|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,พิธีกรรม,สุพรรณบุรี |
Author |
ประธาน เขียวขำ |
Title |
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในพิธีกรรมชุมชน และประเพณีเกี่ยวกับชีวิต : ศึกษากรณีชุมชนลาวโซ่ง จังหวัดสุพรรณบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
315 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนลาวโซ่งแบ่งออกเป็นการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน และการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลมาจากสาเหตุสำคัญ 8 ประการ คือ การรับนวัตกรรมทางวัตถุ การรับนวัตกรรมที่มิใช่วัตถุ แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การพัฒนาของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน ส่วนการคมนาคม ระบบการศึกษา สื่อ และการย้ายถิ่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิตในชุมชน |
|
Focus |
ศึกษาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนลาวโซ่ง หมู่ 4 บ้านดอนมะเกลือ ตำบลดอนมะเกลือ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยใช้วิธีการทางมานุษยวิทยา ซึ่งผู้เขียนแบ่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมออกเป็น 2 ประเภทคือ การเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน ได้แก่ พิธีบูชาศาลประจำหมู่บ้าน พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีป้าดตง พิธีเสนเรือน พิธีเสนตัว พิธีแปงขวัญ และการเปลี่ยนแปลงประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ได้แก่ ประเพณีการเกิด ประเพณีการบวช ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีการตาย (หน้า ง) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนสนใจศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชุมชนลาวโซ่ง หมู่ 4 บ้านดอนมะเกลือ ตำบลดอนมะเกลือ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เนื่องจากวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนลาวโซ่งในพื้นที่นี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาวโซ่งจะใช้ทั้งภาษาไทยกลางและภาษาลาวโซ่งเป็นภาษาพูด โดยภาษาไทยกลางจะใช้พูดที่โรงเรียนหรือใช้พูดกับบุคคลภายนอกกลุ่ม ส่วนภาษาลาวโซ่งจะใช้พูดกันในหมู่บ้าน หรือในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ สำหรับภาษาเขียนนั้นลาวโซ่งจะใช้ตัวหนังสือภาษาไทยอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช้ตัวหนังสือลาวโซ่ง เนื่องจากไม่มีการใช้ในชีวิตประจำวัน (หน้า 78-79) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป (หน้า 48) |
|
History of the Group and Community |
ลาวโซ่ง ไทยทรงดำ โซ่ง หรือผู้ไทดำ เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน เดิมมีถิ่นฐานอยู่ในแคว้นสิบสองจุไท แถบแม่น้ำดำ แม่น้ำแดง ของประเทศเวียดนาม ติดทางเหนือของประเทศลาวและชายแดนทางใต้ของจีน เดิมแคว้นสิบสองจุไทปกครองตนเอง ต่อมาตกไปอยู่ใต้การปกครองของหลวงพระบาง แคว้นสิบสองจุไทแบ่งการปกครองออกเป็น 12 หัวเมืองหลัก ประกอบด้วยหัวเมืองของผู้ไทขาว 4 หัวเมือง และหัวเมืองของผู้ไทดำ 8 หัวเมือง กลุ่มลาวโซ่งได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในไทย 3 ครั้ง ครั้งแรก คือในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พ.ศ.2322 โดยไทยได้อพยพลาวโซ่งจากเมืองทันต์และเมืองม่วยแล้วมาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเพชรบุรี ครั้งที่ 2 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ.2335 ไทยได้อพยพลาวทรงดำมาจากเมืองแถน เพื่อไม่ให้ลาวทรงดำเป็นกำลังของเวียดนาม และได้ให้ลาวทรงดำมาอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีรวมกับพวกที่ไปอยู่ก่อนแล้ว ครั้งที่ 3 คือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2377 ไทยได้เข้าไปตีเมืองแถนในแคว้นสิบสองจุไท พร้อมทั้งกวาดต้อนลาวทรงดำเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ใน พ.ศ. 2379 ท้าวพระยาของหลวงพระบางไปตีเมืองทึม เมืองคอย เมืองควร และได้กวาดต้อนลาวทรงดำมาอยู่ที่กรุงเทพเช่นกัน ใน พ.ศ.2381 เจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์และเจ้านายทางหลวงพระบางทะเลาะกัน เจ้าราชวงศ์หนีมาอยู่กรุงเทพและคุมลาวทรงดำมาด้วย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลาวโซ่งเป็นอิสระจึงได้อพยพไปอยู่ยังที่ต่างๆ รวมทั้งตำบลดอนมะเกลือ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีด้วย (หน้า 1-2,57-59) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนลาวโซ่ง หมู่ 4 บ้านดอนมะเกลือ ตั้งอยู่ใจกลางตำบลดอนมะเกลือซึ่งอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำจระเข้สามพัน และมีคลองชลประทานไหลผ่าน สภาพพื้นที่เหมาะสำหรับการทำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ (หน้า 59, 65) |
|
Demography |
ลาวโซ่งที่อาศัยในหมู่ 4 บ้านดอนมะเกลือ ตำบลดอนมะเกลือ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีจำนวนทั้งสิ้น 279 คน เป็นผู้ชาย 128 คน เป็นผู้หญิง 151 คน (หน้า 66) |
|
Economy |
อาชีพหลักของลาวโซ่ง คือ เกษตรกรรม ได้แก่ การทำนาปลูกข้าว ซึ่งจะทำในที่นาของตนปีละ 2-3 ครั้งขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ คือ ถ้าเป็นที่ดอนจะทำได้ 3 ครั้งต่อปี ถ้าเป็นที่ลุ่มจะทำได้ 2 ครั้งต่อปี เพราะน้ำจะท่วม รองลงมาคือการทำไร่แตงโม ซึ่งจะทำนอกหมู่บ้านหรือในจังหวัดอื่นๆ โดยจะปลูกปีละ 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการรับจ้างทำนา การทอผ้า ซึ่งกลายเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และการเลี้ยงกุ้ง (หน้า 73-76) มีการทำไร่อ้อยเมื่อ พ.ศ. 2515 โดยเริ่มจากชุมชนใกล้เคียงซึ่งมาเช่าที่ในหมู่ที่ 4 ปลูกอ้อย เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นว่าได้รายได้ดีก็ทำตาม ตาการทำไร่อ้อยใช้แรงงานมากจึงต้องมีการจ้างแรงงาน และรถกระบะก็เป็นความจำเป็นในการขนส่งอ้อย การปลูกแตงโมเริ่มใน พ.ศ.2523 และในที่สุดต้องขยายไปปลูกที่อื่นเพราะกำไรดี (หน้า 91-93) ส่วนการทำไร่อ้อยได้เลิกทำกันไป เพราะมีคลองชลประทานเข้ามา ในปี 2531 ทำให้ทำนาปีละ 3 ครั้ง ได้รายได้ดีกว่า |
|
Social Organization |
ผู้เขียนกล่าวว่า ครอบครัวลาวโซ่งมี 2 ลักษณะคือ ครอบครัวเดี่ยว เป็นครอบครัวขนาดเล็ก ส่วนครอบครัวขยายจะเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ มีสมาชิกมากกว่า 3 ชั่วชีวิตขึ้นไป ในปัจจุบันครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวออกไปทำไร่ และบางส่วนออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน เมื่อมีการแต่งงานเกิดขึ้นฝ่ายหญิงก็จะมาอยู่บ้านฝ่ายชายหรืออาจจะแยกก็ได้ แล้วไปนับถือผีทางฝ่ายชาย แต่ถ้าหากครอบครัวฝ่ายหญิงไม่มีผู้ชายไว้สืบผีก็จะให้ฝ่ายชายมาอยู่บ้านผู้หญิง แต่ฝ่ายชายจะนับถือผีของตนโดยการทำศาลเพียงตาไว้นอกตัวบ้านเพื่อไว้เซ่นวิญญาณบรรพบุรุษของตน เมื่อบ้านฝ่ายหญิงมีทายาทไว้สืบทอดผี ผู้หญิงก็จะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย ก่อนการแต่งงานอาจจะมีการอาสา คือ การทดแทนแรงงานในครอบครัว โดยฝ่ายชายต้องมาอยู่บ้านฝ่ายหญิงเพื่อช่วยทำงานแล้วแต่ว่าก่อนทำงานจะกำหนดไว้กี่ปี หรืออาจจะใช้ข้าวทดแทนอาสาโดยกำหนดว่าข้าวเปลือก 1 เกวียนแทนการอาสา 2 ปี ซึ่งจะใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการอยู่อาสาครบกำหนดก็ทดแทนด้วยข้าวตามจำนวนปี การใช้ชีวิตการแต่งงานของลาวโซ่งนั้นจะเป็นลักษณะผัวเดียวเมียเดียว สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างญาติพี่น้องและเครือญาติของลาวโซ่ง ก็จะมีการพบปะติดต่อ ถามข่าวคราวกันอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 69-70) |
|
Political Organization |
จากการศึกษาพบว่าชุมชนลาวโซ่ง หมู่ 4 บ้านดอนมะเกลือ ขึ้นตรงกับตำบลดอนมะเกลือ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีกำนันซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านด้วยเป็นผู้นำชุมชน รองลงมาคือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าตำบล นอกจากนี้สายตระกูลก็มีบทบาทต่อการปกครองเช่นกัน เพราะลาวโซ่งยึดถือบรรพบุรุษ เห็นได้จากการเซ่นผีเรือน ถ้าตระกูลไหนมีสายมาจากผีผู้ต๊าว (ชนชั้นสูง) ก็จะได้รับการยอมรับเป็นผู้นำชุมชนมากกว่าผู้ที่มาทางผีผู้น้อย (หน้า 72-73) |
|
Belief System |
ลาวโซ่งนับถือศาสนาพุทธ โดยมีวัดดอนมะเกลือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ในช่วงเข้าพรรษาจะมีคนมาบวชกันมากและสึกตอนออกพรรษาเพื่อบวชรับกฐินแล้วก็สึก ซึ่งถือว่าเป็นความเชื่อของชุมชนนี้ พิธีกรรมสำคัญในชุมชนลาวโซ่งมีหลายอย่าง ได้แก่ (1) ประเพณีการไหว้ศาลประจำหมู่บ้าน คือศาลเจ้าพ่อยง เพื่อให้ช่วยคุ้มครองหมู่บ้านให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย และให้ทำนาปลูกข้าว ทำไร่ ปลูกผักให้ได้ผลอุดมสมบูรณ์ และเพื่อเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจของทุกคนในหมู่บ้าน (2) พิธีข่มขวงหรือการขึ้นบ้านใหม่ (3) พิธีป้าดตง คือการนำอาหารไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เสาในกะล้อห่อง (4) การเสนเรือน คือ การทำพิธีอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษขึ้นบนเรือน (5) พิธีเฮียะขวัญหลงและการแปงขวัญ คือ การเรียกขวัญที่หลงไปอยู่ตามป่าเขาให้กลับมา และจากนั้นก็จะบำรุงขวัญ โดยการเซ่นผีขวัญ โดยพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ต้องทำในวัน เดือน ช้างขึ้น ข้างแรมที่กำหนดเท่านั้น ห้ามทำในวัน หรือเดือนอื่นๆ เพราะเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมานาน นอกจากนี้ยังมีประเพณีชีวิตในชุมชน ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด ประเพณีเกี่ยวกับการบวช ประเพณีเกี่ยวกับการแต่งงาน และประเพณีเกี่ยวกับการตาย (หน้า 68-69, 104, 142) |
|
Education and Socialization |
ศูนย์กลางการศึกษาของลาวโซ่ง คือ โรงเรียนบ้านดอนมะเกลือ เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การเรียนในระดับมัธยมจะไปเรียนกันนอกหมู่บ้าน แนวโน้มการศึกษาของนักเรียนส่วนใหญ่จะเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วต่อสายอาชีพ เนื่องจากเห็นว่าการเรียนต่อสายสามัญต้องเรียนนานและจบมาก็หางานทำยาก (หน้า 78-69) |
|
Health and Medicine |
เดิมลาวโซ่งรักษาด้วยหมอประจำหมู่บ้านหรือใช้ยาสมุนไพร หรือรักษาตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน เช่น เป่ามนต์บริเวณที่เจ็บ การเป่าด้วยเหล้าผสมสมุนไพร การใช้คาถาอาคม แต่เมื่อมีสถานีอนามัยขึ้นในปี 2514 ชาวบ้านก็รักษาความเจ็บป่วยด้วยยาแพทย์แผนปัจจุบันแทน และถ้าเจ็บป่วยอย่างรุนแรงก็จะไปโรงพยาบาล (หน้า 88-89) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลาวโซ่งมีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของตน คือ จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีครามหรือสีดำที่ผลิตจากผ้าฝ้ายขึ้นใช้เอง ผู้ชายและผู้หญิงจะสวมใส่เสื้อผ้าแตกต่างกัน โดยผู้ชายจะใส่เสื้อยาวจนถึงระดับเข่า ตรงเอวจะรัดเข้ารูป เรียกว่าเสื้อไท และสวมกางเกงขาสั้นยาวถึงเข่า ปลายขาจะแคบ เรียกว่าส้วงก้อม หรืออาจจะใส่กางเกงยาวถึงตาตุ่มเรียกว่าส้วงสี ส่วนผู้หญิงจะใส่เสื้อเอวกระบอกยาวถึงเข็มขัดเรียกว่าเสื้อก้อม สวมผ้าซิ่นมีลายเส้นสีฟ้าอ่อน เรียกว่า ผ้าลายแตงโม ถ้าไม่สวมเสื้อผู้หญิงที่เป็นเด็กสาวหรือที่ยังไม่ได้แต่งงานก็จะใช้ผ้าสีคาดอก ถ้าแต่งงาน เป็นหม้าย หรืออยู่ระหว่างการให้ทุกข์ก็จะใช้ผ้าคาดอกสีดำ และใส่เครื่องประดับ เช่น ต่างหู กำไลข้อมือ ไม้เสียบผม นอกจากนี้ผู้หญิงลาวโซ่งจะเกล้าผมแบบต่างๆ เพื่อบอกอายุหรือสถานภาพของตน สำหรับหญิงที่สามีเสียชีวิตก็จะไว้ทุกข์โดยปล่อยผมแล้วรวบไว้ที่ท้ายทอย เรียกว่า การปั้นเกล้าตก และใช้ผ้าคาดอกสีดำ ไม่ใส่เครื่องประดับ และใส่ผ้าซิ่นที่ฉีกลวดลายบริเวณชายผ้าออก ปัจจุบันคนแก่เท่านั้นที่ยังแต่งกายแบบลาวโซ่ง ส่วนคนรุ่นใหม่จะแต่งกายตามแบบสากล แต่เมื่อมีงานพิธีต่างๆ ลาวโซ่งทั้งชายและหญิงไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนแก่จะสวมเสื้อตามวัฒนธรรมของตน คือสวมเสื้อฮี ซึ่งเป็นเสื้อสีดำ ยาวถึงเข่า ด้านหน้าปักด้วยไหมย้อมสีต่างๆเป็นลวดลายที่สวยงาม แต่จะเอาด้านที่มีลวดลายไว้ด้านในแทน (หน้า 79-80) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนกล่าวว่าเมื่อมีงานประจำปีลาวโซ่งมักติดต่อกับลาวโซ่งกลุ่มอื่นๆ ซึ่งช่วยรักษาขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณีของลาวโซ่งไว้ให้คงอยู่ดังเดิม (หน้า 73) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนกล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมในชุมชนลาวโซ่งเปลี่ยนแปลงไปมี 8 ประการ ได้แก่ (1) การรับนวัตกรรมทางวัตถุทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน เช่น การใช้รถกระบะ รถจักรยานยนต์ รถยนต์ การใช้รถไถนาแบบเดินตาม การใช้เครื่องสูบน้ำแทนการหาบน้ำ หรือ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ การรับนวัตกรรมทางวัตถุเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ชีวิตของลาวโซ่งมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น (2) การรับนวัตกรรมที่มิใช่วัตถุทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน เช่น การใช้ภาษาไทยในการพูดและการเขียนแทนการใช้ภาษาลาวโซ่ง การรับแนวคิดเรื่องการทำการเกษตรที่ต้องใช้สารเคมี ยาปราบศัตรูพืช การทำนาเพื่อการค้าแทนการทำไว้กินเอง การจ้างแรงงานมาทำนาแทนการลงแรง และให้ค่าตอบแทนเป็นเงิน หรือการส่งเสริมให้ลูกหลานมีการศึกษาที่สูงขึ้น เป็นต้น การรับนวัตกรรมที่ไม่ใช่วัตถุเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ชีวิตของลาวโซ่งมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน (3) แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน เช่น การมีคลองชลประทานช่วยให้เกษตรกรมีน้ำใช้ในการทำการเกษตร ทำนา ทำไร่ หรือปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น เพราะก่อนที่จะมีคลองชลประทานลาวโซ่งไม่มีน้ำสำหรับใช้ในการเกษตร การปลูกพืชผลก็ไม่ได้ผล บางรายต้องไปยืมข้าวเพื่อนบ้านมารับประทาน แต่เมื่อมีคลองชลประทาน ก็มีน้ำใช้ทำการเกษตรตลอดทั้งปี และลาวโซ่งก็เปลี่ยนอาชีพคือเลิกทำไร่อ้อย แล้วหันมาทำนาปรังแทน (4) การพัฒนาของหน่วยงานภาครัฐก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมชุมชน เช่น การมีสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลทำให้ลาวโซ่งหันมารักษากับแพทย์แผนปัจจุบันแทนการรักษาด้วยหมอพื้นบ้านหรือยาสมุนไพร เมื่อผู้หญิงจะคลอดก็ไปคลอดที่โรงพยาบาลแทนการทำคลอดกับหมอตำแย หรือระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ ระบบโทรทัศน์ ทำให้ชีวิตของลาวโซ่งมีความสะดวกสบายมากกว่าเดิม (5) การคมนาคมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิต เพราะก่อนที่จะมีถนนลาดยางลาวโซ่งไม่ค่อยเดินทางไปไหนเพราะต้องเดินทางด้วยเท้าหรือเกวียนเป็นเวลานาน แต่เมื่อมีถนนลาดยางลาวโซ่งเดินทางไปทำงานนอกหมู่บ้าน ไปขายผลผลิต หรือรับผลผลิตมาขายในหมู่บ้านมากขึ้น รวมทั้งมีพ่อค้ามารับซื้อผลผลิตจากในหมู่บ้านถึงที่ และเด็กๆ ก็เดินทางไปโรงเรียนสะดวกกว่าเดิม (6) ระบบการศึกษาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิต เดิมลาวโซ่งไม่ได้เรียนหนังสือ ถ้าจะเรียนก็จบแค่ ป.4 แต่ปัจจุบันคนในชุมชนสนับสนุนให้ลูกหลานมีการศึกษาที่สูงขึ้น อย่างน้อยให้จบ ม.6 เพราะลาวโซ่งเชื่อว่าการมีการศึกษาที่สูงทำให้มีความรู้ รู้เท่าทันคน มีความคิดก้าวหน้า ติดต่อกับหน่วยงานต่าๆ ได้ง่ายและสะดวก มีโอกาสหางานที่ดีทำ ไม่ต้องลำบากทำไร่ทำนาเหมือนคนรุ่นปู่ย่าตายาย หรือรุ่นพ่อแม่อีกต่อไป (7) สื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิต ลาวโซ่งมองว่าสื่อเช่นโทรทัศน์หรือวิทยุมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ จะได้รับทราบข่าวสารบ้านเมือง ราคาผลผลิตพืชผลการเกษตร หรือรับชมความบันเทิงอื่นๆ และทำให้ลูกหลานมีความรู้จากการดูโทรทัศน์ แต่สื่อเหล่านี้มีข้อเสียคือ ทำให้ความคิด หรือพฤติกรรมลูกหลานเปลี่ยนไป เช่น เด็กเลียนแบบการแต่งกายตามดาราในโทรทัศน์ และเด็กบางคนมองว่าวัฒนธรรมในชุมชนของตนเป็นเรื่องล้าหลัง ล้าสมัย (8) การย้ายถิ่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิตในชุมชน ในปัจจุบันลาวโซ่งย้ายไปอยู่ต่างถิ่นมาก เนื่องจากย้ายไปทำงาน หรือไปศึกษาต่อ ทำให้เกิดการรับวัฒนธรรมของต่างถิ่นเข้ามามากยิ่งขึ้นส่งผลต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชน ทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมเปลี่ยนไป (หน้า 260-287) ผู้เขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมชุมชนในอดีตกับปัจจุบันไว้ดังนี้ (1) การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพิธีไหว้ศาลประจำหมู่บ้าน เดิมมีการโยงสายสิญจน์ไปทุกบ้าน แต่ในปัจจุบันไม่มีการโยงสายสิญจน์ไปทุกบ้าน เพราะสิ้นเปลืองและเสียเวลาในการโยง และมีการรับพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาสอดแทรกในพิธีกรรมดั้งเดิม คือ เดิมจะจัดพิธีในตอนบ่าย แต่ปัจจุบันมีการเพิ่มพิธีสงฆ์ในตอนเช้า โดยนิมนต์พระมาบริเวณหน้าศาลและมีการจัดเลี้ยงพระ สำหรับผู้เข้าร่วมพิธีมีจำนวนน้อยลงกว่าในอดีต ส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ และการเดินผ่านศาลในสมัยก่อนจะต้องถอดหมวก แต่ปัจจุบันลาวโซ่งละเลยข้อปฏิบัติดังกล่าว คือ ไม่ถอดหมวกขณะเดินผ่านศาล นอกจากนี้อาหารที่ใช้ในพิธีเป็นอาหารที่หาซื้อจากตลาดไม่ได้เป็นอาหารที่ทำขึ้นเองเหมือนในอดีต (2) การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพิธีข่มข่วง (ขึ้นบ้านใหม่) เดิมบ้านที่สร้างเป็นบ้านไม้แบบลาวโซ่ง แต่ปัจจุบันมีการสร้างบ้านปูน และเป็นบ้านทรงทันสมัย ในการก่อไฟ เพื่อทำพิธีจะใช้เตาถ่านก่อเตาทิ้งไว้ 3 วัน 3 คืน จึงจะดับไฟ แต่ปัจจุบันใช้เตาแก๊สตั้งไว้ในบ้านไม่เกิน 1 คืนพอเป็นพิธี สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงผู้ร่วมพิธีเป็นอาหารที่ทำเองและเป็นอาหารพื้นบ้าน ต่างจากปัจจุบันที่ซื้ออาหารจากตลาด (3) การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพิธีป้าดตง เดิมต้องนำข้าวไปให้ผีเรือนก่อนที่คนในบ้านจะกิน แต่ปัจจุบันจะกินข้าวก่อนเนื่องจากต้องรีบไปธุระ โดยข้าวสำหรับผีเรือนจะตักไว้ก่อนแล้วแยกไว้ต่างหาก ส่วนข้าวเม่าซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในพิธีจะทำกันเอง แต่ปัจจุบันซื้อจากตลาด เพราะกรรมวิธีในการทำนั้นยุ่งยากและเสียเวลา และคนรุ่นใหม่ไม่สามารถทำได้ สำหรับการทำป้าดตงข้าวใหม่จะทำหลังจากที่ข้าวให้ผลผลิตในแต่ละปี แต่ในปัจจุบันไม่ต้องรอปีละครั้งเหมือนสมัยก่อนเพราะสามารถทำนาปรังได้ถึงปีละ 3 ครั้ง (4) การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพิธีเสนเรือน เดิมหมูที่ใช้ในพิธีมาจากการเลี้ยง แต่ในปัจจุบันซื้อหมูที่โตเต็มที่มาใช้ในพิธี ส่วนเหล้าที่ใช้เป็นเหล้าที่หมักเอง เรียกว่า เหล้าโท และอาหารที่ใช้ในพิธีจะทำเองโดยใช้สิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นทำ ต่างจากปัจจุบันที่ซื้อจากตลาด เดิมพิธีการต่างๆ เกี่ยวกับพิธีเสนเรือนมีหลายขั้นตอน แต่ปัจจุบันรวบรัดให้กระชับมากขึ้น ส่วนหมอเสนที่ใช้ทำพิธีมีจำนวนน้อยลง และค่าใช้จ่ายในการทำพิธีสูงขึ้นกว่าในอดีต (5) การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพิธีเสนตัว ในปัจจุบันคนทำพิธีนี้น้อยลงเพราะพิธีการต่างๆมีหลายขั้นตอนและต้องใช้หมอทำพิธีหลายคน ลาวโซ่งจึงไปรดน้ำมนต์หรือสะเดาะเคราะห์กับพระมากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการทำพิธีสูงเพราะมีค่าใช้จ่ายในการตอบแทนหมอพิธี และต้องซื้อของจากตลาดและร้านค้าต่างจากในอดีตที่ใช้ของในท้องถิ่น (6) การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพิธีเฮียะขวัญหลงและแปงขวัญ เดิมทำพิธีเฮียะขวัญหลงและแปงขวัญจะทำพร้อมกัน แต่ปัจจุบันทำเพียงพิธีใดพิธีหนึ่งเท่านั้น เพราะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และไม่มีเวลาในการทำพิธี ลาวโซ่งจึงหันไปรดน้ำมนต์หรือสะเดาะเคราะห์กับพระกันมากขึ้น สำหรับการเปลี่ยนแปลงประเพณีชีวิตในอดีตและปัจจุบัน ผู้เขียนกล่าวไว้ดังนี้ (1) การเปลี่ยนแปลงประเพณีการเกิด การปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ในสมัยก่อนไม่มีการไปพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์เหมือนสมัยปัจจุบัน แต่อาศัยความรู้จากผู้สูงอายุแทน และไม่มีคำแนะนำในการรับประทานอาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ของคนตั้งครรภ์เหมือนคนทั่วไป คือ ยังทำงานหนักตามปกติ ในขั้นตอนการคลอด ในอดีตทำคลอดที่บ้าน โดยวิธีธรรมชาติและใช้หมอตำแย และมีการตอบแทนค่าบูชาครูด้วยเงินตามสมควร แต่ในปัจจุบันจะทำคลอดที่โรงพยาบาล โดยการผ่าหรือใช้ยาสลบและใช้แพทย์แผนปัจจุบันทำคลอด นอกจากนี้ในอดีตจะมีการฝังรกซึ่งต่างจากปัจจุบันที่จะไม่ฝัง ส่วนการปฏิบัติตัวหลังคลอดและการเลี้ยงบุตร ในปัจจุบันไม่ต้องนั่งไปเหมือนในอดีต มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้แก่เด็กตามกำหนดเวลา นมที่ใช้เลี้ยงเด็กเป็นนมผง ซึ่งต่างจากในอดีตที่ใช้น้ำนมมารดาในการเลี้ยงดู นอกจากนี้ ในอดีตแม่จะขับเพลงกล่อมเด็กเป็นภาษาลาวโซ่งให้ลูกฟัง แต่ในปัจจุบัน พ่อแม่จะไม่ขับเพลงกล่อมเด็กอีกแล้ว เพราะไม่สามารถขับได้ สำหรับการตั้งชื่อเด็ก ในอดีตใช้การเสี่ยงทายโดยหมอเสี่ยงทาย (กลางข่วง) และมักตั้งชื่อเด็กด้วยคำพยางค์เดียว แต่ในปัจจุบันใช้ความพึงพอใจ ให้ผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ตั้งชื่อให้ และตั้งชื่อตามสมัยนิยมซึ่งมักเป็นชื่อที่มีความไพเราะ (2) การเปลี่ยนแปลงประเพณีการบวช ในอดีตผู้ที่จะบวชต้องไปอยู่ที่วัดเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการบวชอย่างน้อย 15 วัน และต้องโกนหัวเพื่อไม่ให้ไปเที่ยวหรือจีบสาว แต่ปัจจุบันลดเหลือ 3-7 วัน ในอดีตการทำขวัญนาคจะใช้หมากพลู 2 คำบอกกล่าว แต่ปัจจุบันใช้การแจกบัตรเชิญ แขกที่มาร่วมงานจากที่เคยเป็นคนในท้องถิ่น แต่ปัจจุบันเป็นคนต่างถิ่นมากขึ้น อาหารที่ใช้เลี้ยงแขกเดิมเป็นอาหารพื้นบ้าน แต่ปัจจุบันมีการจัดโต๊ะจีน นอกจากนี้มีการใช้เครื่องขยายเสียง วงดนตรีสตริงแทนการแสดงลิเก และไม่มีวงระนาดมาขับกล่อมในเวลาบวชนาคเหมือนเคย สำหรับการแห่นาค ในอดีตใช้การเดิน ใช้ม้า หรือใช้รถจักรยานแห่ แต่ปัจจุบันใช้รถกระบะแทน และในอดีตใช้กลองยาวในการนำแห่ แต่ต่อมาพัฒนาเป็นแตรวงสมัยใหม่ และปัจจุบันใช้แคนวงแทน ในอดีตการบวชใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2 วัน ส่วนระยะเวลาในการบวชในเดิมต้องบวชอย่างน้อย 1 พรรษา เพื่อจะได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ แต่ปัจจุบันจะบวชแค่ 7-15 วัน และเมื่อสึกมาแล้วต้องอยู่วัดอย่างน้อย 7 วัน แต่ปัจจุบันลดเหลือแค่ 3 วันเท่านั้น (3) การเปลี่ยนแปลงประเพณีการแต่งงาน เดิมโอกาสที่หนุ่มสาวจะได้พบกันคือ ในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าวหรือเวลาไปต๊อดคอน (เล่นลูกช่วง) ที่หมู่บ้านลาวโซ่งแห่งอื่น แต่ปัจจุบันโอกาสที่หนุ่มสาวจะพบกันมีมากขึ้น ในอดีตการติดต่อบอกรักกันใช้การเขียนจดหมาย เขียนบทกลอนภาษาลาวโซ่ง แต่ปัจจุบันจะเดินทางไปมาหาสู่ หรือใช้โทรศัพท์พูดคุยกัน เดิมเวลาหรือเดือนที่ใช้การจัดพิธีแต่งงานได้แก่ เดือน 4, 6, 8 และ 12 เท่านั้น แต่ปัจจุบันอาจใช้เดือนอื่นที่เป็นเดือนคู่ได้เช่นกัน ในอดีตจะใช้เวลาหลายวันหรือมีการทิ้งช่วงในการประกอบพิธีแต่งงาน แต่ปัจจุบันทำให้เสร็จภายในวันเดียว และมีการนำพิธีสงฆ์เข้ามาเกี่ยวข้องในพิธีแต่งงานด้วย อาหารที่ใช้เลี้ยงแขกจะทำกันเอง และเป็นสิ่งที่หาได้ในท้องถิ่น แต่ปัจจุบันซื้อจากตลาด และบางครั้งมีการจัดโต๊ะจีน นอกจากนี้ ในปัจจุบันลาวโซ่งจะแต่งงานกับคนไทยมากขึ้น ต่างจากในอดีตที่จะแต่งกับลาวโซ่งด้วยกันเอง (4) การเปลี่ยนแปลงประเพณีการตาย ในอดีตมีการจัดหญิงร้องไห้หน้าศพ แต่ปัจจุบันไม่มี การตั้งศพจะตั้งไว้ที่บ้านเท่านั้น โดยตั้งไว้ไม่เกิน 1 วัน และลูกหลานจะต้องนั่งหน้าศพตลอดเวลาที่ตั้งศพ แต่ปัจจุบันจะตั้งศพไว้ที่วัด เป็นเวลาหลายคืน และลูกหลานจะดูแลแขกที่มาร่วมงาน ในการแห่ศพ เดิมจะใช้คนหาม และใช้วงปี่พาทย์มอญนำศพไปยังป่าแฮ่ว (ป่าช้า) เพื่อเผา แต่ปัจจุบันจะใช้รถกระบะแห่ศพ และไม่มีวงปี่พาทย์ในการแห่ศพ การแห่ศพจะแห่จากบ้านไปยังวัดเพื่อเผา ในอดีตลูกหลานจะมาเก็บกระดูกผู้ตายเอง และนำกระดูกไปผาที่ป่าแฮ่ว แต่ปัจจุบันสัปเหร่อจะจัดการเก็บกระดูก กระดูกบางส่วนจะนำมาไว้ที่วัดและสร้างเจดีย์เล็กๆไว้ในวัด สำหรับการสร้างแฮ่ว หรือหอแก้วในปัจจุบันจะทำเป็นเสากากบาทไว้บนบ้านเพื่อให้ผู้ตายได้มีโอกาสดูโทรทัศน์ (หน้า 102-184) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางเพื่อแสดงข้อมูลต่างๆ ของลาวโซ่ง เช่น แสดงจำนวนประชากร แสดงอาชีพ แสดงโครงสร้างรายได้ แสดงช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชน รวมทั้งแสดงการรับนวัตกรรมที่ไม่ใช่วัตถุ |
|
|