องมุสลิมไทย ปี 1977 เขาสำเร็จงานแปล hadith of al-bukhari อันเป็นความพยายามให้มุสลิมไทยตระหนักรู้ถึงแก่นธรรมของศาสนาอิสลาม ดิเรกกลายเป็นผู้นำทางปัญญาของการปฏิรูปอิสลามในทศวรรษ 1950 1960 และ 1970 (หน้า 3) การปฏิรูปอิสลามในกรุงเทพฯ นั้น เจริญก้าวหน้าด้วยสาเหตุจากระบบการศึกษาที่ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนเป็นไปในแบบไม่เป็นทางการ และต่อมาจึงไปสู่การเคลื่อนไหวที่มีลักษณะแบบเป็นองค์กรมากขึ้น แนวเจตนารมณ์เบื้องต้นของนักปฏิรูปอย่างวาฮับนั้น โดนใจชาวบ้านในแถบบางกอกน้อยช่วงทศวรรษ 1930 โดยการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการถูกจัดขึ้นในบ้านของวาฮับเอง เพื่อให้การศึกษากับกลุ่มเยาวชนมุสลิมที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา โดย Ansorisunnah ก็ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อนำมาใช้เป็นสถานที่พิมพ์วารสารรายเดือนเผยแผ่แนวคิดปฏิรูปอิสลาม ซึ่งจากการที่การเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในช่วงระหว่างทศวรรษ 1940 ถึง 1950 มีความเข้มแข็งมากขึ้นเป็นลำดับ จึงส่งผลให้ฐานขององค์กรยกระดับจาก Ansorisunnah เป็น Jami’i-yatul Islam อันเป็นกลุ่มอาสาสมัครมุสลิมในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ Jami’i-yatul Islam เป็นแบบจำลองตามแนวทางของ “Jama’at - i Islami” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแถบอนุทวีปเอเชียใต้ อันเป็นดินแดนที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อการเมืองของอินโด-ปากีสถาน ถึงแม้ Jami’i- yatul Islam เริ่มแรกจะเป็นการรวมตัวกันในเชิงชาติพันธุ์ แต่หลังจากทศวรรษ 1950 องค์กรดังกล่าวได้เปิดกว้างสำหรับมุสลิมทุก ๆ คนในไทย ทำให้ผู้นำของการปฏิรูปอิสลามจากหลากหลายชาติพันธุ์ สามารถเข้าร่วมมาบริหารได้ ซึ่งปัจจุบันนี้เลขาธิการของ Jami’i- yatul Islam ก็คือ ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์นั่นเอง องค์กรที่เกี่ยวกับการปฏิรูปอิสลามองค์กรอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ก็คือ Young Muslim Association of Thailand (YMAT) ซึ่งถูกยกให้เป็นตัวขับเคลื่อนรุ่นใหม่ที่จะปฏิรูปสังคม และศาสนา รวมทั้ง Jami’i- yatul Islam ซึ่ง Jami’i- yatul Islam และ YMAT นั้นเป็นเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการอันมีความใกล้ชิดกันมาก โดยผู้นำรุ่นเก่าๆ ผู้ซึ่งต่อสู้เคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในช่วงแรกๆ ก็จะปลุกปั้นผู้นำรุ่นใหม่ขึ้นมา ในปัจจุบันการประชุมและกิจกรรมต่างๆ ของ YMAT ก็จะกระทำกันที่ มูลนิธิเพื่ออิสลามศูนย์กลางแห่งประเทศไทย (Islam Centre and Foundation of Thailand) ซึ่งแต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อที่จะใช้เป็นมัสยิดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ แต่เนื่องจากประสบปัญหาด้านเงินทุน มัสยิดแห่งนี้จึงสร้างไม่เสร็จสิ้น ขณะที่มัสยิดศูนย์กลางกลายเป็นไปตั้งอยู่ที่หัวหมากแทน มุสลิมจากหัวหมากและพระโขนงเข้าร่วมฟังเทศน์ที่จัดโดยผู้นำรุ่นใหม่ของ YMAT ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งช่วงวันสำคัญทางศาสนา YMAT จะจัดกิจกรรมสำหรับมุสลิมทั่วทั้งเมือง แนวคิดปฏิรูปอิสลามในไทย การเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในไทย (โดยมีศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ) เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผสมผสานระหว่างรูปแบบของภูมิภาคตะวันออกกลาง และมาลายัน-อินโดนีเชียน โดยอุดมคติหลักๆ ที่ฝังรากอยู่ในพื้นที่อันหลากหลายวัฒนธรรมเหล่านี้ ได้สืบทอดรากฐานอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับมุสลิมในไทยช่วงทศวรรษ 1970 แนวคิดการปฏิรูปอิสลามนั้น ได้ถูกวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อที่จะจัดการกับวิกฤตที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งเป็นผลมาจากมุสลิมในตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับ มุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ วิกฤตช่วงระยะต้น ๆ ในความคิดเห็นของนักปฏิรูปก็คือ ปัญหาการที่อิสลามเสื่อมลง มุสลิมในไทยและทั่วโลกอยู่ในภาวะที่เสื่อมถอย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในยุโรป ซึ่งปัญหานี้เป็นผลมาจากการละเลยจิตวิญญาณของอิสลาม และความอ่อนแอทางสังคม ศีลธรรม และปัญญา กล่าวได้ว่าบทบัญญัติของอิสลามได้ถูกโค่นทำลายลงโดยแนวปฏิบัติในท้องถิ่นที่เจือปนไปด้วยประพนธ์โบราณ อันเป็นผลมาจากความประสงค์ของผู้นำทางศาสนา (หน้า 4) การแก้ไขปัญหานี้ ก็คือ การกลับไปสอนสั่งตามแบบกุลอาน (Quran) อย่างแท้จริง และตาม hadith อันเป็นหลักพื้นฐานที่มุสลิมควรทำตาม ในประเทศไทยลักษณะเสื่อมโทรมอันเห็นได้ชัด คือ อิสลามพื้นเมืองตามชุมชนชนบทรวมทั้งรูปแบบการเทศนาสั่งสอน และพฤติกรรมของชาวบ้านที่ไม่สอดคล้องกับหลักอิสลามในชุมชนมุสลิมของกรุงเทพฯ นักปฏิรูปอิสลามของไทยเห็นว่ารัฐไทยยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการของศาสนาอิสลาม โดยอิสลามพื้นเมืองนั้นเป็นประเด็นที่อยู่ในความเป็นห่วงของนักปฏิรูปอิสลามในไทยอย่างยิ่งยวด เพราะนอกจากว่ามีการปฏิบัติพิธีกรรมเกี่ยวกับลัทธิบูชาวิญญาณพื้นเมืองแล้ว ยังผสมผสานวัฒนธรรมหลักอย่างพุทธ และฮินดูด้วย ยิ่งมุสลิมไทยเป็นแนวร่วมปฏิรูปอิสลามมากขึ้นเท่าใด ก็หมายความว่าความอดทนที่มีต่ออิสลามพื้นเมืองได้ลดลงไปเท่านั้น ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ให้ข้อคิดเห็นว่าการที่อิสลามเสื่อมลงนั้น ก็เพราะความไกลห่างจากดินแดนตะวันออกกลาง อันเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของอิสลาม นักปฏิรูปอิสลามในไทยได้ลงความเห็นว่ายิ่งมุสลิมศึกษาเรียนรู้แก่นแท้ของอิสลามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการหล่อหลอมรวมกันระหว่างวัฒนธรรมหลัก และวัฒนธรรมพื้นเมืองมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งข้อสรุปนี้บ่งชี้เป็นนัยว่าผลของการสร้างความเป็นอิสลามได้ดำเนินไปโดยต่อเนื่อง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันในแต่ละขั้นตอน นั่นคือ มีพัฒนาการทางศาสนาโดยลำดับจากแบบวัฒนธรรมพื้นเมืองไปสู่วัฒนธรรมแบบศาสนาหลัก ทั้งนี้ก็ถูกควบคุมโดยระดับการศึกษาของมุสลิมไทย ที่จะทำให้มองเห็นได้ว่ารูปแบบใดถูกต้องตรงกับหลักการของศาสนาอิสลาม ปัญหาอื่นในมุมมองของนักปฏิรูปอิสลามของไทย ก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับ “taqlid” ซึ่ง “taqlid” ก็คือรูปแบบในการศึกษาที่สร้างขึ้นโดยบรรดามุสลิมทั้งหลายมาชั่วหลายศตวรรษ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยอมรับความเชื่อต่อผู้มีอำนาจโดยปราศจากการโต้แย้งและจุดหมายปลายทาง “taqlid” เป็นแนวทางดั้งเดิมในการแปลอัลกุรอาน และ hadith ซึ่งอ้างเอาไว้เพียงว่ามุสลิมรุ่นก่อน ๆ มีความสามารถในการตีความอิสลาม จุดนี้เองที่นักปฏิรูปเห็นว่าทัศนคติแบบหัวโบราณอย่างนี้ เป็นอุปสรรคต่อความพยายามที่จะพิสูจน์ว่าความคิด และวิธีปฏิบัติแต่ละอย่างถูกหรือไม่ถูกตามหลักอิสลามที่แท้จริง นักปฏิรูปเหล่านี้ยังกล่าวอีกว่า “taqlid” จะต้องรับผิดชอบต่อวิถีปฏิบัติแบบอิสลามพื้นเมือง และพฤติกรรมรูปแบบใหม่ ๆ ของมุสลิมไทย (หน้า 5) นักปฏิรูปอิสลามของไทย เห็นว่าความเชื่อบนพื้นฐานการยอมรับโดยมิได้ไตร่ตรองแหล่งข้อมูล หรือผู้ถ่ายทอด เป็นสิ่งที่ผิด เนื่องจากความเชื่อและการปฏิบัติที่ถูกต้องจะต้องสอดคล้องตามอัลกุรอาน และ hadith เท่านั้น ทั้งนี้ มุสลิมควรกระตือรือร้นที่จะค้นหาความจริงโดยใช้เหตุผล หรือ “akal” อันเป็นกระบวนการที่รู้จักกันในนาม “ijtihad” โดย Ijtihad เกี่ยวข้องกับการค้นพบกฎ และคำสอนศาสนาที่มีอยู่ในอัลกุรอาน และ hadith โดยผ่านการใช้เหตุผล และประยุกต์หลักการต่าง ๆ ให้เข้ากับยุคสมัยของสังคม รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางการเมืองไทย ซึ่งการพิสูจน์ความจริงของศาสนาโดยปฏิเสธ taqlid และยอมรับ ijtihad จะเป็นก้าวแรกที่จะทำให้มุสลิมหลุดพ้นจากความโง่เขลา และพบสัจธรรมของอิสลาม วาฮับ ดิเรก และนักปฏิรูปอิสลามของไทยคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วย หรือสนับสนุนกับความเชื่อและพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับหลักอิสลามของมุสลิมไทย ความเชื่อเรื่องผีของไทย หรือวิญญาณของคนมาเลย์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเลย เพราะพวกเขานับถืออำนาจของสิ่งอื่นนอกเหนือพระเจ้า ดังนั้น จึงต้องมีการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในไทย เพื่อเผยแผ่ความคิดให้เป็นทางเลือกสำหรับมุสลิมผู้ซึ่งเผชิญหน้ากับทั้งหลักศาสนาที่ถูกต้อง และความเชื่อในภูตผีวิญญาณ รวมทั้งพิธีกรรมนอกศาสนา ปัญหาที่นักปฏิรูปอิสลามของไทยเป็นห่วงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การปะทะกันระหว่าง อัลกุรอาน กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งพวกเขาอ้างว่าในแถบตะวันออกกลาง มาเลเซียและอินโดนีเซียนั้น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนาไม่เกิดขึ้น เพราะทั้งสองต่างก็อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและการทำความเข้าใจปรากฏการณ์เหมือนกัน เพียงแต่มีมุมมองที่ต่างกันเท่านั้น ซึ่งนักปฏิรูปอิสลามของไทยก็ได้นำแนวคิดมุมมองแบบวิทยาศาสตร์ไปใช้ เพื่อที่จะขจัดความเชื่อที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างการเชื่อภูตผีวิญญาณ ที่ดูเหมือนไม่สอดคล้องกับหลักของอิสลามเช่นกัน จะเห็นได้ว่า โดยหลักการพื้นฐานแล้วนั้น สาระสำคัญในอัลกุรอานมิได้ขัดแย้งกับแนวคิดวิทยาศาสตร์ และการแพทย์สมัยใหม่เลย และหลายกรณีที่สามารถทำความเข้าใจ อัลกุรอาน และ hadith ได้ด้วยการอธิบายโดยหลักของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ส่วนประเด็นอื่นที่อยู่ในความสนใจของนักปฏิรูปอิสลามของไทย คือ พิธีกรรมและการปฏิบัติทางศาสนาในชุมชนมุสลิมไทย โดยจะเห็นได้จาก ความเชื่อเรื่องเทวดา (hagiolotry) การบูชาวิญญาณ การมีหมอผีพื้นบ้าน และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความตายในชนบทห่างไกล นอกจากนั้น ยังมีข้อปฏิบัติของผู้ที่กลับมาบวชใหม่ หรือ hajji การเซ่นไหว้ทำบุญแบบโบราณ วิธีการกำหนดช่วงการรอมาฎอน ประเภทของนักบวช การนับถือรูปเคารพ และการใช้ภาษาอารบิก เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นักปฏิรูปของไทยหวังที่จะท้าทาย ulama ดั้งเดิม และพยายามเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง เพื่อจัดการกับงานด้านอิสลามในรัฐบาลไทย ซึ่งในเรื่องนี้ พวกเขาเสนอให้พัฒนาโครงสร้างราชการที่เกี่ยวข้องกับงานด้านศาสนาเสียใหม่ อันจะเป็นการสนองตอบต่อความต้องการของประชากรมุสลิมในไทย ปฏิกิริยาของมุสลิมที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ในปี ค.ศ.1935 เริ่มมีการโต้เถียงโจมตีแนวคิดปฏิรูปอิสลามเกิดขึ้น โดยมีการตีพิมพ์หนังสือชื่อเรื่อง “รั้วซุนนี่แห่งสยาม” (Rua sunni siam) ซึ่งเป็นกระแสแนวคิดในแบบซุนนี่ของสยาม เขียนโดย Hajji ต่วน สุวรรณศาสตร์ หรือ ต่วน ยาห์ ยาวี หนังสือเล่มนี้เป็นการแสดงข้อเท็จจริงของการแยกฝักฝ่ายที่เกิดขึ้นในชุมชนมุสลิมของกรุงเทพฯ ซึ่งก็สามารถแบ่งได้เป็น 2 ฝ่ายใหญ่ ๆ ตามแนวคิด และวิธีปฏิบัติของมุสลิม ทั้งนี้ ความแยกแตกที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ได้ลุกลามไปยังจังหวัดอื่นข้างเคียงด้วยทั้งในภาคกลาง ภาคใต้ และภาคเหนือ โดยประเด็นหลักของหนังสือรั้วซุนนี่แห่งสยาม ก็คือ การกล่าวถึง taqlid และการแปลความหลักศาสนาอิสลาม ซึ่ง ulama แนวอนุรักษ์นิยมในกรุงเทพฯ คัดค้านการใช้ ijtihad ในการตีความอัลกุรอาน และ หนังสือเกี่ยวกับอิสลามทั้งหมด มุสลิมกลุ่มนี้อ้างว่าสัจธรรมที่ค้นพบโดย ulama นั้น ไม่มีข้อกังขาใด ๆ และไม่ต้องตรวจสอบอีก เพราะจะทำให้เกิดการตีความไปในทางผิด นอกจากนั้น หนังสือเล่มนี้ยังแสดงว่าความรู้ทางศาสนาที่สร้างขึ้นมา หรือที่เรียกว่า “mujtahids” นั้น สามารถยืนยันความถูกต้องในการตีความข้อความศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารั้วซุนนี่แห่งสยามมิได้กล่าวถึงอามัด วาฮับ หรือ นักปฏิรูปอิสลามคนอื่นโดยตรง แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าข้อโต้แย้งทั้งหลายที่เขียนโดย ต่วน สุวรรณศาสตร์ มุ่งตรงไปที่ขบวนการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลาม (หน้า 6) Ulama แบบดั้งเดิม พยายามปกป้องวิธีปฏิบัติแบบดั้งเดิม ซึ่งนักปฏิรูปอิสลามมองว่าเป็นการปฏิบัตินอกรีต พวก Ulama วิธีปฏิบัติเหล่านี้เป็นเรื่องถูกต้องแล้วสำหรับบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และถูกต้องตามหลักอิสลาม ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมการเซ่นไหว้แบบโบราณ หรือที่ชาวพุทธรู้จักกันดีว่า “การทำบุญ” ก็เป็นจารีตในการสร้างสถาบันที่ดีงามในโลกอิสลามของพวกมาเลเซียน-อินโดนีเซียน ซึ่งมุสลิมเหล่านี้ก็เชื่อว่าประเพณีการทำบุญเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของศาสนาและสังคมของชุมชนมุสลิมของเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้นำอาวุโส หรือ hajji ของชุมชนมุสลิมในไทย จะคัดค้านแนวคิดแบบทันสมัยของฝ่ายนักปฏิรูปอิสลาม ซึ่งพวกเขาก็คัดค้านงานแปลอุลกุรอานของดิเรกเช่นกัน อีกทั้งยังประณามมิให้มุสลิมยึดถืองานแปลดังกล่าว โดย hajji ได้เปรียบเปรยดิเรกว่าเป็นเป็นนักเหตุผลนิยม และเสรีเกินขนาด ผู้ซึ่งไม่ยอมอยู่ในโอวาทของพระเจ้า นั่นคือความหมายโดยนัยที่กล่าวว่า งานแปลของดิเรกนั้นฉีกกรอบเกินไปในการตีความอัลกุรอาน และวิธีการอธิบายข้อความในคัมภีร์ก็อยู่บนฐานคิดสมัยใหม่เสียมากกว่าที่จะยึดถือคำพูดของพระเจ้า ทั้งนี้ Ulama แบบดั้งเดิม มองว่าแนวคิดวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าสงสัย เพราะด้านหนึ่งของความมีเหตุผลก็คือ การยอมรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากตะวันตก ซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องนำไปสู่วัตถุนิยม และตั้งข้อสงสัยต่อศาสนาว่าเมื่อนำวิทยาศาสตร์มาใช้แล้วนั้น จะทำให้มุสลิมเป็นผู้ปลีกตัวเหินห่างจากศาสนา และวัฒนธรรมของตะวันตกจะเป็นผลให้เกิดการผุกร่อนแนวคิดและสถาบันอิสลามในประเทศไทย กลุ่มมุสลิมแบบดั้งเดิมพวกนี้จึงมองว่าวิทยาศาสตร์ กับค่านิยมตะวันตกเป็นสองคนในร่างเดียวกัน (หน้า 6) เนื่องจากขบวนการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลาม และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ตามมา จึงดูเหมือนว่าอิสลามในประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะตามแนวความและวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งในอินโดนีเซีย อิสลามก็มี 2 จำพวก คือ สันตรี (santri) และเอบันกัน (abangan) โดยเป็นการแบ่งแยกกันระหว่างพวกนักปฏิรูปอิสลามในเขตเมือง และพวกมุสลิมแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ สันตรีเป็นมุสลิมที่ได้รับอิทธิพลมาจากแบบแผนของนักปฏิรูปฯในตะวันออกกลาง ขณะที่เอบันกัน คือพวกชาวชวาที่ยึดถือการผสมผสานกันระหว่างแบบแผนก่อนอิสลาม กับอิสลาม ส่วนวรรณกรรมของมุสลิมไทยก็ได้มีงานของ Burr ที่ศึกษาหมู่บ้าน Muuthiinyng อันมีพื้นที่ใกล้กับสงขลา โดยนักปฏิรูปอิสลามในเมืองที่มีการศึกษาดีจะถูกเรียกว่า “วาฮาบิส” (Wahhabis) ในการแบ่งประเภทเชิงสังคม-ศาสนาจะใช้วิธีเดียวกันกับกรุงเทพฯ กล่าวคือ สำหรับพวกหัวอนุรักษ์จะถูกเรียกว่า “พวกเก่า” ซึ่งงานของสุนทรเภสัชที่ศึกษามุสลิมชาวเชียงใหม่ ระบุว่านักปฏิรูปอิสลามเรียกฝ่ายตรงข้ามกับพวกเก่าว่า “พวกใหม่” (หน้า 7) แต่ในกรุงเทพฯ จะใช้คำที่เรียกทั้งพวกมุสลิมหัวอนุรักษ์ และพวกนักปฏิรูปว่า คณะเก่า และคณะใหม่ ซึ่งคณะเก่า-คณะใหม่ เป็นคำที่ใช้แทนพวกหัวอนุรักษ์ที่ไม่ยึดถือตามแบบแผนคำสอน กับพวกนักปฏิรูปอิสลามที่ยึดตามคำสอน ในชุมชนมุสลิมของไทย อย่างไรก็ตาม การแบ่งมุสลิมเป็น 2 ประเภทดังกล่านี้ ก็ไม่สามารถนำไปใช้กับสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากการประเมินค่าในประเด็นศาสนาและวัฒนธรรมของอิสลามในไทย และถึงแม้ว่ารูปแบบแนวความคิดแต่ละอย่างมีรากฐานจากข้อมูลเชิงประจักษ์ในไทย แต่มุสลิมไทยส่วนใหญ่แล้ว (หน้า 7) ก็ไม่ได้ใช้กรอบแนวคิดหนึ่งใดเป็นหลักตายตัวในการแบ่งประเภทมุสลิม นอกจากนั้น มุสลิมส่วนมากในกรุงเทพฯ ก็ได้รับอิทธิพลของทั้งคณะเก่า และคณะใหม่ ดังนั้น ตำแหน่งแห่งที่แบบสุดขั้วพวกใดพวกหนึ่งจึงเป็นเพียงแนวโน้มเท่านั้น และเป็นการแสดงถึงประเภทข้อมูลที่ได้รับจากผู้ให้ข้อมูลซึ่งความเชื่อ และวิธีปฏิบัติของพวกเขาอาจผันแปรไปตามสมัยนิยม (หน้า 7) ทั้งนี้ ปัญหาที่สืบเนื่องมาจากการประยุกต์ใช้แนวคิดอย่างแข็งทื่อในการแบ่งประเภทมุสลิมเป็นพวกที่ไม่ยึดถือตามแบบแผนคำสอน กับพวกนักปฏิรูปอิสลามที่ยึดตามคำสอน ก็คือ สมมติฐานทั่วไปที่นักมานุษยวิทยากำหนดว่า ประเภทมุสลิมดังกล่าวสามารถสังเกตได้จากพื้นที่เชิงภูมิศาสตร์ เช่น ชนบทกับเขตเมือง โดยไอเดียนี้มาจากกรอบแนวคิดพื้นบ้าน-พื้นเมือง(folk-urban) ของ Redfield ซึ่งกล่าวว่าจำนวนมุสลิมที่มีอยู่ประกอบไปด้วยมุสลิมพื้นบ้านชนบท(วัฒนธรรมย่อย) กับมุสลิมวัฒนธรรมหลักในเขตเมือง ซึ่งการนับถือศาสนาในเขตเมืองจะผูกพันใกล้ชิดอยู่กับแบบแผนตามคำสอนแท้ ๆ ขณะที่วัฒนธรรมย่อยเขตชนบทมีแนวโน้มที่จะดัดแปลงปรุงแต่งขึ้นใหม่ สำหรับในกรุงเทพฯ พื้นที่ที่มีความเป็นเมืองมาก ๆ คุณลักษณะของอิสลามคือผลลัพธ์ของความสัมพันธ์เชิงวิพากษ์ทางแนวคิดและวิธีปฏิบัติระหว่างมุสลิมแบบดั้งเดิม กับนักปฏิรูปอิสลาม อย่างไรก็ตาม เครื่องมือในการวิเคราะห์ระบบศาสนาเหล่านี้ไม่ควรที่จะสร้างความสับสนทางศาสนาในระดับรากหญ้า ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างคณะเก่ากับคณะใหม่ ก่อให้เกิดผลทั้งในทางตรง ทางอ้อม รวดเร็ว และละเอียดอ่อน ต่อการผันแปรรูปแบบ และเนื้อหาสาระของอิสลามในประเทศไทย แต่จากความอุตสาหะของคณะใหม่ และการวิพากษ์วิจารณ์ของนักปฏิรูปอิสลามนี้เอง จึงทำให้มุสลิมไทยจำนวนมากเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักการและ ข้อปฏิบัติของนิกายซุนนี่ ซึ่งก็โดยการที่นักปฏิบัติอิสลามจัดให้มีการเทศนาในทุกวันศุกร์ด้วยภาษาพื้นเมือง แทนภาษาอารบิกอันเป็นภาษาต่างประเทศสำหรับคนไทย นอกจากนั้น ยังเป็นผลจากความพยายามในการแปลอัลกุรอาน และการผลิตความรู้ของดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ด้วย ถึงแม้ว่าคณะเก่าจะต่อต้านงานแปลดังกล่าว แต่มันก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย(ยกเว้นจังหวัดที่พูดภาษามาเลย์) ขณะที่ความสำเร็จอย่างอื่นของนักปฏิรูปอิสลามก็คือ การทำลายความเชื่อ และวิธีปฏิบัติพื้นบ้านที่ไม่เหมาะสมบางอย่างได้ ดังนั้น นักปฏิรูปอิสลามในเขตเมืองจึงเป็นตัวกลางทางวัฒนธรรม ผู้ซึ่งพยายามปรับปรุงข้อปฏิบัติพื้นฐานของอิสลามในประเทศไทยด้วยแนวทางสังคม-เศรษฐกิจสมัยใหม่ นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาสาระอีกหลายเรื่องที่คณะเก่า กับคณะใหม่ไม่สามารถลงรอยกันได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว โดยถึงแม้ว่าคณะเก่าจะวางจุดยืนของตัวเองบางอย่างให้ดูทันสมัยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการก่อตั้งกรุงเทพฯ แต่พวกเขาก็ยังยึดติดอยู่กับความเชื่อและวิธีปฏิบัติที่นักปฏิรูปอิสลามมองว่าเป็นวิถีนอกรีต ประเพณีเกี่ยวกับความตาย การทำบุญ การใช้รูปเคารพ และประเภทของนักบวช ก็ยังเป็นสิ่งที่มุสลิมหัวโบราณ หรือมุสลิมแบบดั้งเดิมกระทำกันอยู่ในกรุงเทพฯ และในประเทศไทย แม้ว่าวิธีปฏิบัติเหล่านี้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันของความเติบโตของขบวนการเคลื่อนไหวปฏิรูปอิสลามในไทยก็ตาม (หน้า 8)) อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงอย่างแยบยลเป็นลำดับเกี่ยวกับความเชื่อ และวิธีปฏิบัติดังกล่าว ก็ได้รักษาศาสนาอิสลามในประเทศไทยไว้ท่ามกลางระยะเปลี่ยนผ่าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว แนวคิดแบบหัวโบราณนั้น ไม่สามารถคงอยู่ต่อไปได้ในสังคมสมัยใหม่อย่างประเทศไทย เพราะวิธีปฏิบัติ หรือพิธีกรรมที่งมงายจะเป็นสิ่งที่มุสลิมไม่ได้เห็นดีด้วยอีกต่อไป ทั้งนี้เนื่องจากการมีพัฒนาการทางด้านการศึกษาสมัยใหม่ แนวโน้มของสังคม และศาสนาในศตวรรษที่ 20 ในกรุงเทพฯ ประเด็นความแตกต่างหลัก ๆ ระหว่าง ulama หัวโบราณของคณะเก่า กับนักปฏิรูปอิสลามของคณะใหม่ก็คือ การที่พวกแรกนั้นได้รับการศึกษาผ่านโรงเรียนศาสนาแบบเก่า ขณะที่พวกหลังได้รับอิทธิพลจากภายนอก โดยโรงเรียนศาสนาแบบเก่าได้ทำการผลิตผู้นำทั้งในชนบทและเมือง ซึ่งผู้นำเหล่านี้ผูกขาดตำแหน่งทางราชการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านศาสนาอิสลาม จากการมีรากฐานขององค์กรดังกล่าวนี้เอง ทำให้ ulama หัวโบราณมีอิทธิพลต่อรูปแบบของอิสลามในไทย โครงสร้างอำนาจเชิงสถาบันดังกล่าว จึงส่งผลให้มีสาวกในแนวคิดนี้อยู่มาก ขณะที่นักปฏิรูปอิสลามเน้นไปในเชิงที่ไม่ใช่สถาบัน หรือองค์กรที่ไม่เป็นทางการ โดยอาศัยมุสลิมชนชั้นกลางที่มีการศึกษา ซึ่งการทำงานกับคนจำนวนน้อยอย่างนี้ส่งผลได้ไม่มากต่อประชากรมุสลิมกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบท (หน้า 9) หากสมมติว่าประเทศไทยเป็นชาติที่กำลังพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมเหมือนเช่นในอดีต โดยประชาชนที่เพิ่มขึ้นก็จะมีการศึกษา และรู้หนังสือมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็รวมทั้งมุสลิมไทยด้วย ที่จะคุ้นชินกับนวัตกรรมทางความคิดแบบสมัยใหม่มากขึ้น พวกเขาเหล่านี้จะเคยชินกับความคิดปฏิรูปอิสลามในไทยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เยาวชนบางคนก็จะมีโอกาสไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเช่นใน อัล-อัซชาร์ (Al-Azhar) หรือมหาวิทยาลัยในประเทศอื่น ๆ ของตะวันออกกลาง เมื่อสถานการณ์กำลังจะเป็นเช่นนี้ ความรุ่งเรืองของอิสลาม (Islamic renaissance) ก็จะเกิดขึ้น และเป็นบ่อเกิดของรูปแบบ และเนื้อหาสาระของความคิด/ พิธีกรรมมุสลิมในประเทศไทย |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ประวัติของดิเรก ดิเรกเกิดในปี ค ศ.1923 ที่บ้านครัว กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมุสลิมจาม (Cham) พ่อของเขาเป็นชาวปากีสถานอพยพ ส่วนแม่เป็นคนไทย แม้ว่าเขาพูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ แต่พ่อของเขาก็สอนเขาเกี่ยวกับภาษาอูรดู (ภาษาปากีสถานที่มีที่มาจากตระกูลเปอร์เซียน-อาระบิก) ซึ่งการฝึกษาภาษาเบบนี้หาได้ยากสำหรับมุสลิมชาวปากีสถานในประเทศไทย แต่ความคุ้นเคยกับภาษาอูรดูนี้เองที่ทำให้ดิเรกเข้าสู่วงการการศึกษา และกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างความรู้ เขาทำธุรกิจในกรุงเทพฯ ตลอดเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และทศวรรษที่ 1950 ต่อมาในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เขาประสบความสำเร็จกับธุรกิจ silk-screen printing ซึ่งปัจจุบันทำการอยู่แถวย่านเจริญผล กรุงเทพฯ พ่อของดิเรกคุ้นเคยดีกับวาฮับ แต่ไม่สู้ได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปอิสลามมาเท่าใดนัก (หน้า 3) |
|
|