สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู,วิถีชีวิต,การรักษาโรค,ภาคเหนือ,ประเทศไทย
Author Edward Paul Durrenberger
Title The Ethnography of Lisu Curing
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 290 Year 2514
Source For the degree of Doctor of Philosophy in Anthropology, University of Illinois at Urbana-Champaign, Illinois.
Abstract

การศึกษาองค์ความรู้และกระบวนการให้เหตุผลเกี่ยวกับโรคภัยและความโชคร้ายของลีซูที่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ได้อาศัยกรอบทฤษฎี “Competence” และ “Data Inputs” ร่วมกับการตีความเชิงวัฒนธรรม เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี หรือระหว่างผู้ป่วยกับหมอผี รวมถึง ระบบความคิด ความเชื่อและความเป็นจริงซึ่งส่งผลต่อกระบวนการทางจิตใจผ่านจิตสำนึก (Cognitive competence) ก่อให้เกิดพฤติกรรมในแง่ของการแสดงออก (performance) ของลีซู ในความคิดของลีซู สาเหตุของการเจ็บป่วยและความโชคร้ายนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งจากพลังธรรมชาติ (Natural disease) และพลังเร้นลับเหนือธรรมชาติ (Super natural disease) การจัดแบ่งระบบคู่ต่างขั้ว (Logic of polarities) จึงช่วยอธิบายให้เห็นโครงสร้างทางสังคมและโครงสร้างทางการเมืองภายในระบบความคิดของลีซู ที่ส่งผลถึงบริบทการหาสาเหตุของความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล

Focus

เน้นการนำเสนอในแง่มุมเกี่ยวกับองค์ความรู้และกระบวนการให้เหตุผลเกี่ยวกับปัญหาความเจ็บป่วย และความโชคร้ายของลีซูที่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยโดยครอบคลุมเนื้อหาทั่วไปเกี่ยวกับวัฒนธรรมลีซู ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี วิธีการหาสาเหตุของความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล

Theoretical Issues

ผู้เขียนตั้งใจจะให้รายละเอียดในการรักษาโรคของชาวเขาเผ่าลีซู จากบ้านลุ่ม (Ban Lum) อย่างเป็นระบบ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในสถานการณ์หนึ่งๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงกับโครงสร้างจิตสำนึกของผู้คนจะดำเนินไปด้วยกันได้จะต้องมีปัจจัยใดเข้ามาประกอบบ้าง จึงจะส่งผลให้เกิดการกระทำดังกล่าว ผู้เขียนนำกรอบทฤษฎี “competence” มาใช้วิเคราะห์ ความหมายของ Competence ในเรื่องที่ศึกษานี้คือ องค์ความรู้หรือความเป็นจริงที่ก่อให้เกิดการกระทำ (การแสดงออก, อุปนิสัยของบุคคล) ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวมีผลต่อกระบวนการทางจิตใจมากกว่ามีผลต่ออุปนิสัยของบุคคล (หน้า 24,43) ความสัมพันธ์เชิงตระหนักรู้ (Cognitive competence) ที่เป็นไปในรูปแบบของการแสดงออก จากบริบทระยะเวลาทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่หรือไม่ก็ตาม อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับตัวแปรต่างๆ ซึ่งรวมถึง องค์ความรู้ (knowledge) ด้วย การกำหนดมาตรฐานที่จะมาอธิบายความแตกต่างของ competence ในแต่ละปัจเจกบุคคลภายใต้เงื่อนไขการจัดกลุ่มบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกัน ว่าเป็นของใคร ซึ่งผลจากการวิเคราะห์การจัดกลุ่มบทบาทดังกล่าวได้นำมาเป็นพื้นฐานเพื่อความเข้าใจในกระบวนการความคิดอย่างเป็นระบบในส่วนของการจำแนกแบ่ง ดังเช่น การจัดการกลุ่มความคิดในระบบคู่ตรงข้าม ซึ่งแสดงรายละเอียดในรูปของแขนงรากไม้ ที่เข้าใจง่ายและทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ซึ่งอยู่ในรูปแบบของเซทหรือกฎต่างๆ ในระบบการจำแนกแบ่ง เป็นต้น โดยหลักการแล้วเราไม่สามารถที่จะนำความรู้หรือโครงสร้างจิตสำนึกมาอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ได้โดยตรง เพราะข้อจำกัดที่ว่าเราไม่รู้กฎต่างๆ ที่จะนำมาอธิบายถึงความแตกต่างทางพฤติกรรมทั้งหมดได้ได้อย่างชัดเจน จึงต้องอาศัยการแปลความเชิงวัฒนธรรมอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่พอจะรับได้เข้ามาเสริม ซึ่งพฤติกรรมการแสดงออกของมนุษย์นั้น มีตัวกำหนดให้เป็นไปไม่ว่าจะเป็นปัจจัยต่างๆ ระบบนิเวศวิทยา เทคโนโลยี และปัจจัยอื่นไม่ว่าจะเป็น ความหนาแน่นของประชากร สภาพภูมิอากาศ พื้นที่ทำการเพาะปลูก ตลาดและการผลิตหรือแม้แต่การจัดระเบียบของรูพรุนในกระดูกไก่ รวมถึงระบบความรู้ซึ่งเป็นทฤษฎีอีกอันหนึ่งที่จะมาอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันได้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนข้อมูล (data) ที่มาทำให้ โครงสร้างจิตสำนึก (cognitive structure) แปลความและตอบสนองในรูปของการแสดงออก (act) มนุษย์เรานั้นโดยธรรมชาติแล้วมีความอยากรู้ เมื่อมนุษย์มีความรู้ (knowledge) สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความรู้นั้นได้กระตุ้นให้เกิดการค้นหาข้อมูล ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลจริงกับโครงสร้างจิตสำนึกจึงอยู่ในลักษณะที่ไม่ว่าพฤติกรรมทั้งในปัจจุบันหรืออดีตล้วนเป็นข้อมูลที่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมทั้งหลายรอบตัวบุคคลนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ชัดเจน คือ โครงสร้างจิตสำนึก กับการกระทำของบุคคล ซึ่งความรู้ได้เข้าไปกำหนดให้เกิดพฤติกรรมได้อย่างไร ผู้เขียนจึงได้ใช้ทฤษฎีเพื่อหาข้อมูลนำเสนอในแง่ของการแสดงออก (performance) มากกว่าที่จะมุ่งอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์โดยอาศัย competence และ data inputs มาช่วยให้เข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ผู้เขียนเริ่มต้นแสดงการจัดแบ่งเป็นระบบคู่ต่างขั้ว (logic of polarities) โดยได้เก็บรายละเอียดใน ระหว่างที่กระบวนการรักษาเกิดขึ้น (หน้า 118) เหตุผลของลีซูที่ใช้ หรือ เหตุที่เข้ามาประกอบนั้นก่อเกิดผลลัพธ์ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป การอธิบายโครงสร้างทางสังคมและโครงสร้างทางการเมืองภายในระบบความคิดของลีซูที่ส่งผลมาถึงระบบการรักษาโรค เน้นให้เห็นกระบวนการใช้เหตุผลที่มีอยู่ และวิเคราะห์กระบวนการดังกล่าวเพื่อการแปลความหมายของลีซูในบริบทของความเจ็บป่วยและหาสาเหตุของโรคเพื่อเตรียมการรักษา ในกระบวนการ “Processual analysis” แสดงการวิเคราะห์แปลความพฤติกรรมของชาวลีซูที่มีต่อ disease causal อันได้แก่ สิ่งที่อาจเป็นสาเหตุ คุณสมบัติใดที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นสาเหตุ และความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลที่เกิดตามมา โดยอาศัยข้อมูลที่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งจากพลังธรรมชาติและพลังเร้นลับของสิ่งเหนือธรรมชาติ และตรรกะที่ใช้ในการรักษา (หน้า 94) ไม่ว่าจะด้วย Natural disease (หน้า 107) ที่พูดถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติและ Supernatural Disease สิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ กับวิธีการรับมือของหมอผีแต่ละคนที่อาศัยประสบการณ์ในอดีตมาช่วยวิเคราะห์ ผู้เขียนชี้ว่า ผู้รักษาหรือหมอผีจะมี ภาพ (idea) เกี่ยวกับโรคและการกระทำ (action) ที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาอาการของคนป่วยนั้นได้ผ่านการกลั่นกรองจากประสบการณ์ส่วนตัวที่มีมาในอดีต (ประมวลอาการคนป่วยจากข้อมูลที่ได้รับมา)แล้วว่าถ้าทำเช่นนี้แล้วจะได้ผล(เลือกวิธีรักษา) เป็นอย่างไร ผ่านกระบวนการใช้เหตุผล (หน้า 98) ดังกล่าว

Ethnic Group in the Focus

ลีซู เรียกตนเองว่า “ลีซู” เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาพม่า-ธิเบต (Tibeto-Burman) ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พม่า อินเดีย และภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 7) แม้จะเป็นกลุ่มชนที่มีความคลุมเครือในชาติพันธุ์เพราะมีการผสมผสานทางเชื้อชาติกับชาวจีน แต่พวกเขายังอยากที่จะเป็นลีซูอยู่ (หน้า 11) เราสามารถแยกลีซูได้จากชื่อแซ่สกุล บางแซ่พวกเขาใช้ร่วมกับคนจีน บางแซ่ใช้ร่วมกับละหู่ เอกลักษณ์ของกลุ่มต่างๆ ของลีซูแสดงให้เห็นผ่านเครื่องแต่งกายและภาษาพูด ตามลักษณะการแต่งกายสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ ลีซูดำ เครื่องนุ่งห่มจะเป็นสีดำ และลีซูลาย เครื่องนุ่งห่มจะใช้ผ้าหลากหลายสีมาตัดเย็บ นอกจากนี้ผู้เขียนพยายามอธิบายให้เห็นระบบทางวัฒนธรรม (cultural system) ที่แฝงอยู่ในตัวบุคคลผ่าน จิตสำนึก (cognitive competence) แล้วแสดงออกทางพฤติกรรมว่า พวกเขาคือ ลีซู นับเป็นนัยสำคัญที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีเกณฑ์คุณค่า มีจารีตประเพณีเป็นของตนเอง หรือเป็นกลุ่มคนที่รักอิสระ ไม่ต้องการตกอยู่ใต้อาณัติของใคร พวกเขาไม่ได้ติดอยู่ในกรอบที่มีกฎเกณฑ์บัง คับ แต่มีความเชื่อมั่นในพลังวัฒนธรรมของตนและอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งทำให้แบบแผนพฤติกรรม ระบบความสัมพันธ์ทางสังคมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับระบบนิเวศที่รายล้อมมากกว่า

Language and Linguistic Affiliations

ลีซูไม่มีภาษาเขียนของตนเอง แต่มีภาษาพูดซึ่งมีบางคำที่แตกต่างกันอยู่บ้างในแต่ละกลุ่มย่อย พวกเขาสามารถสื่อสารกันได้.

Study Period (Data Collection)

ระหว่าง 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 และ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2513 (ผู้เขียน)

History of the Group and Community

ตามคำบอกเล่า การอพยพโยกย้ายมาสู่ประเทศไทย และประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว เวียดนาม ของลีซูนั้น มีเป็นระลอกเริ่มขึ้นตั้งแต่เกิดสงครามกับมองโกล หรือไม่ก็ในช่วงที่มุสลิมเข้ามาตีทางตอนใต้ของจีน และครั้งหลังในช่วงที่คณะคอมมิวนิสต์ปฏิวัติในจีน (หน้า 11) แต่ละช่วงของการย้ายถิ่นได้มีการผสมผสานกันทางเชื้อชาติระหว่างจีนกับลีซู หรือไม่ก็ลีซูกับชนชาติอื่น เช่น ละหู่หรือจีนยูนนาน เป็นต้น

Settlement Pattern

กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูจะเลือกตั้งชุมชนบนที่สูง หมู่บ้านตั้งหันหลังให้ภูเขา สำหรับบ้านเรือนของชาวบ้านจะหันหน้าไปทางทิศเดียวกัน โดยที่ประตูบ้านแต่ละหลังจะไม่อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน (หน้า 18) ส่วนใหญ่เป็นบ้าน/กระท่อมมุงจากที่ปลูกติดพื้น วางตัวในแนวสูง-ต่ำตามที่ลาด ประตูทางเข้าอยู่ทางด้านต่ำ มีรั้วกั้นพื้นที่เล็กๆ ด้านหลังบ้านเพื่อเลี้ยงสัตว์ ภายในแยกสัดส่วนพื้นที่การใช้สอยโดยมีม่านกั้นหรือใช้ไม่ไผ่บางๆ กั้นขอบเขต ด้านในสุด (ส่วนที่สูงสุดของบ้าน) เป็นที่ตั้งของหิ้งบูชาบรรพบุรุษ ข้างใต้หิ้งเป็นแคร่ไม้ไผ่สำหรับให้สมาชิกเฉพาะผู้ชายในบ้านมานั่งเล่น หรือนอนได้ มีพื้นที่เปิดโล่งสำหรับตั้งเตาไฟหุงหาอาหาร ที่ตรงนี้สมาชิกจะมานั่งล้อมวงกินชาหรือไม่ก็สนทนากัน ด้านข้างติดกำแพง ด้านหนึ่ง ใช้เป็นที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงข้าวสารอาหารแห้ง นอกจากนี้ลีซูยังแยกพื้นที่ออกเป็น เขตบ้านและเขตป่า โดยใช้ความเชื่อเรื่องผีเป็นเกณฑ์ ในเขตบ้านนั้นแบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ที่ไม่ใช้อยู่อาศัย ซึ่งก็คือ พื้นที่บ้านและพื้นที่ฝังศพ โดยจะมี ศาลผี “apa mo” เป็นผู้คุ้มครอง ส่วนเขตป่านั้นและแหล่งน้ำธรรมชาตินั้นเป็นพื้นที่ที่พวกเขาถือว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนมีสิทธิตามกำลังความสามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้ ภายในหมู่บ้านลีซูทุกแห่ง จะมีศาลผีอาปาโหม่ “apa mo” ของหมู่บ้านตั้งอยู่บนเขาเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองคนในหมู่บ้าน ภายในศาลแห่งนี้นอกจากจะมีหิ้งบูชาผีปู่ตาหรือผีบรรพบุรุษแล้ว ยังมีหิ้งบูชาผีป่าเขา (hill spirit หรือ I da ma) และหิ้งบูชา “Hwa shy” หรือผู้ช่วยผี “apa mo” ซึ่งผี/วิญญาณเหล่านี้มีบทบาทมากในการจัดการระบบความเชื่อของชาวลีซู

Demography

ในประเทศไทย ลีซูส่วนใหญ่เป็นลีซูเชื้อสายจีน ที่เรียกตัวเองว่า “Hypa Lisu” ลีซูทุกคนจะอยู่ในสายตระกูลหรือแซ่ใดแซ่หนึ่ง แม้ในความเป็นจริงแล้วแซ่ต่างๆ นั้นจะไม่ใช่แซ่ของลีซูแท้เลยก็ตาม (หน้า 12) ลีซู ในหลายแซ่สกุล มีทั้งสืบเชื้อสายมาจากจีนและที่เป็นลีซูแท้ ๆ สำหรับที่เป็นลีซูแท้ ๆ มีน้อยกว่าแซ่สกุลที่สืบเชื้อสายมาจากจีน สมาชิกในแต่ละแซ่สกุลจะนับถือผีบรรพบุรุษของตนเอง ลีซูนิยมตั้งบ้านเรือนหรือตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้กันกับญาติที่เป็นพี่เป็นน้องหรือมีแซ่สกุลเดียวกันหมู่บ้านของลีซูแต่ละแห่ง จะมีขนาดแตกต่างกันเริ่มตั้งแต่ 4-5, 8 ครัวเรือน และ 20-30 ครัวเรือน ซึ่งเป็นจำนวนปกติ จำนวนสมาชิกในแต่ละครอบครัวจะมีอยู่ราว 6 คน

Economy

ลีซูในประเทศไทยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีการผลิตข้าวไร่เพื่อยังชีพ และประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลัก นอกจากปลูกข้าวไว้เพื่อกิน ปลูกข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง และพืชผักอื่นๆ แล้ว พวกเขายังเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ม้า ไก่ เป็ด และวัวควาย เพื่อบริโภคภายในครอบครัวมากกว่าขายเป็นสินค้า นอกจากนี้ยังปลูกฝิ่น ส่งไปขายพ่อค้าเป็นรายได้ให้ครอบครัวอีกด้วย (หน้า 19) ลีซูยึดการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก มีการล่าสัตว์เป็นเพียงเพื่อความสนุกสนานหรือเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง (หน้า 195) ในการเพาะปลูก พวกเขารู้จักเลือกพื้นที่และดินในการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิด ในพื้นที่การเกษตรของลีซู จะพบว่าเขาเลือกเพียงแค่ชนิดของดิน, ความหนาแน่นของพืชที่เจริญเติบโต, และปริมาณแสงแดดที่สาดส่องบนพื้นที่เท่านั้นเอง งานเกี่ยวกับการตีเหล็กเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลีซู เพราะพวกเขาจะผลิตและซ่อมแซมเครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตรเองรวมถึงชิ้นส่วนของปืนด้วย

Social Organization

ลีซูมีทั้งบ้านที่มีครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยายที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันทั้งแบบสืบสายเลือดและการเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานตามประเพณี ครอบครัวลีซูโดยทั่วไปมักเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบไปด้วย พ่อแม่ และลูก แต่บางครั้งในบ้านจะมีพี่น้องที่ยังโสด รวมถึงพ่อแม่ ลูกเขย-สะใภ้จากครอบครัวเดียวหรือทั้งสองฝ่ายมาอยู่รวมกัน (หน้า 17-18) การตั้งครอบครัวของลีซูนั้นลูกเขยจะขอแยกไปตั้งครอบครัวของตนเองได้ก็ต่อ เมื่อชำระเงินค่าสินสอดและค่าแต่งงานให้กับพ่อตาแม่ยายตามได้ตกลงกันไว้ แต่ถ้ายังจ่ายไม่หมดจะต้องเป็นแรงงานและอาศัยอยู่ในบ้านพ่อตาแม่ยายไปก่อน ในกรณีหลังนี้มักเรียกกันว่า “ซื้อผู้หญิงมาเป็นเมีย” มีการเคารพนับถือกันตาม ลำดับชั้น มีข้อห้ามว่าเมื่อเป็นแซ่สกุลเดียวกัน และอยู่ในกลุ่มย่อยของแซ่สกุลเดียว กันจะแต่งงานกันไม่ได้ เช่น ผู้ชาย ลีซูแซ่สกุลหลี่จา Li Cha จะไม่แต่งงานหญิงสาวชาวจีน, ละหู่ หรืออื่นๆ ที่เป็นแซ่เดียวกัน (หน้า 14) พวกเขานับถือญาติกันตามสายสกุลของบิดา ลูกชายคือผู้สืบสกุล นอกจากจากแต่งงานกันภายในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันแล้ว ลีซูนิยมที่จะให้บุตรสาวแต่งงานกับชาวจีน หรือจีนฮ่อและไทใหญ่ ส่วนผู้ชายนิยมแต่ง งานกับผู้หญิงลีซูด้วยกันเอง แต่ถ้าไม่ได้ก็นิยมแต่งงานกับผู้หญิงมูเซอ หรือละหู่ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แซ่สกุลของลีซูจึงมีเชื้อสายที่มาจากชาวจีนปนอยู่ค่อนข้างมาก

Political Organization

กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูจะมีลักษณะเด่นซึ่งค่อนข้างแตกต่างไปจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง อาข่า ละหู่ พวกเขาใช้ภาษา เครื่องแต่งกาย ขนบประเพณี หรือแม้แต่ระบบการปกครอง มาแบ่งแยกและกำหนดพฤติกรรมแบบแผนทางสังคมแต่มิได้เคร่งครัดตายตัวนัก จัดได้ว่าเป็นกลุ่มสังคม ที่พยายามให้ความเท่าเทียมกัน (egalitarian) ในการแสดงอำนาจปกครองและเรื่องอื่นๆ ในหมู่บ้านหนึ่งจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน และสภาคนเฒ่าคนแก่หรือสภาอาวุโส ที่ประกอบด้วยผู้อาวุโสของแต่ละแซ่สกุลซึ่งได้รับการเคารพนับถือและการยอมรับจากสมาชิกในหมู่บ้านรวมตัวขึ้นอย่างหลวมๆ ทำหน้าที่ดูแลและ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางราชการเป็นต้น

Belief System

จากการศึกษาความเจ็บป่วยและการแพทย์พื้นบ้านชาวลีซู ผู้เขียนได้นำแนวทางการศึกษาและกรอบทฤษฎีต่างๆ มาใช้เพื่อให้ได้ข้อสรุปออกมา เริ่มต้นจากความระบบความเชื่อที่แสดงผ่านบทบาทของผู้เกี่ยวข้องซึ่งมีความสัมพันธ์ (วินิจฉัยและช่วยแก้ปัญหา) ความโชคร้ายและโรคภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชาวลีซูในขอบเขตอำนาจที่มีแตกต่างกันไป ซึ่งได้แก่ “Maw mong” (ผู้ดูแลศาลผีปู่ตา) ซึ่งได้รับการเลือกและยอมรับจากผีปู่ตาแล้วให้มาปฏิบัติหน้าที่นี้โดยปฏิเสธไม่ได้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าอาจเกิดโชคร้ายขึ้นกับตัวก็ได้ถ้าไม่ยอมรับหน้าที่ ดังกรณีที่เกิดกับคนที่เคยเป็นผู้ดูแลศาลคนก่อนหน้านี้ใน ban lum เพราะไปทำให้ apa mo โกรธจึงต้องการชีวิตคนผู้นั้นเป็นการลงโทษ คนดูแลศาลนี้นอกจากจะดูความเรียบร้อยของศาลแล้ว ยังต้องคอยเซ่นสรวงบูชาผีปู่ตา เปลี่ยนน้ำและเปลี่ยนธูป ถ้าถึงงานพิธีที่จะมีการเซ่นหมูให้ผี “apa mo” เขาจะเป็นคนไปเรี่ยรายเก็บเงินชาวบ้านเพื่อไปซื้อหมูมาทำพิธีกรรม (หน้า 49) หนี่ผะ (nei pa) หรือหมอผี เป็นสื่อกลางระหว่างโลกของวิญญาณกับโลกของมนุษย์ หมอผีจึงมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขหรือขจัดปัญหาของปัจเจกบุคคลและครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเคราะห์ร้าย โชคชะตาไม่ดี เพิ่มกำลังหรือเรียกขวัญ และรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดจากสาเหตุเหนือธรรมชาติ ลีซูมีผู้นำศาสนาหรือหมอผี (nei pa) (หน้า 55,77, 135, 142) เป็นผู้ประกอบพิธีต่าง ๆ และ แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น พิธีส่งเคราะห์ เรียกขวัญ รักษาความเจ็บป่วย พีธีแต่งงาน งานศพ งานเซ่นผี ผูกข้อมือ เป็นต้น สำหรับผู้ที่จะมาเป็นหมอผีนั้นมักเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากผีบรรพชนจึงไม่อาจขัดขืนได้แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม บางคนมีลางบอกเหตุว่าจะกลายเป็นหมอผีในอนาคต คือ มักจะชอบอยู่บ้าน ชอบเล่นไฟ สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยอยู่เสมอ มีอาการแพ้เมื่อได้กลิ่นหรือกินอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ ผู้ได้รับเลือกเป็นหนี่ผะจะต้องผ่านการฝึกเพื่อให้เป็นหนี่ผะโดยสมบูรณ์ โดยหนี่ผะทั้งจากในหมู่บ้านเองและจากหมู่บ้านใกล้เคียง โดยจะต้องเข้าไปฝึกในป่าและเป็นบริเวณที่ไม่เคยมีเด็กเข้าไปเที่ยวเล่น เพราะชาวลีซูมีความเชื่อว่า ผีร้ายชอบติดตามเด็กไปไหนๆ เสมอ ซึ่งผีร้ายเหล่านี้อาจจะเข้ามาทำร้ายหมอผีคนใหม่ที่ถูกเลือกได้ หมอผีอาวุโสจะเชิญผีเสื้อบ้าน (I da ma อิด่ามา apa mo อาปาหมุ และ hwa zy วาสือ) มาช่วยขับไล่ เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายเข้ามาสิงหมอผีใหม่ โดยลีซูนิยมที่จะให้วิญญาณบรรพชนมาเข้าทรงก่อนเป็นประเดิม แล้วจึงเชิญผีอารักษ์ทั้งหลายมาเข้าทรงต่อ ซึ่งเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ได้แล้ว หมอผีใหม่ก็จะสามารถประกอบพิธีกรรมแก้ไขปัญหาหรือรักษาความเจ็บป่วยให้กับชาวบ้านได้ หมอผีเหมือนกับจะมีพลังอำนาจวิเศษที่ได้รับมาจากวิญญาณฝ่ายดีทั้งหลาย เช่น สามารถที่จะทำนายโชคร้ายของคนได้จากการจ้องน้ำในขัน หรือไม่ก็สามารถมองเห็นผี/วิญญาณได้ คนที่เป็นหนี่ผะจะมีข้อห้ามเรื่องอาหารการกินหลายอย่าง เช่น มีกินเหล้า ไม่กินพืชผักที่มีกลิ่นฉุน เช่นกระเทียม กุยช่าย เป็นต้น นอกจากนี้ถ้าสายตระกูลใดไม่มีผีประจำตระกูล สมาชิกในตระกูลดังกล่าวจะไม่มีสิทธิได้เป็นหนี่ผะ นัทซือมา โกมะ (Natzy ma coa ma) หรือหมอยาผู้หญิง ผู้รอบรู้เรื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรค การถ่ายทอดความรู้จะจำกัดอยู่ในครอบครัวจากแม่สู่ลูกเป็นต้น เมื่อคนเจ็บมาให้หมอยารักษาและหายจากอาการ จะต้องประกอบพิธี และเซ่นสรวงบูชาวิญญาณ natzy ma ซึ่งถ้าไม่ทำก็จะได้รับการลงโทษ หน้าที่ของ natzy ma จึงเกี่ยวกับตัวยาและการรักษาโรคให้คนป่วยที่เกิดจากธรรมชาติ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากพลังเหนือธรรมชาติ ไอ กุ โก ปา (I ku coa pa) หรือผู้มีคุณไสย สามารถเสกบ่นคาถาและเป่าไปที่บาดแผลหรือเป่าใส่น้ำให้เป็นยาเพื่อรักษาโรคได้ เช่น ทำให้เลือดหยุดไหล ขับไล่ผีร้ายที่มาทำให้เด็กร้องไห้ตอนกลางคืน รักษาบาดแผลของสัตว์ ต่อกระดูก ทำยา หรือแม้แต่เสกคุณไสย (taj) ไปทำร้ายผู้อื่นได้ ลีซูมีความเชื่อว่า ผู้ที่มีคุณไสยในตัวนั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ เพื่อกันความเสื่อมเช่น จะไม่ลอดใต้เสื้อผ้าผู้หญิง หรือข้ามเล้าหมู เป็นต้น ลีซูมีธรรมเนียมที่จะไม่ดื่มน้ำที่เหลือติดก้นถ้วยจากคนอื่น โดยจะเททิ้งไปก่อนเพื่อป้องกันการถูกวางยา ภายในบ้านของผู้มีคุณไสยจึงมีวิญญาณ “I ku ma” อยู่ด้วย “Pi py coa pa (ma)” หมายถึง ผู้ชาย หรือผู้หญิงที่มีวิญญาณของ pi py ซึ่งวิญญาณนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนและสร้างความเจ็บปวดให้ เช่น เมื่อกินผลไม้ในป่าวิญญาณ pi py จะเข้าสู่คนได้ หรือคนที่มี pi py อยู่ในตัวจะขับไล่มันออกไป พวกเขาต้องประกอบพิธีโดยทิ้งทอง เงิน และเสื้อผ้า ถ้าผู้ใดเก็บสิ่งเหล่านี้ไปพวกเขาก็จะได้รับ pi py หรือถ้าผู้ใดฆ่าคนที่มี pi py วิญญาณของมันจะกลับไปสิงสู่ในร่างผู้ฆ่า เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่า pi py เป็นผีร้ายและเป็นสาเหตุให้เกิดความเจ็บป่วยและโชคร้ายของชาวลีซู Pu sy coa pa (ma) หรือคนที่มีวิญญาณของสัตว์ (pu sy) มาสิงสู่ คนผู้นั้นจะมีลักษณะบางอย่างที่แสดงถึงชนิดของสัตว์ที่มาสิง จะทำร้ายคนอื่นด้วยการกัดและกินร่างของผู้ตาย pu sy เป็นผีร้ายเช่นเดียวกับ pi py ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ต่างก็มีบทบาทและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชำนาญที่ติดต่อกับวิญญาณที่มองไม่เห็น ทั้งคนเข้าทรงหรือคนที่มีวิญญาณอยู่ในตัว โดยที่วิญญาณ (spirit) นั้นมีอำนาจสูงกว่า มนุษย์ตกเป็นฝ่ายที่ยอมจำนนรับอำนาจหรือความเจ็บปวดตอบแทน แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงผูกพันสัญญาที่มีระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงที่จะเซ่นสรวงบูชาผี/วิญญาณเหล่านั้นเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ให้ผี/วิญญาณเหล่านั้นคุ้มครอง และไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับมนุษย์ หน่วยทางสังคมในการจัดการเกี่ยวกับวิญญาณจึงมีความแตกต่างกัน เช่น maw mong จัดการกับวิญญาณผีเทพารักษ์หมู่บ้าน ในขณะที่คนทรงจะจัดการกับวิญญาณประจำสายตระกูล หรืออำนาจจากวิญญาณที่มีในการรักษาก็ต่างกัน เช่น natzy ma จะมีอำนาจเกี่ยวกับยาที่จะใช้รักษา หรือ I ku coa pa จะมีอำนาจส่ง taj ในการปรุงยาและรักษาบาดแผล เป็นต้น ลีซูมีความเชื่อว่าคนทุกคนจะประกอบไปด้วยพละกำลัง ( Mi* มี๊)และความรู้ (โดะ*Do) คือ มีพลัง มีเกียรติ หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึงความละอายก็ได้ (หน้า 158, 169) รวมถึงการได้รับคำอำนวยพรและความมั่งคั่งจากความใจดีเอื้อเฟื้อและตอบแทนผู้มีพระคุณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้บุคคลทั้งหลายสามารถแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน พละกำลังคือสิ่งที่มนุษย์ได้รับมาจาก หวู่ซาหรือเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้สร้างโลกและมีอำนาจลิขิตชะตะชีวิตมนุษย์ทุกคน มี๊จะปรากฏอยู่บนเส้นลายมือของแต่ละคนต่างกันไป เป็นผลให้แต่ละคนมีรูปร่าง โชควาสนาและเคราะห์กรรมต่างกันไป บางคนประสบความสำเร็จ ขณะที่บางคนต้องผจญกับอุปสรรคนานา ความสามารถทั้งสองด้านที่มีอยู่ในมนุษย์นั้นจะเพิ่มมากขึ้นหรือลดถอยลงนั้นอยู่ที่การกระทำ ประสบการณ์ที่ผ่านการเผชิญปัญหาหรือแก้ไขอุปสรรคนั้นได้ รวมถึงการติดต่อสัมพันธ์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข่าวสารกับคนกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ ลีซูส่วนใหญ่ ยังคงนับถือผี (หน้า 156, 163, 185) ซึ่งผีในความเชื่อของพวกเขา แบ่งออกเป็นผีดีและผีร้าย ผีดี คือ ผีที่ให้คุณ เช่น ผีประจำหมู่บ้าน ผีบรรพบุรุษ ผีบ้านผีเรือน ส่วนผีร้ายได้แก่ผีป่า ผีคนตายไม่ดี เช่น ถูกยิงตาย หรือถูกฟ้าผ่าตาย แม้ว่าจะมีลีซูส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์กันบ้างแล้วแต่เรายังคงพบเห็น การนับถือผีตามหมู่บ้านทั่วไป นอกจากนี้ พวกเขาเชื่อว่า ทุกหนแห่งมีวิญญาณหรือพลังบางอย่างสิงสถิตอยู่ แม้ว่าคนกับผีจะไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันแต่ต่างก็มีความรู้สึกนึกคิดและความต้องการที่คล้ายกัน ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคนกับผีหรือพลังธรรมชาติจึงอยู่ในลักษณะที่เลี้ยงดูเกื้อกูลกัน คนจะต้องเลี้ยงดูผีผ่านพิธีกรรมอย่างสม่ำเสมอ โดยคาดหวังว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองและขจัดปัดเป่าเภทภัยเพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและมั่นคง สำหรับผีถ้าได้รับการเซ่นไหว้สม่ำเสมอจะมีพลังอำนาจมากและคอยคุ้มครองดูแลให้ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข การทอดทิ้งละเลยต่อผี เช่นไม่ได้เซ่นไหว้และเลี้ยงดูจะเกิดความห่างเหิน ผีจะโกรธซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดเภทภัยกับมนุษย์ได้ ผี/วิญญาณที่มีทั้งดีและไม่ดีนั้นมีอยู่ทุกที่ เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงตกเป็นเป้าหมายคุกคามจากผีร้ายได้ง่าย และผลก็คือทำให้เจ็บป่วย สาเหตุที่คนป่วยได้นั้นอาจเป็นเพราะวิญญาณของเขาออกจากร่างไป ทำให้ร่างกายอ่อนแอ หรือไม่ก็ไปกระทำความผิดกฎข้อห้ามจึงโดนลงโทษ (หน้า 87) หรือไม่ก็เป็นคราวโชคร้ายของคนผู้ร้ายที่โดนวิญญาณร้ายทำร้าย เป็นต้น ในส่วนของระบบการจัดองค์การอำนาจของผี/วิญญาณ (Organization of the spirits) (หน้า 100, 127, 151) ลีซูได้แบ่งผี/วิญญาณออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ผีประจำแซ่สกุล (house lineage) ที่คอยคุ้มครองคนในบ้าน/ตระกูล ไม่ให้ได้รับอันตราย, กลุ่มวิญญาณหิวโหย ซึ่งเมื่อเจอวิญญาณเหล่านี้ ก็ประกอบพิธีเซ่นสังเวยให้ตามความเหมาะสม เมื่อพอใจแล้ววิญญาณเหล่านี้จะจากไปเอง และกลุ่มสุดท้ายคือ ผี/วิญญาณร้าย (หน้า 104) ที่ต้องทำพิธีกรรมขับไล่ ลีซู มีความเชื่อว่า สาเหตุของโรค (Pathogenesis) ต่างๆ นั้นเกิดจากวิญญาณเหล่านี้ ความเชื่ออื่นๆ ของชาวลีซูเป็นผลมาจากการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ เช่น หมาพยายามที่จะตะครุบหมูนั่นคือลางบอกเหตุความโชคร้าย (kho?) ที่จะเกิดขึ้นกับหมู่บ้าน จะต้องประกอบพิธีไล่ความชั่วร้ายนั้นให้พ้นไป หรือถ้างูเลื้อยขึ้นบ้าน อาจเป็นลางบอกว่าญาติสนิทของเจ้าของบ้านตาย หรือจะเป็นวิญญาณคนตายที่กลับมาบอกข่าวให้รู้ จะไม่มีการฆ่างูตัวนั้น หรือจะเป็นคำทำนายต่างๆ ที่จะชี้นำให้ว่าจะต้องดำเนินการรักษาไปอย่างไร (หน้า 144) ตั้งแต่ฆ่าหมูเพื่อเซ่นสรวง โดยที่จุดบนตับของหมู หรือรูพรุนในกระดูกขาบนของไก่ สามารถนำมาใช้ทำนายอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเดินทาง การติดต่อค้าขาย ลีซูเชื่อว่าจะต้องไม่ทำตัวยิ่งใหญ่เกินกว่าวิญญาณที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาต้องพึ่งพาวิญญาณที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เหล่านั้น โดยมีการแลกเปลี่ยนหรือตอบแทนระหว่างกันนั่นคือมนุษย์จะให้สิ่งของเป็นการเซ่นสรวงบูชาซึ่งจะมากหรือน้อยตามลำดับอำนาจของผี/วิญญาณที่ปกป้องนั้นมี ถ้าเกิดวิญญาณไม่ยอมรับอาจจะต้องติดสินบนให้มากขึ้น ความเชื่อในเรื่องดินแดน (territory) ทำให้ ลีซูแยกหน้าที่ตามการใช้งานของของแต่ละสิ่ง เช่น แบ่งสัตว์เลี้ยงได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ สัตว์น้ำ สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง (หน้า 171) รวมถึงการแบ่งพื้นที่ เป็น 2 ส่วนคือ มีคนอยู่อาศัย (domesticated) และไม่มีคนอยู่อาศัย (undomesticated) คือ ป่า ในพื้นที่อยู่อาศัย คือภายในหมู่บ้านที่แบ่งเป็นพื้นที่ป่าและพื้นที่บ้าน ซึ่งแยกได้อีก 2 ส่วนคือ พื้นที่สำหรับคนอยู่อาศัยและพื้นที่สำหรับคนตาย ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีวิญญาณคอยปกป้องคุ้มครอง เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการจัดลำดับของวิญญาณที่คุ้มครองดูแลชาวบ้านเหมือนกับการจัดลำดับตำแหน่งของบุคคลทางการเมืองตามความสูงต่ำของชั้นยศและอำนาจโดยที่วิญญาณในแต่ละที่นั้นได้เรียงลำดับตามความสำคัญ ถ้าเป็นในเขตบ้านก็เป็นวิญญาณที่ดี เช่น ในเขตอยู่อาศัย ลีซูนับถือ “chienglao sy pa” หรือจะเป็น “apa mo” ที่คุ้มครองหมู่บ้าน และผีประจำบ้าน แต่ถ้าตามป่าเขาก็จะเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่สามารถสร้างความเจ็บไข้ให้แก่ผู้คนได้ ในระบบความคิดของลีซูมีตรรกะของความเป็นสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามแทรกอยู่ อันได้แก่ ตรรกะของสิ่งที่อยู่บนและล่าง (up and down) ตัวอย่างเช่น ทรรศนะการให้ความสำคัญกับวิญญาณผีบรรพบุรุษ เนื่องจากบ้านลุ่ม ตั้งอยู่ในหุบเขาลึก ทำเลที่ตั้งของศาลของผีเทพารักษ์ที่คุ้มครองจึงต้องอยู่สูงกว่าหมู่บ้าน (หน้า 217) บ้านของลูกเขยและลูกสาวจะสร้างอยู่ในต่ำกว่าระดับบ้านของพ่อตา เป็นต้น ซึ่งมีผลไปถึงการตั้งศาลของผี/วิญญาณต่างๆ จะเรียงตามลำดับสูงไปหาต่ำตามลำดับอำนาจที่มีมากสุดไปจนถึงมีอำนาจน้อยสุด เช่นกัน ประตูบ้านจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า (downhill) หิ้งบูชาผีจะอยู่สูงกว่า (up hill) ซึ่งบริเวณนี้คนที่มีอายุสูงจะได้รับเกียรติให้นั่ง ขณะที่คนรุ่นหนุ่มจะนั่งกันบริเวณใกล้กับประตู แต่มีข้อห้ามสำหรับผู้หญิงที่จึงถูกกันแยกออกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง วิญญาณ/ผีฝ่ายดีต่างได้รับการจัดอันดับอยู่สูงกว่ามนุษย์ทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นในขั้นตอนพิธีกรรมประกอบการรักษาโรค เช่น การส่ง taj การขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องโชคร้าย ตรรกะเรื่องด้านขวา-ด้านซ้าย จากตัวอย่างของหิ้งบูชาผีของลีซู ที่จะจัดให้หิ้งของผีที่มีอำนาจมากๆ อยู่ทางด้านซ้าย ผู้ชาย ต้องอยู่ทางด้านซ้ายเสมอและด้านขวาคือที่อยู่ของพวกผู้หญิง เหมือนกับเลข 7 ที่เป็นเลขของผู้หญิง และเลข 9 คือเลขของผู้ชาย เช่นเดียวกับพระจันทร์คือผู้หญิง และพระอาทิตย์คือผู้ชาย ภายในบ้านด้านซ้ายมือของบ้านจะเป็นส่วนที่ใหญ่ และมีประตูเพื่อเข้า-ออกที่ด้านนี้ การประกอบพิธีถ้าจะต้องตั้งหิ้งเพื่อเซ่นสรวงวิญญาณ หิ้งของวิญญาณที่มีอำนาจมากที่สุดจะตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของประตู ด้านขวาคือที่ตั้งของหิ้งผีที่อยู่ระดับรองลงมา ในการแปลความจากกระดูกไก่เสี่ยงทาย ด้านซ้ายจะแสดงถึงสถานะของวิญญาณ ขณะที่ด้านขวาแสดงในส่วนของมนุษย์ ตรรกะเรื่องจำนวน 7 และ 9 และตรรกะความเป็นคู่ ได้แก่ ขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา ผู้ชาย-ผู้หญิง สุขสบาย-เจ็บป่วย พระอาทิตย์-พระจันทร์ ท้องฟ้า-ดิน อำนาจ-ไม่มีอำนาจ วิญญาณ-คน ลมหายใจ-กระดูก จิต-ร่างกาย ตรรกะต่างๆ เหล่านี้คล้ายกับสัญลักษณ์หยิน-หยางของจีนที่มีการเปรียบเทียบของสองสิ่ง สำหรับลีซูแล้วผู้หญิงถ้าเปรียบกับผู้ชาย ผู้หญิงคือหยิน มนุษย์ถ้าเปรียบกับวิญญาณ มนุษย์คือ หยิน - หยางเปรียบเหมือนพลังอำนาจ หยินอาจจะเป็นความเจ็บป่วย ดังกรณีที่มนุษย์ได้ไปกระทำล่วงเกินวิญญาณเข้า ส่งผลให้คนผู้นั้นต้องป่วยและจะต้องมาประกอบพิธีขอขมาต่อวิญญาณดังกล่าวซึ่งเหมือนกับที่มนุษย์ตกอยู่ สภาวะที่เป็นหยิน ได้ผลักดันให้เกิดการกระทำที่เป็นหยิน หรือจะเป็นผู้ที่ทำการรักษาโรคทีเกิดจากธรรมชาติ คือ ผู้หญิงที่มีอำนาจเป็นหยิน แต่ขณะเดียวกันผู้มีอำนาจรักษาโรคที่เกิดจากพลังเหนือธรรมชาติ จะเป็นผู้ชายที่มีอำนาจหยางในตัว ทั้งตรรกะจำนวนเลข 7 และเลข 9 เกี่ยวข้องกับสิ่งที่แสดงถึงความเป็นหยิน-หยาง ไม่ว่าจะเป็นอาจจะบอกเราบางอย่างได้ถึงความพยายามของลีซูที่จะทำให้ชีวิตอยู่เป็นปกติสุขตลอดทั้งรอบวันของพวกเขาก็เป็นได้ (หน้า 241) เวลาที่เกิดคราสถือกันว่าเป็นช่วงเวลาที่ตกอยู่ภาวะของความอับโชคและความย่ำแย่ทางเศรษฐกิจก็อยู่ในข่ายนี้เช่นกัน

Education and Socialization

ไม่ระบุชัดเจน

Health and Medicine

ลีซูแยกความเจ็บป่วยเป็น 2 ประเภท ตามสาเหตุและวิธีการรักษาคือ ความเจ็บป่วยจากสาเหตุธรรมชาติ (Natural Disease) ที่สามารถใช้ยาสมุนไพรรักษาร่วมได้ กับ ความเจ็บป่วยที่มาจากพลังเหนือธรรมชาติ (Supernatural Disease) ที่จะต้องรักษาด้วยพิธีกรรม (หน้า 114,122) สาเหตุของการป่วยในความคิดของลีซู มีทั้งที่เกิดจาก ภูติผีวิญญาณร้าย ซึ่งจะกำจัดวิญญาณเหล่านี้ได้ ก็ต้องมีการทำพิธีกรรมเพื่อขับไล่ หรือเพื่อสร้างความพอใจให้แก่วิญญาณนั้นโดยผู้ประกอบพิธี หรือเกิดจากการกินอาหารผิด จึงส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยทั้งแบบเฉียบพลันและสะสม หรือเกิดจาก เลือดไม่ดี หรือ ถูกคุณไสย และเป็นเพราะชะตากรรมหรือเคราะห์กรรม (mi * มี๊) ลีซูมีมุมมองในการรักษาโรค 2 มุม นั่นคือ มองจากสภาพของผู้ป่วย โดยดูอาการ แล้ววินิจฉัยโรคออกมา (หน้า 102,113) ถ้ามีสาเหตุป่วยจากธรรมชาติ ก็ใช้ยารักษาโรคหรือสมุนไพรรักษา แต่ถ้าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ผีหรือวิญญาณร้ายเป็นผู้กระทำ ก็จะเปลี่ยนวิธีการรักษามาเป็นการประกอบพิธีกรรม เพื่อให้คนป่วยหายจากอาการป่วยนั้น แต่การรักษาจะเป็นไปด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน ตามประสบการณ์ในอดีตที่ผู้รักษาแต่ละคนมี เช่น เคยมีคนป่วยมีอาการลักษณะเช่นนี้ แล้วต้องรักษาด้วยวิธีนี้ วิธีนั้นเป็นต้น แล้วผู้ป่วยจะอาการดีขึ้น โรคที่เกิดจากธรรมชาติ ลีซูยกให้เป็นเพราะความผิดปกติของเลือดที่ข้นหนืดจึงทำให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้น การรักษาทำได้ 2 วิธีคือ เอาเลือดนั้นทิ้งไป (removal) และ ทำให้มันกลับสู่สภาพเดิมที่เป็นน้ำ (liquify) โดยอาจจะใช้วิธีกินยาสมุนไพร ในบรรดาความเจ็บป่วยที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาตินั้น อาการที่ขวัญหายไม่อยู่กับตัวคือสาเหตุหนึ่งของการเจ็บป่วย (หน้า 126) เพราะลีซูมีความเชื่อว่า มนุษย์เราประกอบไปด้วย ร่างกายและจิตวิญญาณหรือขวัญ ผู้ชายมีขวัญอยู่ 9 แห่ง ส่วนผู้หญิงมี 7 แห่ง ถ้าเกิดอาการที่แสดงว่าขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเมื่อวิญญาณของบุคคลนั้นออกไปจากร่างไปไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม (วิญญาณร้ายจับไป) จะทำให้ผู้นั้นอ่อนแอและตกเป็นเป้าหมายของผีร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายได้ง่าย (โดนทำคุณไสยทั้งจากวิญญาณและของมีอาคม) จึงต้องมีการทำพิธีเรียกขวัญให้กลับคืนสู่ร่างกาย มิฉะนั้นคนอาจจะล้มเจ็บและเสียชีวิตได้และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเจ็บไข้ได้คือการพูดสิ่งที่ไม่ดี (malicious talk) ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเกิดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่รวมไปถึงความเสียหาย (misfortune) ที่จะเกิดขึ้นได้กับผลผลิตในท้องนาหรือสัตว์เลี้ยง เมื่อมีคนเจ็บป่วย ผู้ที่มีความรู้เรื่องยาหรือเครือญาติจะวินิจฉัยเบื้องต้นโดยดูว่าคนเจ็บมีอาการเป็นอย่างไร หากมีอาการเล็กน้อยก็จะพยายามรักษากันเอง แต่ถ้าไม่สามารถรักษาเองได้ก็จะเชิญผู้อาวุโสทำพิธีเสี่ยงทายหาสาเหตุหรือไม่ก็เชิญหมอผีมาทำพิธีรักษา หมอผีประจำหมู่บ้าน หรือ Nei pa คือผู้ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับผีหรือวิญญาณได้ บทบาทของหมอผีคือ วินิจฉัยค้นหาสาเหตุของความเจ็บป่วยก่อน ส่วนการรักษานั้น ถ้ารู้ว่าเป็นผีร้ายก็จะประกอบพิธีกรรมเพื่อเยียวยารักษาความเจ็บป่วย ขจัดปัดเป่าชะตาเคราะห์หรือโชคร้ายต่างๆ (หน้า 125) โดยจะทำพิธีกรรม เช่น การเซ่นสรวงบูชาไปจนกว่าคนป่วยจะทุเลาอาการลง แต่ถ้ายังไม่หาย ก็จะเริ่มใช้วิธีการอย่างอื่น เช่น การไปตามหมอยาสมุนไพรให้มาช่วยรักษาร่วมด้วย (สำหรับยาสมุนไพรที่ลีซูใช้กินโดยทั่วไปนั้นเรียกว่า ยาแดงพม่า “Burmese red medicine” โดยผสมกินกับเหล้า) แต่ว่าน้อยครั้งมากที่ชาวบ้านจะตามหมอยาสมุนไพรมารักษา (หน้า 125) ดังที่กล่าวไปแล้วหมอผีคือผู้ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับผีหรือวิญญาณได้ และ หมอผีอีกเช่นกันที่จะเป็นสื่อกลางระหว่างผีกับคน เมื่อเกิดความเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ลีซูจะเชื่อกันว่าถูกผีกระทำ เขาจะให้หมอผีมาเข้าทรงเชิญวิญญาณมาสิงในร่างของหมอผี เพื่อถามสาเหตุแห่งความเจ็บป่วยนั้น หมอผีคือผู้รักษาคนเจ็บป่วย สำหรับผลการรักษานั้นก็มีทั้งที่รักษาหายและรักษาไม่หายบ้าง แต่ในกรณีของหมู่บ้าน “บ้านลุ่ม” นี้ ชาวบ้านเลือกที่จะให้หมอผีเป็นคนรักษามากกว่า จนเมื่อเกินกำลังที่จะใช้หมอผีรักษาแล้ว พวกเขาจึงจะยอมพาคนป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา กรณีศึกษาที่ผู้เขียนยกมาเป็นตัวอย่างนั้น เป็นอาการปวดท้องอย่างรุนแรงของภรรยาของหมอผีคนที่สองประจำหมู่บ้าน ก่อนเริ่มการรักษานั้น หมอผีจะเชิญผีบรรพบุรุษมาเข้าทรงก่อนในเบื้องต้นเพื่อให้ผีวินิจฉัยโรคและบอกวิธีการรักษาก่อน คำวินิจฉัยเริ่มตั้งแต่ เธอถูกผีร้าย (ho py) เล่นงานด้วยไฟ จึงต้องทำพิธีกรรมเซ่นสรวงผีดูแลเส้นทาง (path spirit) ระหว่างนั้นหมอผีได้เรียกให้วิญญาณมาเข้าสิงเพื่อขับไล่ taj หรือสิ่งที่มาสร้างความเจ็บปวดให้แก่ร่างกาย เมื่อทำพิธีแล้วแต่คนเจ็บอาการไม่ทุเลา จึงต้องคิดหาสาเหตุอื่นและหาวิธีแก้ต่อไป เช่น เรียกขวัญคนเจ็บให้กลับมาอยู่กับตัว, ทำพิธีกรรมเพื่อขอขมาและเซ่นสรวงต่อ mi tsy da ma,I da ma แล pa ta ที่อาจจะมีคนอื่นไปล่วงเกินแต่ผลกระทบกลับตกสู่คนในครอบครัวได้เช่นกันให้มาช่วยรักษาเหมือนกับกรณีนี้ และรักษาบาดแผลที่เกิดจากการกระทำของ taj (ปวดท้อง) นอกจากนี้ยังมีการใช้การดูกระดูกไก่เสี่ยงทายหรือไม่ก็เป็นตับหมูที่ใช้เซ่นสรวงผีบรรพบุรุษเพื่อหาข้อมูลโดยการตีความจากสัญลักษณ์ที่ปรากฏ ว่าจะรักษาอย่างไรต่อไป พิธีกรรมต่างๆ จะประกอบขึ้นตามสัญญาที่มีให้กับวิญญาณแต่ละวิญญาณที่มาให้การช่วยเหลือ เมื่อลองดูตามสาเหตุว่าอาจเกิดจากพลังเหลือธรรมชาติ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากอื่นอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้รับการตีความใหม่ว่าเป็นเพราะ “กินของผิด” ทำให้เลือดเกิดอุดตันในร่างกาย ก็ใช้การรักษาด้วยยา จนหายหรือถ้าเกินกำลังการรักษาจึงจะส่งคนป่วยไปหาหมอในโรงพยาบาลเชียงใหม่ เป็นต้น เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาโรคของลีซู ที่การกระทำ (action)แต่ละอย่างที่ทำไปนั้น ได้ผ่านกระบวนการใช้เหตุผล เพื่อการรักษาโรค โดยรวบรวมข้อมูล (data input) ไม่ว่าจะเป็นอาการของคนเจ็บ การจัดการของวิญญาณของผีบรรพบุรุษ (lineage spirits) หรือเป็นเพราะผีร้ายมากระทำ ฯลฯทั้งที่เป็นประสบการณ์ในอดีตที่มีความคล้ายคลึงกันมาตีความวินิจฉัยอาการ (cognitive) ก่อนดำเนินการรักษา พวกเขารู้ว่าวิญญาณตนไหนมีอำนาจแค่ไหนและสามารถจัดการได้อย่างไร (ประกอบพิธีกรรมเซ่นสรวงสร้างความพอใจ,ทำพิธีเรียกขวัญ, ขอร้องวิญญาณให้มาช่วยเหลือ) การอ่านคำทำนาย (หน้า 94-95) อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ เช่น neiza ติดต่อกับมนุษย์ผ่านทางคนทรง ในรูปแบบของการเสี่ยงทายกับคำทำนายต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์และวิญญาณต่างก็มีสัญญาต่างตอบแทนให้กันและกัน แล้วท้ายที่สุดแสดงออกมาในรูปของการกระทำ (performance) การประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนการแก้ไขปัญหาเพื่อปัดเป่าความโชคร้าย ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย กำจัดแมลงศัตรูพืชที่ทำความเสียหายให้กับท้องนา ปลูกพืชได้ผลผลิตต่ำ หมูตายฯลฯ สรุปได้ว่า เมื่อมีคนป่วย จะมีการพยายามหายาและวิธีรักษา ถ้าเกิดจากธรรมชาติกระทำ การกินยาคือการักษาที่ลีซูเลือกใช้ เช่น ถ้ากินเห็ดมีพิษแล้วไม่สบาย พวกเขาจะเอาเต่ามาต้มกินเป็นน้ำแกง เพราะความเชื่อที่ว่าเต่าสามารถกินเห็ดได้ทุกชนิด ไม่ว่าเห็ดนั้นจะมีพิษหรือไม่ก็ตาม หรือหากก้างปลาติดคอ จะเอาอุ้งเล็บสัตว์ที่จับปลากินเป็นอาหารมาต้มกิน แต่ถ้าเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น วิญญาณผีร้าย ก็จะใช้พิธีกรรมเป็นวิธีการรักษา หรือไม่ก็จะทำไปควบคู่กันทั้งกินยาและประกอบพิธีกรรม (หน้า 122, 125) แหล่งที่จะรักษาโรคให้หายในความรับรู้ของชาวลีซูได้แก่ หมอผี,หมอยาสมุนไพรที่ต้องมีวิญญาณ natzy ma,ชาวลี ซอที่รู้จักการปรุงยาด้วยการเป่ามนต์ หมอน้ำมนต์, หมอฉีดยา, คนไทยหรือจีนที่มาจากที่อื่นและมีความรู้ทางยา, โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ และใกล้เคียง แต่จากประสบการณ์ที่ไม่ดีที่ชาวบ้านได้รับเมื่อไปขอรับการรักษาในโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ (หน้า 123) ทำให้ที่นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่ชาวบ้านจะมา พวกเขาเลือกที่จะไปหาหมอมิชชันนารี หรือไม่ก็หมอทหาร/ตำรวจที่มาฉีดยาให้ในหมู่บ้านมากกว่า

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ระบุชัดเจน บอกเพียงแต่ว่า ลีซูแต่ละกลุ่มนั้นจะมีเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของตนแต่ไม่ได้ลงในรายละเอียด

Folklore

ไม่ระบุชัดเจน

Map/Illustration

ผู้เขียนใช้ แผนภาพ (diagram, tree diagram) แสดงรายละเอียด (หน้า 96 107 130 166 188 219)

Text Analyst ขวัญฤทัย ชิ้นมาลัย Date of Report 27 ก.ย. 2567
TAG ลีซู, วิถีชีวิต, การรักษาโรค, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง