|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซู,วิถีชีวิต,การรักษาโรค,ภาคเหนือ,ประเทศไทย |
Author |
Edward Paul Durrenberger |
Title |
The Ethnography of Lisu Curing |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
290 |
Year |
2514 |
Source |
For the degree of Doctor of Philosophy in Anthropology, University of Illinois at Urbana-Champaign, Illinois. |
Abstract |
การศึกษาองค์ความรู้และกระบวนการให้เหตุผลเกี่ยวกับโรคภัยและความโชคร้ายของลีซูที่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ได้อาศัยกรอบทฤษฎี “Competence” และ “Data Inputs” ร่วมกับการตีความเชิงวัฒนธรรม เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี หรือระหว่างผู้ป่วยกับหมอผี รวมถึง ระบบความคิด ความเชื่อและความเป็นจริงซึ่งส่งผลต่อกระบวนการทางจิตใจผ่านจิตสำนึก (Cognitive competence) ก่อให้เกิดพฤติกรรมในแง่ของการแสดงออก (performance) ของลีซู ในความคิดของลีซู สาเหตุของการเจ็บป่วยและความโชคร้ายนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งจากพลังธรรมชาติ (Natural disease) และพลังเร้นลับเหนือธรรมชาติ (Super natural disease) การจัดแบ่งระบบคู่ต่างขั้ว (Logic of polarities) จึงช่วยอธิบายให้เห็นโครงสร้างทางสังคมและโครงสร้างทางการเมืองภายในระบบความคิดของลีซู ที่ส่งผลถึงบริบทการหาสาเหตุของความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล |
|
Focus |
เน้นการนำเสนอในแง่มุมเกี่ยวกับองค์ความรู้และกระบวนการให้เหตุผลเกี่ยวกับปัญหาความเจ็บป่วย และความโชคร้ายของลีซูที่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยโดยครอบคลุมเนื้อหาทั่วไปเกี่ยวกับวัฒนธรรมลีซู ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี วิธีการหาสาเหตุของความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนตั้งใจจะให้รายละเอียดในการรักษาโรคของชาวเขาเผ่าลีซู จากบ้านลุ่ม (Ban Lum) อย่างเป็นระบบ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในสถานการณ์หนึ่งๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงกับโครงสร้างจิตสำนึกของผู้คนจะดำเนินไปด้วยกันได้จะต้องมีปัจจัยใดเข้ามาประกอบบ้าง จึงจะส่งผลให้เกิดการกระทำดังกล่าว ผู้เขียนนำกรอบทฤษฎี “competence” มาใช้วิเคราะห์ ความหมายของ Competence ในเรื่องที่ศึกษานี้คือ องค์ความรู้หรือความเป็นจริงที่ก่อให้เกิดการกระทำ (การแสดงออก, อุปนิสัยของบุคคล) ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวมีผลต่อกระบวนการทางจิตใจมากกว่ามีผลต่ออุปนิสัยของบุคคล (หน้า 24,43) ความสัมพันธ์เชิงตระหนักรู้ (Cognitive competence) ที่เป็นไปในรูปแบบของการแสดงออก จากบริบทระยะเวลาทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่หรือไม่ก็ตาม อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับตัวแปรต่างๆ ซึ่งรวมถึง องค์ความรู้ (knowledge) ด้วย การกำหนดมาตรฐานที่จะมาอธิบายความแตกต่างของ competence ในแต่ละปัจเจกบุคคลภายใต้เงื่อนไขการจัดกลุ่มบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกัน ว่าเป็นของใคร ซึ่งผลจากการวิเคราะห์การจัดกลุ่มบทบาทดังกล่าวได้นำมาเป็นพื้นฐานเพื่อความเข้าใจในกระบวนการความคิดอย่างเป็นระบบในส่วนของการจำแนกแบ่ง ดังเช่น การจัดการกลุ่มความคิดในระบบคู่ตรงข้าม ซึ่งแสดงรายละเอียดในรูปของแขนงรากไม้ ที่เข้าใจง่ายและทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ซึ่งอยู่ในรูปแบบของเซทหรือกฎต่างๆ ในระบบการจำแนกแบ่ง เป็นต้น โดยหลักการแล้วเราไม่สามารถที่จะนำความรู้หรือโครงสร้างจิตสำนึกมาอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ได้โดยตรง เพราะข้อจำกัดที่ว่าเราไม่รู้กฎต่างๆ ที่จะนำมาอธิบายถึงความแตกต่างทางพฤติกรรมทั้งหมดได้ได้อย่างชัดเจน จึงต้องอาศัยการแปลความเชิงวัฒนธรรมอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่พอจะรับได้เข้ามาเสริม ซึ่งพฤติกรรมการแสดงออกของมนุษย์นั้น มีตัวกำหนดให้เป็นไปไม่ว่าจะเป็นปัจจัยต่างๆ ระบบนิเวศวิทยา เทคโนโลยี และปัจจัยอื่นไม่ว่าจะเป็น ความหนาแน่นของประชากร สภาพภูมิอากาศ พื้นที่ทำการเพาะปลูก ตลาดและการผลิตหรือแม้แต่การจัดระเบียบของรูพรุนในกระดูกไก่ รวมถึงระบบความรู้ซึ่งเป็นทฤษฎีอีกอันหนึ่งที่จะมาอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันได้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนข้อมูล (data) ที่มาทำให้ โครงสร้างจิตสำนึก (cognitive structure) แปลความและตอบสนองในรูปของการแสดงออก (act) มนุษย์เรานั้นโดยธรรมชาติแล้วมีความอยากรู้ เมื่อมนุษย์มีความรู้ (knowledge) สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความรู้นั้นได้กระตุ้นให้เกิดการค้นหาข้อมูล ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลจริงกับโครงสร้างจิตสำนึกจึงอยู่ในลักษณะที่ไม่ว่าพฤติกรรมทั้งในปัจจุบันหรืออดีตล้วนเป็นข้อมูลที่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมทั้งหลายรอบตัวบุคคลนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ชัดเจน คือ โครงสร้างจิตสำนึก กับการกระทำของบุคคล ซึ่งความรู้ได้เข้าไปกำหนดให้เกิดพฤติกรรมได้อย่างไร ผู้เขียนจึงได้ใช้ทฤษฎีเพื่อหาข้อมูลนำเสนอในแง่ของการแสดงออก (performance) มากกว่าที่จะมุ่งอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์โดยอาศัย competence และ data inputs มาช่วยให้เข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ผู้เขียนเริ่มต้นแสดงการจัดแบ่งเป็นระบบคู่ต่างขั้ว (logic of polarities) โดยได้เก็บรายละเอียดใน ระหว่างที่กระบวนการรักษาเกิดขึ้น (หน้า 118) เหตุผลของลีซูที่ใช้ หรือ เหตุที่เข้ามาประกอบนั้นก่อเกิดผลลัพธ์ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป การอธิบายโครงสร้างทางสังคมและโครงสร้างทางการเมืองภายในระบบความคิดของลีซูที่ส่งผลมาถึงระบบการรักษาโรค เน้นให้เห็นกระบวนการใช้เหตุผลที่มีอยู่ และวิเคราะห์กระบวนการดังกล่าวเพื่อการแปลความหมายของลีซูในบริบทของความเจ็บป่วยและหาสาเหตุของโรคเพื่อเตรียมการรักษา ในกระบวนการ “Processual analysis” แสดงการวิเคราะห์แปลความพฤติกรรมของชาวลีซูที่มีต่อ disease causal อันได้แก่ สิ่งที่อาจเป็นสาเหตุ คุณสมบัติใดที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นสาเหตุ และความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลที่เกิดตามมา โดยอาศัยข้อมูลที่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งจากพลังธรรมชาติและพลังเร้นลับของสิ่งเหนือธรรมชาติ และตรรกะที่ใช้ในการรักษา (หน้า 94) ไม่ว่าจะด้วย Natural disease (หน้า 107) ที่พูดถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติและ Supernatural Disease สิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ กับวิธีการรับมือของหมอผีแต่ละคนที่อาศัยประสบการณ์ในอดีตมาช่วยวิเคราะห์ ผู้เขียนชี้ว่า ผู้รักษาหรือหมอผีจะมี ภาพ (idea) เกี่ยวกับโรคและการกระทำ (action) ที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาอาการของคนป่วยนั้นได้ผ่านการกลั่นกรองจากประสบการณ์ส่วนตัวที่มีมาในอดีต (ประมวลอาการคนป่วยจากข้อมูลที่ได้รับมา)แล้วว่าถ้าทำเช่นนี้แล้วจะได้ผล(เลือกวิธีรักษา) เป็นอย่างไร ผ่านกระบวนการใช้เหตุผล (หน้า 98) ดังกล่าว |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลีซู เรียกตนเองว่า “ลีซู” เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาพม่า-ธิเบต (Tibeto-Burman) ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พม่า อินเดีย และภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 7) แม้จะเป็นกลุ่มชนที่มีความคลุมเครือในชาติพันธุ์เพราะมีการผสมผสานทางเชื้อชาติกับชาวจีน แต่พวกเขายังอยากที่จะเป็นลีซูอยู่ (หน้า 11) เราสามารถแยกลีซูได้จากชื่อแซ่สกุล บางแซ่พวกเขาใช้ร่วมกับคนจีน บางแซ่ใช้ร่วมกับละหู่ เอกลักษณ์ของกลุ่มต่างๆ ของลีซูแสดงให้เห็นผ่านเครื่องแต่งกายและภาษาพูด ตามลักษณะการแต่งกายสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ ลีซูดำ เครื่องนุ่งห่มจะเป็นสีดำ และลีซูลาย เครื่องนุ่งห่มจะใช้ผ้าหลากหลายสีมาตัดเย็บ นอกจากนี้ผู้เขียนพยายามอธิบายให้เห็นระบบทางวัฒนธรรม (cultural system) ที่แฝงอยู่ในตัวบุคคลผ่าน จิตสำนึก (cognitive competence) แล้วแสดงออกทางพฤติกรรมว่า พวกเขาคือ ลีซู นับเป็นนัยสำคัญที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีเกณฑ์คุณค่า มีจารีตประเพณีเป็นของตนเอง หรือเป็นกลุ่มคนที่รักอิสระ ไม่ต้องการตกอยู่ใต้อาณัติของใคร พวกเขาไม่ได้ติดอยู่ในกรอบที่มีกฎเกณฑ์บัง คับ แต่มีความเชื่อมั่นในพลังวัฒนธรรมของตนและอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งทำให้แบบแผนพฤติกรรม ระบบความสัมพันธ์ทางสังคมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับระบบนิเวศที่รายล้อมมากกว่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลีซูไม่มีภาษาเขียนของตนเอง แต่มีภาษาพูดซึ่งมีบางคำที่แตกต่างกันอยู่บ้างในแต่ละกลุ่มย่อย พวกเขาสามารถสื่อสารกันได้. |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่าง 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 และ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2513 (ผู้เขียน) |
|
History of the Group and Community |
ตามคำบอกเล่า การอพยพโยกย้ายมาสู่ประเทศไทย และประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว เวียดนาม ของลีซูนั้น มีเป็นระลอกเริ่มขึ้นตั้งแต่เกิดสงครามกับมองโกล หรือไม่ก็ในช่วงที่มุสลิมเข้ามาตีทางตอนใต้ของจีน และครั้งหลังในช่วงที่คณะคอมมิวนิสต์ปฏิวัติในจีน (หน้า 11) แต่ละช่วงของการย้ายถิ่นได้มีการผสมผสานกันทางเชื้อชาติระหว่างจีนกับลีซู หรือไม่ก็ลีซูกับชนชาติอื่น เช่น ละหู่หรือจีนยูนนาน เป็นต้น |
|
Settlement Pattern |
กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูจะเลือกตั้งชุมชนบนที่สูง หมู่บ้านตั้งหันหลังให้ภูเขา สำหรับบ้านเรือนของชาวบ้านจะหันหน้าไปทางทิศเดียวกัน โดยที่ประตูบ้านแต่ละหลังจะไม่อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน (หน้า 18) ส่วนใหญ่เป็นบ้าน/กระท่อมมุงจากที่ปลูกติดพื้น วางตัวในแนวสูง-ต่ำตามที่ลาด ประตูทางเข้าอยู่ทางด้านต่ำ มีรั้วกั้นพื้นที่เล็กๆ ด้านหลังบ้านเพื่อเลี้ยงสัตว์ ภายในแยกสัดส่วนพื้นที่การใช้สอยโดยมีม่านกั้นหรือใช้ไม่ไผ่บางๆ กั้นขอบเขต ด้านในสุด (ส่วนที่สูงสุดของบ้าน) เป็นที่ตั้งของหิ้งบูชาบรรพบุรุษ ข้างใต้หิ้งเป็นแคร่ไม้ไผ่สำหรับให้สมาชิกเฉพาะผู้ชายในบ้านมานั่งเล่น หรือนอนได้ มีพื้นที่เปิดโล่งสำหรับตั้งเตาไฟหุงหาอาหาร ที่ตรงนี้สมาชิกจะมานั่งล้อมวงกินชาหรือไม่ก็สนทนากัน ด้านข้างติดกำแพง ด้านหนึ่ง ใช้เป็นที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงข้าวสารอาหารแห้ง นอกจากนี้ลีซูยังแยกพื้นที่ออกเป็น เขตบ้านและเขตป่า โดยใช้ความเชื่อเรื่องผีเป็นเกณฑ์ ในเขตบ้านนั้นแบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ที่ไม่ใช้อยู่อาศัย ซึ่งก็คือ พื้นที่บ้านและพื้นที่ฝังศพ โดยจะมี ศาลผี “apa mo” เป็นผู้คุ้มครอง ส่วนเขตป่านั้นและแหล่งน้ำธรรมชาตินั้นเป็นพื้นที่ที่พวกเขาถือว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนมีสิทธิตามกำลังความสามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้ ภายในหมู่บ้านลีซูทุกแห่ง จะมีศาลผีอาปาโหม่ “apa mo” ของหมู่บ้านตั้งอยู่บนเขาเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองคนในหมู่บ้าน ภายในศาลแห่งนี้นอกจากจะมีหิ้งบูชาผีปู่ตาหรือผีบรรพบุรุษแล้ว ยังมีหิ้งบูชาผีป่าเขา (hill spirit หรือ I da ma) และหิ้งบูชา “Hwa shy” หรือผู้ช่วยผี “apa mo” ซึ่งผี/วิญญาณเหล่านี้มีบทบาทมากในการจัดการระบบความเชื่อของชาวลีซู |
|
Demography |
ในประเทศไทย ลีซูส่วนใหญ่เป็นลีซูเชื้อสายจีน ที่เรียกตัวเองว่า “Hypa Lisu” ลีซูทุกคนจะอยู่ในสายตระกูลหรือแซ่ใดแซ่หนึ่ง แม้ในความเป็นจริงแล้วแซ่ต่างๆ นั้นจะไม่ใช่แซ่ของลีซูแท้เลยก็ตาม (หน้า 12) ลีซู ในหลายแซ่สกุล มีทั้งสืบเชื้อสายมาจากจีนและที่เป็นลีซูแท้ ๆ สำหรับที่เป็นลีซูแท้ ๆ มีน้อยกว่าแซ่สกุลที่สืบเชื้อสายมาจากจีน สมาชิกในแต่ละแซ่สกุลจะนับถือผีบรรพบุรุษของตนเอง ลีซูนิยมตั้งบ้านเรือนหรือตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้กันกับญาติที่เป็นพี่เป็นน้องหรือมีแซ่สกุลเดียวกันหมู่บ้านของลีซูแต่ละแห่ง จะมีขนาดแตกต่างกันเริ่มตั้งแต่ 4-5, 8 ครัวเรือน และ 20-30 ครัวเรือน ซึ่งเป็นจำนวนปกติ จำนวนสมาชิกในแต่ละครอบครัวจะมีอยู่ราว 6 คน |
|
Economy |
ลีซูในประเทศไทยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีการผลิตข้าวไร่เพื่อยังชีพ และประกอบอาชีพทางการเกษตรเป็นหลัก นอกจากปลูกข้าวไว้เพื่อกิน ปลูกข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง และพืชผักอื่นๆ แล้ว พวกเขายังเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ม้า ไก่ เป็ด และวัวควาย เพื่อบริโภคภายในครอบครัวมากกว่าขายเป็นสินค้า นอกจากนี้ยังปลูกฝิ่น ส่งไปขายพ่อค้าเป็นรายได้ให้ครอบครัวอีกด้วย (หน้า 19) ลีซูยึดการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก มีการล่าสัตว์เป็นเพียงเพื่อความสนุกสนานหรือเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง (หน้า 195) ในการเพาะปลูก พวกเขารู้จักเลือกพื้นที่และดินในการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิด ในพื้นที่การเกษตรของลีซู จะพบว่าเขาเลือกเพียงแค่ชนิดของดิน, ความหนาแน่นของพืชที่เจริญเติบโต, และปริมาณแสงแดดที่สาดส่องบนพื้นที่เท่านั้นเอง งานเกี่ยวกับการตีเหล็กเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลีซู เพราะพวกเขาจะผลิตและซ่อมแซมเครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตรเองรวมถึงชิ้นส่วนของปืนด้วย |
|
Social Organization |
ลีซูมีทั้งบ้านที่มีครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยายที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันทั้งแบบสืบสายเลือดและการเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานตามประเพณี ครอบครัวลีซูโดยทั่วไปมักเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบไปด้วย พ่อแม่ และลูก แต่บางครั้งในบ้านจะมีพี่น้องที่ยังโสด รวมถึงพ่อแม่ ลูกเขย-สะใภ้จากครอบครัวเดียวหรือทั้งสองฝ่ายมาอยู่รวมกัน (หน้า 17-18) การตั้งครอบครัวของลีซูนั้นลูกเขยจะขอแยกไปตั้งครอบครัวของตนเองได้ก็ต่อ เมื่อชำระเงินค่าสินสอดและค่าแต่งงานให้กับพ่อตาแม่ยายตามได้ตกลงกันไว้ แต่ถ้ายังจ่ายไม่หมดจะต้องเป็นแรงงานและอาศัยอยู่ในบ้านพ่อตาแม่ยายไปก่อน ในกรณีหลังนี้มักเรียกกันว่า “ซื้อผู้หญิงมาเป็นเมีย” มีการเคารพนับถือกันตาม ลำดับชั้น มีข้อห้ามว่าเมื่อเป็นแซ่สกุลเดียวกัน และอยู่ในกลุ่มย่อยของแซ่สกุลเดียว กันจะแต่งงานกันไม่ได้ เช่น ผู้ชาย ลีซูแซ่สกุลหลี่จา Li Cha จะไม่แต่งงานหญิงสาวชาวจีน, ละหู่ หรืออื่นๆ ที่เป็นแซ่เดียวกัน (หน้า 14) พวกเขานับถือญาติกันตามสายสกุลของบิดา ลูกชายคือผู้สืบสกุล นอกจากจากแต่งงานกันภายในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันแล้ว ลีซูนิยมที่จะให้บุตรสาวแต่งงานกับชาวจีน หรือจีนฮ่อและไทใหญ่ ส่วนผู้ชายนิยมแต่ง งานกับผู้หญิงลีซูด้วยกันเอง แต่ถ้าไม่ได้ก็นิยมแต่งงานกับผู้หญิงมูเซอ หรือละหู่ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แซ่สกุลของลีซูจึงมีเชื้อสายที่มาจากชาวจีนปนอยู่ค่อนข้างมาก |
|
Political Organization |
กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูจะมีลักษณะเด่นซึ่งค่อนข้างแตกต่างไปจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง อาข่า ละหู่ พวกเขาใช้ภาษา เครื่องแต่งกาย ขนบประเพณี หรือแม้แต่ระบบการปกครอง มาแบ่งแยกและกำหนดพฤติกรรมแบบแผนทางสังคมแต่มิได้เคร่งครัดตายตัวนัก จัดได้ว่าเป็นกลุ่มสังคม ที่พยายามให้ความเท่าเทียมกัน (egalitarian) ในการแสดงอำนาจปกครองและเรื่องอื่นๆ ในหมู่บ้านหนึ่งจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน และสภาคนเฒ่าคนแก่หรือสภาอาวุโส ที่ประกอบด้วยผู้อาวุโสของแต่ละแซ่สกุลซึ่งได้รับการเคารพนับถือและการยอมรับจากสมาชิกในหมู่บ้านรวมตัวขึ้นอย่างหลวมๆ ทำหน้าที่ดูแลและ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางราชการเป็นต้น |
|
Belief System |
จากการศึกษาความเจ็บป่วยและการแพทย์พื้นบ้านชาวลีซู ผู้เขียนได้นำแนวทางการศึกษาและกรอบทฤษฎีต่างๆ มาใช้เพื่อให้ได้ข้อสรุปออกมา เริ่มต้นจากความระบบความเชื่อที่แสดงผ่านบทบาทของผู้เกี่ยวข้องซึ่งมีความสัมพันธ์ (วินิจฉัยและช่วยแก้ปัญหา) ความโชคร้ายและโรคภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชาวลีซูในขอบเขตอำนาจที่มีแตกต่างกันไป ซึ่งได้แก่ “Maw mong” (ผู้ดูแลศาลผีปู่ตา) ซึ่งได้รับการเลือกและยอมรับจากผีปู่ตาแล้วให้มาปฏิบัติหน้าที่นี้โดยปฏิเสธไม่ได้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าอาจเกิดโชคร้ายขึ้นกับตัวก็ได้ถ้าไม่ยอมรับหน้าที่ ดังกรณีที่เกิดกับคนที่เคยเป็นผู้ดูแลศาลคนก่อนหน้านี้ใน ban lum เพราะไปทำให้ apa mo โกรธจึงต้องการชีวิตคนผู้นั้นเป็นการลงโทษ คนดูแลศาลนี้นอกจากจะดูความเรียบร้อยของศาลแล้ว ยังต้องคอยเซ่นสรวงบูชาผีปู่ตา เปลี่ยนน้ำและเปลี่ยนธูป ถ้าถึงงานพิธีที่จะมีการเซ่นหมูให้ผี “apa mo” เขาจะเป็นคนไปเรี่ยรายเก็บเงินชาวบ้านเพื่อไปซื้อหมูมาทำพิธีกรรม (หน้า 49) หนี่ผะ (nei pa) หรือหมอผี เป็นสื่อกลางระหว่างโลกของวิญญาณกับโลกของมนุษย์ หมอผีจึงมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขหรือขจัดปัญหาของปัจเจกบุคคลและครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเคราะห์ร้าย โชคชะตาไม่ดี เพิ่มกำลังหรือเรียกขวัญ และรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดจากสาเหตุเหนือธรรมชาติ ลีซูมีผู้นำศาสนาหรือหมอผี (nei pa) (หน้า 55,77, 135, 142) เป็นผู้ประกอบพิธีต่าง ๆ และ แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น พิธีส่งเคราะห์ เรียกขวัญ รักษาความเจ็บป่วย พีธีแต่งงาน งานศพ งานเซ่นผี ผูกข้อมือ เป็นต้น สำหรับผู้ที่จะมาเป็นหมอผีนั้นมักเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากผีบรรพชนจึงไม่อาจขัดขืนได้แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม บางคนมีลางบอกเหตุว่าจะกลายเป็นหมอผีในอนาคต คือ มักจะชอบอยู่บ้าน ชอบเล่นไฟ สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยอยู่เสมอ มีอาการแพ้เมื่อได้กลิ่นหรือกินอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ ผู้ได้รับเลือกเป็นหนี่ผะจะต้องผ่านการฝึกเพื่อให้เป็นหนี่ผะโดยสมบูรณ์ โดยหนี่ผะทั้งจากในหมู่บ้านเองและจากหมู่บ้านใกล้เคียง โดยจะต้องเข้าไปฝึกในป่าและเป็นบริเวณที่ไม่เคยมีเด็กเข้าไปเที่ยวเล่น เพราะชาวลีซูมีความเชื่อว่า ผีร้ายชอบติดตามเด็กไปไหนๆ เสมอ ซึ่งผีร้ายเหล่านี้อาจจะเข้ามาทำร้ายหมอผีคนใหม่ที่ถูกเลือกได้ หมอผีอาวุโสจะเชิญผีเสื้อบ้าน (I da ma อิด่ามา apa mo อาปาหมุ และ hwa zy วาสือ) มาช่วยขับไล่ เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายเข้ามาสิงหมอผีใหม่ โดยลีซูนิยมที่จะให้วิญญาณบรรพชนมาเข้าทรงก่อนเป็นประเดิม แล้วจึงเชิญผีอารักษ์ทั้งหลายมาเข้าทรงต่อ ซึ่งเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ได้แล้ว หมอผีใหม่ก็จะสามารถประกอบพิธีกรรมแก้ไขปัญหาหรือรักษาความเจ็บป่วยให้กับชาวบ้านได้ หมอผีเหมือนกับจะมีพลังอำนาจวิเศษที่ได้รับมาจากวิญญาณฝ่ายดีทั้งหลาย เช่น สามารถที่จะทำนายโชคร้ายของคนได้จากการจ้องน้ำในขัน หรือไม่ก็สามารถมองเห็นผี/วิญญาณได้ คนที่เป็นหนี่ผะจะมีข้อห้ามเรื่องอาหารการกินหลายอย่าง เช่น มีกินเหล้า ไม่กินพืชผักที่มีกลิ่นฉุน เช่นกระเทียม กุยช่าย เป็นต้น นอกจากนี้ถ้าสายตระกูลใดไม่มีผีประจำตระกูล สมาชิกในตระกูลดังกล่าวจะไม่มีสิทธิได้เป็นหนี่ผะ นัทซือมา โกมะ (Natzy ma coa ma) หรือหมอยาผู้หญิง ผู้รอบรู้เรื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรค การถ่ายทอดความรู้จะจำกัดอยู่ในครอบครัวจากแม่สู่ลูกเป็นต้น เมื่อคนเจ็บมาให้หมอยารักษาและหายจากอาการ จะต้องประกอบพิธี และเซ่นสรวงบูชาวิญญาณ natzy ma ซึ่งถ้าไม่ทำก็จะได้รับการลงโทษ หน้าที่ของ natzy ma จึงเกี่ยวกับตัวยาและการรักษาโรคให้คนป่วยที่เกิดจากธรรมชาติ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากพลังเหนือธรรมชาติ ไอ กุ โก ปา (I ku coa pa) หรือผู้มีคุณไสย สามารถเสกบ่นคาถาและเป่าไปที่บาดแผลหรือเป่าใส่น้ำให้เป็นยาเพื่อรักษาโรคได้ เช่น ทำให้เลือดหยุดไหล ขับไล่ผีร้ายที่มาทำให้เด็กร้องไห้ตอนกลางคืน รักษาบาดแผลของสัตว์ ต่อกระดูก ทำยา หรือแม้แต่เสกคุณไสย (taj) ไปทำร้ายผู้อื่นได้ ลีซูมีความเชื่อว่า ผู้ที่มีคุณไสยในตัวนั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ เพื่อกันความเสื่อมเช่น จะไม่ลอดใต้เสื้อผ้าผู้หญิง หรือข้ามเล้าหมู เป็นต้น ลีซูมีธรรมเนียมที่จะไม่ดื่มน้ำที่เหลือติดก้นถ้วยจากคนอื่น โดยจะเททิ้งไปก่อนเพื่อป้องกันการถูกวางยา ภายในบ้านของผู้มีคุณไสยจึงมีวิญญาณ “I ku ma” อยู่ด้วย “Pi py coa pa (ma)” หมายถึง ผู้ชาย หรือผู้หญิงที่มีวิญญาณของ pi py ซึ่งวิญญาณนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนและสร้างความเจ็บปวดให้ เช่น เมื่อกินผลไม้ในป่าวิญญาณ pi py จะเข้าสู่คนได้ หรือคนที่มี pi py อยู่ในตัวจะขับไล่มันออกไป พวกเขาต้องประกอบพิธีโดยทิ้งทอง เงิน และเสื้อผ้า ถ้าผู้ใดเก็บสิ่งเหล่านี้ไปพวกเขาก็จะได้รับ pi py หรือถ้าผู้ใดฆ่าคนที่มี pi py วิญญาณของมันจะกลับไปสิงสู่ในร่างผู้ฆ่า เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่า pi py เป็นผีร้ายและเป็นสาเหตุให้เกิดความเจ็บป่วยและโชคร้ายของชาวลีซู Pu sy coa pa (ma) หรือคนที่มีวิญญาณของสัตว์ (pu sy) มาสิงสู่ คนผู้นั้นจะมีลักษณะบางอย่างที่แสดงถึงชนิดของสัตว์ที่มาสิง จะทำร้ายคนอื่นด้วยการกัดและกินร่างของผู้ตาย pu sy เป็นผีร้ายเช่นเดียวกับ pi py ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ต่างก็มีบทบาทและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชำนาญที่ติดต่อกับวิญญาณที่มองไม่เห็น ทั้งคนเข้าทรงหรือคนที่มีวิญญาณอยู่ในตัว โดยที่วิญญาณ (spirit) นั้นมีอำนาจสูงกว่า มนุษย์ตกเป็นฝ่ายที่ยอมจำนนรับอำนาจหรือความเจ็บปวดตอบแทน แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงผูกพันสัญญาที่มีระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงที่จะเซ่นสรวงบูชาผี/วิญญาณเหล่านั้นเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ให้ผี/วิญญาณเหล่านั้นคุ้มครอง และไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับมนุษย์ หน่วยทางสังคมในการจัดการเกี่ยวกับวิญญาณจึงมีความแตกต่างกัน เช่น maw mong จัดการกับวิญญาณผีเทพารักษ์หมู่บ้าน ในขณะที่คนทรงจะจัดการกับวิญญาณประจำสายตระกูล หรืออำนาจจากวิญญาณที่มีในการรักษาก็ต่างกัน เช่น natzy ma จะมีอำนาจเกี่ยวกับยาที่จะใช้รักษา หรือ I ku coa pa จะมีอำนาจส่ง taj ในการปรุงยาและรักษาบาดแผล เป็นต้น ลีซูมีความเชื่อว่าคนทุกคนจะประกอบไปด้วยพละกำลัง ( Mi* มี๊)และความรู้ (โดะ*Do) คือ มีพลัง มีเกียรติ หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึงความละอายก็ได้ (หน้า 158, 169) รวมถึงการได้รับคำอำนวยพรและความมั่งคั่งจากความใจดีเอื้อเฟื้อและตอบแทนผู้มีพระคุณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้บุคคลทั้งหลายสามารถแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน พละกำลังคือสิ่งที่มนุษย์ได้รับมาจาก หวู่ซาหรือเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้สร้างโลกและมีอำนาจลิขิตชะตะชีวิตมนุษย์ทุกคน มี๊จะปรากฏอยู่บนเส้นลายมือของแต่ละคนต่างกันไป เป็นผลให้แต่ละคนมีรูปร่าง โชควาสนาและเคราะห์กรรมต่างกันไป บางคนประสบความสำเร็จ ขณะที่บางคนต้องผจญกับอุปสรรคนานา ความสามารถทั้งสองด้านที่มีอยู่ในมนุษย์นั้นจะเพิ่มมากขึ้นหรือลดถอยลงนั้นอยู่ที่การกระทำ ประสบการณ์ที่ผ่านการเผชิญปัญหาหรือแก้ไขอุปสรรคนั้นได้ รวมถึงการติดต่อสัมพันธ์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข่าวสารกับคนกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ ลีซูส่วนใหญ่ ยังคงนับถือผี (หน้า 156, 163, 185) ซึ่งผีในความเชื่อของพวกเขา แบ่งออกเป็นผีดีและผีร้าย ผีดี คือ ผีที่ให้คุณ เช่น ผีประจำหมู่บ้าน ผีบรรพบุรุษ ผีบ้านผีเรือน ส่วนผีร้ายได้แก่ผีป่า ผีคนตายไม่ดี เช่น ถูกยิงตาย หรือถูกฟ้าผ่าตาย แม้ว่าจะมีลีซูส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์กันบ้างแล้วแต่เรายังคงพบเห็น การนับถือผีตามหมู่บ้านทั่วไป นอกจากนี้ พวกเขาเชื่อว่า ทุกหนแห่งมีวิญญาณหรือพลังบางอย่างสิงสถิตอยู่ แม้ว่าคนกับผีจะไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันแต่ต่างก็มีความรู้สึกนึกคิดและความต้องการที่คล้ายกัน ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคนกับผีหรือพลังธรรมชาติจึงอยู่ในลักษณะที่เลี้ยงดูเกื้อกูลกัน คนจะต้องเลี้ยงดูผีผ่านพิธีกรรมอย่างสม่ำเสมอ โดยคาดหวังว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองและขจัดปัดเป่าเภทภัยเพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและมั่นคง สำหรับผีถ้าได้รับการเซ่นไหว้สม่ำเสมอจะมีพลังอำนาจมากและคอยคุ้มครองดูแลให้ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข การทอดทิ้งละเลยต่อผี เช่นไม่ได้เซ่นไหว้และเลี้ยงดูจะเกิดความห่างเหิน ผีจะโกรธซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดเภทภัยกับมนุษย์ได้ ผี/วิญญาณที่มีทั้งดีและไม่ดีนั้นมีอยู่ทุกที่ เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงตกเป็นเป้าหมายคุกคามจากผีร้ายได้ง่าย และผลก็คือทำให้เจ็บป่วย สาเหตุที่คนป่วยได้นั้นอาจเป็นเพราะวิญญาณของเขาออกจากร่างไป ทำให้ร่างกายอ่อนแอ หรือไม่ก็ไปกระทำความผิดกฎข้อห้ามจึงโดนลงโทษ (หน้า 87) หรือไม่ก็เป็นคราวโชคร้ายของคนผู้ร้ายที่โดนวิญญาณร้ายทำร้าย เป็นต้น ในส่วนของระบบการจัดองค์การอำนาจของผี/วิญญาณ (Organization of the spirits) (หน้า 100, 127, 151) ลีซูได้แบ่งผี/วิญญาณออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ผีประจำแซ่สกุล (house lineage) ที่คอยคุ้มครองคนในบ้าน/ตระกูล ไม่ให้ได้รับอันตราย, กลุ่มวิญญาณหิวโหย ซึ่งเมื่อเจอวิญญาณเหล่านี้ ก็ประกอบพิธีเซ่นสังเวยให้ตามความเหมาะสม เมื่อพอใจแล้ววิญญาณเหล่านี้จะจากไปเอง และกลุ่มสุดท้ายคือ ผี/วิญญาณร้าย (หน้า 104) ที่ต้องทำพิธีกรรมขับไล่ ลีซู มีความเชื่อว่า สาเหตุของโรค (Pathogenesis) ต่างๆ นั้นเกิดจากวิญญาณเหล่านี้ ความเชื่ออื่นๆ ของชาวลีซูเป็นผลมาจากการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ เช่น หมาพยายามที่จะตะครุบหมูนั่นคือลางบอกเหตุความโชคร้าย (kho?) ที่จะเกิดขึ้นกับหมู่บ้าน จะต้องประกอบพิธีไล่ความชั่วร้ายนั้นให้พ้นไป หรือถ้างูเลื้อยขึ้นบ้าน อาจเป็นลางบอกว่าญาติสนิทของเจ้าของบ้านตาย หรือจะเป็นวิญญาณคนตายที่กลับมาบอกข่าวให้รู้ จะไม่มีการฆ่างูตัวนั้น หรือจะเป็นคำทำนายต่างๆ ที่จะชี้นำให้ว่าจะต้องดำเนินการรักษาไปอย่างไร (หน้า 144) ตั้งแต่ฆ่าหมูเพื่อเซ่นสรวง โดยที่จุดบนตับของหมู หรือรูพรุนในกระดูกขาบนของไก่ สามารถนำมาใช้ทำนายอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเดินทาง การติดต่อค้าขาย ลีซูเชื่อว่าจะต้องไม่ทำตัวยิ่งใหญ่เกินกว่าวิญญาณที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาต้องพึ่งพาวิญญาณที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เหล่านั้น โดยมีการแลกเปลี่ยนหรือตอบแทนระหว่างกันนั่นคือมนุษย์จะให้สิ่งของเป็นการเซ่นสรวงบูชาซึ่งจะมากหรือน้อยตามลำดับอำนาจของผี/วิญญาณที่ปกป้องนั้นมี ถ้าเกิดวิญญาณไม่ยอมรับอาจจะต้องติดสินบนให้มากขึ้น ความเชื่อในเรื่องดินแดน (territory) ทำให้ ลีซูแยกหน้าที่ตามการใช้งานของของแต่ละสิ่ง เช่น แบ่งสัตว์เลี้ยงได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ สัตว์น้ำ สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง (หน้า 171) รวมถึงการแบ่งพื้นที่ เป็น 2 ส่วนคือ มีคนอยู่อาศัย (domesticated) และไม่มีคนอยู่อาศัย (undomesticated) คือ ป่า ในพื้นที่อยู่อาศัย คือภายในหมู่บ้านที่แบ่งเป็นพื้นที่ป่าและพื้นที่บ้าน ซึ่งแยกได้อีก 2 ส่วนคือ พื้นที่สำหรับคนอยู่อาศัยและพื้นที่สำหรับคนตาย ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีวิญญาณคอยปกป้องคุ้มครอง เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการจัดลำดับของวิญญาณที่คุ้มครองดูแลชาวบ้านเหมือนกับการจัดลำดับตำแหน่งของบุคคลทางการเมืองตามความสูงต่ำของชั้นยศและอำนาจโดยที่วิญญาณในแต่ละที่นั้นได้เรียงลำดับตามความสำคัญ ถ้าเป็นในเขตบ้านก็เป็นวิญญาณที่ดี เช่น ในเขตอยู่อาศัย ลีซูนับถือ “chienglao sy pa” หรือจะเป็น “apa mo” ที่คุ้มครองหมู่บ้าน และผีประจำบ้าน แต่ถ้าตามป่าเขาก็จะเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่สามารถสร้างความเจ็บไข้ให้แก่ผู้คนได้ ในระบบความคิดของลีซูมีตรรกะของความเป็นสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามแทรกอยู่ อันได้แก่ ตรรกะของสิ่งที่อยู่บนและล่าง (up and down) ตัวอย่างเช่น ทรรศนะการให้ความสำคัญกับวิญญาณผีบรรพบุรุษ เนื่องจากบ้านลุ่ม ตั้งอยู่ในหุบเขาลึก ทำเลที่ตั้งของศาลของผีเทพารักษ์ที่คุ้มครองจึงต้องอยู่สูงกว่าหมู่บ้าน (หน้า 217) บ้านของลูกเขยและลูกสาวจะสร้างอยู่ในต่ำกว่าระดับบ้านของพ่อตา เป็นต้น ซึ่งมีผลไปถึงการตั้งศาลของผี/วิญญาณต่างๆ จะเรียงตามลำดับสูงไปหาต่ำตามลำดับอำนาจที่มีมากสุดไปจนถึงมีอำนาจน้อยสุด เช่นกัน ประตูบ้านจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า (downhill) หิ้งบูชาผีจะอยู่สูงกว่า (up hill) ซึ่งบริเวณนี้คนที่มีอายุสูงจะได้รับเกียรติให้นั่ง ขณะที่คนรุ่นหนุ่มจะนั่งกันบริเวณใกล้กับประตู แต่มีข้อห้ามสำหรับผู้หญิงที่จึงถูกกันแยกออกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง วิญญาณ/ผีฝ่ายดีต่างได้รับการจัดอันดับอยู่สูงกว่ามนุษย์ทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นในขั้นตอนพิธีกรรมประกอบการรักษาโรค เช่น การส่ง taj การขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องโชคร้าย ตรรกะเรื่องด้านขวา-ด้านซ้าย จากตัวอย่างของหิ้งบูชาผีของลีซู ที่จะจัดให้หิ้งของผีที่มีอำนาจมากๆ อยู่ทางด้านซ้าย ผู้ชาย ต้องอยู่ทางด้านซ้ายเสมอและด้านขวาคือที่อยู่ของพวกผู้หญิง เหมือนกับเลข 7 ที่เป็นเลขของผู้หญิง และเลข 9 คือเลขของผู้ชาย เช่นเดียวกับพระจันทร์คือผู้หญิง และพระอาทิตย์คือผู้ชาย ภายในบ้านด้านซ้ายมือของบ้านจะเป็นส่วนที่ใหญ่ และมีประตูเพื่อเข้า-ออกที่ด้านนี้ การประกอบพิธีถ้าจะต้องตั้งหิ้งเพื่อเซ่นสรวงวิญญาณ หิ้งของวิญญาณที่มีอำนาจมากที่สุดจะตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของประตู ด้านขวาคือที่ตั้งของหิ้งผีที่อยู่ระดับรองลงมา ในการแปลความจากกระดูกไก่เสี่ยงทาย ด้านซ้ายจะแสดงถึงสถานะของวิญญาณ ขณะที่ด้านขวาแสดงในส่วนของมนุษย์ ตรรกะเรื่องจำนวน 7 และ 9 และตรรกะความเป็นคู่ ได้แก่ ขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา ผู้ชาย-ผู้หญิง สุขสบาย-เจ็บป่วย พระอาทิตย์-พระจันทร์ ท้องฟ้า-ดิน อำนาจ-ไม่มีอำนาจ วิญญาณ-คน ลมหายใจ-กระดูก จิต-ร่างกาย ตรรกะต่างๆ เหล่านี้คล้ายกับสัญลักษณ์หยิน-หยางของจีนที่มีการเปรียบเทียบของสองสิ่ง สำหรับลีซูแล้วผู้หญิงถ้าเปรียบกับผู้ชาย ผู้หญิงคือหยิน มนุษย์ถ้าเปรียบกับวิญญาณ มนุษย์คือ หยิน - หยางเปรียบเหมือนพลังอำนาจ หยินอาจจะเป็นความเจ็บป่วย ดังกรณีที่มนุษย์ได้ไปกระทำล่วงเกินวิญญาณเข้า ส่งผลให้คนผู้นั้นต้องป่วยและจะต้องมาประกอบพิธีขอขมาต่อวิญญาณดังกล่าวซึ่งเหมือนกับที่มนุษย์ตกอยู่ สภาวะที่เป็นหยิน ได้ผลักดันให้เกิดการกระทำที่เป็นหยิน หรือจะเป็นผู้ที่ทำการรักษาโรคทีเกิดจากธรรมชาติ คือ ผู้หญิงที่มีอำนาจเป็นหยิน แต่ขณะเดียวกันผู้มีอำนาจรักษาโรคที่เกิดจากพลังเหนือธรรมชาติ จะเป็นผู้ชายที่มีอำนาจหยางในตัว ทั้งตรรกะจำนวนเลข 7 และเลข 9 เกี่ยวข้องกับสิ่งที่แสดงถึงความเป็นหยิน-หยาง ไม่ว่าจะเป็นอาจจะบอกเราบางอย่างได้ถึงความพยายามของลีซูที่จะทำให้ชีวิตอยู่เป็นปกติสุขตลอดทั้งรอบวันของพวกเขาก็เป็นได้ (หน้า 241) เวลาที่เกิดคราสถือกันว่าเป็นช่วงเวลาที่ตกอยู่ภาวะของความอับโชคและความย่ำแย่ทางเศรษฐกิจก็อยู่ในข่ายนี้เช่นกัน |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ลีซูแยกความเจ็บป่วยเป็น 2 ประเภท ตามสาเหตุและวิธีการรักษาคือ ความเจ็บป่วยจากสาเหตุธรรมชาติ (Natural Disease) ที่สามารถใช้ยาสมุนไพรรักษาร่วมได้ กับ ความเจ็บป่วยที่มาจากพลังเหนือธรรมชาติ (Supernatural Disease) ที่จะต้องรักษาด้วยพิธีกรรม (หน้า 114,122) สาเหตุของการป่วยในความคิดของลีซู มีทั้งที่เกิดจาก ภูติผีวิญญาณร้าย ซึ่งจะกำจัดวิญญาณเหล่านี้ได้ ก็ต้องมีการทำพิธีกรรมเพื่อขับไล่ หรือเพื่อสร้างความพอใจให้แก่วิญญาณนั้นโดยผู้ประกอบพิธี หรือเกิดจากการกินอาหารผิด จึงส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยทั้งแบบเฉียบพลันและสะสม หรือเกิดจาก เลือดไม่ดี หรือ ถูกคุณไสย และเป็นเพราะชะตากรรมหรือเคราะห์กรรม (mi * มี๊) ลีซูมีมุมมองในการรักษาโรค 2 มุม นั่นคือ มองจากสภาพของผู้ป่วย โดยดูอาการ แล้ววินิจฉัยโรคออกมา (หน้า 102,113) ถ้ามีสาเหตุป่วยจากธรรมชาติ ก็ใช้ยารักษาโรคหรือสมุนไพรรักษา แต่ถ้าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ผีหรือวิญญาณร้ายเป็นผู้กระทำ ก็จะเปลี่ยนวิธีการรักษามาเป็นการประกอบพิธีกรรม เพื่อให้คนป่วยหายจากอาการป่วยนั้น แต่การรักษาจะเป็นไปด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน ตามประสบการณ์ในอดีตที่ผู้รักษาแต่ละคนมี เช่น เคยมีคนป่วยมีอาการลักษณะเช่นนี้ แล้วต้องรักษาด้วยวิธีนี้ วิธีนั้นเป็นต้น แล้วผู้ป่วยจะอาการดีขึ้น โรคที่เกิดจากธรรมชาติ ลีซูยกให้เป็นเพราะความผิดปกติของเลือดที่ข้นหนืดจึงทำให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้น การรักษาทำได้ 2 วิธีคือ เอาเลือดนั้นทิ้งไป (removal) และ ทำให้มันกลับสู่สภาพเดิมที่เป็นน้ำ (liquify) โดยอาจจะใช้วิธีกินยาสมุนไพร ในบรรดาความเจ็บป่วยที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาตินั้น อาการที่ขวัญหายไม่อยู่กับตัวคือสาเหตุหนึ่งของการเจ็บป่วย (หน้า 126) เพราะลีซูมีความเชื่อว่า มนุษย์เราประกอบไปด้วย ร่างกายและจิตวิญญาณหรือขวัญ ผู้ชายมีขวัญอยู่ 9 แห่ง ส่วนผู้หญิงมี 7 แห่ง ถ้าเกิดอาการที่แสดงว่าขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเมื่อวิญญาณของบุคคลนั้นออกไปจากร่างไปไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม (วิญญาณร้ายจับไป) จะทำให้ผู้นั้นอ่อนแอและตกเป็นเป้าหมายของผีร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายได้ง่าย (โดนทำคุณไสยทั้งจากวิญญาณและของมีอาคม) จึงต้องมีการทำพิธีเรียกขวัญให้กลับคืนสู่ร่างกาย มิฉะนั้นคนอาจจะล้มเจ็บและเสียชีวิตได้และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเจ็บไข้ได้คือการพูดสิ่งที่ไม่ดี (malicious talk) ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเกิดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่รวมไปถึงความเสียหาย (misfortune) ที่จะเกิดขึ้นได้กับผลผลิตในท้องนาหรือสัตว์เลี้ยง เมื่อมีคนเจ็บป่วย ผู้ที่มีความรู้เรื่องยาหรือเครือญาติจะวินิจฉัยเบื้องต้นโดยดูว่าคนเจ็บมีอาการเป็นอย่างไร หากมีอาการเล็กน้อยก็จะพยายามรักษากันเอง แต่ถ้าไม่สามารถรักษาเองได้ก็จะเชิญผู้อาวุโสทำพิธีเสี่ยงทายหาสาเหตุหรือไม่ก็เชิญหมอผีมาทำพิธีรักษา หมอผีประจำหมู่บ้าน หรือ Nei pa คือผู้ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับผีหรือวิญญาณได้ บทบาทของหมอผีคือ วินิจฉัยค้นหาสาเหตุของความเจ็บป่วยก่อน ส่วนการรักษานั้น ถ้ารู้ว่าเป็นผีร้ายก็จะประกอบพิธีกรรมเพื่อเยียวยารักษาความเจ็บป่วย ขจัดปัดเป่าชะตาเคราะห์หรือโชคร้ายต่างๆ (หน้า 125) โดยจะทำพิธีกรรม เช่น การเซ่นสรวงบูชาไปจนกว่าคนป่วยจะทุเลาอาการลง แต่ถ้ายังไม่หาย ก็จะเริ่มใช้วิธีการอย่างอื่น เช่น การไปตามหมอยาสมุนไพรให้มาช่วยรักษาร่วมด้วย (สำหรับยาสมุนไพรที่ลีซูใช้กินโดยทั่วไปนั้นเรียกว่า ยาแดงพม่า “Burmese red medicine” โดยผสมกินกับเหล้า) แต่ว่าน้อยครั้งมากที่ชาวบ้านจะตามหมอยาสมุนไพรมารักษา (หน้า 125) ดังที่กล่าวไปแล้วหมอผีคือผู้ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับผีหรือวิญญาณได้ และ หมอผีอีกเช่นกันที่จะเป็นสื่อกลางระหว่างผีกับคน เมื่อเกิดความเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ลีซูจะเชื่อกันว่าถูกผีกระทำ เขาจะให้หมอผีมาเข้าทรงเชิญวิญญาณมาสิงในร่างของหมอผี เพื่อถามสาเหตุแห่งความเจ็บป่วยนั้น หมอผีคือผู้รักษาคนเจ็บป่วย สำหรับผลการรักษานั้นก็มีทั้งที่รักษาหายและรักษาไม่หายบ้าง แต่ในกรณีของหมู่บ้าน “บ้านลุ่ม” นี้ ชาวบ้านเลือกที่จะให้หมอผีเป็นคนรักษามากกว่า จนเมื่อเกินกำลังที่จะใช้หมอผีรักษาแล้ว พวกเขาจึงจะยอมพาคนป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา กรณีศึกษาที่ผู้เขียนยกมาเป็นตัวอย่างนั้น เป็นอาการปวดท้องอย่างรุนแรงของภรรยาของหมอผีคนที่สองประจำหมู่บ้าน ก่อนเริ่มการรักษานั้น หมอผีจะเชิญผีบรรพบุรุษมาเข้าทรงก่อนในเบื้องต้นเพื่อให้ผีวินิจฉัยโรคและบอกวิธีการรักษาก่อน คำวินิจฉัยเริ่มตั้งแต่ เธอถูกผีร้าย (ho py) เล่นงานด้วยไฟ จึงต้องทำพิธีกรรมเซ่นสรวงผีดูแลเส้นทาง (path spirit) ระหว่างนั้นหมอผีได้เรียกให้วิญญาณมาเข้าสิงเพื่อขับไล่ taj หรือสิ่งที่มาสร้างความเจ็บปวดให้แก่ร่างกาย เมื่อทำพิธีแล้วแต่คนเจ็บอาการไม่ทุเลา จึงต้องคิดหาสาเหตุอื่นและหาวิธีแก้ต่อไป เช่น เรียกขวัญคนเจ็บให้กลับมาอยู่กับตัว, ทำพิธีกรรมเพื่อขอขมาและเซ่นสรวงต่อ mi tsy da ma,I da ma แล pa ta ที่อาจจะมีคนอื่นไปล่วงเกินแต่ผลกระทบกลับตกสู่คนในครอบครัวได้เช่นกันให้มาช่วยรักษาเหมือนกับกรณีนี้ และรักษาบาดแผลที่เกิดจากการกระทำของ taj (ปวดท้อง) นอกจากนี้ยังมีการใช้การดูกระดูกไก่เสี่ยงทายหรือไม่ก็เป็นตับหมูที่ใช้เซ่นสรวงผีบรรพบุรุษเพื่อหาข้อมูลโดยการตีความจากสัญลักษณ์ที่ปรากฏ ว่าจะรักษาอย่างไรต่อไป พิธีกรรมต่างๆ จะประกอบขึ้นตามสัญญาที่มีให้กับวิญญาณแต่ละวิญญาณที่มาให้การช่วยเหลือ เมื่อลองดูตามสาเหตุว่าอาจเกิดจากพลังเหลือธรรมชาติ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากอื่นอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้รับการตีความใหม่ว่าเป็นเพราะ “กินของผิด” ทำให้เลือดเกิดอุดตันในร่างกาย ก็ใช้การรักษาด้วยยา จนหายหรือถ้าเกินกำลังการรักษาจึงจะส่งคนป่วยไปหาหมอในโรงพยาบาลเชียงใหม่ เป็นต้น เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาโรคของลีซู ที่การกระทำ (action)แต่ละอย่างที่ทำไปนั้น ได้ผ่านกระบวนการใช้เหตุผล เพื่อการรักษาโรค โดยรวบรวมข้อมูล (data input) ไม่ว่าจะเป็นอาการของคนเจ็บ การจัดการของวิญญาณของผีบรรพบุรุษ (lineage spirits) หรือเป็นเพราะผีร้ายมากระทำ ฯลฯทั้งที่เป็นประสบการณ์ในอดีตที่มีความคล้ายคลึงกันมาตีความวินิจฉัยอาการ (cognitive) ก่อนดำเนินการรักษา พวกเขารู้ว่าวิญญาณตนไหนมีอำนาจแค่ไหนและสามารถจัดการได้อย่างไร (ประกอบพิธีกรรมเซ่นสรวงสร้างความพอใจ,ทำพิธีเรียกขวัญ, ขอร้องวิญญาณให้มาช่วยเหลือ) การอ่านคำทำนาย (หน้า 94-95) อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ เช่น neiza ติดต่อกับมนุษย์ผ่านทางคนทรง ในรูปแบบของการเสี่ยงทายกับคำทำนายต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์และวิญญาณต่างก็มีสัญญาต่างตอบแทนให้กันและกัน แล้วท้ายที่สุดแสดงออกมาในรูปของการกระทำ (performance) การประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนการแก้ไขปัญหาเพื่อปัดเป่าความโชคร้าย ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย กำจัดแมลงศัตรูพืชที่ทำความเสียหายให้กับท้องนา ปลูกพืชได้ผลผลิตต่ำ หมูตายฯลฯ สรุปได้ว่า เมื่อมีคนป่วย จะมีการพยายามหายาและวิธีรักษา ถ้าเกิดจากธรรมชาติกระทำ การกินยาคือการักษาที่ลีซูเลือกใช้ เช่น ถ้ากินเห็ดมีพิษแล้วไม่สบาย พวกเขาจะเอาเต่ามาต้มกินเป็นน้ำแกง เพราะความเชื่อที่ว่าเต่าสามารถกินเห็ดได้ทุกชนิด ไม่ว่าเห็ดนั้นจะมีพิษหรือไม่ก็ตาม หรือหากก้างปลาติดคอ จะเอาอุ้งเล็บสัตว์ที่จับปลากินเป็นอาหารมาต้มกิน แต่ถ้าเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น วิญญาณผีร้าย ก็จะใช้พิธีกรรมเป็นวิธีการรักษา หรือไม่ก็จะทำไปควบคู่กันทั้งกินยาและประกอบพิธีกรรม (หน้า 122, 125) แหล่งที่จะรักษาโรคให้หายในความรับรู้ของชาวลีซูได้แก่ หมอผี,หมอยาสมุนไพรที่ต้องมีวิญญาณ natzy ma,ชาวลี ซอที่รู้จักการปรุงยาด้วยการเป่ามนต์ หมอน้ำมนต์, หมอฉีดยา, คนไทยหรือจีนที่มาจากที่อื่นและมีความรู้ทางยา, โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ และใกล้เคียง แต่จากประสบการณ์ที่ไม่ดีที่ชาวบ้านได้รับเมื่อไปขอรับการรักษาในโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ (หน้า 123) ทำให้ที่นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่ชาวบ้านจะมา พวกเขาเลือกที่จะไปหาหมอมิชชันนารี หรือไม่ก็หมอทหาร/ตำรวจที่มาฉีดยาให้ในหมู่บ้านมากกว่า |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไม่ระบุชัดเจน บอกเพียงแต่ว่า ลีซูแต่ละกลุ่มนั้นจะมีเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของตนแต่ไม่ได้ลงในรายละเอียด |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนใช้ แผนภาพ (diagram, tree diagram) แสดงรายละเอียด (หน้า 96 107 130 166 188 219) |
|
|