สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มลาบรี วิถีชีวิต การปรับตัว การเปลี่ยนแปลง น่าน
Author วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์
Title มลาบรี
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 41 Year 2544
Source คนนอก กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี
Abstract

ไม่ปรากฎ

Focus

วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนเผ่ามลาบรีภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงรวมไปถึงการปรับตัวของมลาบรีรุ่นใหม่เพื่อให้เข้ากับสภาวะการณ์ปัจจุบันที่ป่าซึ่งเปรียบเสมือนบ้าน กำลังจะหมดไป

Theoretical Issues

ไม่ปรากฎ

Ethnic Group in the Focus

มลาบรี(ผีตองเหลือง, ข่าตองเหลือง, ยุมบรี, ม้ากู่) เป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์สุดท้ายในประเทศไทยที่ดำรงอยู่ด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่า ซึ่งถือว่ามีพฤติกรรมเช่นเดียวกับมนุษย์หินเก่า (หน้า153) พวกเขาเรียกตัวเองว่า “มลาบรี” โดย “มลา” แปลว่า คน และ “บรี” แปลว่าป่า พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการเรียกขานว่า “ผีตองเหลือง” โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาไม่ใช่คนตายจะมาเรียกว่าผีได้อย่างไร (หน้า 142)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ปรากฎ

Study Period (Data Collection)

ไม่ปรากฎ

History of the Group and Community

สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษมลาบรีมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในเขตจังหวัดสายบุรีของประเทศลาว ตระกูลของภาษาของชนเผ่านี้จัดอยู่ในกลุ่มมอญ-เขมร ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับลัวะ ถิ่น ขมุ ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของไทยและลาว คาดคะเนว่าชนเผ่านี้ได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยมากว่า 100 ปี แล้ว ในปี พ.ศ. 2462 เริ่มมีการพบหลักฐานเกี่ยวกับพวกเขาในบริเวณอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ปี พ.ศ. 2467 พบที่อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย นอกจากนั้นยังพบหลักฐานว่าเคยมีอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แพร่ และน่าน (หน้า 167-169)

Settlement Pattern

ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในพื้นที่สองจังหวัดในประเทศไทย คือ จังหวัดแพร่และน่าน โดยที่ผ่านมามลาบรีมีพื้นที่พักอาศัยประจำอยู่ 8 แห่ง และมีการโยกย้ายสับเปลี่ยนที่อยู่ตามฤดูกาลหรือช่วงเวลาและโอกาสดังนี้ 1. บ้าน ห้วยฮ่อม อำเภอ ร้องกวาง จังหวัดแพร่ 2. บ้านขุนสถาน ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 3. บ้านห้วยหยวก ตำบลแม่คะนิง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน 4. บ้านภูเค็ง ตำบลแม่คะนิง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน 5. บ้านห้วยบ่อหอย ตำบลยาบหัวนา อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน 6. บ้านนาก้า ตำบลยาบหัวนา อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน 7. บ้านขุนสมุน ตำวลสมุน อำเภอเมือง จังหวัดน่าน 8. บ้านปี้เหนือ ตำยบลจวบ กิ่งอำเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่าอาศัยอยู่เพียง 5 หมู่บ้านเท่านั้นคือ บ้านห้วยยวม ,บ้านปี้เหนือ, บ้านห้วยหยวก,บ้านภูเค็งและบ้านห้วยบ่อหอย (หน้า 169-170)

Demography

จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2530 พบว่ามี มลาบรีจำนวน 109 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 สำรวจเพิ่มเติมพบว่ามีชนเผ่านี้อยู่ 112 คน เป็นชาย 29 หญิง 34 เด็กชาย 29 เด็กหญิง 20 คน (เฉพาะพื้นที่จังหวัดน่านเท่านั้น) ทั้งนี้จากข้อมูลในเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2534 พบว่า มลาบรีในไทยมีทั้งสิ้น 180 คน อยู่ในจังหวัดน่าน157 คนและอยู่ในจังหวัดแพร่ประมาณ 23 คน โดยอาศัยอยู่เป็นสี่กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านห้วยบ่อหอยมี 66 คน กลุ่มบ้านห้วยหยวก 64 คน กลุ่มบ้านปี้เหนือ (กิ่งอำเภอบ้านหลวง) มี 27 คน และกลุ่มสุดท้ายอาศัยอยู่รวมกันในไร่ของฝรั่งนักสอนศาสนาชื่อ บุญยืนที่บ้านห้วยฮ่อม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ 23 คน (หน้า 169-171)

Economy

การยังชีพของมลาบรีอาศัยการเข้าป่าล่าสัตว์ เก็บพืชผักตามบริเวณที่อาศัยอยู่ในขณะนั้น อาวุธที่ใช้มีเพียงสองอย่างคือ มีดและหอก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปรับจ้างในไร่ของม้งหรือของคนเมืองแทน บางคนจะผูกปีกับไร่ของม้ง (หน้า 157) บางครอบครัวก็จะไปรับจ้างตามไร่ต่างๆ ไปเรื่อย ๆ เช่นครอบครัวของเฒ่าเป็งจะแวะเวียนไปตามไร่ต่างๆ เพื่อรับจ้างเก็บข้าวโพดขึ้นยุ้ง ไร่ละ 5 วัน 3 วัน (หน้า 153)

Social Organization

ครอบครัวมลาบรีมีขนาดเล็ก บ้านหลังหนึ่งนอกจากพ่อแม่ลูก อาจมีผู้เฒ่าร่วมอยู่ด้วย เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งแต่งงาน จะแยกตัวออกไปสร้างครอบครัวใหม่ แต่ก็ยังไปมาหาสู่กัน ส่วนมาก เครือญาติจะอาศัยอยู่บริเวณที่ไม่ห่างกันนัก มีประมาณ 7-8 ครัวเรือน กระจายอยู่ในพื้นที่ภูเขาหลายลูก ในหมู่เครือญาติ(หากเปรียบไปแล้วคงเหมือนหมู่บ้าน) นี้ ไม่มีผู้นำอย่างเป็นทางการ โดยมากจะนับถือผู้อาวุโสสูงที่สุดหรือผู้ที่มีความสามารถในการล่าสัตว์ได้มากที่สุด ชีวิตประจำวันของเผ่ามลาบรีส่วนใหญ่หมดไปกับการหาอาหาร โดยมีการแบ่งงานกันทำให้ ผู้หญิงจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเด็กๆ เตรียมใบตองเพื่อนำมามุงหลังคา นำป่ามาถักบ่าม หาผืนมาก่อไป และหาอาหารบริเวณใกล้ ๆ ที่พัก รัศมีประมาณ 1 กม. ส่วนใหญ่เป็นการขุดเผือกมัน ผู้ชาย มีหน้าที่ออกไปหาของป่า ล่าสัตว์ และหาพืชผักที่อยู่ไกลออกไป หาไม้มาทำเพิงพัก ทำเครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้าน เช่น มีด หอก ส่วนเด็กๆ เองก็มีหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยเด็กผู้หญิงมีหน้าที่ช่วยงานบ้าน เช่น จักสานา เด็กผู้ชายติดตามผู้ใหญ่ออกไปล่าสัตว์และช่วยหาอาหาร (หน้า147-148) ในเรื่องการจัดการความขัดแย้ง หากมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างคนสองคน จะจัดการโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เพื่อตัดบทโดยไม่ต้องมีผู้ตัดสินไกล่เกลี่ย ผู้เขียนได้เสนอว่าโดยมากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักมาจากการที่ผู้ชายบางคนไม่พอใจที่ผู้หญิงของตนไปรักชายคนใหม่ แต่ตามประเพณีของ มลาบรีนั้น หากฝ่ายหญิงตัดสินใจไปแล้วฝ่ายชายไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

มลาบรีเชื่อกันว่า ถ้าลงหลักปักฐานเมื่อใด ผีคนตายจะทำร้าย หรือไม่ก็ส่งเสือมาเอาชีวิต ผีและเสือถือเป็นสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุด (หน้า 142) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดข้อห้ามต่างๆ เช่น การไม่ยอมเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อเกษตรกรรม การไม่ยอมแต่งงานกับคนนอกเผ่าพันธุ์ ไม่ยอมเรียนหนังสือ เพราะคนเฒ่าคนแก่บอกต่อกันมากว่า ผีและเสือจะมาทำร้าย (หน้า 142-143) ในด้านประเพณีการแต่งงานของมลาบรี จะมีขึ้นก็ต่อเมื่อฝ่ายชายไปขอฝ่ายหญิงกับแม่และ พ่อ (หมายถึงคนที่แม่อยู่ด้วยในขณะนั้น) ของฝ่ายหญิง โดยฝ่ายหญิงจะไม่มีการเรียกสินสอดทองหมั้นใดๆ ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงอนุญาต คนทั้งสองก็อยู่ร่วมกันได้ บางครั้งจะมีการไปอาหารต่างๆ มาสู่กันกินในครอบครัว เป็นการประกาศให้รู้ว่าทั้งสองเป็นคู่กัน แม้จะอนุญาตให้มีการเปลี่ยนคู่-หย่าร้างได้ กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดข้อหนึ่งของเผ่าคือ หญิงสาวจะอยู่กินกับสามีได้คราวละหนึ่งคนเท่านั้น และฝ่ายผู้ชายจะต้องแต่งงานกับหญิงเพียงคนเดียวเช่นกัน จะมีใหม่ได้ก็ต่อเมื่อเลิกกับคู่คนเดิมแล้ว พวกเขาจะไม่มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นโดยที่ยังไม่เลิกกับคู่คนเดิม (หน้า 149-151)

Education and Socialization

ไม่ปรากฎ

Health and Medicine

มลาบรีมีความรู้เรื่องสมุนไพรเป็นอย่างดี เพราะต้องอาศัยอยู่ในป่า พวกเขาจำเป็นต้องรู้ว่าสิ่งใดกินได้ พืชใดมีพิษ พวกเขาใช้สมุนไพรหลายชนิดในการรักษาอาการบาดเจ็บ ไข้ป่า หรือห้ามเลือด ฯลฯ (หน้า 145-146) ชนเผ่านี้เชี่ยวชาญสมุนไพรจนพวกต่างเผ่าไม่ว่า ม้ง ถิ่น และขมุ ต่างยกย่อง บางครั้งมลาบรีก็เก็บสมุนไรลงไปแลกของใช้ท่จำเป็นจากพวกต่างเผ่านี้

Art and Crafts (including Clothing Costume)

แคน (ผู้เขียนไม่ได้บรรยายลักษณะว่าเหมือนหรือต่างกันแคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างไร) เป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่มลาบรีมี โดยใช้ในโอกาสการฉลองเมื่อล่าสัตว์ใหญ่ได้ ซึ่งบรรเลงคู่กับการร้องรำดนตรี (หน้า 147)

Folklore

ไม่ปรากฎ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มลาบรีที่สัมพันธ์กับคนเมืองและม้ง โดยมลาบรีรุ่นใหม่จะเข้าไปเป็นแรงงานรับจ้างม้ง โดยยกครอบครัว (ประมาณ 5-7 คน) ไปอยู่ด้วยกันในไร่ ซึ่งม้งจะต้องเลี้ยงดูให้เสื้อผ้า อาหาร ข้าว เกลือ ยาสูบ ยารักษาโรค หรือสิ่งของอื่นที่มลาบรีต้องการ โดยมลาบรีจะทำงานให้ม้งโดยแลกกับหมูและสิ่งของจำเป็นเหล่านี้ (หน้า 153-158)

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันนี้นอกจากพืชพรรณในป่าจะหายากไม่พอกินแล้ว ยาหรือสมุนไพรต่างๆ ยังไม่สามารถระงับพิษไข้ป่าหรือมาเลเลียได้อีกต่อไป ด้วยเพราะสภาพพื้นที่ป่าถูกทำลายจากสัมปทานป่าไม้ ยังผลให้อาหาร สมุนไพร ลดน้อยลงอย่างมาก มลาบรีรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งจึงเข้ามาเป็นลูกจ้างทำไร่ให้พวกม้ง ก่อนหน้านั้นที่จะเข้ามาเป็นนลูกจ้างชาวไร่เต็มรูปแบบ พวกเขาเคยมารับจ้างม้งเฉพาะช่วงฤดูเพราะปลูกและข่วงเก็บเกี่ยวข้าวโพด ได้รับค่าตอบแทนเป็นหมู ข้าวสาร อาหารแห้งบ้าง อาศัยหาอาหารจากป่าฤดูฝนอันอุดมสมบูรณ์ก็พอดำรงได้ พอหลังจากเดือนพฤศจิกายน ธันวาคมการเก็บเกี่ยวไปแล้ว พวกเขาจะกลับเข้าป่าไปดำรงชีพแบบเดิม (หน้า 153,155) ตรงกันข้าม มลาบรีรุ่นใหม่ปฏิเสธชีวิตในแบบ “คนป่า” อย่างสิ้นเชิง มีสัดส่วนมากขึ้นราวครึ่งหนึ่งของมลาบรีทั้งหมด พวกนี้จะรับจ้างทำไร่อยู่กับครอบครัวม้งแบบผูกปี เปลี่ยนนายจ้างไปเรื่อยๆ บางปีอยู่กับครอบครัวหนึ่ง ครั้นไม่พอใจก็จะย้ายไปอยู่กับครอบครัวอื่นในปีถัดไปเพราะข้อตกลงไม่ได้มีรายละเอียดเป็นสัญญาว่าจ้างแต่อย่างใด ค่าจ้างที่ได้รับจากม้ง คือ หมูหนึ่งตัวต่อการทำงานหนึ่งปี ซึ่งหากตีราคาประมาณ 3,000 บาท (ด้วยเนื้อหมูเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดรองลงมาคือเนื้อไก่) กระนั้นก็ดี มีมลาบรีรุ่นใหม่ที่มองว่าการได้รับค่าจ้างเป็นตัวเงินจะดีกว่าเพราะเห็นด้วยกับนายจ้างว่าหมูกินแล้วก็หมดไป แต่ถ้ามีเงินแล้วอยากได้อะไรก็หาซื้อเอาได้ (หน้า 155,157) สภาพบ้านเรือนก็เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยอาศัยในเพิงแล้วย้ายไปเรื่อย กลับเป็นการหาที่พักที่ถาวรขึ้น เช่น พักในไร่ หรือยุ้งของนายจ้าง หรือทำเป็นกระต๊อบบ้าง ส่วนอาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค ก็ได้จากม้งหมด มีอาหารส่วนน้อยเท่านั้นที่หาจากป่า (หน้า 146) อย่างไรก็ตามที่สิ่งที่เปลี่ยนไปคงเฉพาะเรื่องการหากินที่เลิกหาของป่ากลับมาทำงานรับจ้าง แต่ส่วนอื่น อาทิ ประเพณีหรือความเชื่อ ยังไม่เปลี่ยนพวกเขายังคงไม่ยอมเรียนหนังสือ ไม่ทำไร่เลี้ยงสัตว์ของตนเอง และไม่แต่งงานกับคนนอกเผ่า (หน้า 157)

Other Issues

ไม่ปรากฎ

Map/Illustration

ในหน้า 160มี แผนที่แสดงการเคลื่อนย้ายของมลาบรีครอบครัวอ้ายจัน สำรวจระหว่าง พ.ศ. 2525-2528 (ที่มา : โครงการวิจัยชาติพันธุ์ทางโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร )

Text Analyst ปฤณ เทพนรินทร์ Date of Report 00 543
TAG มลาบรี วิถีชีวิต การปรับตัว การเปลี่ยนแปลง น่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง