สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์,การสร้างประวัติศาสตร์,พิธีกรรมความเชื่อ,จีน
Author Ma Jianxiong
Title Reconstructing Lahu History in China
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดมานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 14 Year 2551
Source Challenging the Limits: Indigenous Peoples of the Mekong Region. By Prasit Leeprecha, Don McCaskill, and Kwanchewan Buodaeng. Chiang Mai, Thailand: Mekong Press.
Abstract

บทความนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ล่าหู่ที่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการโลกาภิวัฒน์และการเมืองท้องถิ่นช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1980 ซึ่งมีคนเกี่ยวข้องอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นนักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ใหม่จากมุมมองศูนย์กลางอำนาจฮั่น(the perspective of Han centralism) กลุ่มที่สอง เป็นปัญญาชนล่าหู่ในท้องถิ่นที่มุ่งหมายสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ใหม่เพื่อความต้องการของพวกเขาเอง และกลุ่มที่สาม เป็นคนล่าหู่ทั่วไปที่ตีความตำนานตามสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ผู้เขียนสรุปว่า การสร้างประวัติศาสตร์ที่เป็นทางการโดยปัญญาชนล่าหู่มีปัจจัยที่มีอิทธิพลครอบงำ คือ ความจำเป็นทางการเมืองที่จะต้องยืนยันอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ใน คริสตทศวรรษ 1990 ความจำเป็นที่จะต้องสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ตามมาตรฐาน และความคิดเห็นทางวิชาการกับวิธีการวิจัยที่นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์และปัญญาชนท้องถิ่นใช้ ประวัติศาสตร์ของล่าหู่ที่สร้างขึ้นใหม่จึงแตกต่างจากประวัติศาสตร์ที่ ”คนในกลุ่มอื่น” – ซึ่งก็คือชาวบ้าน - เข้าใจและตีความ เมื่อตำนานเชิงพิธีกรรมถูกนำมาใช้สร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ แม้จะโดยนักวิชาการปัญญาชนท้องถิ่นเอง การผลิต/สร้างนั้นก็อาจจะถูกมองได้ว่าเป็นการสร้างตำนานใหม่มากกว่าการสร้างประวัติศาสตร์ (หน้า 288)

Focus

ผู้เขียนกล่าวว่ามีกลุ่มคน 3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการผลิตประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ล่าหู่ กลุ่มแรก เป็นนักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ใหม่จากมุมมองศูนย์กลางอำนาจฮั่น กลุ่มที่สอง เป็นปัญญาชนล่าหู่ในท้องถิ่นที่มุ่งหมายสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ใหม่เพื่อความต้องการของพวกเขาเอง และกลุ่มที่สาม เป็นคนล่าหู่ทั่วไปที่ตีความตำนานตามสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน(หน้า 276) แต่เนื้อหาที่นำเสนอเกี่ยวข้องกับการตีความตำนานพิธีกรรมและการเขียนประวัติศาสตร์ของปัญญาชนล่าหู่เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเขียนประวัติศาสตร์ที่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการโลกาภิวัฒน์ และการเมืองท้องถิ่นช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1980 (หน้า 281)

Theoretical Issues

ผู้เขียนได้ไม่แสดงแนวคิดชัดเจน แต่ก็เสนอแนวทางในการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ล่าหู่ว่า นักวิชาการต้องทบทวนว่าล่าหู่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอิสระทางวัฒนธรรมหรือมีวัฒนธรรมของตนเองเมื่อใด และพิจารณาว่ากลุ่มถูกจำแนกโดยพื้นฐานอัตลักษณ์ร่วมหรือลักษณะทางวัฒนธรรมที่เหมือนกัน มิเช่นนั้นแล้วประวัติศาสตร์ของล่าหู่อาจจะถูกมองเป็นเพียงแค่การรวบรวมข้อสมมติฐานเท่านั้น นอกจากนั้น ความคิดการเสนอแนะของนักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์บางคนได้กลายมาเป็นพื้นฐานทางทฤษฎีสำหรับปัญญาชนท้องถิ่นล่าหู่ในการจินตนาการและสร้างประวัติศาสตร์ของตนต่างจากคนล่าหู่ทั่วไป ซึ่งการกระทำนี้เป็นผลของกระบวนการโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสตทศวรรษ 1980 (หน้า 276-277) ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า ความเข้าใจประวัติศาสตร์ตนเองของคนล่าหู่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความคิดจักรวาลวิทยา พวกเขาไม่ได้สร้างความแตกต่างระหว่างตำนานกับประวัติศาสตร์ให้ชัดเจน แต่เนื่องจากความจำเป็นทางการเมืองในปัจจุบัน ภายใต้ผลกระทบของกระบวนการโลกาภิวัตน์ในจีนทางตะวันตกเฉียงใต้สมัยยุคหลังการปฏิรูป นักวิชาการที่เป็นล่าหู่บางคนได้ตีความ “อดีตของคนล่าหู่”(‘the past of the Lahu) เพื่อยืนยันอัตลักษณ์ของตน และแม้ว่านักวิชาการเหล่านี้จะเป็นคนล่าหู่ หากความเข้าใจประวัติศาสตร์ตนเองของพวกเขาก็แตกต่างจากล่าหู่ชาวบ้านทั่วไปที่ตีความตำนานตามชีวิตประจำวัน (หน้า 275-276) ในการเขียนประวัติศาสตร์ล่าหู่ กลุ่มปัญญาชนล่าหู่ในท้องถิ่นจากเขตลานจาง (Lancang County) ได้ศึกษาร่องรอยเส้นทางการอพยพของล่าหู่จากตำนานโดยแปลชื่อสถานที่ในตำนานล่าหู่เป็นภาษาจีน แล้วนำชื่อสถานที่นี้ไปจับคู่กับสถานที่ที่ปรากฏในแผนที่แล้วเดินทางไปดูพื้นที่จริง จากนั้นจึงเขียนประวัติศาสตร์การอพยพของล่าหู่จากชิงไห่มายูนนาน ทั้งนี้เนื่องจากในพิธีกรรมมีการกล่าวถึงชื่อของสถานที่บางแห่ง ซึ่งกลุ่มนักวิจัยเห็นว่าสถานที่เหล่านี้ต้องเป็นที่ที่บรรพบุรุษล่าหู่ตั้งถิ่นฐานก่อนเคลื่อนย้ายลงมายูนนานตอนกลาง กระนั้นก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าวิธีการวิจัยนี้ยังมีข้อบกพร่องเพราะไม่ได้คำนึงความหมายที่เป็นบริบททางวัฒนธรรมฮั่นและบริบททางวัฒนธรรมของสถานที่เหล่านี้ในตำนานล่าหู่ (หน้า 280-281) ผู้เขียนเห็นว่า นักวิจัยจะต้องเข้าใจประวัติความเป็นมาของตำนานที่พิเศษเฉพาะ (a particular myth) หรือตัวเรื่องของเทววิทยา (body of mythology) ขณะที่ระบบของตำนานเชิงพิธีกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์ความรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น ควรจะถูกตีความตามความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล ชีวิตและโลกเหนือธรรมชาติของคนท้องถิ่นเอง แม้ว่าตำนานจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมได้ทั้งหมด แต่ตำนานก็มีบทบาทสำคัญในการจัดลำดับสภาพแวดล้อมทางสังคมและการตีความการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ดังนั้นต้องมองตำนานในฐานะวัฒนธรรมล่าหู่ส่วนที่ถูกบูรณาการ รวมทั้งต้องเข้าใจตำนานภายในบริบทวัฒนธรรมของมันเอง (หน้า 287-288)

Ethnic Group in the Focus

ล่าหู่ในยูนนานตอนใต้บริเวณชายแดนจีน-พม่า โดยใช้ข้อมูลล่าหู่ดำ (Lahu Na) ในเมืองมูกา (Muga) เขตลานจาง (Lancang County) ที่ผู้เขียนเก็บข้อมูลวิจัยเป็นพื้นฐานเมื่อกล่าวถึงพิธีกรรมความเชื่อ

Language and Linguistic Affiliations

ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียด แต่อ้างถึงการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามเกณฑ์การจัดกลุ่มภาษาของนักภาษาศาสตร์ (ดูประเด็นหัวข้อ 27 )

Study Period (Data Collection)

การเก็บข้อมูลภาคสนามระหว่าง ค.ศ.1995-1997 (หน้า 288)

History of the Group and Community

ประวัติศาสตร์ล่าหู่ก่อนสมัยราชวงศ์ชิง (the Qing Dynasty) มีพื้นฐานอยู่บนสมมติฐานเป็นหลักใหญ่ แม้ว่าการกล่าวถึงล่าหู่ในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์จะปรากฏในเอกสารสมัยราชวงศ์หมิง แต่รายละเอียดเกี่ยวกับล่าหู่ก็มีมากขึ้นหลังรัชสมัยพระเจ้าหย่งเจิ้ง(the Yong Zheng regime) ซึ่งเป็นผลของสงครามระหว่างล่าหู่กับผู้อพยพชาวฮั่นและผู้ปกครองท้องถิ่นชาวไตที่ได้รับแต่งตั้งเป็นตูซี (tusi) ในปี ค.ศ.1953 ล่าหู่ในประเทศจีนได้รับการระบุอย่างเป็นทางการในฐานะเชื้อชาติและได้รับการสถาปนาให้เป็นเขตปกครองตนเองในลานจาง (หน้า276) กำเนิดกลุ่มชาติพันธุ์ล่าหู่ ในการศึกษาประวัติศาสตร์ล่าหู่ตั้งแต่คริสตทศวรรษ 1960 นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่า ล่าหู่น่าจะสืบเชื้อสายมากจากพวกเชียง(the Qiang)และอพยพจากบริเวณชิงไห่ (the Qing Hai area) มายูนนาน ผู้เขียนกล่าวถึงการศึกษาของหวางซ่ง(Wang Song)ที่เชื่อว่า กลุ่มบรรพบุรุษของล่าหู่เป็นพวกเหมาหนิวเชียง(Mao Niu Qiang) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของพวกเชียง ในการศึกษากำเนิดที่มาของล่าหู่หวางเห็นว่า ลักษณะคุณสมบัติเชิงชาติพันธุ์จากข้อมูลในแหล่งต่างๆ มิได้เกี่ยวโยงกับกลุ่มล่าหู่เท่านั้น หากยังเกี่ยวโยงกับกลุ่มอื่นด้วย เขาชี้ให้เห็นลักษณะทางวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันของล่าหู่กับลีซูว่า ทั้งสองกลุ่มพูดภาษาที่อยู่ในสาขาตระกูลย่อยเดียวกัน และแต่งกายสวมเสื้อคลุมเหมือนกันโดยอ้างหลักฐานทางโบราณคดีที่ซือไจ้ (the Shizhai Shan archaeological sites) ซึ่งเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดในเตี้ยนฉี(the Dian Chi region) และแสดงยุคโลหะผสมthe Bronze Age) ในยูนนานตอนกลาง เขาจึงเชื่อว่าบรรพบุรุษของล่าหู่คือ คนคุนหมิง(the Kunming People) เมื่อกลุ่มคุนหมิงแพ้สงครามให้กลุ่มเตียน(the Dian)ในช่วงเวลาก่อนที่พวกเตียนจะพ่ายแพ้พวกฮั่น (the Han) ในปี 109 ก่อนคริสตศักราช พวกหมิงก็เคลื่อนย้ายลงมายังยูนนานตอนใต้ ซึ่งในช่วงราชวงศ์ถัง(the Tang Dynasty) พวกเขาถูกเรียกว่า “Guo Cuo Man-กัวจัวหมาน” และตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนใต้ของหรงโจว(Rong Zhou) ซึ่งปัจจุบันคือ อี้ปิงในซีฉวน(Yi Bing in Sichuan) ทั้งนี้นักประวัติศาสตร์แสดงความต่อเนื่องสืบทอดของกลุ่มโดยอ้าง ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หยวน (the History of Yuan Dynasty) ที่ถือว่าเผ่า “Luo Wu” เป็น ล่าหู่ เมื่อล่าหู่อาศัยอยู่ในลานจาง (Lancang) ในช่วงก่อนกลางราชวงศ์ชิง พวกเขาถูกคนไตท้องถิ่นเรียกว่า “Mian–เมี้ยน“ จากที่กล่าวมา หวางซ่งสรุปประวัติกำเนิดกลุ่มชาติพันธุ์ล่าหู่ดังนี้ the Qiang – the Kunming – the Mian – the Guo Cuo – the Lahu โดยใช้หลักฐานภาพแกะสลักบนสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นโลหะผสม พวกเมี้ยนในลานจาง ความใกล้ชิดของภาษาล่าหู่กับลีซู การออกเสียงคำเรียก “Lahu” กับ “Luo Wu” ที่เหมือนกัน (หน้า 277-278) อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าการวิเคราะห์ของหวางซ่งยังมีข้อบกพร่อง หลักฐานการวิเคราะห์ยังไม่เพียงพอ และวิธีการของเขาเป็นลักษณะเฉพาะของนักวิชาการชาวจีนสำหรับสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ โดยการค้นหาความสัมพันธ์ท่ามกลางชื่อกลุ่มที่ต่างกัน ต่างช่วงระยะกันจากบันทึกประวัติศาสตร์จีน หลักการเชิงทฤษฎีถูกสร้างตามระบบการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ของรัฐ ทำให้นักวิชาการละทิ้งวิธีที่เอกสารได้รับการบันทึกและนำชื่อสองหรือมากกว่าชื่อที่ถูกบันทึกในช่วง 2000 ปีมาโยงกัน(หน้า 278) นอกจากนั้นผู้เขียนเห็นว่า การใช้ตัวเชื่อมทางภาษาศาสตร์จินตนาการประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์เป็นวิธีที่สุดโต่ง จากการศึกษาเปรียบเทียบคำศัพท์พื้นฐาน(cognate words)ภาษาถิ่นในตระกูลอี้และการเชื่อมโยงคำเหล่านี้เข้ากับการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของจางหรงหลาน(Zhang Rong Lan) ปรากฎว่ากลุ่มต่างๆเหล่านี้อพยพเดินทางจากชิงไห่มายังยูนนาน ซึ่งจุดสุดท้ายของการเดินทางควรจะบ่งชี้สถานที่อยู่ปัจจุบันของล่าหู่ เส้นทางการเคลื่อนย้ายที่อ้างถึงมี 2 สายคือ หนึ่ง เส้นทางสายชิงไห่(Qing Hai) – กานซู(Gan Su) – ต้าเหลียนชาน(Da Lian Shan) –ซีฉวนตะวันตกเฉียงใต้(Southwest Sichuan) – จูเซียง(Cu Xiong) ในยูนนานตอนกลาง – หยูซี(Yu Xi) สอง เส้นทางสายชิงไห่ – ทิเบตตะวันออก – จาหยู(Ca Yu) – ต้าหลี่(Da Li) –ลานจาง(Lan Cang) ซีเมิง(Ximeng) และเมิงเหลียง(Meng Liang) จางหรงหลานกล่าวว่าบางกลุ่มเลือกตั้งถิ่นฐานตามเส้นทางที่เคลื่อนย้าย บางกลุ่มเดินทางต่อ และล่าหู่เป็นกลุ่มสุดท้ายของขบวนอพยพที่ตั้งถิ่นฐาน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ห่างไกลจากดินแดนบ้านเกิดมากที่สุด (หน้า 278) อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าการใช้การแพร่กระจายคำศัพท์อธิบายกำเนิดที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์มีปัญหา ถ้ามองว่าคำในภาษาถิ่นเหนือบ่งบอกรูปแบบโบราณของภาษาอี้ หรือคำในภาษาถิ่นใต้บ่งบอกรูปแบบของภาษาร่วมสมัย ความเหมือนหรือความต่างทางภาษายังเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มที่ต่างกันในช่วงเวลาห่างไกลด้วย ด้วยเหตุนี้ ขณะที่สมมติฐานของกำเนิดที่มาร่วมกันถูกสร้างขึ้นตามร่องรอยการแพร่กระจายทางภาษามากว่า 2,000 ปี โดยปราศจากการสนับสนุนจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สมมติฐานนี้ก็ไม่น่าเชื่อถือ (หน้า 278-279)

Settlement Pattern

ไม่ได้กล่าวถึง

Demography

ค.ศ.2002 ประชากรล่าหู่ในประเทศจีนมีจำนวน 420,000 คน (หน้า 275)

Economy

ไม่ได้กล่าวถึง

Social Organization

ไม่ได้กล่าวถึง

Political Organization

ไม่ได้กล่าวถึง

Belief System

จักรวาลวิทยา ตามความเชื่อล่าหู่เมืองมูกา เอ่อชา(E Sha) เป็นเทพเจ้าสูงสูด อยู่ที่ใจกลางโลก (หน้า284) และพวกเขายังเชื่อว่า โลกมีสองแห่ง เป็นคู่กัน คือ de mu mi แห่งหนึ่งกับ si mu mi อีกแห่งหนึ่ง de mu mi คือโลกพื้นดิน(the earthly world) เป็นโลกสำหรับชีวิตทั้งหลาย มนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้มีพัดปกคลุมเพื่อจะได้ไม่เห็น si mu mi หรือโลกสวรรค์(the heavenly world) ซึ่งเป็นที่อยู่ของชีวิตที่ตายจากโลกพื้นดิน และเมื่อถึงกำหนดเวลา วิญญาณในโลกสวรรค์จะตาย แล้วกลับมาเกิดใหม่ในโลกพื้นดิน โลกสวรรค์มีกระชอนคลุมไว้ทำให้วิญญาณมองเห็นคนที่ยังมีชีวิตในโลกพื้นดินได้ และล่าหู่เมืองมูกาเชื่อว่า เวลาในโลกทั้งสองจะสลับตรงข้ามกัน ถึงแม้จะตายไปแล้ว สมาชิกในครอบครัวของเขาก็ยังมีโอกาสพบเขาได้ที่ sa yie qai zhi ซึ่งเป็นตลาด (หน้า 282) พิธีรักษาการเจ็บป่วย ล่าหู่เมืองมูกาเชื่อว่า คนเรามีวิญญาณ/ขวัญเป็นคู่ อยู่ที่บ้านขวัญหนึ่ง(the ‘home’ soul) อยู่ประจำร่างกายขวัญหนึ่ง(the ‘body’ soul) ถ้าขวัญประจำร่างกายออกจากร่าง เจ้าของจะเจ็บป่วย และถ้าขวัญที่อยู่บ้านออกจากบ้านในช่วงเวลานี้ คนนั้นก็จะตาย ล่าหู่เชื่อว่า ผีหรือ “ne” ทำให้เกิดโรค โดยผีตนหนึ่งทำให้เกิดหนึ่งโรค พวกเขาเชื่อว่าถ้าสมาชิกครอบครัวทำผิด ขวัญที่อยู่บ้านจะพาขวัญในร่างกายไปโลกสวรรค์และจะขอให้ผี(ne)กัดหรือเข้าร่างเจ้าของคนนั้น ซึ่งทำให้คนนั้นทุกข์ทรมานเจ็บป่วย วิธีรักษาคือ ขอให้หมอทรง(the shaman)ทำพิธีกรรม โดยสมาชิกครอบครัวนำของมาเซ่นไหว้แลกเปลี่ยนเพื่อให้ขวัญของคนเจ็บกลับคืน พิธีรักษามี 3 ขั้นตอน (หน้า282-283) คือ ขั้นตอนแรก หมอทรงนำพาขวัญของสมาชิกครอบครัวทุกคนไปบ้านของ “เอ่อชา” เทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งเพื่อขอเครื่องมือขับไล่ผี สมาชิกจะต้องไปยัง “สถานที่ที่จะพบเกลือ” “สถานที่ที่ผลิตแอลกอฮอล์” ล่าหู่เรียก “mu mie mi mie, peu ki na ki” แล้วไปยังที่ราบแห่งความร้อนและความเย็นอันเป็นที่ที่จะพบเครื่องมือขับไล่ผี (หน้า 283) ขั้นต่อมา หมอทรงใช้ทรายขับไล่ผีไปยังที่ที่มีน้ำไหล และขั้นที่สาม หมอทรงจะพาขวัญของทุกคนในพิธีไปโลกสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของผีบ้าน(the home spirit)เพื่อขอให้ขวัญกลับบ้าน (หน้า 283) หลังจากขับไล่ผีแล้ว(ne de) หมอทรงจะขับเพลงเรียกขวัญ(ha hku) กลับบ้าน ในเนื้อเพลงจะกล่าวถึงเส้นทาง/ถนนที่ไปสู่โลกแห่งความตาย ซึ่งตามเนื้อเพลงนี้ หลังจากสมาชิกออกจากหมู่บ้าน พวกเขาจะไปถึง”แม่น้ำแห่งชีวิตยืนยาว” และภูเขากระต่าย (the rabbit mountain) ซึ่งเป็นที่ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะสลับสับเปลี่ยนกัน และเป็นพรมแดนระหว่างโลกพื้นดินกับโลกสวรรค์ ด้านหนึ่งของภูเขาเป็นกลางวัน อีกด้านหนึ่งเป็นกลางคืน เมื่อปืนขึ้นไปบนภูเขาแล้ว ก็จะถึง “the plain of ja ci ja law” ทางเข้า/ประตูโลกสวรรค์ ซึ่งอยู่ในการดูแลของผู้ตัดสินความเป็นความตายของมนุษย์ ที่นี่มีทางแยกถนน 7 สาย ถนนสายหนึ่งเป็นทางไปตลาดที่คนเป็นและคนตายมาพบกัน สมาชิกครอบครัวจะมาถึงโลกสวรรค์และไปยังหมู่บ้านที่บรรพบุรุษอยู่อาศัย เมื่อนำอาหารไปเซ่นไหว้แล้ว ขวัญของคนเจ็บก็กลับบ้านได้ (หน้า 283-284)

Education and Socialization

ไม่ได้กล่าวถึง

Health and Medicine

ไม่ได้กล่าวถึง

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ได้กล่าวถึง

Folklore

ความคิดของผู้เขียนต่อตำนานและพิธีกรรม ตำนานและพิธีกรรมแสดงให้เห็นโลกและประวัติศาสตร์ของล่าหู่ ตำนานชี้ให้เห็นถึงความคิดเรื่องวัฏจักรชีวิตที่ไม่สิ้นสุด ส่วนพิธีกรรมก็แสดงให้เห็นว่า สถานที่ในตำนานมีความสำคัญต่อความคิดล่าหู่และเชื่อมโยงชัดเจนกับสถาบันความสัมพันธ์ทางสังคมและพฤติกรรมประจำวัน ในแง่การตีความ ตำนานแสดงปฏิสัมพันธ์ระหว่างอุดมคติท้องถิ่นกับการจัดระเบียบทางสังคมของท้องถิ่น การเข้าใจตำนานที่คนล่าหู่เป็นผู้ตีความ มีความสำคัญต่อการคลี่คลายปัญหาของพวกเขาในบริบททางสังคมของพวกเขาเอง เช่น เมื่อล่าหู่พูดถึง “ปักกิ่ง(Beijing) เทียนกิง(Tianjing) และนานกิง(Nanjing)” พวกเขากำลังพูดถึง “ศูนย์กลาง" ของโลกโดยเปรียบเทียบกับโลกคนเป็นที่อยู่ชายขอบ ตามความคิดล่าหู่ “ศูนย์กลาง” หมายถึง สถานที่ที่ระเบียบสังคมก่อกำเนิด ความคิดนี้ไม่อาจจะเข้าใจได้ง่ายๆ ว่าหมายถึงเมืองหลวงของจีน สำหรับล่าหู่ ปักกิ่งเมืองหลวงเป็นศูนย์กลางอำนาจทั้งหมด ในตำนานปักกิ่งบ่งบอกสภาพการณ์ชายขอบของคนล่าหู่ในช่วงระยะเวลาประวัติศาสตร์ การที่นักประวัติศาสตร์บางคนแปลความปักกิ่งเป็น ”ตี้เหนือ(north Di)” เกี่ยวโยงล่าหู่กับชิงไห่ ซึ่งเป็นบริเวณที่คนตี้อาศัยอยู่เมื่อ 2,000 ปีก่อนจึงเป็นความเข้าใจผิด ทั้งนี้ผู้เขียนยกตัวอย่างสหายล่าหู่ที่ปลดเกษียณแล้วคนหนึ่งเล่าว่า“เขาเคยไปอยู่ที่เทียนอันหมิง ปักกิ่ง ที่นั่นทำให้เขาได้ตระหนักว่า พวกเขาคนล่าหู่มาจากสถานที่นี้ และเอ่อชา (E Sha)อยู่ที่นั่นจริงๆ สำหรับพวกเขา ประธานเหมาก็เป็นเอ่อชาด้วย” ความคิดนี้เป็นการตีความแบบหนึ่งจากจุดยืน(position) ทางประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองร่วมสมัย (หน้า 286-287)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์โดยเกณฑ์ภาษาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์จีนส่วนมากเชื่อว่า กลุ่มชาติพันธุ์ท้องถิ่นทุกกลุ่มใน “ตระกูลภาษาอี้” (the Yi language family) สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มตี้-เชียงโบราณ (the ancient Di-Qiang group) ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่สองกลุ่มอันต่างจากพวกเซี่ยฮวากลาง ( the Central Hua Xia residents) ที่อยู่ในจีนตอนเหนือเมื่อ 2,000 ปีก่อน ทั้งนี้พวกเขาเหล่านั้นได้อ้างถึงบันทึกการเดินทางเยือนยูนนานภาคกลางและภาคตะวันตกของซือหม่าเฉียน (Si Ma Qian) ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก(the Western Han Dynasty) เมื่อ 200 ปีก่อนคริสตศักราช ที่เขียนไว้ว่า “กลุ่มคุนหมิงท้องถิ่นทั้งหมดสามารถมองเป็นพวกตี้และพวกเชียง” (the Di and the Qian) เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนสมัยราชวงศ์ฮั่น กลุ่มคนเหล่านี้ควรจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน แล้วต่อมาก็เคลื่อนย้ายลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ และทัศนะความคิดนี้ก็ได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์มากที่สุด เนื่องจากอิทธิพลของศาสตราจารย์ฟางกัวะหยู(Professor Fang Guo Yu) นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยยูนนานได้ยึดถือความคิดนี้ (หน้า 277)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง 10.1 การเปรียบเทียบชื่อสถานที่ในตำนานล่าหู่กับที่ในจีน (A Comparison between Chinese and Lahu Mythological Place Names) หน้า 280 ตาราง 10.2 ความหมายในตำนานล่าหู่ (Meanings in Lahu Myth) หน้า 286

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 27 ก.ย. 2567
TAG ลาหู่, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์, การสร้างประวัติศาสตร์, พิธีกรรมความเชื่อ, จีน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง