|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยพุทธ,ไทยมุสลิม,วิถีชีวิต,ความร่วมมือ,อุดมการณ์,พังงา |
Author |
อเนก สนามชัย |
Title |
ศาสนากับการพัฒนา : ศึกษาวิเคราะห์ความร่วมมือระหว่างชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมในการพัฒนาหมู่บ้านนาใต้ ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร |
Total Pages |
121 |
Year |
2530 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงการแผ่นดินแผ่นดินทอง ในแง่การอาศัยศาสนาให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาหมู่บ้านที่มีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกัน และความร่วมมือระหว่างกลุ่มชาวไทยทั้งสอง จากการศึกษาพบว่าโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองมีหลักการบางส่วนเทียบได้กับการพัฒนาแบบแซมมวลอุนดงของเกาหลีใต้ มีการนำหลักการดังกล่าวมาประยุกต์สังคมไทย โดยรื้อฟื้นศาสนาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒธรรมที่มีมาในอดีตมาใช้ในการพัฒนา เมื่อรัฐบาลเข้ามากำหนดแนวคิดนี้เป็นอุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง และได้ส่งเสริมอุดมการณ์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างกว้างขวาง หมู่บ้านนาใต้เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ราชการตั้งให้เป็นหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เนื่องจากมีสภาพสังคมเป็นไปตามเป้าหมาย ชาวบ้านไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมมีความยึดมั่นในศีลธรรม รักความสงบ และร่วมมือกันตอบสนองโครงการพัฒนาต่างๆ ของทางราชการเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นว่าศาสนามีส่วนสำคัญที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันและพัฒนาชุมชนด้วยกัน (หน้า ก-ข) |
|
Focus |
วิถีชีวิตและความร่วมมือในการพัฒนาหมู่บ้านของชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม โดยการใช้แนวคิดพื้นฐานสำคัญของโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองในการเอาศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่มีมาแต่อดีตมาเป็นปัจจัยในการพัฒนา ในหมู่บ้านนาใต้ ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา (หน้า ก-ข, 72) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษา ชาวไทยพุทธ คือชาวบ้านผู้นับถือศาสนาพุทธ และชาวไทยมุสลิม คือชาวบ้านผู้นับถือศาสนาอิสลาม |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวบ้านนาใต้ทั้งหมดพูดภาษาไทย เป็นภาษาท้องถิ่นภาคใต้ (หน้า 54) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามเป็นช่วงเวลา 3 ช่วง 1) สิงหาคม-ตุลาคม 2529 สำรวจลักษณะหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองในจังหวัดราชบุรี นครสวรรค์ สิงห์บุรี ระนอง 2) ปลายเดือนตุลาคม 2529 สำรวจและศึกษาสภาพทั่วไปของหมู่บ้านนาใต้ 3) ปลายเดือนมกราคม 2530 สำรวจและสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูลในหมู่บ้านนาใต้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ (หน้า 73) |
|
History of the Group and Community |
บ้านนาใต้เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ สันนิษฐานว่าเนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่ทางตอนล่างของตำบล ลำคลองทุกสายในตำบลจะไหลมารวมกันที่หมู่บ้าน และไหลลงทะเล และในสมัยก่อนราษฎรในตำบลนี้มีอาชีพทำนาเป็นหลัก และมีทุ่งนาอยู่ตอนล่างสุดของตำบล ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านนาใต้” (หน้า 48-50) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเรือนส่วนใหญ่ปลูกสร้างตามแนวถนน ส่วนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามสวนยาง ลักษณะบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว วัสดุที่ใช้มีทั้งสังกะสี ก่อปูนและไม้ไผ่ ส่วนหนึ่งเป็นบ้านเก่าแก่ ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง เป็นไม้ทั้งหลัง บริเวณบ้านส่วนใหญ่มีแบบแผน มีไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก ไม้ประดับและพืชส่วนครัว และนิยมเลี้ยงสัตว์ไว้บริเวณนอกบ้าน (หน้า 49) |
|
Demography |
บ้านนาใต้มีจำนวน 72 หลังคาเรือน 84 ครอบครัว จำนวนสมาชิกในครอบครัวโดยเฉลี่ย 3 คน จำนวนราษฎรที่อาศัยอยู่จริง 471 คน (หน้า 49-50) |
|
Economy |
อาชีพหลักของชาวนาใต้ส่วนใหญ่ คือ การทำสวนยาง ชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันขายยางเพื่อป้องกันการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าจะเข้ามารับซื้อในหมู่บ้านเดือนละ 3 ครั้ง ชาวบ้านมีอาชีพเสริมคือการทำสวนผลไม้ สวนผัก และอื่นๆ และส่วนใหญ่ชาวบ้านมักจะประกอบอาชีพมากกว่า 1 อาชีพ ส่วนการทำนาทำเพียงปีละครั้ง และส่วนมากเก็บผลผลิตไว้เพื่อการบริโภคในครัวเรือน (หน้า 51-52,70) เนื่องจากมีโครงการต่างๆ เข้ามาในหมู่บ้านมากมาย บ้านนาใต้จึงได้รับการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ และการนำระบบสหกรณ์มาจัดตั้งกองทุนพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า 70) ชาวบ้านจึงมีรายได้ต่อคนต่อเดือนสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาความเจริญทางวัตถุของหมู่บ้านนาใต้ มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย ชาวบ้านมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับความสะดวกสบายและความบันเทิงจากเครื่องใช้ไฟฟ้า และเกิดพฤติกรรมเลียนแบบเนื่องจากมีระบบเงินผ่อนช่วยอยู่ (หน้า 66) |
|
Social Organization |
หมู่บ้านนาใต้เดิมเป็นสังคมเล็กๆ มีทั้งชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่แรก ทั้งสองกลุ่มจึงมีความสนิมสนมกลมเกลียวเป็นอย่างดี ภายหลังมีบ้านเรือนและประชากรมากขึ้นจากการขยายตัวของลูกหลานและญาติพี่น้องที่แยกออกไป ชาวบ้านนาใต้จึงมีความเกี่ยวพันทางญาติกันทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ทางด้านกลุ่มต่างศาสนาก็มีความสัมพันธ์ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ คือมีความเป็นเพื่อนตั้งแต่ระดับหัวหน้าครอบครัว แม่บ้านและลูกๆ จนถึงลูกหลานปัจจุบัน บ้านาใต้มีสองตระกูลใหญ่ๆ คือ ตระกูล”เกยทอง” ของชาวไทยมุสลิมและ ตระกูล”วังเมือง” ของชาวไทยพุทธ (หน้า 56,67) ปัจจุบันลักษณะของครอบครัวชาวบ้านมีทั้งแบบครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย อำนาจในครอบครัวส่วนใหญ่มักเป็นของชาย (หน้า 49-50) นอกจากนี้การที่ชุมชนมีโครงการพัฒนามากมายจึงทำให้มีการจัดตั้งกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มอาชีพ ซึ่งประกอบด้วยชาวไทยทั้งสองกลุ่มศาสนา ทำให้ทั้งสองกลุ่มมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกันเป็นอย่างดี (หน้า 69) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านนาใต้มีการจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ประกอบด้วย ประธาน (หรือผู้ใหญ่บ้านโดยตำแหน่ง) รองประธาน (หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) เลขานุการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากการเลือกตั้ง กรรมการเหล่านี้มีทั้งชาวไทยและชาวมุสลิม แม้กระทั่งในการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านก็มีนโยบายผลัดเปลี่ยนผู้นำระหว่างชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ปัจจุบันนี้มีผู้ใหญ่บ้านเป็นชาวไทยพุทธ ก็จะมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นชาวไทยมุสลิมด้วย หมู่บ้านนาใต้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการแบ่งแยกศาสนา และทั้งสองกลุ่มนี้ก็มีส่วนร่วมกันปกครองและพัฒนาหมู่บ้านด้วยกัน (หน้า 65) |
|
Belief System |
บ้านนาใต้มีผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 51 (39 ครัวเรือน 240 คน) นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 49 (37 ครัวเรือน 320 คน) ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยทั่วไปชาวไทยพุทธที่บ้านนาใต้ปฏิบัติศาสนากิจคล้ายๆกับชาวพุทธทั่วไป คือมีความผูกพันกับศาสนาตั้งแต่เกิดจนตาย ประเพณีที่สำคัญๆ ได้แก่ การแต่งงาน การอุปสมบท และงานศพ แต่เนื่องจากไม่มีวัดในหมู่บ้านชาวบ้านจึงต้องเดินทางไปวัดที่หมู่บ้านใกล้เคียง จึงดูเหมือนชาวไทยพุทธนาใต้จะเหินห่างกับพระแบะวัดไปบ้าง เช่น ไม่มีพระเข้ามาบิณฑบาตในหมู่บ้านตอนเช้ายกเว้นช่วงเข้าพรรษา ส่วนชาวบ้านเองส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานแต่เช้าจึงไม่สะดวกในการทำบุญตักรบาตร (หน้า 59) ส่วนการปฏิบัติศาสนากิจของชาวไทยมุสลิมนั้นดูเหมือนจะเคร่งครัดกว่า ชาวไทยมุสลิมนั้นมีชีวิตผูกพันกับศาสนาอิสลามทั้งกายและจิตใจ การปฏิบัติศาสนกิจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นอกจากพิธีสำคัญๆ อย่างงานศพหรือพิธีสุหนัตแล้ว ชาวไทยมุสลิมยังทำละหมาดเป็นประจำทุกวัน ส่วนเรื่องอบายมุข อย่างการดื่มเหล้าและเล่นการพนันนั้นชาวไทยมุสลิมถือเป็นข้อห้ามปฏิบัติอย่างเคร่งครัด (หน้า 57-58) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านนาใต้ไม่มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ได้รับการศึกษาภาคบังคับจากโรงเรียนบ้านดอนที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร เด็กๆ ได้รับการศึกษาภาคบังคับและสูงขึ้นไปตามความสามารถ ส่วนเยาวชนมุสลิมก็สามารถเรียนต่อในโรงเรียนศาสนาตามความต้องการได้ อีกทั้งยังมีการจัดตั้งที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านและหอกระจายข่าว และในบางครั้งก็มีเจ้าหน้าที่จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนมาอบรมให้ความรู้ด้านอาชีพให้กับชาวบ้าน (หน้า 64-65) |
|
Health and Medicine |
บ้านนาใต้เป็นหมู่บ้านพึ่งตนเองทางธารณสุขมูลฐาน และมีผลงานด้านสาธารณสุมูลฐานต่างๆ เช่น งานสุขศึกษา งานโภชนาการ การควบคุมโรคติดต่อ งานอนามับแม่และเด็ก และกองทุนยา เมื่อชาวบ้านเจ็บป่วยก็จะไปรับการรักษาที่กองทุนในหมู่บ้าน หากมีอาการรุนแรงก็จะนำส่งสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล (หน้า 62-64) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในหมู่บ้านนาใต้มีความสนิทสนม มีการร่วมมือร่วมใจในโครงการพัฒนาต่างๆ เป็นอย่างดี ปัจจัยในความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองกลุ่มชนมีดังนี้ 1) ลักษณะพื้นฐานของชุมชนซึ่งแต่เดิมเป็นสังคมเล็กๆ เมื่อสังคมขยายตัวกลุ่มชนก็ยังคงมีความเกี่ยวพันสนิทสนมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ 2) ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพราะสภาพชุมชนที่ห่างไกลเครื่องมืออุปโภคบริโภค ต้องมีการช่วยเหลือในการจัดซื้อสิ่งของดังกล่าว รวมทั้งอาศัยพาหนะซึ่งและกัน 3) การใช้ภาษาเดียวกันในการสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์และไม่มีความหวาดระแวงแครงใจกัน 4) การใช้บริการสาธารณะร่วมกัน (หน้า 67-68) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผลจากการพัฒนาหมู่บ้าน ทำให้ชุมชนบ้านนาใต้ที่จากเดิมเป็นหมู่บ้านด้อยพัฒนากลายเป็นหมู่บ้านพัฒนาตัวอย่าง และเป็นหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองแห่งแรกของจังหวัดพังงา หมู่บ้านนาใต้ได้รับรางวัลดีเด่นหลายรางวัล ด้านเศรษฐกิจก็พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ แต่หากพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วกสารพัฒนานี้เป็นเพียงความเจริญทางวัตถุเท่านั้น ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากการพัฒนาจิตใจตามหลักอุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ผู้เขียนจึงสิเคราะห์ว่าในระยะยาวหมู่บ้านนาใต้อาจกลายเป็นหมู่บ้านทรุดโทรมหลังการประกวดหมู่บ้านพัฒนา เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับหลายๆ หมู่บ้านในประเทศไทย นอกจากนี้ผู้เขียนพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากที่เคยอยู่แบบเรียบง่ายเนื่องจากความเจริญทางวัตถุที่เข้ามา ชาวบ้านเริ่มซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างที่เกินความจำเป็นและเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย และได้มีร้านค้าเกิดขึ้นใหม่ที่จำหน่ายสุรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการของโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง สิ่งนี้เป็นข้อสังเกตที่ผู้เขียนได้เน้นว่า มีชาวไทยพุทธบางกลุ่มที่ยังหมกมุ่นกับอบายมุขเหล่านี้ เพราะเจ้าหน้าที่ยังขาดความเข้าใจในนโยบายของโครงการฯ จึงไม่มีการดำเนินอย่างจริงจังที่จะขจัดปัญหาอบายมุขให้หมดไป (หน้า 56, 74-77) |
|
Other Issues |
ความเป็นมาของโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองนั้นเริ่มมาจากคณะข้าราชการของไทยได้ไปศึกษาดูงานที่ประเทศเกาหลีใต้ เรื่องการพัฒนาหมู่บ้านแซมาอึลดอง (หมู่บ้านชุมชนชีวิตใหม่) ที่มีหลักการสำคัญคือ ขยันขันแข็ง พึ่งพาตนเอง และร่วมมือร่วมใจ รัฐบาลเกาหลีได้นำหลักการนี้ไปเป็นโครงการอบรมแก่ประชาชนทั้งประเทศ โดยกำหนดเป็น 2 ขั้นตอน คือ ดำเนินการเพื่อพัฒนาจิตใจ (พ.ศ. 2514-2516) และพัฒนาเศรษฐกิจ (พ.ศ. 2517-2519) ผลจากการพัฒนาทำให้ประชาชนลดอบายมุขกลับมาสู่แนวทางการพัฒนา และประเทศก็ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นทั้งด้าน เศรษฐกิจและสังคม โดยในขณะนั้นเกาหลีใต้ก้าวหน้าไปกว่าประเทศถึง 10 ปี นายปชา ลาภานันท์หนึ่งในคณะผู้ไปศึกษางานได้กลับมาเสนอแนวคิดตามหลักการดังกล่าว โดยนำหลักพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการฝึกอบรมเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและปัญหาอื่นๆ และได้รับความสนใจจากกลุ่มอาจารย์วิทยาลัยครูอุบลราชธานี จึงนำไปสู่การพัฒนาหมู่บ้านดงบังอำนาจเจริญเป็นผลสำเร็จ ชาวบ้านสามารถลดอบายมุขและพึ่งพาตนเองได้ ต่อมา พ.ศ. 2514 นายปชาได้ริเริ่มโครงการหมู่บ้านในฝันที่จังหวัดเลย ทำให้กว่า 50 หมู่บ้านในจังหวัดเลยพัฒนาขึ้น 5 ด้าน คือเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข และการปกครอง โดยเน้นหลักการพัฒนาจิตใจและหลักธรรมของพุทธศาสนา ต่อมาปี 2526 โครงการหมู่บ้านในฝันได้กลายเป็น “โครงการแผ่นดินทอง” เนื่องจากการก่อตั้งโครงการแผ่นดินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ และในปี 2526 หมู่บ้านในโครงการได้กลายมาเป็น “หมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง” บ่งบอกถึงความเจริญทั้งด้านเศรษฐกิจและจิตใจ เนื่องจากความสำเร็จในการพัฒนาหมู่บ้านในจังหวัดเลย จึงเกิดการผลักดันให้โครงการฯ อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล ในการดำเนินงานของคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติและได้ถูกกำหนดเป็นอุดมการณ์แห่งชาติ ตามแนวแห่งพระปฐมบรมราชปณิธานแห่งองค์พระมหากษัตริย์ และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและประสานการเผยแพร่อุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นทอง ความหมายของ “แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง” นั้นยังเป็นเพียงอุดมการณ์ตามมติของคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ชื่อเต็มของโครงการจึงควรเป็น “โครงการเผยแพร่อุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง” ในขั้นแรกนั้นต้องเผยแพร่อุดมการณ์ฯ ให้ฝ่ายราชการและภาคเอกชนทั่วไปยอมรับก่อน และให้หมู่บ้านและชุมชนปรับการพัฒนาที่ดำเนินการอยู่แล้วให้มีคุณสมบัติตามหลักของอุดมการณ์ฯ เมื่อการพัฒนาเป็นไปตามหลักการนี้แล้วก็จะเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาตามหลักโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นทอง ลักษณะของอุดมการณ์ฯ ก็คือ ช่วยให้ประชาชนส่วนใหญ่มีคุณธรรมเป็นหลักในการดำรงชีวิต ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดและช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าและประชาชนมีปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตและเพิ่มพูนรายได้ของบุคคลและเศรษฐกิจของประเทศ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ สาระสำคัญและขอบเขตในการดำเนินงานของโครงการคือการพัฒนาในทุกระดับทั้งการพัฒนาคน พัฒนาชุมชนและพัฒนาสังคม โครงการฯ จึงมีเป้าหมายการพัฒนาครอบคลุมทั่วประเทศและจะต้องดำเนินการไปเรื่อยๆ และเนื่องจากโครงการฯไม่ใช่โครงการที่ตั้งขึ้นมาใหม่แต่เป็นอุดมการณ์ของชาติร่วมกันจึงไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของโครงการพัฒนาต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ โดยให้โครงการเหล่านั้นดำเนินไปตามปกติและกำหนดทิศทางสู่อุดมการณ์ฯ ร่วมกัน หากยังมีส่วนที่ไม่เป็นไม่ตามลักษณะของอุดมการณ์ก็พัฒนาส่วนนั้น และเมื่อมีพื้นที่พัฒนาใดมีคุณสมบัติของอุดมการณ์ฯ ครบถ้วนแล้วก็ดำรงและส่งเสริมให้มั่นคงยิ่งขึ้น (หน้า 17-35) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนใช้แผนที่แสดงที่ตั้ง ลักษณะที่อยู่อาศัยของชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิมและพื้นที่สาธารณะและใช้ตารางและแผนภูมิแสดงข้อมูลพื้นฐานของชุมชน เช่น จำนวนประชากร อาชีพ ข้อมูลรายได้ และโครงสร้างการพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า 36, 42-45, 49-53, 63) |
|
|