|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คะยัน กะจ๊าง กะเหรี่ยงคอยาว ปาดอง ,ธุรกิจการท่องเที่ยว,การปรับตัว,ความเปลี่ยนแปลง,บ้านเสือเฒ่า,แม่ฮ่องสอน |
Author |
วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์ |
Title |
ปาดอง : มายา-อานุภาพในห่วงทองเหลือง |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กะยัน แลเคอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
30 |
Year |
2544 |
Source |
คนนอก กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี |
Abstract |
บทความชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นถึง ชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าปาดอง ของบ้านห้วยเสือเฒ่า อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งนอกจากการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในเชิงธุรกิจการท่องเที่ยวแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตท่ามกลางการกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม (ซึ่งสิ่งที่ผลักดันไม่ใช่เพียงแค่การชักจูงจากนายหน้า แต่ยังรวมถึงความต้องการหลบลี้จากภัยสงคราม และเพื่อแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ) |
|
Focus |
บทความชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นถึง ชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าปาดอง ของบ้านเสือเฒ่า จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งนอกจากการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในเชิงธุรกิจการท่องเที่ยวแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตท่ามกลางการกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม (ซึ่งสิ่งที่ผลักดันไม่ใช่เพียงแค่การชักจูงจากนายหน้า แต่ยังรวมถึงความต้องการหลบลี้จากภัยสงคราม และเพื่อแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ปาดอง (Padaung) เป็นคำภาษากะเหรี่ยง แปลได้ว่า ผู้สวมห่วงทองเหลือง แต่ปาดองส่วนใหญ่ต้องการให้เรียกเขาว่า กะยัน (Kayan) นอกจากนี้ยังพบชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กะเหรี่ยงคอยาว, แลเคอ, กะยัน, และกะจ้าง (หน้า 120-121)
ปาดองถือเป็นกลุ่มย่อยของกะเหรี่ยงถ้าพิจารณาด้านสรีระ โครงสร้างทางร่างกาย กลุ่มชาติพันธุ์ปาดองจัดเป็นพวกมองโกลอยด์ใต้ (Southern Mongoloids) (หน้า 117) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้อ้างถึงรายงานของ นิภา ลาชโรจน์ (พ.ศ. 2536) แห่งสถาบันวิจัยชาวเขา บอกถึงการนำ ผู้หญิงคอยาวเข้ามาเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวว่า ประมาณปี พ.ศ. 2528-2529 บริษัทนำเที่ยวได้ติดต่อกับกะเหรี่ยงในเขตพม่าชื่อ ตูยีมู ขอนำปาดองเข้ามาอยู่ในเขตไทยที่บ้านน้ำเพียงดิน เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม โดยมีเงินค่าตอบแนวให้ปาดองใช้จ่ายส่วนตัวรวมถึงซื้อเสบียงอาวุธ เพื่อต่อสู้กับทหารพม่า ปัจจุบัน( พ.ศ. 2536) ปาดองได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านในสอยห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กม. เพราะบ้านน้ำเพียงดินคมนาคมไม่สะดวก และถูกทหารพม่ารบกวน บริษัทนำเที่ยวเกรงจะไม่ปลอดภัยจึงต้องย้าย หมู่บ้านในสอยเป็นบ้านไทยใหญ่ มี 32 หลังคาเรือน ส่วนบ้านปาดองมีประมาณ 17 หลังคาเรือน อยู่เลยจากหมู่บ้านไทยใหญ่ไปประมาณ 3 ก.ม. ปัจจุบัน (ประมาณ 2540) ยังมีปาดองเหลืออยู่ที่น้ำเพียงดิน ขณะเดียวกันมีปาดองบางส่วนจากบ้านใหม่ ในสอย อพยพมาอยู่ที่บ้านห้วยเสือเฒ่าเมื่อสี่ปีที่แล้ว (ขยับเข้ามาใกล้เมืองเพื่อให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก--บ้านเสือเฒ่าห่างจากตัวเมืองเพียง 10 กม. ) บ้านใหม่-ในสอยก็ยังมีปาดองเป็นทางเลือกสำหรับนักเดินทางผู้รักการผจญภัย การโยกย้ายจึงดูเป็นการขยายสาขามากกว่า (หน้า 118) ในตอนท้ายของบทความผู้เขียนได้สัมภาษณ์ นางจันทร์เพ็ญซึ่งเป็นผู้ดูแลกะเหรี่ยงคอยาวทั้งสามหมู่บ้าน (บ้านน้ำเพียงดิน บ้านใหม่-ในสอย และบ้านห้วยเสือเฒ่า) โดยนางเล่าว่า ในปี 2528 หรือ 2529 นางได้พบเห็นปาดองที่ผาห่มน้ำในเขตพม่า ห่างจากชายแดนไทย 6 กม. ขณะนั้นปาดองอาศัยอยู่กับทหารกะเหรี่ยง นางจึงได้ติดต่อขอนำปาดองเข้ามาเขตไทย นางเล่าต่อว่า ปาดองในตอนแรกมีสามครอบครัวคือ อู่คำ, หม่องถ่า และหม่องเป่ง ตอนนี้สามครอบครัวนี้อยู่ที่บ้านน้ำเพียงดิน |
|
Economy |
รายได้ของปาดองในชุมชนบ้านห้วยเสือเฒ่าแห่งนี้ แต่ละคนจะได้รับจากผู้ดูแลหมู่บ้านคือ ป้าเป็ง โดยจะได้รับเงินเดือนๆ ละ1,500 บาท (สำหรับคนที่สวมห่วง) อาจมีเพิ่มจากการไปโชว์ตัวที่จังหวัด หรือร้องเพลงดีดตะยู่ให้นักท่องเที่ยวฟัง รวมไปถึง ข้าวสาร (หน้า 125 ) นอกจากนี้ปาดองยังหารายได้จากการขายของที่ระลึก อาทิเช่น ห่วงทองเหลือง เสื้อผ้าของกะเหรี่ยง, ย่าม, มีด, กำไล, ตุ้มหู ภาพลายเส้นหญิงปาดอง, ตุ๊กตาปาดอง, โปสการ์ด ของบางอย่างที่ไปซื้อมาจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน หรือ ของที่ไปซื้อหามาจากเมืองลอยก่อและตองยีฝั่งพม่า (หน้า 119) |
|
Political Organization |
สำหรับชุมชนปาดองบ้านห้วยเสือเฒ่าแห่งนี้ การปกครองอยู่ภายใต้การดูแลของ ป้าเป็งหรือ นางจันทร์เพ็ญ สันติสุข และผู้ใหญ่บ้าน (หน้า 125-126) ที่รับผิดชอบทุกอย่างตั้งแต่การตั้งกฎซึ่งถือเป็นสิ่งที่ชาวปาดองในชุมชนแห่งนี้ต้องปฏิบัติตาม 7 ข้อ อาทิเช่น ปาดองและกะยอจะเดินทางออกจากหมู่บ้านไปไหน ไม่ว่าจะไปซื้อของในตัวเมืองหรือไปบ้านห้วยกูแกง ต้องขออนุญาตจากแม่เป็งทุกครั้ง เมื่อได้รับอนุญาตจึงจะไปได้, ปาดองและกะยอผู้หญิงต้องแต่งกายชุดประจำเผ่าของตนไว้รับแขกที่มาเที่ยว ตั้งแต่ 8.00 น. ถึง 17.00 น. ห้ามเดินเล่นเวลาแขกมาเที่ยว ให้อยู่ภายในบ้านเท่านั้น ฯ นอกจากนี้ป้าเป็งยังเป็นผู้ดูแลในการ การจ่ายเงินเดือน รวมไปถึงความปกติสุขเรียบร้อยของคนในชุมชนทั้งหมด |
|
Belief System |
ประเพณีการสวมห่วงทองเหลือง จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ วัฒนธรรมการสวมห่วงทองเหลืองเกี่ยวพันกับความงาม ความโดดเด่นของร่างกายและเผ่าพันธ์ โดยห่วงห้าชั้นแรกจะใส่ตอนอายุ 10 ขวบ (แต่ปัจจุบันพบว่ามีอายุ 5 ขวบ) พร้อมกับพิธีเฉลิมฉลอง และจะเดิมมากขึ้นๆ จนโตเป็นสาว หญิงปาดองจะมีห่วงคอถึง 20 ชั้น น้ำหนักที่ร่างกายต้องแบกรับเพิ่มขึ้น 8-10 กิโลกรัม จากปกติ หญิงสูงอายุบางคนต้องแบกรับถึง 20-35 กก. อย่างไรก็ตามปาดองยุคใหม่ไม่นิยมในปริมาณและน้ำหนักที่มากมายอีกแล้ว ปกติน้ำหนักจะประมาณ 7 กิโลกรัม ทั้งนี้ประเพณีการสวมใส่ห่วงคอยังพบในกะเหรี่ยงพวกที่เรียกตนเองว่า ละมุง (Lamung Karen) และเชื่อว่าน่าจะมีชาวเผ่ามากกว่าสองเผ่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สวมห่วงคอโลหะหลายชั้นซ้อนกัน (หน้า 117,118) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของปาดองในสมัยก่อนแตกต่างกับปัจจุบัน โดยคนรุ่นเก่าผมจะตัดผมข้างหน้าสั้นหรือรวบเกล้ามวยทั้งหมด ไม่ปล่อยเป็นผมม้าเช่นปัจจุบัน ผ้าโพกหัวเป็นผ้าธรรมดา โพกไว้ง่ายๆ ไม่เน้นสีสัน ไม่คาดผมแล้วปล่อยชายผ้าห้อยระบ่าแบบปะดองรุ่นใหม่ คนรุ่นก่อนมวยผมด้านหลังบางครั้งจะเปิดให้เห็นที่ติดผมและปักปิ่นเงินอันใหญ่ที่มีลักษณะเป็นหลอดเล็กยาวสองหลอดเสียบในห่วงเงินหลายห่วงซ้อนกัน ตรงลำคอที่พันด้วยทองเหลืองจะถูกเน้นด้วยสร้อยเงินและเหรียญโลหะ รับกับตุ้มเงิน นิยมสวมเสื้อแขนยาวสีดำทับเสื้อกระสอบสีขาว ส่วนน่องจะพันทองเหลืองเกือบตลอดทั้งแต่ใต้เข่าจรดเท้า และรัดร้อยลูกปัดขาวบางช่วง |
|
Folklore |
ปะดองเป็นชนเผ่าที่มีลักษณะเด่นทางการแต่งกายคือการสวมห่วงทองเหลือง พร้อมกับห่วงทองเหลืองบนคอหญิงปาดอง มี เรื่องเล่าตำนานหรือนิทาน (myth) อย่างมากมาย ผู้เขียนได้เสนอไว้ 3 เรื่อง ดังนี้
1. ในอดีตไกลโพ้น ปาดองหรือแลเคอเป็นนักรบผู้กล้าหาญ มีความกตัญญู รักษาสัจวาจาเท่าชีวิต และเคยมีอำนาจเหนือพม่ามาก่อน ต่อมาพม่ารวมกับชนเผ่าบังการี บรรพชนของบังกลาเทศทำสงครามขับไล่แลเคอ จนเผ่านักรบผู้กล้าต้องอพยพหนีไป และได้นำราชธิดาของผู้นำเผ่าซึ่งอายุเพียงเก้าขวบหลบหนีมาด้วย ราชธิดาได้นำเอาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าชื่อว่า ต้นปาดอง ติดตัวมาด้วย ปาดองนี้มีสีเหลืองอร่ามดุจดั่งทองคำเมื่อมาถึงชัยภูมิที่เหมาะสมจึงสั่งหยุดไพร่พล ราชธิดาได้นำเอาต้นปาดองนั้นพันคอและประกาศว่า จะเอาต้นปาดองออกจากคอก็ต่อเมื่อแลเคอกลับไปมีอำนาจปกครองดินแดนอีกครั้ง นับแต่นั้นมา และเคอผู้รักษาสัตย์ก็จะนำห่วงทองเหลืองมาพันรอบคอให้เด็กหญิงทุกคนเมื่ออายุครบเก้าขวบ โดยหมอผีประจำเผ่าเป็นผู้ประกอบพิธี ระหว่างนั้นหมอผีจะท่องคาถากล่าวเตือนใจให้พยายามกลับไปกู้แผ่นดินคืน
2. เป็นตำนานที่เล่าขานกันมากที่สุดของปาดอง กล่าวไว้ว่า ภูติผีไม่พอใจพวกเขา จึงส่งเสือมากัดกินผู้หญิงของเผ่า บรรพบุรุษปาดอง เกรงว่าถ้าผู้หญิงตายหมด เผ่าพันธุ์ตนจะตายหมดไปจากโลกนี้ จึงให้หญิงของเผ่าสวมปลอกคอทองเหลืองเพื่อป้องกันระหว่างเดินทาง
3. อีกเรื่องหนึ่งคือ พวกปาดองมีแม่เป็นมังกรและหงส์ จึงต้องสวมห่วงคอเพื่อให้คอยาวส่ายระหง ไปมาดูสง่างามเหมือนคอหงส์และมังกร นอกจากนี้ยังมีบางตำราคาดเดาด้วยหลักการว่า เครื่องแต่กายที่ผิดปกติ (ธรรมชาติ)อย่างร้ายแรงนี้ อาจจะมาจากวันในประวัติศาสตร์อันยาวนาน เมื่อครั้งปาดองตกเป็นทาสของชนที่มีอำนาจเหนือกว่า การใส่ห่วงคอทำให้แยกแยะทาสได้ รวมทั้งยังสามารถจับส่งคืนเจ้านายได้ยามหลบหนี ในตอนท้ายผู้เขียนได้เสนอถึงข้อวิเคราะห์ของตนเกี่ยวกับเรื่องเล่าต่างๆ ซึ่งเขาสนใจเรื่องเล่าที่กล่าวถึงหน้าที่ของ ห่วงทองเหลือง ถือเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เสือทำร้าย โดยผู้เขียน ให้ความเห็นว่าหากแทนเสือด้วย เพศชายของเผ่าอื่น เครื่องแต่งกายผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการบอกความแตกต่างระหว่างกลุ่มเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่โดดเดี่ยวกลางหุบเขา ความแตกต่างเช่นว่าช่วยป้องกันไม่ให้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ เพราะหากเสือ (ชาย) ต่างเผ่าได้ครอบครองหญิงปาดองและพากันออกไปจากชุมชน จะทำให้เผ่าอ่อนแอและสูญสลายไปในที่สุด --วันเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่มีทางหวนคืนมา (หน้า 110) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากการสัมภาษณ์เด็กหญิงปาดองคนหนึ่งอ้างว่าเธออพยพมาจากปางแป้ประเทศพม่า ซึ่งขึ้นกับเมืองบอยบก่อ (Loikaw) รัฐคะยา ทางตะวันออกของประเทศพม่า เป็นรอยต่อระหว่างกะเหรี่ยงคะยาทางทิศเหนือกับปฺกาเกอะญอทางทิศใต้ ใกล้ๆ กันมีหมู่บ้านหัวโต๊ะข่งและดิโม้วโช่ว สองหมู่บ้านก็เป็นเผ่าปาดอง กลุ่มปาดองในพม่ามีหลายกลุ่ม ภาษาพูดคล้ายกันเพี้ยนกันเล็กน้อยพอจับสำเนียงได้ |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในยุคที่รัฐ-ชาติไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านโครงการต่างๆ นานา อาทิ Amazing Thailand หน้าที่ของห่วงทองเหลืองที่เพื่อป้องกันเสือทำร้าย เฉกเช่นเรื่องเล่าแต่กาลก่อนได้เปลี่ยนไป ห่วงทองเหลืองกลับกลายเป็นจุดขายต่อนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม และนั่นย่อมหมายถึงรายได้ที่ตามมา ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงมีปาดองดิ้นรนข้ามพรมแดนมาทางฝั่งแม่ฮ่องสอน และลงหลักปักฐานที่ห้วยเสือเฒ่าแห่งนี้ ในเวลาเดียวกันสิ่งนี้ได้เรียกร้องให้ปาดองปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สิ่งแรกที่จำเป็นสำหรับปาดอง คือ ต้องสื่อสารด้วยภาษาต่างๆ ได้ ผู้เขียนได้ยกกรณีเด็กหญิงปาดองวัย 15 ที่พูดญี่ปุ่น ไทย ได้ซึ่งทำให้สินค้าของเธอขายดียิ่งขึ้น (หน้า 119) ภายใต้ธุรกิจการท่องเที่ยวแม้ว่า หนุ่มปาดองนิยมสวมเสื้อยืดกางเกงขายาวมากกว่าชุดประจำเผ่า แต่สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือต้องอยู่ในเสื้อผ้ากะเหรี่ยงอันเป็นชุดประจำเผ่าในเวลาทำการ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว เพราะมันเป็นเรื่องของธุรกิจที่ต้องขายความเป็นชนกลุ่มน้อย เช่นเดียวกับการใส่ห่วงทองเหลืองที่ผลตอบแทนคือเงินเดือนหาใช่การใส่ตามประเพณีอย่างแต่ก่อน (หน้า 126-127) |
|
Other Issues |
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากปาดองชุมชนบ้านเสือเฒ่าคือ การกลายเป็นสินค้า ปาดองในชุมชนแห่งนี้ (รวมถึงอีกสองแห่ง) ได้กลายเป็นสินค้าที่ใช้ขายแก่นักท่องเที่ยว เห็นได้ชัดเจนจากกฎที่ตั้งไว้ 7 ข้อ อาทิเช่น ต้องแต่งกายชุดประจำเผ่า,ห้ามเดินเพ่นพ่านขณะนักท่องเที่ยวมาเยือน ฯ เป็นการบังคับเพื่อผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจมากกว่าด้านอื่นๆ ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ปาดองในชุมชนแห่งนี้เท่านั้น ภายใต้ธุรกิจการท่องเที่ยวปัจจุบัน ชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นสินค้าเช่นเดียวกัน แต่นั่นหมายถึงพวกเขาเหล่านั้นจะต้องมีจุดขายที่ทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจ |
|
Map/Illustration |
ในหน้า 113 แสดงถิ่นที่อยู่ของชนปาดองส่วนใหญ่ในพม่า บริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านปางแป้ ดิโม้วโซ่ว และ หัวโต๊ะข่ง แห่งเมืองอยก่อ รัฐคะยา (มาจาก The Illustrated Encyclopedia of Mankind) |
|
|