สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การอพยพ,การพลัดถิ่น,การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม,เสื้อผ้า,เครื่องแต่งกาย,ออสเตรเลีย
Author Maria Wronska Friend
Title Globalised Threads: Costumes of the Hmong Community in North Queensland
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 26 Year 2547
Source ไม่ระบุ
Abstract

บทความนี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าเครื่องแต่งของม้งที่อยู่ในควีนส์แลนด์เหนือ ประเทศออสเตรเลีย ผู้เขียนวิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของม้ง โดยใช้แนวคิด cultural globalisation ที่มองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หลากหลายและซับซ้อนอันประกอบด้วยวัฒนธรรมโลกที่มีกำเนิดจากภูมิภาคและประเทศต่างๆหลายแห่ง ซึ่งตามความคิดนี้ cultural globalsiation เป็นเครือข่ายที่มีศูนย์กลางหรือพรมแดนไม่ชัดเจน ซึ่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมได้เคลื่อนไปในทิศทางต่างๆ และศูนย์กลางภูมิภาคก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะผู้ผลิตและตลาด (หน้า 120) ในบริบททางสังคมใหม่ของออสเตรเลีย ความหมายทางวัฒนธรรมและนัยยะสำคัญของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งประสบกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ทางสังคมของกลุ่ม ข้อเท็จจริงที่ว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งร่วมสมัยและชิ้นส่วนประกอบเครื่องแต่งกายมีต้นกำเนิดจากประเทศต่างๆ แสดงให้เห็นถึงพลวัตรของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และก่อให้เกิดการสร้างสรรค์รูปแบบเสื้อผ้าที่แตกต่างผสมกัน ทั้งรูปแบบและหน้าที่ของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งในออสเตรเลียจึงถูกปรับเปลี่ยน(transformed) อย่างมีนัยยะ (หน้า 115)

Focus

กระบวนการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายตามประเพณีของม้งอพยพในควีนส์แลนด์เหนือ ประเทศออสเตรเลีย

Theoretical Issues

ผู้เขียนวิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของม้ง โดยใช้แนวคิดโลกานุวัตรทางวัฒนธรรม (cultural globalization) ที่มองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หลากหลายและซับซ้อนอันประกอบด้วยวัฒนธรรมโลกที่มีกำเนิดจากภูมิภาคและประเทศต่างๆ หลายแห่ง ซึ่งตามความคิดนี้โลกานุวัตรทางวัฒนธรรมมีสภาวะเป็นเครือข่ายที่มีศูนย์กลางหรือพรมแดนไม่ชัดเจน ซึ่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมได้เคลื่อนไปในทิศทางต่างๆ และศูนย์กลางภูมิภาคก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะผู้ผลิตและตลาด (หน้า 120)

Ethnic Group in the Focus

ชุมชนม้งที่ Innisfail และ Cairns ในควีนส์แลนด์เหนือ (North Queensland) ประเทศออสเตรเลีย (หน้า 97)

Study Period (Data Collection)

ใช้ข้อมูลจากการวิจัยชุมชนม้งที่ Innisfail และ Cairns ระหว่าง ค.ศ. 1995-2003 และการเก็บข้อมูลม้งที่ยูนนาน ประเทศจีนเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2000 (หน้า 97)

History of the Group and Community

ระหว่างปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1980 ม้งจากค่ายอพยพในประเทศไทยเดินทางไปอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียประมาณ 1,600 คน อาศัยอยู่ที่เมืองทัสมาเนีย(Tasmania) ซิดนีย์ (Sidney) และเมลเบิร์น (Melbourne) ต่อมาประมาณ ค.ศ.1996 ควีนส์แลนด์เหนือก็เป็นศูนย์กลางของม้งในประเทศออสเตรเลีย โดยในปี ค.ศ. 2002 มีประชากรม้งมากกว่า 800 คน 52 ครัวเรือน 12 ตระกูล (หน้า 98)

Settlement Pattern

ผู้เขียนเห็นว่า แม้ม้งจะเข้าไปอยู่ในออสเตรเลียแล้ว ม้งก็ยังมีวิถีชีวิตอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ตามประเพณีเดิมที่เป็นผลมาจากการเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอย (shifting cultivation) ควีนส์แลนด์เหนือมีภูมิอากาศและพืชพรรณไม้คล้ายคลึงกับในประเทศลาว สามารถเพาะปลูกเพื่อบริโภคได้ ม้งจึงอาศัยอยู่ในควีนส์แลนด์เหนือหลายปี (หน้า 98-99) ทั้งนี้ควีนส์แลนด์เหนือเป็นถิ่นที่อยู่แห่งที่สองหรือสามในออสเตรเลีย โดยเมื่อแรกที่เข้ามาอยู่ในออสเตรเลีย ม้งตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนที่ทัสมาเนีย (Tasmania) เมลเบิร์น (Melbourne) หรือซิดนีย์ (Sidney) ต่อมาปี ค.ศ. 2000 บริสเบน(Brisbane)ก็เริ่มเป็นถิ่นที่อยู่ของม้ง มีครอบครัวม้งอพยพมาจากควีนส์แลนด์เหนือและรัฐอื่นๆ (หน้า 98)

Demography

ประชากรม้งที่ Cairns มีจำนวนประมาณ 300 คน ส่วนใหญ่เป็นม้งเขียว (Hmoob Ntsuab or Green Hmong) ประกอบอาชีพรับจ้างใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กและงานบริการ (หน้า98) ประชากรม้งที่ Innisfail ซึ่งอยู่ห่างจาก Cairns ลงไปทางใต้ประมาณ 100 กิโลเมตรมีประมาณ 550 คน เป็นม้งขาว (Hmoob Dawb or White Hmong) ทำงานในสวนกล้วย ซึ่งส่วนมากเป็นสวนที่ม้งเป็นเจ้าของ จึงใช้แรงงานในครอบครัวเช่นเดียวกับการเพาะปลูกแบบยังชีพในประเทศลาวที่มีสมาชิกในครัวเรือนเป็นแรงงานหลัก (หน้า 98-99)

Economy

การผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพื่อขาย ม้งในค่ายอพยพที่ประเทศไทย การมีเวลาว่างมากและความจำเป็นในการหารายได้ ทำให้ม้งในค่ายอพยพหันมาผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพื่อขาย โดยมีตลาดตะวันตกเป็นกลุ่มเป้าหมายและมีผู้ให้คำแนะนำด้านการผลิต การผลิตเพื่อขายนี้ทำให้มีการนำผ้าไปผลิตของใช้รูปแบบใหม่ๆ เช่น ปลอกหมอน ผ้าแขวนผนัง และผ้าสำหรับตกแต่งชิ้นเล็กรูปแบบต่างๆ ลวดลายบนผืนผ้าบางชิ้นเป็นแบบดั้งเดิมที่ลอกเลียนมาจากผ้าม้งผืนเก่าและปัก reverse appliqué หรือ ครอสติช (cross-stitch) แต่เนื่องจากผ้าเหล่านี้ถูกส่งไปขายตลาดตะวันตก จึงได้เปลี่ยนลวดลายผ้าจากรูปเรขาคณิตมาเป็นการปักเป็นภาพเล่าเรื่องราว(realistic narrative representations)ที่คนภายนอกสามารถเข้าใจได้แทน ภาพเหล่านี้ส่วนมากเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันในหมู่บ้านม้งที่ประเทศลาว ภาพเรื่องเล่าเก่าๆและตำนาน หรือภาพลายเส้นที่แสดงความโหดร้ายของสงครามในลาวหรือระหว่างการหลบหนีมาประเทศไทย (หน้า 104) ม้งอพยพในออสเตรเลีย เมื่อม้งย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว สภาพการดำเนินชีวิตได้เปลี่ยนไป ผู้หญิงต้องดูแลครอบครัวทำให้ไม่มีเวลาสำหรับงานเย็บปักเสื้อผ้า โดยเฉพาะผู้หญิงที่ทำงานในอุตสาหกรรมการทำสวน จึงไม่มีการผลิตผ้าม้งเพื่อขายเหมือนเมื่ออยู่ในค่ายอพยพที่ประเทศไทย นอกจากนั้นการขาดความช่วยเหลือจากตัวแทนภายนอกในการกระจายสินค้าและการตลาดก็เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ขายสินค้าได้น้อย (หน้า 106) แม้ว่าในทศวรรษ 1980 จะมีเสื้อผ้าม้งวางขายเป็นครั้งคราวที่หน้าร้านในเมืองโฮบาร์ท (Hobart) เมลเบิร์นและซิดนีย์ แต่เงินที่ได้จากการขายก็เป็นเพียงรายได้เสริม มิใช่รายได้หลักเช่นตอนอยู่ในค่ายอพยพที่ประเทศไทย อีกทั้งสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายก็นำมาจากประเทศไทยหรือสมาชิกของครอบครัวที่ยังอยู่ในค่ายอพยพส่งมา เงินที่ได้จากการขายส่วนหนึ่งจึงส่งกลับไปให้ญาติในประเทศไทย (หน้า 106) ตลาดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งในปัจจุบัน ปัจจุบัน ตลาดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งไม่ได้มีเป้าหมายที่ตลาดตะวันตกเช่นเมื่อก่อนแต่เป็นชุมชนม้งอพยพในต่างประเทศ ม้งอพยพที่ยังอยู่ในประเทศไทยยังคงมีรายได้หลักจากการทำเครื่องประดับและเสื้อผ้าม้งขาย สินค้าที่ผลิตมาก ได้แก่ แถบผ้าปักใช้เย็บติดกับผ้าคาดเอว (apron) และเสื้อคลุม กระโปรงอัดจีบสีน้ำเงินทั้งแบบทำบาติกและพิมพ์ลายบาติก และหมวกที่มีลายปักตกแต่ง (หน้า 113) ม้งในประเทศลาวก็ทำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งขายเช่นเดียวกับในประเทศไทย แต่มีขนาดเล็กกว่า สินค้าจะถูกซื้อระหว่างการเที่ยวในไทยและลาวแล้วนำกลับไปขายในออสเตรเลีย และบางครั้งก็มีการสั่งซื้อทางไปรษณีย์ (หน้า 113) ในประเทศจีนก็มีการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งเพื่อการค้าเช่นกัน ในทศวรรษ 1990 มีการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เวิ่นชาน (the Wenshan area) ซึ่งอยู่ในยูนนานตอนใต้ โดยเฉพาะเสื้อผ้าสำหรับม้งอพยพที่อยู่นอกเอเชีย การผลิตนี้ใช้เครื่องจักรไม่ใช่ผลิตด้วยมืออย่างในลาวและไทย ใช้เส้นใยสังเคราะห์แทนใยฝ้าย ผ้าสีสันสดใส มีกระดุมร้อยเป็นสายประดับตกแต่ง เสื้อผ้าเหล่านี้สั่งไปขายในออสเตรเลียราคาชุดละ $250 ถึง $300 ดอลลาร์ ซึ่งได้รับความนิยมจากสาวม้งวัยรุ่นที่ยังไม่แต่งงาน (หน้า 113)

Belief System

ศาสนาความเชื่อ ม้งใน Cairns ส่วนใหญ่นับถือคริสตศาสนา ขณะที่ม้งส่วนใหญ่ใน Innisfail ยังคงความเชื่อดั้งเดิม โดยคนทรง(shaman)เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการติดต่อระหว่างโลกนี้กับโลกแห่งวิญญาณ (หน้า 98) ม้งที่ทำงานในสวนและฟาร์มยังสามารถปฏิบัติกิจกรรมตามวัฒนธรรมของตนได้มากกว่าม้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง โดยเฉพาะพิธีกรรมความตายและพิธีกรรมการรักษาที่ต้องใช้เครื่องดนตรีเสียงดังขณะทำพิธี หรือการทำพิธีเซ่นไหว้ในสวนกล้วย (หน้า 99-100) ความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งกายให้ผู้ตาย แม้จะเปลี่ยนรูปแบบเสื้อผ้าการแต่งกายในชีวิตประจำวัน แต่ม้งในออสเตรเลียยังคงรักษารูปแบบการแต่งกายให้ผู้ตายไว้เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง เสื้อคลุมผู้ตายและผ้าสีเหลี่ยมปักลายต้องทำจากเส้นใยธรรมชาติ ไม่มีวัสดุที่ทำจากโลหะ เช่น กระดุมหรือเข็มประดับตกแต่ง เพราะม้งเชื่อว่า ถ้าเสื้อผ้าเสื่อมสลายช้า วิญญาณผู้ตายจะกลับไปเกิดใหม่ช้า แม้แต่ลวดลายเสื้อผ้าสำหรับผู้ตายก็ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ลวดลายรูปเรขาคณิตเป็นสัญลักษณ์หมายถึงทรัพย์สมบัติของผู้ตาย เช่น ที่ดิน บ้าน และสัตว์เลี้ยง ที่ผู้ตายได้รับอนุญาตให้นำไปยังโลกอื่น ส่วนมากเสื้อผ้าสำหรับคนตายจะถูกส่งมาจากญาติที่อยู่ในต่างประเทศ และม้งในออสเตรเลียที่อายุ 50 ปีทุกคนจะมีเสื้อผ้าสำหรับใส่ตอนตายอย่างน้อย 1 ชุด (หน้า 118-119) นอกจากเสื้อแล้ว รองเท้าก็เป็นของสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ตายเดินทางผ่านอันตรายไปยังหมู่บ้านบรรพบุรุษในโลกแห่งวิญญาณได้ รองเท้าจะใส่ไว้ในโลงและฝังพร้อมกับผู้ตาย แต่ก่อนรองเท้านี้จะทำจากใยกัญชง (hemp) แต่ปัจจุบันใช้ใยฝ้ายแทน ส่วนมากรองเท้าสำหรับคนตายที่ใช้ในควีนส์แลนด์เหนือจะมาจากไทยหรือลาว (หน้า119)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ในช่วงที่ยังอยู่ในประเทศลาว ม้งทำเสื้อผ้าใช้เอง นำเส้นใยต้นกัญชงที่ปลูกมาทอผ้า แล้วนำคราม (indigo) มาย้อมผ้า เด็กหญิงม้งทุกคนที่อายุ 5 ปีขึ้นไปจะต้องฝึกการเย็บปักผ้า (หน้า 100) การอพยพหนีภัยจากลาวเข้ามาประเทศไทย ซึ่งใช้เวลาหลายวันและยากลำบาก ทำให้ม้งนำสิ่งของติดตัวมาได้น้อย เครื่องแต่งกายเครื่องประดับซึ่งเป็นเงินส่วนใหญ่ถูกเก็บซ่อนไว้ในประเทศลาว หรือบางกรณีก็ใช้เป็นค่าเรือข้ามแม่น้ำโขง หรือไม่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ชายแดนไทยยึดไป ดังนั้นเครื่องแต่งกายม้งจากประเทศลาวจึงเหลือรอดไปถึงออสเตรเลียน้อย เครื่องแต่งกายที่เหลือนี้ได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติสำหรับรำลึกถึงชีวิตในประเทศลาว และเป็นของล้ำค่าเกินกว่าจะนำมาใช้ (หน้า 102-103) ม้งหันมาใช้อลูมิเนียมทำเครื่องประดับแทนการใช้เงิน(silver) โดยยังคงรูปแบบเดิมไว้ (หน้า 103-104) สถานการณ์การทำเสื้อผ้าในออสเตรเลีย เมื่อมาอยู่ในออสเตรเลีย ม้งไม่ได้ทอผ้าและย้อมผ้าเองอีกต่อไป ผู้หญิงม้งเขียวในออสเตรเลียไม่ได้ทำผ้าบาติกเอง แต่สั่งซื้อกระโปรงผ้าที่ย้อมสีแล้วจากลาว ไทย จีน หรือสหรัฐอเมริกา การพิมพ์ลายผ้าเลียนแบบการย้อมผ้าบาติกได้เข้ามาแทนที่การทำบาติกด้วยมือ ในม้งขาวสถานการณ์จะต่างออกไป กล่าวคือ มีผู้หญิงม้งขาวที่เคยทำกระโปรงอยู่ 2 คน อยู่ Innisfail คนหนึ่งและอยู่ที่ซิดนีย์อีกคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ Innisfail มีชื่อว่า Chi Lee ไม่สามารถทำงานในสวนกล้วยได้จึงมีเวลาทำและปักเย็บผ้า ซึ่งฝึกมาตั้งแต่ยังเป็นสาวอยู่ในลาว เมื่อมาอยู่ในออสเตรเลียเธอก็ยังทำกระโปรงอัดจีบและปักด้วยวิธีเดิมที่เคยทำเมื่อครั้งอยู่ในลาว แม้ว่าผ้าที่ใช้ทำกระโปรงจะใช้ใยฝ้ายสีขาวแทนใยกัญชงที่ไม่ได้ย้อมแล้วก็ตาม ปัจจุบันด้วยวัย 70 กว่าปีและสายตาไม่ดี Chi Lee จึงไม่สามารถทำกระโปรงได้อีก เธอพยายามหาหญิงสาวม้งมารับการถ่ายทอดความรู้และทักษะการปักเย็บนี้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ (หน้า 109-110) ผู้เขียนเห็นว่า เป็นเพราะการปักเย็บเป็นงานละเอียดประณีต ต้องใช้ความอดทนและเวลานาน อีกทั้งยังเกี่ยวข้องน้อยหรือไม่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนวัยหนุ่มสาวม้งในออสเตรเลีย จึงยากที่จะจูงใจหญิงสาวม้งให้มาเรียนรู้ฝึกฝนทักษะนี้ (หน้า 111) การปักผ้าที่นิยมมากที่สุดมี 2 แบบ คือ แบบครอสติช(cross-stitch)และแบบปักกลับด้านหลัง (reverse appliqué) การปักแบบกลับด้านหลังมีเฉพาะในผู้หญิงม้งขาว เป็นวิธีที่ต้องการชำนาญและความอดทนมาก การปักแบบนี้แม้จะประณีต แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยการปักครอสติช เพราะทำง่ายและเร็วกว่า (หน้า 110)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ผู้เขียนเห็นว่า ม้งในออสเตรเลียใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแสดงอัตลักษณ์ม้งทั่วๆ ไปมากกว่าจะใช้เพื่อจำแนกการเป็นสมาชิกม้งกลุ่มย่อย (Hmong sub-groups) เนื่องจากม้งรุ่นหนุ่มสาวที่ประสบกับการปะทะกันทางวัฒนธรรมในค่ายอพยพหรือม้งที่เติบโตในออสเตรเลียไม่ค่อยเข้าใจระบบสัญลักษณ์ที่สื่อสารด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (หน้า116) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตทางสังคมของชุมชนในฐานะเป็นเสื้อผ้าสำหรับการฉลอง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ม้งจะแต่งกายตามประเพณีในโอกาสพิเศษที่เป็นงานฉลองของชุมชนและครอบครัว โดยเฉพาะงานฉลองปีใหม่และงานเลี้ยงต้อนรับหรืองานเลี้ยงอำลากลุ่มญาติหรือเพื่อนที่ย้ายไปอยู่ที่อื่น นอกจากนั้น ม้งยังใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแสดงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในงานอื่นๆ ของสังคมออสเตรเลียด้วย เช่น งานฉลอง Australia Day หรืองานของคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในออสเตรเลีย เช่น งานปีใหม่ทางพุทธศาสนาของคนลาวและคนไทย (หน้า111) อย่างไรก็ดี มีม้งบางกลุ่มที่มีทัศนะต่างจากที่กล่าว คือ ในปี ค.ศ. 1999 มีครอบครัวม้ง 4 ครอบครัวย้ายจากชุมชนม้งที่ Cairns และ Inniafail ไปอยู่บนพื้นที่สูงของ the Atherton Tablelands ม้งกลุ่มนี้ตั้งชื่อกลุ่มว่า ‘Amu’ พร้อมกับก่อตั้งอัตลักษณ์ทางศาสนาความเชื่อใหม่ พวกเขาเชื่อว่าตนเองมีความเกี่ยวโยงกับจักรพรรดิม้งในตำนาน อีกทั้งยังพัฒนากฏระเบียบและประเพณีเพื่อสนับสนุนการกล่าวอ้าง รวมทั้งได้สร้างวัดเป็นสถานที่รำลึก(a monumental temple) ด้วย ม้งกลุ่มนี้ใช้เสื้อผ้าเป็นเครื่องหมายแสดงตัว โดยสมาชิกทุกคนจะสวมเสื้อผ้าแบบม้งทุกสถานการณ์ ซึ่งการกระทำของม้งกลุ่มนี้ถูกปฏิเสธจากชุมชนม้งกลุ่มใหญ่ในควีนส์แลนด์เหนือที่เห็นว่า การสวมใส่เสื้อผ้าม้งเฉพาะโอกาสสำคัญก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ทุกวัน (หน้า 108-109)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย ประเพณีม้งใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแสดงความแตกต่างระหว่างม้งกลุ่มต่างๆ ดังนั้นการแต่งกายจึงเคร่งครัด แต่สถานการณ์ในเมือง แบบแผนการแต่งกายจะผ่อนคลายมากกว่า ผู้หญิงม้งจำนวนมากหันมานุ่งซิ่นลาว สวนผู้ชายก็ใส่เสื้อแบบตะวันตก (หน้า100) ในช่วงที่อยู่ในค่ายอพยพที่ประเทศไทย ม้งส่วนใหญ่ใช้เสื้อผ้าแบบตะวันตก ผู้หญิงใช้ผ้าซิ่นไทย ส่วนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งจะใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น ปีใหม่ พิธีแต่งงาน หรือพิธีศพ (หน้า 102) และเมื่อย้ายไปอยู่ออสเตรเลีย ม้งก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดิมในชีวิตประจำวัน มีแต่ผ้าอุ้มเด็ก (the baby carrier) เท่านั้นที่ยังใช้กัน เพราะทำให้แม่เด็กทำงานได้โดยไม่ต้องเป็นห่วงกังวลความปลอดภัยของลูก (หน้า 108) ปัจจุบันเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ผลิตแบบอุตสาหกรรม สีสว่างสดใส ตกแต่งด้วยเครื่องประดับที่ทำด้วยเครื่องจักร ซึ่งผู้หญิงสาวในยูนนานใช้ในชีวิตประจำวันได้รับความนิยมในสาววัยรุ่นม้งที่ออสเตรเลีย โดยใช้เป็นชุดงานเลี้ยงฉลอง ทุกๆ ปีก่อนงานฉลองปีใหม่ เสื้อผ้าจากจีนจำนวนมากถูกนำเข้าออสเตรเลียและประดับตกแต่งให้สวยยิ่งขึ้นโดยเพิ่มกระดุม เหรียญ แถบผ้า (lace) กระดิ่งเล็กๆและเครื่องประดับอื่นๆ ผู้เขียนเห็นว่า ด้วยวิธีนี้ ประเทศจีนที่บ้านเกิดดั้งเดิมของม้งจึงเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางสายตาแบบใหม่ของม้งออสเตรเลีย (หน้า 118) การเปลี่ยนหน้าที่ความหมายของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หลังสงครามสมาชิกครอบครัวม้งกระจัดกระจายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศต่างๆ ความผูกพันใกล้ชิดกันของม้งในควีนส์แลนด์เหนือกับสมาชิกครอบครัวที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและแคนาดา ทำให้มีการเยี่ยมเยียนและแลกเปลี่ยนของขวัญไว้เป็นที่ระลึก ได้แก่ ผ้าแถบปัก(paj ntauj or costume panels) เครื่องประดับเสื้อผ้า หมวกและชุดเสื้อผ้า ผู้เขียนเห็นว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในฐานะที่เป็นของขวัญจากญาตินี้ทำให้เกิดการเชื่อมต่อและสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่สมาชิกครอบครัวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก (หน้า 112) ผู้เขียนเห็นว่า ในออสเตรเลีย ชิ้นส่วนที่ประกอบกันเป็นชุดเครื่องแต่งกายม้งเป็นของขวัญจากญาติๆ มีทั้งที่ทำไว้ใช้เองและทำเพื่อขาย การวิเคราะห์แหล่งที่มาของส่วนประกอบเหล่านี้ เช่น เส้นใย แถบผ้าปัก กระดุม เหรียญ หมวกและอื่นๆ จะระบุประเทศที่เป็นแหล่งที่มาได้ว่ามาจาก สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส ลาวหรือไทย ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนประเทศที่สมาชิกครอบครัวอาศัยอยู่ (หน้า113) ปัจจุบัน ชุดเครื่องแต่งกายม้งที่มีชิ้นส่วนต่างๆ ทำจากประเทศเดียวกันหาได้ยาก ชุดแต่งกายม้งในออสเตรเลียแสดงให้เห็นเครือข่ายที่แพร่หลายของการติดต่อเครือญาติ ซึ่งม้งที่อยู่ในส่วนต่างๆของโลกได้พัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เครื่องแต่งกายจึงเป็นตัวแทนในกระบวนการเชื่อมต่อกับบ้านเเดิม และเพิ่มความเข้มแข็งให้กับการเชื่อมโยงของพวกเขาในระดับต่างประเทศ (หน้า 115) กระบวนการเปลี่ยนแปลงนัยยะความหมายของเครื่องแต่งกายม้ง ผู้เขียนเห็นว่า สถานการณ์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งในออสเตรเลียอยู่ในกระบวนการสูญเสียนัยยะความหมายที่เป็นตัวแสดงทางสายตา(a specific visual marker) ซึ่งต่อจากขั้นตอนนี้จะเป็นการทำลายโครงสร้างของชุดเสื้อผ้าดั้งเดิม แล้วสร้างชุดเสื้อผ้าที่มีการผสมแบบใหม่ ซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนที่มีลักษณะคุณสมบัติของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งจากที่ต่างๆ กระบวนการสร้างชุดเครื่องแต่งกายที่มีส่วนประกอบใหม่นี้เป็นลักษณะร่วมพิเศษในหมู่ผู้หญิงม้งรุ่นใหม่ที่เกิดและเติบโตในออสเตรเลีย ซึ่งส่วนมากพวกเธอไม่ได้ตระหนักถึงภาษาสายตาที่ซับซ้อนของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายม้งในลาว ส่วนประกอบเสื้อผ้าจากม้งหลายกลุ่มถูกนำมาผสมกันเป็นการรวมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น กระโปรงย้อมสีครามของม้งเขียวอาจจะรวมกับเสื้อคลุมของม้งขาวและหมวกกลมที่ทำให้นึกถึงผ้าโพกหัวของม้งลาย (the ‘striped’ Hmong) ในลาว (หน้า 117)

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG ม้ง, การอพยพ, การพลัดถิ่น, การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม, เสื้อผ้า, เครื่องแต่งกาย, ออสเตรเลีย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง