สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม,ไทยพุทธ,ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม,ระยะทางทางสังคม,นราธิวาส
Author ปาลิต ผ่องแผ้ว
Title ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มไทยพุทธกับไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส : ศึกษาระยะทางทางสังคมเฉพาะกรณี
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 118 Year 2528
Source หลักสูตรปริญญาสังคมวิทยามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการติดต่อกัน ทัศนคติ และการยอมรับ ของกลุ่มไทยพุทธและกลุ่มไทยมุสลิม ตามข้อแตกต่างในด้านสัดส่วนประชากรในชุมชน ศาสนา และระดับอายุของประชากร ซึ่งขะนำไปวิเคราะห์และเสนอแนะในการกำหนดกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมในชุมชนต่างๆ ผู้วิจัย ได้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ประเภทเปรียบเทียบแบบตัดขวาง (Cross-Sectional Comparative Study Design) โดยเก็บข้อมูลในช่วงเวลาเดียวเปรียบเทียบระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม จาก ชุมชน 6 หมู่บ้าน ในเขตอำเภอเมืองและอำเภอตากใบจังหวัดนราธิวาส ซึงทั้ง 6 หมู่บ้านนี้เป็นขุมชนที่มีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่รวมกันตามสัดส่วนที่ต่างกันอย่างน้อยอย่างละ 2 ชุมชน คือ ไทยพุทธมากกว่าไทยมุสลิม ไทยพุทธเท่ากับไทยมุสลิม และไทยพุทธน้อยกว่างไทยมุสลิม ซึ่งผลการวิจัยพบว่า 1. การติดต่อระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มของชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ส่วนทัศนคติของบุคคล่ของบุคคลที่มีต่อคนต่างศาสนาส่วนใหญ๋อยู่ในระดับปานกลางทัศนคติของกลุ่ม ส่วนใหญ๋อยู่ในระดับค่อนข้างดี ผลทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง การติดต่อกัน กับทัศนคติ พบว่าไม่เป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ว่า ?ชุมชนที่ชาวไทยทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์มีการติดต่อกันมากเท่าไร ก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อกันมากขึ้นเท่านั้น? ทั้งในระดับกลุ่ม และระดับบุคคล และตัวแปรทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุ 2. การยอมรับระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มคนต่างศาสนานั้น ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบระหว่างทัศนคติกับการยอมรับพบว่า เป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ว่า ?ชุมชนที่ชาวไทยทั้ง 2 กลุ่มชาติพันธุ์ มีทัศนคติที่ดีต่อกันมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการยอมรับมากหรือมีระยะทางสังคมใกล้กันมากขึ้น? เท่านั้น และตัวแปรทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์เหมือนเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุ ยกเว้นบุคคลที่มีระดับอายุ 60 ปีขึ้นไป ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะบุคคลในวัยนี้มีลักษณะอนุรักษ์นิยิมและยอมรับนวกรรมใหม่ๆ ค่อนข้างน้อย 3. ปฏิกิริยาของสังคมที่มีต่อการละเมิดนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจมากนัก การทดสอบสมมุติฐานที่ว่า ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับบุคคลต่างศาสนากับปฏิกิริยาของสังคมที่มีต่อการละเมิดพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ ว่า ?การยอมรับซึ่งกันและกัน (ระยะทางทางสังคม) และตัวแปร ทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุ 4. การยอมรับคนต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ ระหว่างบุคคลส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับบุคคลต่างศาสนา ชาติพันธุ์ และคนไทยเชื้อสายจีนพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ ว่า ?ถ้าสมาชิกของกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับ (ระยะทางทางสังคมห่าง) สมาชิกของอีกกล่มหนึ่งซึ่งเป็นคนต่างชาติพันธุ์ก็มักจะไม่ยอมรับสมาชิกของกลุ่มอื่นที่ต่างชาติพันธุ์ด้วย ? และตัวแปร ทั้งสองยังคงมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิมในการวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขของตัวแปรเกี่ยวกับสัดส่วนของประชากรในชุมชน ศาสนา เพศ และอายุ

Focus

ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มไทยพุทธ กับไทยมุสลิม ในด้านการติดด่อ ระยะห่างทางสังคม ปฏิสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อการการละเมิด,ยอมรับซึ่งกันและกัน รวมไปถึงทัศนคติของกลุ่มอีกฝ่าย โดยพยายามทดสอบสมมุติฐานสี่ข้อดังนี้ (หน้า 32-33) 1. ?ชุมชนที่ชาวไทยทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์มีการติดด่อกันมากเท่าไร ก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อกันมากขึ้นเท่านั้น? 1.1 ถ้าพิจารณาในระดับกลุ่มสามารถตั้งสมมุติฐานได้ว่า ?กลุ่มที่มีการติดต่อกับคนต่างศษสนามากเท่าไร ก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อคนต่างศาสนามากขึ้นเท่านั้น ? 1.2 ถ้าพิจารณาในระดับปัจเจกบุคคล สามารถตั้งสมมุติฐานได้ว่า บุคคลที่มีการติดต่อกับคนต่างศาสนามากเท่าไร ก็จะมีทัศนคตี่ดีต่อคนต่างศาสนามากขึ้นเท่านั้น ภายในเงื่อนไขเดียวกัน 2. ?ชุมชนที่ชาวไทยทั้ง 2 กลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคลที่มีทัศนคติที่ดีมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการยอมรับมากหรือมีระยะทางสังคมใกล้กันมากขึ้น? 3. ?การยอมรับซึ่งกันและกัน (ระยะทางทางสังคม) มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการสนับสนุนหรือขัดขวางของกลุ่มอ้างอิงหรือกลุ่มปฐมภูมิ? 4. ?การยอมรับคนต่างชาติพันธุ์หลายพวกจะไม่เหมือนกันจะขึ้นอยู่กับการมีความคล้ายคลึงกันในทางวัฒนธรรมเป็นสำคัญ ?

Theoretical Issues

แนวคิด/ทฤษฎี ที่ผู้เขียนใช้ในการศึกษามี 4 แนวคิด/ทฤษฎี ประกอบด้วย แนวคิดระยะทางทางสังคม แนวคิดเรื่องทัศนคติแนวคิดเรื่องการกระทำระหว่างกัน (Interaction) และแนวคิด อิทธิพลบรรทัดฐานของกลุ่ม 1. แนวคิดระยะทางทางสังคม (หน้า13-21) ได้แนวคิดมาจาก Pobert E. Park (1902) โดยเขาเสนอเพื่อใช้ศึกษาระดับของความเข้าใจและความสนิทสนมที่บุคคลมีต่อกันในกรณีที่บุคคลได้มีการติดต่อและมีความสัมพันธ์กัน คำว่าระยะทางทางสังคม (Social Distance ) หมายถึง ระดับของความเข้าใจและความรู้สึกที่บุคคลมีต่อบุคคลหรือกลุ่ม ระยะทางทางสังคมระหว่างกลุ่มที่มีความแตกต่างกันทางด้านสถานภาพหรือวัฒนธรรม จะชี้ให้เห็นว่ามีความเห็นพ้องกัน ความเข้าใจกัน ความคุ้นเคยกันและการติดต่อกันมีมากน้อยเพียงไร (หน้า 14) สำหรับการศึกษานี้เทคนิคที่ใช้วัดระยะทางด้านจิตวิทยาสังคมของบุคคลที่มีต่อเชื้อชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อย คือเทคนิค Social Distance Scale ซึ่งในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องโดยแปรผกผันกับ การยอมรับทางสังคม กล่าวคือ หากมีระยะห่างทางสังคมน้อย การยอมรับทางสังคมย่อมมาก ในทางกลับกัน หากระยะห่างทางสังคมมากนั่นแปลว่า การยอมรับมีน้อย การวิจัยพบว่า การยอมรับระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มคนต่างศาสนานั้น ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง 2. ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดเรื่องทัศนคติ (หน้า 21-25) เพื่อทำให้สามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดตลอดจนความตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติ (Behavior Intention) ของบุคคลได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยความหมายของ ทัศนคติ ผู้เขียนได้ยึดนิยามของ Foster เป็นหลัก ที่ได้เสนอแนวความคิดในเรื่องการเกิดทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติเกิดจากประสบการณ์ที่บุคคลมีต่อสิ่งของบุคคลหรือสถานการณ์ ฉะนั้น ทัศนคติจึงเกิดขึ้นจากการได้พบเห็น ,ได้คุ้นเคย ถือเป็นประสบการณ์ตรง (Direct Experiences) เนื่องจากทัศนคติเป็นเรื่องที่เกิดจากการรับทราบ เมื่อรับทราบแล้วก็จะมีทัศนคติต่อสิ่งนั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นไปในทางดีหรือไม่ดีก็ได้ และถ้าหากบุคคลไม่มีประสบการณ์ทั้งโดยตรงและทางอ้อมต่อบุคคล ต่อสิ่งของหรือต่อสถานการณ์แล้วเขาก็จะไม่มีทัศนคติต่อสิ่งนั้น ทัศนคติเกิดจาก ค่านิยม การกำหนดมาตรฐานในค่านิยม เนื่องจากบุคคลในแต่ละกลุ่มอาจจะมีค่านิยมที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นทัศนคติต่อสิ่งเดียวกันแต่อยู่คนละกลุ่มกันก็อาจจะมีความแตกต่างกันได้ บุคคลจะมีทัศนคติอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ค่านิยมของกลุ่มบุคคลเป็นสมาชิกอยู่ สำหรับองค์ประกอบของทัศนคติ ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดของ Hovlen และ Rosenberg ซึ่งได้เสนอว่าทัศนคติประกอบด้วย 1. องค์ประกอบทางอารมณ์ (Affective Component) หมายถึงความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ชอบ ไม่ชอบ ซึ่งมีความแตกต่างกันตามบุคคลิกภาพของแต่ละบุคคล ความรู้สึกเหล่านี้จะแสดงออกได้ทางสีหน้าท่าทางเมื่อบุคคลพูดหรือนึกถึงสิ่งนั้นๆ 2. องค์ประกอบทางความคิด ( Cognitive Component ) หมายถึง ความคิด หรือความเชื่อของบุคคลถ้ามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นไปในแง่ดีหรือไม่ก็ได้ 3. องค์ประกอบทางด้านพฤติกรรม (Behavior Component) หมายถึง ความโน้มเอียงที่จะปฏิบัติต่อบุคคล สิ่งของ หรือสถานการณ์ ซึ่งการปฏิบัตินั้นจะสอดคล้องกับความรู้สึกและความนึกคิดในองค์ประกอบทางอารมณ์และองค์ประกอบทางความคิด จากทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง การติดต่อกัน กับทัศนคติ ตาม สมมุติฐานข้อที่ 1 ที่ว่า ?ชุมชนที่ชาวไทยทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์มีการติด่อกันมากเท่าไร ก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อกันมากขึ้นเท่านั้น? ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ทัศนคติของปัจเจกบุคคลที่มีต่อคนต่างศาสนาส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ทัศนคติของกลุ่มส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างดี (หน้า 83) 3. แนวคิดเรื่องการกระทำระหว่างกัน ( Interaction) (หน้า 25-31)การศึกษาในครั้งนี้จะเห็นได้ว่า การยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิมนั้น มีความสัมพันธ์กับการติดต่อสัมพันธ์เป็นอย่างมาก ผู้เขียนจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาในเรื่องของการติดต่อ เพราะผลจากการวัดการติดต่อกันจะเป็นเครื่องตรวจสอบที่ให้ในเรื่องของทัศนคติ และอาจใช้เป็นเครื่องช่วยอธิบายด้วยว่าทัศนคติเกิดจากอะไร โดยผู้เขียนได้ใช้แนวคิดนี้ตามที่ Homans เสนอว่า Interaction นั้นเป็นได้ทั้ง Verbal และ Nonverbal Communication และคำว่า Communication ในที่นี้ หมายถึง ข่าวสาร สัญญาณหรือ เป็นการสื่อสาร หรือเป็นขบวนการสื่อสารในตัวของมันเอง นอกจากนี้แล้ว Homans ได้เสนอ Proposition หลัก 4 ประการคือ 1. ในอดีต สภาพการณ์อันเป็นเงื่อนไขและแรงจูงใจใดๆ ที่เคยใช้แล้วได้ผลตามความคาดหวัง ก็จะปรากฎว่ามีการในทำนองเดียวกันอีกในเวลาต่อมา และมีแนวโน้มจะใช้ปฏิบัติต่อๆ ไป 2. ในการรติดต่อกันถ้าเขาแสดงมิตรภาพที่ดีต่อผู้อื่น และผู้นั้นแสดงมิตรภาพที่ดีต่อเรา ก็จะแสดงมิตรภาพที่ดีต่อกันและจะมีการติดต่อกันในลักษณะที่ดีต่อกัน 3. ในการติดต่อ ถ้ามีความรู้สึกว่ามิตรภาพที่คนอื่นมีต่อเขาและเขาเห็นคุณค่า เขาก็จะรักษาความสัมพันธ์ รักษามิตรภาพที่ดีต่อกันนั้นเอาไว้ 4. ในการติดต่อ ถ้าได้รับผลตอบแทนที่พึงพอใจบ่อย ๆ การติดต่อกันในครั้งต่อๆ ไปจะมีความสำคัญลดลง จาก Proposition เหล่านี้ Honans ได้เสนอสมมุติฐานขึ้นมาว่า ?ถ้าความถี่ของการ Interaction ระหว่างคน 2 คน หรือมากกว่านั้นเพิ่มขึ้น ระดับของความชอบที่มีต่อคนอื่นก็จะเพิ่มขึ้นด้วย โดยเขาได้กำหนดแนวคิดเอาไว้ว่า 1. ถ้า Interaction และกิจกรรมนำไปสู่รางวัลที่น่าพอใจการ Interaction ก็จะดำเนินต่อไป 2. ในการ Interaction ถ้าอย่างน้อยคนหนึ่งพบว่าเขาไม่ได้รับรางวัลที่น่าพอใจและถ้าเขามีอิสระเขาก็จะแสดงหาทางเลือกอื่น ถ้าหากว่าเขาสามารถหาทางออกอื่นได้เขาก็จะลดการ Interaction ที่ได้รับรางวัลน้อยกว่าลง 3. ในการ Interaction ถ้าอย่างน้อยคนหนึ่งพบว่าเป็นไปในแง่ลบและเขาก็ไม่มีอิสระในการหาทางออกอื่นๆ เขาก็จะยุติการ Interaction และถ้าไม่สามารถยุติการ Interaction ลงได้ ความถี่ของการ Interaction ก็จะนำไปสู่การไม่ชอบกัน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า การติดต่อระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มของชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี 4. แนวคิดเรื่องอิทธิพลบรรทัดฐานของกลุ่ม (หน้า 31-32)นอกจากปัจจัยในเรื่องของทัศนคติและการติดต่อกันแล้วก็ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญและน่าจะมีความสัมพันธ์กับการยอมรับหรือไม่ยอมรับ คือ อิทธิพลของกลุ่มอ้างอิง หรือ กลุ่มปฐมภูมิ เพราะกลุ่มดังกล่าวนี้มีหน้าที่ที่สำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก ทำหน้าที่กำหนดบรรทัดฐานที่บังคบให้สมาชิกทำตามกลุ่ม (Group Norm) ดังนั้นเราจึงเรียกการทำหน้าที่ในแง่นี้ว่า Normative Function สมาชิกผู้ใดปฏิบัติตามบรรทัดฐานของกลุ่มผู้นั้นก็จะได้รับรางวัลจากกลุ่ม ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของกลุ่มผู้นั้นก็จะถูกลงโทษ ซึ่ง Normative Function นี้จะช่วงให้สมาชิกได้ยึดเป็นแนวทางในการประเมินการกระทำหรือพฤติกรรมของตัวเอง ช่วยในการสนับสนุนหรือการเปรียบเทียบเพื่อประเมินกระทำของตัวเองกับผู้อื่น ซึ่งเราสามารถเรียกได้ว่าเป็น Comparison Function คือ บุคคลจะมีการพิจารณาเปรียบเทียบพฤติกรรม ทัศนคติ หรือบุคคลิกภาพของตัวเองกับสมาชิกอี่นๆ ในกลุ่ม ก่อนที่ตัดสินใจกระทำบางสิ่งบางอย่างลงไป ในการศึกษาเรื่องนี้เราจะวัดว่าผู้ตอบอยู่ภายใต้อิทธิพบของ Group Norm มากน้อยแค่ไนและอิทธิพลนั้นมีผลต่อทัศนคติและการกระทำของเขาอย่างไร นอกจากอิทธิพลของ Group Norm แล้ว การยอมรับหรือไม่ยอมรับ อาจจะรวมสามเหตุมาจากความไม่เข้าใจกันในอดีตหรือในปัจจุบัน ระหว่างสมาชิกของกลุ่มตัวอย่างที่กำลังพิจารณาอยู่ก็เป็นได้ ในส่วนนี้ไดทำการทดสอบผ่านการวัดปฏิกิริยาของสังคมที่มีต่อการละเมิด ซึ่งผลที่ออกมาพบว่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจมากนัก

Ethnic Group in the Focus

ไทยมุสลิม เป็นประชากรไทย เชื้อชาติมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม ปัจจุบัน จังหวัดนราธิวาสมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 77.83 และมีผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 21.8 (หน้า 2, 10, 11) ซึ่งผู้เขียนได้เสนอถึงลักษณะสังคมของชาวไทยมุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ 6 ประการดังนี้ 1. เป็นกลุ่มใหญ่ของจังหวัด 2. เคร่งครัดในศาสนาอิสลาม 3. พูดภาษามลายูในชีวิตประจำวัน 4. มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ 5. มีสายสัมพันธ์กันแน่นแฟ้น 6. รักดินแดนถิ่นกำเนิด (หน้า 10)

Language and Linguistic Affiliations

หากพิจารณาในด้านภาษาจะพบว่า ชาวไทยมุสลิมพูดภาษามลายูหรือยาวี สำหรับภาษาเขียนนั้นมี 2 อย่าง คือ ใช้อักษรโรมาไนล์ และอักษรยาวี คือ ใช้อักษรอาหรับแต่เขียนเป็นภาษามลายู (หน้า 9)

Study Period (Data Collection)

16 มีนาคม 2526-17 พฤษภาคม 2526 รวมทั้งสิ้น 62 วัน

History of the Group and Community

ในอดีต ชาวไทยมุสลิมเรียกดินแดนอันเป็นที่ตั้งของจังหวัดนราธิวาสว่า ?นา-ฆอฮ์ ซึ่งแปลว่าพญานาค เหตุที่เรียกชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีตำนานเล่าว่า ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค สำหรับชื่อ ?นา-ฆอฮ์? นี้ ปัจจุบัน (พ.ศ. 2528) ชาวไทยมุสลิมที่อยู่ทั้งในนราธิวาสและใกล้เคียงยังคงใช้เรียกกันอยู่ (หน้า 1) จังหวัดนราธิวาสเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศมาเลเซียซึ่งส่งผลให้วัฒนธรรม ทั้งในด้านขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา ศาสนา รวมไปถึงการเคลื่อนไหวต่างๆ ในมาเลเซียส่งผลมาถึงชาวไทยมุสลิมด้วย (หน้า 3) สำหรับจังหวัดนราธิวาส 3 อำเภอ กับ 1 กิ่งอำเภอที่มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียคือ อำเภอแว้ง อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโก-ลก และกิ่งอำเภอจะแนะ โดยติดต่อกับตำบล อาลูปาแซ ตำบลรันตูบันยัง อำเภอปาเสมัส รัฐกลันตัน โดยมีแม่น้ำสุไหงโก-ลกเป็นเส้นกั้นพรมแดน เป็นระยะทางประมาณ 100 กม. (หน้า 3) ถ้าพิจารณาในแง่ของประวัติศาสตร์แล้ว จะพบว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 จังหวัดนราธิวาส เป็นเพียงตำบลเล็กๆ ที่ชื่อ ?บางนรา? ขึ้นตรงต่อเมืองสายบุรี ต่อมาได้โอนไปขึ้นอยู่กับเมืองระแงะ ครั้นในปี พ.ศ. 2445 ได้มีการย้ายเมืองระแงะ ไปตั้งอยูที่ตำบลบางนราแล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น ?เมืองบางนรา? ขึ้นตรงต่อมณฑล นครศรีธรรมราช ครั้นในปี พ.ศ. 2449 ได้โอนมาขึ้นตรงกันมณฑลปัตตานี จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการรวมเอาอำเภอระแงะ อำเภอสุไหงปาดี อำเภอโต๊ะโม๊ะ อำเภอยี่งอ อำเภอตากใบ มาขึ้นกับเมืองบางนราและเปลี่ยนชื่อเมืองบางนราเป็นจังหวัดนราธิวาสเมื่อ วันที่ 10 มิถุนายน 2458 (หน้า 2)

Settlement Pattern

ไม่ปรากฎ

Demography

ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดนราธิวาส มีการให้ความสำคัญกับเพศชายและเคารพผู้อาวุโสหรือหัวหน้าครอบครัว ซึ่งลักษณะของครอบครัวจะเป็นลักษณะของครอบครัวขนาดเล็ก มีสมาชิกไม่เกินครอบครัวละ 6 คน และมีอัตราเพิ่มของประชากรร้อยละ 2.06 ต่อปี (หน้า 7)

Economy

การประกอบอาชีพ ในอดีตนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ได้บันทึกเมื่อครั้งเยือนในปี 2427 ว่า ชาวมลายูมุสลิมเหล่นี้ทำนาเกลือ ทำสวน ทำนาข้าวบ้างเล็กน้อย ทำปลาบ้าง ล่องเรือทำเหมืองทอง รับส่งสินค้าแก่จีนบ้าง ขายของ ทอผ้าบ้าง (หน้า 5) ปัจจุบัน(พ.ศ. 2528) อาชีพหลักที่สำคัญของชาวนราธิวาสคือ ทำสวนยาง มะพร้าว พืชไร่ ทำนา ประมง สำหรับช่วงนอกฤดูการทำไร่นานั้น ได้มีการออกไปหางานทำต่างถิ่น โดยไปรับจ้างที่ปัตตานี ยะลา และมาเลย์เซีย อาชีพส่วนใหญ่ของชาวนราธิวาส คือ การทำสวนยางโดยมีพื้นที่สวนยางเฉลี่ย 14.68 ไร่ ต่อ ครอบครัว สำหรับครอบครัวที่มีน้อยกว่า 11 ไร่ มีจำนวน 58.1 % และโดยเฉลี่ยแล้วมีประชากรที่มีรายได้เฉลี่ยต่อบุคคลต่อปีดังนี้ คือ ปี 2518 6,377 บาท ปี 2519 8,676 บาท ปี 2520 9,056 บาท ปี 2521 8,202 บาท ปี 2522 9,493 บาท พบว่า 87.1 % มีรายได้สูงกว่ารายได้ประชาชาติ และ 10 % มีรายได้ต่ำกว่ารายได้ประชาชาติ นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่เป็นลูกหนี้ 8.3% ในขณะที่ผู้ที่ไม่เป็นเจ้าหนี้ 94.8 % ประชากรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 81.3 % และประชากรที่ประกอบอาชีพทำสวนยางและทำนาจะมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 600-1,000 บาท (หน้า 5)

Social Organization

หากกล่าวถึง องค์กรทางสังคมจะพบว่า องค์กรศาสนาจะมีอิทธิพลต่อไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส และพบว่าชาวไทยมุสลิมมีความเคารพเชื่อถือผู้นำทางศาสนา นอกจากนี้ในเขตอารยธรรมเดียวกัน (บริเวณจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล) และมีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน มีความสำนึกร่วมกันในประวัติศาสตร์ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมปัตตานี ทั้งนี้เป็นเพราะ ในอดีต ในดินแดนที่เป็นแหลมมลายูนั้น ทางตอนบนจะมีศูนย์กลางวัฒนธรรมอยู่เมืองไชยาและนครศรีธรรมราช ทางตอนกลางจะมีปัตตานีเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ฉะนั้นโลกทัศน์ต่างๆ ของชาวไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่ในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลคำสอนของศาสนาอิสลาม และยึดถือศาสนาอิสลามเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในสังคมมุสลิม

Political Organization

ศาสนาอิสลามสำหรับมุสลิมนั้นมิได้เป็นเพียงความเชื่อ องค์กรทางศาสนาสามารถถือเป็นองค์กรทางการเมืองได้ เพราะศาสนาจะครอบรวมบริบทต่างๆ ในชีวิต กล่าวคือ คำสอนของศาสนาอิสลามเปรียบเสมือนธรรมนูญแห่งชีวิตของมุสลิมทั้งหลายที่ต้องปฏิบัติตาม นอกจากนี้ศาสนาอิสลามยังได้เน้นหนักในเรื่องหน้าที่สืบทอดวัฒนธรรมเป็นพิเศษ ซึ่งตามหลักการแล้วถือว่าเป็นหน้าที่มุสลิมทุกคนที่จะต้องเรียนรู้และเผยแพร่ศาสนา ถ้าผู้ใดละเว้นจะถือเป็นบาป จะเห็นได้ว่าสังคมมุสลิมเป็นลักษณะสังคมปิด (Close Society) ยึดมั่นในศาสนาอิสลาม โดยถือว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของศาสนามิใช่ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นอกจากนั้นยังถือว่าขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้วย ถ้าผิดแผกนอกเหนือไปจากที่เคยปฏิบัติมาก็จะไม่ยอมรับ โดยอ้างว่าผิดหลักศาสนาหรือผิดทัศนคติของตน (หน้า 9)

Belief System

ประชาการมุสลิมยึดถือตามหลักการที่สำคัญของศาสนาอิสลาม 2 ประการ คือ (หน้า 7-8) 1 หลักศรัทธา (รุ่ก่นอีหม่าน) มี 6 ประการ คือ 1.1 ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮฺ (ชุบห็ฯ) 1.2 ศรัทธาในบรรดามลาอีกะฮฺ (เป็นข่าวของพระเจ้าประเภทหนึ่ง) 1.3 ศรัทธาในบรรดาพระคัมภีร์ 1.4 ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต 1.5 ศรัทธาในวันพิพากษา (เชื่อในโลกหน้า) 1.6 ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์ 2 หลักปฏิบัติ (รุ่ก่นอิสลาม) มี 5 ประการคือ (หน้า 9) 2.1 การปฏิญาณตน 2.2 การละหมาดวันละ 5 เวลา 2.3 การถือศีลอด 2.4 การบริจาคซะกาด 2.5 การประกอบพิธีฮัจญ์ ในแง่หนึ่งแล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาอิสลามเป็นความเชื่อแบบหนึ่ง กระนั้นในอีกทางหนึ่งศาสนาอิสลามก็เป็น องค์กรทางการเมืองได้ เพราะศาสนาจะครอบรวมบริบทต่างๆ ในชีวิต กล่าวคือ คำสอนของศาสนาอิสลามเปรียบเสมือนธรรมนูญแห่งชีวิตของมุสลิมทั้งหลายที่ต้องปฏิบัติตาม นอกจากนี้ศาสนาอิสลามยังได้เน้นหนักในเรื่องหน้าที่สืบทอดวัฒนธรรมเป็นพิเศษ ซึ่งตามหลักการแล้วถือว่าเป็นหน้าที่มุสลิมทุกคนที่จะต้องเรียนนรู้และเผยแพร่ศาสนา ถ้าผู้ใดละเว้นจะถือเป็นบาป จะเห็นได้ว่าสังคมมุสลิมเป็นลักษณะสังคมปิด (Close Society) ยึดมั่นในศาสนาอิสลาม โดยถือว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของศาสนามิใช่ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นอกจากนั้นยังถือว่าขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้วย ถ้าผิดแผกนอกเหนือไปจากที่เคยปฏิบัติมาก็จะไม่ยอมรับ โดยอ้างว่าผิดหลักศาสนาหรือผิดทัศนคติของตน (หน้า 9)

Education and Socialization

ในด้านการศึกษา แม้ว่า 4 จังหวัดภาคใต้ได้มีการใช้ พ.ร.บ. ประถมศึกษา ปี พ.ศ. 2464 และมีโรงเรียนประชาบาลอยู่ทั่วไป ปรากฎว่ามีนักเรียนมาเรียนน้อย อัตราเด็กรู้หนังสือและผลการสอบต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการจัดการด้านการเรียนการสอนและตำราเรียนไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น ชาวไทยมุสลิมไม่เห็นด้วยและพวกอนุรักษ์นิยมเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมและความเชื่อในศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นเด็กเรียนยังมีโอกาสใช้ภาษาไทยนอกห้องเรียนน้อยอีกด้วย และโดยส่วนใหญ่ชาวไทยมุสลิมไม่นิยมส่งบุตรหลานของตนเข้าเรียนภาษาไทยในโรงเรียนของรัฐบาล แต่กลับนิยมให้เข้าเรียนทางศาสนาในโรงเรียนปอเนาะ (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม) ดังนั้น ประชากรส่วนใหญ่จึงมีการศึกษาต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (หน้า 6)

Health and Medicine

ไม่ปรากฎ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

สำหรับการละเล่นที่สำคัญของชาวไทยมุสลิมนั้น ประกอบด้วยรองแง็ง กรือโน๊ะ สิละ บานอ วันเปง และคือตรี สำหรับตรีนั้นเป็นกึ่งพิธีกรรมกึ่งการละเล่น ซึ่งมีขึ้นเพื่อติดต่อกับผีสางในการแก้ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ (หน้า 10)

Folklore

ไม่ปรากฎ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ด้วยลักษณะของไทยมุสลิมไม่ว่าจะภาษา ศาสนา การแต่งกายตลอดจนอาหารและความเป็นอยู่ ที่แตกต่างจากคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ (หน้า 9,10) ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยมุสลิมและไทยพุทธเป็นอันมาก จะเห็นได้ว่าชาวไทยมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้กับชาวไทยพุทธ โดยทั่วไปมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมประเพณี ศาสนา ความเชื่อ ภาษา และแม้กระทั่งสำนึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตามปกติแล้วเมื่อคนสองกลุ่ม ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันมาอยู่ด้วยกันมีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งได้ง่าย โดยเฉพาะอ่างยิ่งในเรื่องของการติดต่อซึ่งกันและกัน ทัศนคติที่มีต่อกัน และการยอมรับซึ่งกันและกัน ในชุมชนที่มีไทยมุสลิมและไทยพุทธอาศัยอยู่ร่วมกัน (หน้า 11,12) ผู้เขียนได้แสดงเหตุผลในการเลือกชุมชนทั้ง 6 ดังกล่าวโดยได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยมุสลิมและไทยพุทธในชุมชนดังนี้ (หน้า 39) หมู่บ้านพิกุลทอง เป็นหมู่บ้านที่มีการติดต่อระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิมน้อย ต่างคนต่างอยู่ โดยชาวไทยมุสลิมมีความรู้สึกว่าทางราชการไม่มีความเป็นธรรมในการช่วยเหลือหมู่บ้านเช่น โครงการจัดจตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง โดยมองว่าโครงการดังกล่าวมุ่งช่วยเหลือแต่เพียงชาวไทยพุทธ ผู้ได้รับผลประโยชน์มีเพียงชาวไทยพุทธเท่านั้น หมู่บ้านกำแพง เป็นหมู่บ้านที่มีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมมีการติดต่อกันมากอันเนื่องมาจากต้องใช้เส้นทางคมนาคมเส้นเดียวกัน มีการ่วมงานประเพณีบางอย่างของแต่ละศาสนาร่วมกัน และชาวไทยมุสลิมเพศชายมักจะมาร่วมดื่มน้ำตาลเมา(หวาก) ในเขตกลุ่มบ้านไทยพุทธเป็นประจำ หมู่บ้านจาเราะสะโต เป็นหมู่บ้านที่มีการติดต่อกันระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิมน้อยเช่นเดียวกับหมู่บ้านพิกุลทอง และด้วยเหตุผลเช่นเดียวกันกับหมู่บ้านพิกุลทองและตามโครงการของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านพิกุลทอง หมู่บ้านเปล เป็นหมู่บ้านที่มีการติดต่อกันระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิมมาก อันเนื่องมาจากต้องใช้เส้นทางคมนาคมร่วมกัน มีการร่วมงานประเพณีบางอย่างทางศาสนาร่วมกัน และชาวไทยมุสลิมเพศชายมักจะมาร่วมดื่มน้ำตาลเมา(หวาก) ในเขตกลุ่มบ้านไทยพุทธเป็นประจำ หมู่บ้านบางขุนทอง เป็นหมู่บ้านที่มีไทยพุทธและไทยมุสลิมติดต่อกันมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นหมู่บ้านพัฒนาตัวอย่างของอำเภอตากใบ เจ้าหน้าที่ 4 กระทรวงหลักได้ระดมกันเข้าไปพัฒนาทั้งทางด้านความคิดและวัตถุ อันส่งผลให้ชาวไทยทั้ง 2 ศาสนาหันมาร่วมมือกันพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง หมู่บ้านศรีพะงัน เป็นหมู่บ้านที่ไทยพุทธและไทยมุสลิมมีการติดต่อกันน้อยเนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับพรมแดนประเทศมาเลย์เซีย ชาวไทยมุสลิมนิยมไปติดต่อกับชาวมาเลเซียมากกว่าไทยพุทธ

Social Cultural and Identity Change

ไม่ปรากฎ

Other Issues

ไม่ปรากฎ

Map/Illustration

(หน้า 94) แผนที่โดยสังเขปแสดงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส

Text Analyst ปฤณ เทพนรินทร์ Date of Report 06 พ.ย. 2555
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายูมุสลิม, ไทยพุทธ, ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม, ระยะทางทางสังคม, นราธิวาส, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง