|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยมุสลิม,คติชนวิทยา,การอบรมเลี้ยงดูเด็ก,บ้านครัว,กรุงเทพมหานคร |
Author |
พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ |
Title |
คติชนวิทยากับการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยมุสลิม : ศึกษากรณีชุมชนบ้านครัวเหนือ กรุงเทพมหานคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
219 |
Year |
2531 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
คติชนประเภทความเชื่อต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในชุมชนบ้านครัวเหนือในปัจจุบัน พบว่า มีปรากฏอยู่ไม่มากนัก แต่ก็พบว่าความเชื่อที่ยังคงอยู่นี้ มีบทบาทในแง่การอธิบายหรือชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ หรือเป็นเรื่องราวที่อธิบายถึงผลของการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิธีการอื่นที่ดีกว่าได้ ในส่วนที่นำมาถ่ายทอดให้ลูกหลานฟังสืบต่อกันมานั้น มีทั้งในส่วนที่ใช้การอบรมสั่งสอน การชี้แนะแนวทางการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบเกณฑ์ของการเป็นมุสลิมที่ดี โดยการนำเอาความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์ทั้งด้านดีและด้านเลว และให้เห็นถึงผลของการกระทำที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เด็กเกิดความศรัทธา และเข้าใจในหลักคำสอนทางศาสนาอิสลามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น (หน้า 199) |
|
Focus |
ศึกษาคติชนวิทยาที่นำมาใช้เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยมุสลิม และการเปลี่ยนแปลงทางคติชนวิทยาเมื่อได้รับอิทธิพลจากการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (หน้า 3-4) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้ประยุกต์แนวคิด "สังคมประกิต" (Socialization) ซึ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการอบรมทางวัฒนธรรม เช่น การเลี้ยงดูเด็กกับการสร้างบุคลิกภาพของปัจเจกบุคคล ของ Margaret Mead มาวิเคราะห์บทบาทของสถาบันครอบครัวในการถ่ายทอดค่านิยม ทัศนคติ และโลกทัศน์ ให้เด็กมุสลิมในชุมชนบ้านครัวเหนือ ผ่านความเชื่อทางศาสนา ตำนานนิทาน และสุภาษิต (หน้า 11-12) จากการวิเคราะห์ของผู้วิจัย ญาติผู้ใหญ่ เช่น ปู่ย่าตายายและพ่อแม่ของเด็ก ได้ถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา อิสลามที่ได้จากโรงเรียนสอนศาสนา หรืออิหม่ามไปสู่เด็ก เรื่องที่นำมาเล่าหรือสอนให้เด็กมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับให้ทำความดี และหลีกเลี่ยงความเชื่อ แต่ในงานนี้ผู้วิจัยไม่ได้วิเคราะห์ให้เห็นว่าการเลี้ยงดูเด็กในลักษณะดังกล่าวได้ส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็กมุสลิมอย่างไรบ้าง (หน้า 139-172) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิมในชุมชนบ้านครัวเหนือ ซอยพญานาค ถนนเพชรบุรี เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร โดยเน้นศึกษาจากครอบครัวกลุ่มตัวอย่างที่มีเด็กช่วงอายุไม่เกิน 15 ปี (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนบ้านครัวเหนือเป็นชุมชนมุสลิมที่ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อประมาณ 200 ปีเศษ เดิมเรียกว่าหมู่บ้านอาสาจาม เพราะว่าบรรพบุรุษของมุสลิมชุมชนนี้ได้อพยพจากประเทศเขมร มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนเลียบคลองมหานาคเขตพญาไท รวมด้วยกัน 4 กลุ่ม มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันคือ กลุ่มที่อยู่ด้านทิศตะวันออกเรียกว่า พุมมะเปรียง กลุ่มที่อยู่ด้านทิศตะวันตกเรียกว่าเปรมสล๊อก กลุ่มที่อยู่ตรงกลางเรียกว่า พุมมะปรางค์ และอีกกลุ่มหนึ่งข้ามลำคลองไปอยู่ฝั่งใต้เขตปทุมวันเรียกว่า พุมมะเปรย แต่ครั้งก่อนนั้นชุมชนดังกล่าวอยู่ในตำบลประแจจีน (ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลถนนเพชรบุรี) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามมีอาชีพทอผ้าไหมและมีความชำนาญในการเดินเรือ ช่างตีดาบ ย้อมผ้า ทอดแหจับปลา ย่างปลาต่าง ๆ รวมทั้งปลาร้า ปลาบูดู ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ เกิดศึกสงครามพม่ายาตราทัพ แยกย้ายเข้าตีหัวเมืองต่าง ๆ ถึง 9 ทัพ ชาวชุมชนแห่งนี้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม จึงพร้อมใจกันอาสาสมัครเข้าร่วมรบ จนได้รับชัยชนะ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินนอกคูเมืองให้เป็นที่อยู่อาศัยและเป็นที่ฝังศพไทยมุสลิม มาจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 15) |
|
Settlement Pattern |
สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของชุมชนบ้านครัวเหนือ เป็นชุมชนค่อนข้างจะมีความแออัด อยู่เรียงรายริมคลองมหานาค (ภาพหน้า16) มีถนนเจริญผลตัดผ่านกลางชุมชนทิศตะวันตกของฝั่งถนน คือ ชุมชนพระยายังและชุมชนบ้านครัวใต้ ส่วนทางฝั่งตะวันออก คือชุมชนบ้านครัวเหนือ พื้นที่ทั้งหมดประมาน 50 ไร่ โดยชุมชนทั้งหมดสร้างบ้านโดยใช้ไม้เป็นหลัก มีทั้งบ้านไม้ 2 ชั้น บ้านไม้ชั้นเดียว แต่ยกพื้นสูงและบ้านไม้ชั้นเดียวไม่ยกพื้น เนื่องจากได้ปลูกสร้างมาเป็นเวลานานจึงมีสภาพทรุดโทรม ประชาชนได้รับความยากลำบาก และขาดการสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่าง ๆ ที่ถูกสุขลักษณะ จนกระทั่งการเคหะแห่งชาติได้เข้ามาปรับปรุงชุมชนแห่งนี้ การประกอบด้วย ทางเดินเท้าคอนกรีตเสริมเหล็ก ทางเท้าไม้ทั้งชุมชน การปรับปรุงระบบไฟฟ้า ระบบประปาทั่วชุมชน การจัดสร้างศูนย์ชุมชนในลักษณะของศูนย์อเนกประสงค์เพื่อเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้อยู่อาศัยในชุมชน และเป็นสถานที่ทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาชุมชน (หน้า 17-20) |
|
Demography |
ไม่ระบุจำนวนประชากรในชุมชน แต่ระบุสัดส่วนว่ามีผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวน 65 % ศาสนาพุทธและศาสนาอื่น ๆ ประมาณ 35 % (หน้า 20-21) |
|
Economy |
จากอดีตตั้งแต่เริ่มอาชีพของไทยมุสลิมในชุมชนบ้านครัวเหนือทำกันมากที่สุด คืออาชีพทอผ้าไหมซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชน ซึ่งยังมีบทบาททางด้านเศรษฐกิจของชุมชนนี้อยู่มาก แทบทุกครัวเรือนจะยังมีการทอผ้าไหมเพียงแต่ไม่มีจำนวนมากนักเหมือนในอดีต ส่วนอาชีพรองอื่นๆ ที่มีทำกันในอดีต คือ การประมง การเป็นลูกจ้างเรือเดินทะเล อาชีพค้าขายและบางส่วนก็เข้ารับราชการ ในปัจจุบันชุมชนบ้านครัวเหนือสวนใหญ่ นิยมให้บุตรหลานได้เล่าเรียนมีการศึกษาในระดับสูงขึ้นจากในอดีตที่ผ่านมา ฉะนั้นอาชีพของมุสลิมของชุมชนนี้ในปัจจุบันมีความหลากหลายออกไปจากอดีตมาก คือ ทั้งอาชีพรับราชการ การเป็นครู อาจารย์ ตำรวจ ทหารหรือทำงานในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เอกชนต่าง ๆ และบางส่วนก้ทำการค้าขาย ทั้งเป็นเจ้าของกิจการเองและเป็นลูกจ้าง (หน้า 36) |
|
Social Organization |
ในอดีตการเลือกคู่ครองของมุสลิมในชุมชนบ้านครัวเหนือมีพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้กำหนดคู่ครองให้กับลูกหลาน แต่ในปัจจุบันลักษณะของการเลือกคู่ครองของไทยมุสลิม ชุมชนบ้านครัวเหนือได้เปลี่ยนไปจากอดีต หนุ่มสาวต่างก็มีโอกาสที่จะเลือกคู่ครองกันได้ตามความต้องการ แต่ต้องถือปฏิบัติตามบทบัญญัติของคัมภีร์อัล-กุรอาน คือ ต้องแต่งงานกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น ปัจจุบันผู้ชายไทยมุสลิมชุมชนบ้านครัวเหนือส่วนใหญ่จะมีภรรยาเพียงคนเดียว (Monogamy) แม้ว่าในศาสนาอิสลามผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ถึง 4 คน ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และกฎหมายไทยระบุว่าผู้ชายสามารถมีภรรยาได้เพียงหนึ่งคน ส่วนหลังแต่งงานแล้วหนุ่มสาวส่วนมากจะแยกครอบครัวออกไประยะหนึ่งก่อน ลักษณะการตั้งครอบครัวเป็นแบบเลือกได้ทั้งสองฝ่าย (Bilocal) กล่าวคือ บ่าวสาวสามารถที่จะอยู่ร่วมกับครอบครัวของญาติทางฝ่ายชาย (Patrilacal) หรืออยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิง (Matrilocal) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ระบบครอบครัว (Family) ของไทยมุสลิมชุมชนบ้านครัวเหนือในปัจจุบัน พบว่า ประกอบด้วยสมาชิกภายในครอบครัว 3 รุ่น (Generations) ซึ่งได้แก่ รุ่นปู่ย่าตายาย รุ่นพ่อแม่ และรุ่นลูก ๆ โดยอาศัยอยู่ในบ้านเรือนเดียวกันในลักษณะครอบครัวรวม และมีระบบเศรษฐกิจร่วมกัน (The stem family) ดังนั้น ความสัมพันธ์กับเครือญาติโดยเฉพาะปู่ย่าตายาย หรือลุงป้าน้าอายังคงมีอยู่มากพอสมควร ซึ่งบางครอบครัวนอกจากจะอาศัยอยู่ร่วมกันแล้ว ยังประกอบอาชีพร่วมกันด้วย (หน้า 24-35) |
|
Political Organization |
การจัดองค์การทางสังคมและการปกครองของชุมชนบ้านครัวเหนือ แบ่งเป็นชุมชนย่อยชุมชนหนึ่งของชุมชนกิ่งเพชร ซึ่งประกอบด้วย 3 ชุมชนย่อย อันได้แก่ ชุมชนบ้านครัวเหนือ ชุมชนบ้านครัวใต้ และชุมชนพระยายัง ตั้งอยู่ในเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ในความควบคุมดูแลของที่ทำการเขตพญาไทย องค์กรทางสังคมของชุมชนบ้านครัวเหนือ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ คณะกรรมการชุมชน ซึ่งจะถูกเลือกขึ้นมาประสานงานเมื่อมีการเลือกตั้ง ทำหน้าที่ด้านการบริหารชุมชน และโต๊ะอิหม่าม ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางด้านศาสนากิจของศาสนาอิสลาม โดยมีสุเหร่าหรือมัสยิดเป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจ(หน้า 21-24) |
|
Belief System |
ในการประพฤติปฏิบัติตนของเด็กในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เริ่มตื่นนอนในตอนเช้าจนกระทั่งถึงเวลานอนในยามค่ำคืนนั้น ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมของเด็กอย่างมาก เนื่องจากศาสนาอิสลาม มีทั้งบทบัญญัติทั้งที่เป็นหลักจริยธรรม หลักคำสอน และหลักปฏิบัติตนในการเป็นมุสลิมที่ดีไว้อย่างละเอียดครบถ้วน ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่พบว่าเนื้อหาสาระในคติชนประเภทต่าง ๆ ที่ปรากฏในการอบรมเลี้ยงดูเด็กไทยมุสลิม ชุมชนหมู่บ้านครัวเหนือ เช่น คติชนประเภทตำนาน นิทาน สุภาษิต คำพังเพย หรือคติสอนใจ และความเชื่อต่าง ๆ จึงมีเรื่องราวของศาสนาอิสลามเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการปลูกฝังความศรัทธาและความเข้าใจในศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง เด็กในชุมชนบ้านครัวเหนือจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามทุกวันในเวลาเรียน เพื่อศึกษาเรื่องราวทุกอย่างของศาสนาอิสลามจากมัสยิดของชุมชน ซึ่งสามารถสังเกตได้ว่า ชีวิตของเด็กไทยมุสลิมทุกคน มีความผูกพันกับศาสนาอิสลามอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากการศึกษาศาสนาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามโดยตรง และจากการอบรมสั่งสอนและการถ่ายทอดเรื่องราวทางศาสนาอิสลามในรูปแบบต่าง ๆ โดยพ่อแม่ญาติพี่น้อง ดังนั้นศาสนาอิสลามจึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดและโลกทัศน์ของเด็ก บทบัญญัติทางศาสนาอิสลามเปรียบเสมือนเป็นแบบแผผน หรือแนวทางมาตรฐานสำหรับเด็กที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามนั้น (หน้า 46-48) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของไทยมุสลิมบ้านครัวเหนือแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การศึกษาตามระบบการศึกษาของรัฐบาล ไทยมุสลิมชุมชนบ้านครัวเหนือทุกคนต้องผ่านการศึกษาในภาคบังคับ คือ ระดับประถมศึกษา และการศึกษาศาสนาและคัมภีร์อัล-กุลอาน ซึ่งเด็กทุกคนจะต้องเรียนศาสนาในช่วงเย็นของทุกวัน ที่โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม หรือที่มัสยิดของชุมชน หลังจากกลับจากโรงเรียนแล้ว (หน้า 44-48) การศึกษาศาสนาอิสลามในชุมชนบ้านครัวเหนือ แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ระดับ คือ การศึกษาขั้นต้น ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับชั้นประถม 1-4 การศึกษาในชั้นนี้เป็นการศึกษาการอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งเป็นภาษาอาหรับ นอกจากนี้ ยังศึกษาถึงประวัติของศาสดาแต่ละองค์ และแนวทางปฏิบัติ จริยธรรมทางศาสนา เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติตนให้เป็นมุสลิมที่ดี และอีกระดับคือ การศึกษาชั้นวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นการศึกษาศาสนาในชั้นสูง การศึกษาในชั้นนี้ทางชุมชนบ้านครัวเหนือได้มีทุนสำหรับศึกษาต่อในต่างประเทศ เช่น ประเทศอียิปต์ (ไคโร) ลิเบียและซาอุดิอาระเบีย (หน้า 83-84) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สำหรับเรื่องของการแต่งกายของผู้ชายนั้น มีข้อกำหนดว่าอย่าสวมใส่ ผ้าไหม และเสื้อผ้าที่ปักด้วยไหม เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น เงิน ทอง และเสื้อผ้าไหมนั้นอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะผู้หญิงแต่ไม่อนุญาตสำหรับผู้ชาย ฉะนั้นสำหรับผู้ชายส่วนที่ไม่ควรเปิดเผย คือ ส่วนที่อยู่ระหว่างสะดือกับสะบ้า หัวเข่า ส่วนผ้าไหม ผ้าที่ปักด้วยไหมและเครื่องประดับจำพวกทองเป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชายในการสวมเช่นกัน ความสำคัญของการแต่งกายอยู่ที่จะต้องสุภาพ ถูกต้อง และสะอาด ส่วนเวลาละหมาด ผู้ชายจะต้องไม่ปล่อยให้ผมตกลงมาปรกหน้าผาก มิฉะนั้นเวลาก้มกราบส่วนหน้าผากจะไม่สัมผัสกับพื้น ดังนั้นจึงมีการป้องกันผมปรกหน้าผากโดยการสวมหมวก สำหรับการแต่งกายของผู้หญิงมุสลิมนั้น ที่ถูกต้องจริง ๆ คือการเปิดเฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ นอกนั้นจะต้องปกปิดให้มิดชิดจากสายตาผู้อื่น (หน้า 54) |
|
Folklore |
ในการวิจัย ผู้ศึกษาได้จัดประเภทของคติชนที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยมุสลิม ชุมชนบ้านครัวเหนือดังนี้ 1. ตำนานความเชื่อต่างๆ ได้แก่ ตำนานบรรพบุรุษของชุมชน ตำนานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม ซึ่งมีทั้งในส่วนของประวัติ และการอธิบายเหตุผลของปรากฏการณ์ และข้อปฏิบัติตนบางประการของมุสลิม ตลอดจนตำนานความเชื่อในเรื่อง นรก สวรรค์และเรื่องบุญ บาป 2. นิทานคติธรรม ทั้งในส่วนที่เป็นวัฒนธรรมอิสลาม และนิทานคติธรรมที่ได้รับมาจากวัฒนธรรมไทยพุทธ 3. สุภาษิต คำพังเพย และคติสอนใจต่าง ๆ ทั้งในส่วนของวัฒนธรรมอิสลามและที่ได้รับจากวัฒนธรรมไทยพุทธ 4. เพลงกล่อมเด็ก ทั้งที่เป็นภาษาเขมรและในส่วนที่รับมาจากวัฒนธรรมไทยพุทธ 5. ความเชื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยมุสลิม คติชนแต่ละประเภทที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน พบว่ามีจำนวนไม่มากนัก แต่คติชนเหล่านี้ได้มีการนำมาใช้ในการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยมุสลิมชุมชนบ้านครัวเหนือเป็นอย่างแพร่หลาย คติชนได้สะท้อนให้เด็กได้เรียนรู้ถึงค่านิยม ทัศนคติ บรรทัดฐานทางสังคม ตลอดจนโลกทัศน์ที่มีต่อกลุ่มชนของตนในแง่มุมต่าง ๆ อันจะเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะในส่วนที่เก็บรวบรวมมานี้ เป็นส่วนที่มุสลิมในชุมชนรู้จักกันเป็นอย่างดี และมักจะนำมาถ่ายทอดให้กับลูกหลานตนอยู่เสมอ (หน้า 111) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
อิทธิพลจากการที่มีการติดต่อสัมพันธ์กับสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งจากการศึกษา และการประกอบอาชีพจึงส่งผลให้มีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นภายในชุมชนบ้านครัวเหนือ โดยเฉพาะวัฒนธรรมของไทยพุทธที่อยู่อาศัยในชุมชนและบริวเณใกล้เคืยง ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคมและวัฒนธรรมภายในชุมชนบ้านครัวเหนือ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมตามความเหมาะสม สภาพการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของไทยมุสลิม ชุมชนบ้านครัวเหนือพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำเนินชีวิตไปจากอดีตในหลายด้าน เนื่องจากชุมชนมุสลิมแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอยู่ใจกลางสังคมเมือง ฉะนั้นจึงได้รับอิทธิพลจากการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะจากวัฒนธรรมของไทยพุทธ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของไทยมุสลิมเป็นอย่างยิ่ง เช่น รูปแบบการแต่งงานที่ปัจจุบันผู้ชายในชุมชนบ้านครัวเหนือสามารถมีภรรยาได้เพียงคนเดียว จากบทบัญญัติของศาสนาอิสลามที่ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ถึง 4 คน ทั้งนี้ เป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจและกฎหมายของไทยได้ระบุไว้อย่างนั้น เป็นต้น (หน้า 52-53) |
|
Map/Illustration |
ภาพ สภาพแวดล้อมริมคลองมหานาค (หน้า 16) |
|
|